[ทดลองอ่าน] ใครบางคน บทที่ 9

某某
ใครบางคน

木苏里 มู่ซูหลี่ เขียน
ตัวละครผู้ถูกแทงที่ท้อง แปล
Zolaida ภาพ

– โปรย –

เซิ่งวั่งย้ายกลับมาอยู่คฤหาสน์หลังเก่าของตระกูลในตรอกไป๋หม่า
ทว่าผู้ที่ย้ายเข้ามาในเวลาเดียวกันยังมีผู้หญิงที่พ่อของเขากำลังคบหาอยู่ด้วย
และผู้เป็นพ่อก็ชี้ไปทางลูกชายของผู้หญิงคนนั้นแล้วสั่งว่า: เรียกพี่สิ
แล้วเรื่องราวระหว่าง เครื่องทำความเย็นจอมหยิ่งหัวแข็งผู้กินไม้อ่อนไม่กินไม้แข็ง
กับ คุณชายน้อยจอมขี้เกียจผู้คิดว่าตัวเองสูงส่งค่าตัวแพง ก็เริ่มต้นขึ้นนับแต่นั้น
แต่มันไม่ง่ายเลย…เพราะเมื่อเวลาผ่านไปอะไรๆ ก็ยิ่งไม่เป็นอย่างที่คิดหวังไว้

เจียงเทียนไม่ใช่พี่ชายอีกแล้ว และก็ไม่ใช่แฟนอีกต่อไป วกไปวนมา
สุดท้ายก็กลับมาเป็นคนที่เซิ่งวั่งไม่รู้ว่าควรจะเรียกอะไรดี
กลับไปเป็น ‘ใครบางคน’ ที่เรียกออกปากไม่ได้อีกครั้ง

เซิ่งวั่ง: ฉันเป็นชายแท้แบบไม่หักไม่งอเลย (straight)
เจียงเทียน: ฉันเป็นโฮโมโฟบ (homophobia)

แท็กเนื้อหา: การเติบโตของช่วงวัยรุ่น (coming of age) ,
รักเดียวใจเดียว, การกลับมาพบพานกันใหม่หลังจากกันไป

1v1+he

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

 

บทที่ 9

 

คาบเรียนในช่วงเช้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ตอนที่แมวกวักพูดถึงตัวอย่างบทความข้อสุดท้ายนั้น เกาเทียนหยางโยกเก้าอี้มาพิงโต๊ะของเซิ่งวั่งแล้วพูดเสียงเบา “แมวกวักไม่ปล่อยเลท”

“หืม?” เซิ่งวั่งโน้มตัวไปด้านหน้าพลางถามด้วยความงุนงง “ไม่เลทแล้วมันยังไง”

“พวกเราก็จะได้ไปโรงอาหารตรงเวลาไง” เกาเทียนหยางตอบ “เตือนด้วยความหวังดี นายคลำทางไปโรงอาหารให้ดี พอออดดังแล้วออกวิ่งทันที แบบนี้ยังพอแย่งกับข้าวอย่างสองอย่างที่พอกินได้จากโรงอาหารได้บ้าง”

ใบหน้าของเซิ่งวั่งค่อย ๆ ผุดเครื่องหมายคำถามขึ้นมา “ทำไมต้องวิ่ง เมื่อวานยังเดินไปได้อยู่เลยนี่”

“นายก็พูดออกมาเองแล้ว นั่นมันเมื่อวาน” เกาเทียนหยางทอดถอนใจ “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หมดวันเวลาดี ๆ แล้ว เพราะ ม.4 เริ่มมาเรียนชดเชยกันแล้ว คนแย่งข้าวเพิ่มเป็นเท่าตัว”

เกาเทียนหยางส่ายนิ้วชี้ไปมาแล้วกล่าว “ชีวิตนั้นแสนลำบาก นายลองเจอดูสักครั้งก็จะรู้เอง พวกเด็กผี ม.4 วิ่งเร็วกว่าหมาอีก”

เซิ่งวั่งยังไม่ทันได้ตอบ แมวกวักก็เคาะโต๊ะหน้าห้อง “เกาเทียนหยาง!”

เซิ่งวั่งลูบปลายจมูกแล้วนั่งตัวตรงทันที ส่วนคนที่นั่งหน้าเขาค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างอับอาย

“แย่งซีนฉันนักใช่ไหม” แมวกวักถามอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจ “เมื่อกี้ชวนเซิ่งวั่งคุยอะไร”

เกาเทียนหยางเกาหัวแล้วตอบ “ไม่มีอะไรครับ”

“นั่นหลอกใครน่ะ” แมวกวักใช้มือยันโต๊ะพลางพยักพเยิด “ยังไงก็ใกล้เลิกแล้ว ไหนลองเล่าสิ่งที่คุยเมื่อกี้ให้พวกเราฟังหน่อยซิ”

เกาเทียนหยางขยับปากขมุบขมิบ เสียงราวกับยุงบินหึ่ง

“ปวดฟันหรือไง” แมวกวักว่า “พูดทวนสามรอบ! พูดจบเมื่อไหร่เลิกเรียนเมื่อนั้น ถ้าไม่พูดก็อยู่รอทั้งแบบนี้แหละ”

สี่สิบกว่าศีรษะหันขวับมาพร้อมกัน เกาเทียนหยางจึงพูดเสียงดังฟังชัด “ผมบอกว่า ‘พวกเด็กผี ม.4 วิ่งเร็วกว่าหมาอีก’ ครับ!”

แมวกวัก “…”

เซิ่งวั่งคิดในใจว่าวิธีทำโทษแบบนี้ใช้ได้เลยนะเนี่ย

คนเป็นอาจารย์ชี้หน้าเกาเทียนหยางพร้อมสั่ง “หุบปากแล้วนั่งลงซะ คัดตัวอย่างบทความสามบทของวันนี้อย่างละจบ เอามาส่งฉันตอนคาบทบทวนตอนค่ำ แล้วก็…เลิกได้!”

พอพูดจบอาจารย์สาวร่างอวบก็ขยับตัวหนีไปด้านข้าง เปิดทางให้อย่างรวดเร็ว

จากนั้นก็ได้ยินเสียงเก้าอี้ลากกับพื้นดังขึ้นระลอกใหญ่ เซิ่งวั่งยังไม่ทันได้ลุก ห้องเรียนก็แทบจะว่างเปล่าแล้ว

ฝูงนักเรียนห้อง A พุ่งถลาลงบันไดไปราวกับคลื่นถล่ม ตอนที่ลงไปได้ครึ่งทางเสียงออดพักเที่ยงก็ดัง จึงมีคนเฮละโลกันมาเยอะขึ้น ทุกคนต่างพุ่งตรงไปทางโรงอาหาร

นี่เป็นฉากตำนานหมาป่าจอมหิวโหยอะไรสักอย่างงั้นเหรอ

ขณะที่เซิ่งวั่งกำลังอึ้งตาค้าง เขาก็ได้ยินเสียงสูง ๆ ของแมวกวัก “เอ๋? ทำไมเธอสองคนไม่วิ่งล่ะ”

“ผม…สองคน?” เซิ่งวั่งหันไปถึงพบว่าด้านหลังมี ‘อีกคน’ ที่ว่าอยู่

นอกจากเจียงเทียนจะไม่ได้รีบวิ่งพุ่งตัวออกไปแล้ว อีกฝ่ายยังนั่งทำแบบฝึกหัดอยู่อีกต่างหาก

แมวกวักเห็นแค่มุมหนึ่งของแบบฝึกหัดเท่านั้น เธอก็อดรู้สึกซาบซึ้งไม่ได้ “โอ้โห วันนี้พระอาทิตย์คงขึ้นทางตะวันตก ไม่คิดเลยว่าเธอจะนั่งแก้คำตอบที่ผิดอย่างตั้งอกตั้งใจขนาดนี้ ไหนดูซิ เธอกำลังแก้คำตอบข้อไหนอยู่ ถึงได้จดจ่อนานขนาดนี้ มีข้อที่ทำไม่ได้หรือเปล่า”

“ไม่มีครับ” เจียงเทียนงอนิ้วชี้มือซ้ายมาเกาจมูกเล็กน้อย ส่วนปากกาในมือขวายังคงเขียนไม่หยุด ยิ่งเขียนก็ยิ่งเร็วขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า การจับจมูกแสดงถึงความลนลานในใจ

เซิ่งวั่งแอบหันไปมอง โอ๊ะ ชีทฟิสิกส์

แมวกวักเดินมาจากหน้าห้อง เจียงเทียนเพิ่งลดความซับซ้อนของนิพจน์สมการข้อสุดท้ายเสร็จ ปลายปากกาเจ้าตัวกดจุดลงที่ท้ายคำตอบ แล้วจัดการยัดชีทเข้าใต้โต๊ะอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนก่อนที่แมวกวักจะมาถึงตัว “อาจารย์ครับ ผมไปกินข้าวก่อนนะครับ”

จบคำเขาก็ก้าวเท้าออกจากประตูห้องทันที

เซิ่งวั่งอึกอัก ก่อนจะโบกมือให้แมวกวักพร้อมกับพูดว่า “อาจารย์ครับ งั้นผมก็ขอลงไปก่อนนะครับ”

“อืม ได้ รีบไปเถอะ” แมวกวักถูกพวกเขาทำให้งงไปหมด เพียงแค่ชั่วพริบตาเด็กหนุ่มทั้งสองก็พากันเดินออกจากประตูตามหลังกันไปแล้ว

“เจอผีหรือไงถึงได้ชิ่งเร็วขนาดนั้น” เธอพึมพำ เมื่อเดินมาถึงที่นั่งเจียงเทียนก็ชำเลืองมองทีหนึ่ง ชีทแบบฝึกหัดที่ถูกยัดไว้ใต้โต๊ะโผล่ออกมามุมหนึ่ง ด้านบนเป็นสรุปความที่เขาเพิ่งเขียนเสร็จ : เพราะฉะนั้นเมื่อลูกบอลมีแรงสมดุล มันจะเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงด้วยความเร็วคงที่เท่ากับ vt

แมวกวัก “…”

เธอรีบสาวเท้าพุ่งไปทางประตูหลังและตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “เจียงเทียน! คาบทบทวนช่วงค่ำช่วยเสนอหน้ามาคุยกับฉันที่ห้องพักครูด้วย!”

ชุดนักเรียนตัวโคร่งของเด็กหนุ่มลับหายไปตรงหัวมุมบันได ไม่เหลือให้เห็นแม้แต่เงา

แอร์ในห้องเรียนเย็นไม่น้อย เซิ่งวั่งวิ่งมาถึงด้านล่างตึกถึงเพิ่งรู้ตัวว่าชิ่งเร็วซะจนลืมถอดเสื้อแจ็กเก็ตนักเรียน คนที่นั่งทำโจทย์ฟิสิกส์ในคาบวิชาภาษาจีนไม่ใช่เขาสักหน่อย ไม่รู้จะลนไปด้วยทำไม

ตอนเพิ่งลงจากตึกยังไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้พอแดดส่องเข้าให้ เหงื่อก็เริ่มซึมออกมา เซิ่งวั่งอดทนไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียวจึงถอดเสื้อแจ็กเก็ตมาถือไว้

เจียงเทียนที่เร็วกว่าเดินนำอยู่ด้านหน้าเขา

ร่างกายคนตรงหน้าเหมือนไม่รู้จักคำว่าร้อนจนเหงื่อออก เสื้อแจ็กเก็ตนักเรียนไม่ได้ถูกถอดออก อีกฝ่ายเพียงแค่ถกแขนเสื้อขึ้นมาตรงข้อศอกเท่านั้น นักเรียนที่ต้องนั่งติดโต๊ะเป็นเวลานานมักจะหลังค่อมโดยไม่รู้ตัว แต่เขากลับไม่เป็นเช่นนั้นแม้แต่น้อย แผ่นหลังยืดตรงราวกับไอติมแท่งเดินได้ท่ามกลางแสงแดด

คนหล่อไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เป็นจุดรวมสายตาเสมอ แถมยังมาพร้อมกันสองคนอีกต่างหาก

เด็กสาวทุกกลุ่มที่เดินผ่านต่างมองมาเป็นตาเดียว พร้อมดันกันไปมาและแอบหัวเราะคิกคัก มีเด็กสาวสองคนที่เล่นกันไม่ทันระวังเกือบชนเข้ากับเซิ่งวั่ง

เซิ่งวั่งเบี่ยงตัวหลบก่อนจะส่งยิ้มให้พวกเธอท่ามกลางเสียง “ขอโทษ” ไม่ขาดสาย จากนั้นก้าวอีกไม่กี่ก้าวจนตามเจียงเทียนทัน

“นี่ มีทิชชูปะ” เขาปาดเหงื่อบนหน้าผากพลางถาม

น้ำพุกลางลานโรงเรียนไม่ได้เปิด เจียงเทียนเดินลงบันไดตรงลานน้ำพุไปโดยตั้งใจทำเมิน

“พูดกับนายอยู่นะ” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

เจียงเทียนยังคงเลือกทำเป็นหูทวนลม

เซิ่งวั่งจิ๊ปากทีหนึ่งและกล่าวอย่างไม่พอใจ “เพราะโดนนายลากเข้าไปเอี่ยวด้วย ฉันถึงต้องวิ่งตามลงมาเนี่ย แค่ทิชชูแผ่นเดียวก็ให้ไม่ได้เหรอ”

ในที่สุดรอบนี้เจียงเทียนก็ตอบกลับว่า “ไปเรียนวิธีเรียกชื่อคนอื่นมาก่อนค่อยมาขอทิชชู”

เด็กหนุ่มมองท้ายทอยคนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ปากขมุบขมิบหลายที สุดท้ายก็ลากเสียงพูดขึ้นอย่างไม่เต็มใจ “เพื่อนร่วมชั้นเจียงเทียน รบกวนขอทิชชูแผ่นนึงได้ไหม มีมารยาทพอยัง”

คราวนี้เจียงเทียนถึงหยิบซองกระดาษทิชชูออกจากกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตนักเรียนแล้วโยนใส่เขา เซิ่งวั่งยื่นมือออกมารับไว้ ดึงออกมาซับเหงื่อแผ่นหนึ่ง

“ระดับความเร็วแบบพวกเรานี่จะไปกินข้าวทันจริงเหรอ” เซิ่งวั่งมองไปรอบตัวทีหนึ่ง ท่ามกลางฝูงชนที่กำลังรีบเร่ง พวกเขาดูเป็นแกะดำชะมัด

อันที่จริงเขาไม่ได้อยากกินข้าวกับเจียงเทียนเลยสักนิด มองผ่าน ๆ ยังรู้เลยว่าเจียงเทียนเองก็ไม่อยากพาเขาไปด้วย แค่ลองจินตนาการดูก็รู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออกแล้ว แต่น่าแปลกที่ความอยากเอาชนะของลูกผู้ชายกลับคงอยู่ตลอด สถานการณ์ตอนนี้กลายเป็นว่าใครหนีก่อนเป็นฝ่ายแพ้ยังไงยังงั้น เซิ่งวั่งไม่อยากเป็นฝ่ายที่ดูป๊อด เขาเลยหน้าด้านหน้าทนเดินเคียงไหล่ไปกับเจียงเทียน…

สองนาทีให้หลังเขาค้นพบว่าตัวเองเดินไกลจากโรงอาหารไปเรื่อย ๆ

“เดี๋ยวก่อน โรงอาหารอยู่ทางโน้น นายไม่กินข้าวแล้วหรือไง” เซิ่งวั่งถามขึ้น

“ไปโรงอาหารตอนนี้คงเหลือแต่จานให้นายกิน” เจียงเทียนชายตามองเขา “อยากกินนักก็ไปสิ”

แน่นอนว่าเซิ่งวั่งไม่อยากกิน เขาเดินอ้อมสนามบาสกับ ‘สวนฝึกตน’ ไปกับเจียงเทียน ก่อนจะเดินเข้ามินิมาร์ทแห่งหนึ่งภายในโรงเรียน

โรงเรียนสาธิตแห่งนี้มีมินิมาร์ทสามร้าน ร้านหนึ่งอยู่ติดกับโรงอาหาร ร้านหนึ่งอยู่ข้างหอ ส่วนอีกร้านก็อยู่ที่นี่นั่นเอง

มินิมาร์ทนี้มีชื่อว่า ‘สี่เล่อ (สุขสันต์)’ ดูจากคู่สีตรงหน้าร้านแล้ว เดาว่าน่าจะก๊อปมินิมาร์ท ‘ซีสโตร์ (C-store)’[1] มา ตั้งแต่ในร้านยันนอกร้านดูปลอมจนเหมือนจะถูก 315[2] สั่งปิดได้ตลอดเวลา

มินิมาร์ทร้านนี้อยู่คนละทิศกับโรงอาหารและไกลจากตึกเรียนพอสมควร เพราะฉะนั้นตอนเที่ยงจึงไม่ค่อยมีนักเรียนเท่าไหร่

เถ้าแก่เป็นชายวัยกลางคนชื่อจ้าวซู่ รูปร่างสูงผ่ายผอม ดวงตาโปนออกมาเล็กน้อยคล้ายกับตั๊กแตน อีกฝ่ายเพ่งสายตามองผ่านเลนส์แว่นหนา หน้าตาดูฉลาดเฉลียวไม่น้อย

“ข้าวโรงอาหารหมดแล้วเหรอ” เถ้าแก่จ้าวถามขึ้น

เซิ่งวั่งพยักหน้ากล่าว “ไปช้าน่ะครับ”

“อะ…” เขาบุ้ยปากไปทางเคาน์เตอร์ “ข้าว ขนม โอเด้ง มีหมด เลือกเอาเองแล้วกัน ฉันมือไม่ว่าง”

บนโต๊ะของคนพูดมีตะกร้าใบโตวางเอาไว้ ในนั้นเต็มไปด้วยผลไม้กับแตงกวาที่เพิ่งล้างเสร็จ ด้านข้างเป็นกล่องกระดาษใช้แล้วทิ้งกับพลาสติกห่ออาหารอีกม้วน

ตรงข้ามเขามีคนท่าทางประหลาดนั่งอยู่ คนคนนั้นอายุราวห้าสิบกว่า ทั้งผอมทั้งเตี้ย ครึ่งตัวบนโก่งไปด้านหน้าราวกับกุ้ง ท่าทางจะเป็นคนหลังค่อม

คนคนนั้นสวมเสื้อกล้ามสีขาวที่ด้านหลังมีรูสองรูซึ่งเกิดจากแมลงแทะ ส่วนท่อนล่างสวมกางเกงผ้าฝ้ายขาสั้นสีเทาอมฟ้า แขนกับขาที่โผล่พ้นเนื้อผ้าดูคล้ำจากการกรำแดด กล้ามเนื้อข้อต่อก็ดูคดผิดรูป

เจ้าตัวดูคล้ายจะอายรูปลักษณ์ของตัวเอง ตอนที่เซิ่งวั่งเข้าประตูไปนั้น อีกฝ่ายจึงหดตัวไปหลบอยู่หลังชั้นวางของเพราะกลัวจะทำให้คนอื่นตกใจ แต่พอเขาเห็นเจียงเทียนก็กลับแย้มยิ้มขึ้น ริมฝีปากเปล่งเสียงที่ไร้ความหมายออกมา พร้อมกับทำมือทำไม้

เซิ่งวั่งร้อง ‘อ้อ’ ในใจ อีกฝ่ายคงเป็นคนใบ้

เจียงเทียนผงกศีรษะให้คนใบ้ ไม่ได้กระตือรือร้นอะไรเท่าไหร่ แต่คนใบ้ดูอารมณ์ดีไม่น้อย เขาทำมือทำไม้ใส่เถ้าแก่จ้าว

ท่าทางไม่เหมือนภาษามือมาตรฐาน น่าจะทำมั่ว ๆ ตามสัญชาตญาณล้วน ๆ แม้เซิ่งวั่งจะไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่เถ้าแก่จ้าวกลับดูรู้เรื่อง

เขาตอบ “ใช่ ๆ ๆ สูงไม่เบาจริง ๆ นั่นแหละ ความสูงเด็กสมัยนี้เกินเรื่องมาก เอ็งเลิกคุยได้แล้ว ใส่ถุงมือก่อน ข้านั่งทำมาครึ่งค่อนวันแล้วเนี่ย”

คนใบ้นิ่งลงและใส่ถุงมืออย่างตั้งอกตั้งใจ เถ้าแก่จ้าวเลือกแตงกวาเสร็จก็เอาใส่กล่อง อีกฝ่ายดึงพลาสติกช่วยห่อ แม้จะไม่ถึงกับกระฉับกระเฉง แต่ก็นับว่าเป็นลูกมือได้อยู่

เซิ่งวั่งยืนมองพวกเขาทำงานอยู่ครู่หนึ่ง เขารู้สึกว่าเจียงเทียนคงจะมาที่นี่บ่อย หรือไม่ก็รู้จักกับเถ้าแก่จ้าวและคนใบ้อยู่ก่อนแล้ว

ขณะที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ เจียงเทียนก็พลันพูดกับเขา “นายกินที่นี่แล้วกัน ฉันไปละ”

“หา…นายไม่กินเหรอ” เซิ่งวั่งยังไม่ทันตั้งตัว ประตูกระจกของมินิมาร์ทก็ส่งเสียง ‘ติ๊งต่อง’ พร้อมกับ             ที่ร่างของเจียงเทียนหายลับไปนอกประตู

“เขาไม่กินที่นี่หรอก” เถ้าแก่จ้าวชี้มือไปด้านหลังแบบส่ง ๆ “เขาไปกินนอกโรงเรียน”

เด็กหนุ่มมึนตึ้บยิ่งกว่าเดิม จะออกจากโรงเรียนตอนกลางวันต้องมีใบลา แต่เขาไม่เห็นเจียงเทียนเอาใบลาให้อาจารย์คนไหนเซ็นเลย

“ส่วนไหนของนอกโรงเรียนเหรอครับ” เขาถาม

“ฝั่งเขตที่พักอาศัยน่ะ” น้ำเสียงของเถ้าแก่จ้าวเจือความเคร่งครัดในแบบผู้ใหญ่ “ทำไม เธอกินข้าวคนเดียวไม่ได้หรือไง จะสนใจเขาไปทำไม เวลาพักเที่ยงของพวกเธอก็ไม่นาน รีบกินรีบกลับห้องเรียนไปซะ”

พอเซิ่งวั่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังมีชีทแบบฝึกหัดอีกเป็นตั้งต้องทำก็ไม่พูดมากอีกต่อไป เขาเลือกกับข้าวสองอย่างก่อนจะถือจานไปนั่ง

แม้นกกระจอกจะตัวเล็ก แต่ก็มีอวัยวะครบถ้วน[3] ถึงร้านนี้จะดูก๊อปมาทั้งดุ้น แต่สิ่งที่มินิมาร์ทควรจะมีก็มีครบหมด ประเด็นสำคัญที่สุดคือ ไม่คิดเลยว่าอาหารจะอร่อยดีเหมือนกัน

หายากนักที่เซิ่งวั่งจะไม่เลือกกิน เขากินหมดเรียบอย่างเป็นเด็กดี ขณะที่วางจานในโซนเก็บจาน มุมมองที่มีต่อเจียงเทียนก็เปลี่ยนไป อย่างน้อยอีกฝ่ายก็พาเซิ่งวั่งมาที่ร้านนี้ ทำให้ไม่ต้องเบียดเสียดผู้คน แถมยังไม่ต้องทนหิวอีก

“กินอิ่มแล้วเหรอ” เถ้าแก่จ้าวถอดถุงมือพลางถาม “รสชาติเป็นไง ฝีมือดีกว่าโรงอาหารใช่ไหมล่ะ”

ยามเซิ่งวั่งยกยอคนอื่นก็ไม่เคยงกคำชมอยู่แล้ว เขาชมเปาะ “อร่อยไม่แพ้ที่บ้านเลยครับ”

เถ้าแก่จ้าวหัวเราะฮ่า ๆ ถูกอีกฝ่ายชมจนอารมณ์ดี หลังหัวเราะเสร็จก็ยื่นมือออกมากล่าวกับเซิ่งวั่ง “จ่ายเงินด้วย”

“อ้อ ใช่ เกือบลืมแน่ะ” เด็กหนุ่มยิ้มพลางล้วงกระเป๋า ยิ้มไปยิ้มมาหน้าก็เริ่มเขียวคล้ำ

เถ้าแก่จ้าวถามอย่างระมัดระวัง “เป็นอะไรไป”

เซิ่งวั่งหัวเราะเสียงแห้ง “ลืมหยิบเงินมาครับ”

เขาไม่มีเงินสด มือถือก็อยู่ในกระเป๋าที่ยัดไว้ใต้โต๊ะ ไม่มีเงินติดตัวสักหยวน

เถ้าแก่จ้าวจับมือของเขาเอาไว้ทันที “ไม่ได้ ถ้าไม่จ่ายก็ห้ามไป”

“ไม่งั้นเถ้าแก่ลงบัญชีไว้ก่อน เดี๋ยวผมให้พร้อมค่าข้าวเที่ยงพรุ่งนี้ได้ไหม” เซิ่งวั่งเสนอ

“ไม่ได้” เถ้าแก่จ้าวปฏิเสธ

“งั้นผมวิ่งกลับไปเอาที่ห้องเรียนตอนนี้?”

เถ้าแก่จ้าวตอบ “ไม่ได้”

“หยวน ๆ หน่อยสิครับ”

“ไม่”

“ทำไมเถ้าแก่ขี้งกแบบนี้เนี่ย!”

เมื่อเห็นว่าเวลาพักเที่ยงกำลังจะหมด เซิ่งวั่งที่ไม่รู้จะทำยังไงก็เริ่มสติแตก

เถ้าแก่ครุ่นคิดแล้วกล่าว “รีบสินะ งั้นก็ได้”

เขาล้วงมือถือออกมาเลื่อนหาเบอร์ก่อนจะโทร.ออก กดเปิดลำโพงแล้ววางบนโต๊ะข้างตัว

เสียงต่อสายดังอยู่ครึ่งค่อนวันกว่าโทรศัพท์จะถูกรับในที่สุด น้ำเสียงของเจียงเทียนดังลอดผ่านโทรศัพท์ “ลุงจ้าว มีอะไรหรือเปล่าครับ”

เถ้าแก่จ้าวตอบ “มี เอาเงินมาเลย มาไถ่ตัวเจ้าเด็กที่คิดจะกินแล้วชักดาบหนีนี่ซะ”

เจียงเทียนเงียบอยู่สักพัก จากนั้นก็ตัดสายทิ้งทันที

 

 

[1] แบรนด์ร้านสะดวกซื้อในจีน

[2] 315 ในที่นี้หมายถึงวันที่ 15 มีนาคม ซึ่งเป็นวันสิทธิผู้บริโภคสากล (World Consumer Rights Day) เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยจอห์น เอฟ. เคนเนดี ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นการสนับสนุนและเผยแพร่สิทธิผู้บริโภค ในที่นี้เซิ่งวั่งกำลังเสียดสีว่าร้านดูปลอมจนอาจถูกผู้บริโภคร้องเรียนให้สั่งปิด

[3]เป็นสำนวน หมายถึง แม้บางสิ่งบางอย่างบางเนื้อหาจะเล็กน้อย แต่ก็ครบถ้วนสมบูรณ์

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า