[ทดลองอ่าน] โอตาคุวันสิ้นโลก เล่ม 4 บทที่ 100 : เพื่อนเก่า

โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则

 

暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล

 

นิยาย 7 เล่มจบ

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

____________________________________

 

บทที่ 100 เพื่อนเก่า

 

เหมือนจะมีเพื่อนเก่าแวะเวียนมา แต่พบหน้ากลับจำกันไม่ได้

 

คลื่นซอมบี้ระลอกแล้วระลอกเล่า พวกหลัวซวินทั้งยิงหน้าไม้ ใช้พลังพิเศษ เดี๋ยวกระหน่ำลูกดอกลูกธนู เดี๋ยวก็ซัดพลังโจมตี สลับสับเปลี่ยนกันไปแบบนี้ตลอดทั้งวัน จวบจนม่านราตรีกำลังจะทิ้งตัวห่มคลุม ถึงจะยอมล่อซอมบี้ที่พอจะมองไม่เห็นปลายแถวแล้วเหล่านั้นให้ตกลงไปในคูรอบแนวป้องกันที่เตรียมไว้พร้อมสรรพในที่สุด…

พิษเห็ดสีแดงสดถูกเทราดลงใน ‘คูเมือง’ รดหัวซอมบี้ภายในนั้น พวกมันส่งเสียงร้องโหยหวนขึ้นมาจากหลุม รอให้ซอมบี้ตรงก้นหลุมถูกพิษเห็ดกัดกร่อนสักครู่แล้ว ก็ต้อนรับพวกที่เพิ่งตกลงไปใหม่ด้วยเปลวเพลิงจากน้ำมันต่อทันที…

พวกหลัวซวินนั่งอยู่ในรถของตัวเองซึ่งห่างจากกำแพงโลหะที่ถูกเปลวไฟลามเลียอยู่พอสมควร… ทำอย่างไรได้ หลุมกับดักครั้งนี้จำเป็นต้องขุดล้อมรอบแนวป้องกันทั้งหมดเป็นลักษณะคูเมือง พวกเขาไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่าการพึ่งแนวป้องกันนี้

คนทั้งหมดอยู่กลางวงล้อมของเปลวเพลิงยักษ์ ถ้าไม่มีพลังพิเศษธาตุน้ำของซ่งหลิงหลิงช่วยลดอุณหภูมิให้เย็นลง และพลังพิเศษธาตุลมของจางซู่ที่หมุนเวียนกระแสลมนำพาอากาศบริสุทธิ์เข้ามา ทุกคนถ้าไม่ถูกย่างสดก็อาจจะถูกรมควันขาดออกซิเจนตายไปแล้ว

พวกหลี่เถี่ยกำลังเปิดอ่านหนังสือนิยายที่มีอยู่หลายเล่มท่ามกลางเปลวไฟลุกโชน อวี๋ซินหรันนอนห่มผ้าอยู่บนตักสวีเหมย เด็กหญิงตัวน้อยกอดหนังสือหลายเล่มไว้ในอ้อมแขนขณะหลับฝันหวาน

พวกเขาเจอหนังสือเหล่านี้ถูกทิ้งกระจัดกระจายอยู่ในซากปรักหักพังโดยบังเอิญ เดิมทีตึกหลังนั้นใช้เป็นสถานที่อะไรพวกเขาเองก็ไม่แน่ใจ แต่ไม่ใช่ร้านหนังสือหรือแผงขายหนังสือแน่นอน พวกหลัวซวินเดาว่าน่าจะเป็นโกดังหรือศูนย์ขนส่งสินค้า พวกเขาเจอหนังสือจากที่นี่จำนวนไม่น้อย แม้จะไม่มีหนังสือเรียนแบบจริงๆ จังๆ ทว่าหนังสือเหล่านี้ก็สร้างความบันเทิงแก้เบื่อให้ทุกคนได้ ทั้งยังนำมาสอนอวี๋ซินหรันให้ฝึกอ่านฝึกเขียนได้เหมือนกัน

ในคอมพิวเตอร์ที่บ้านหลัวซวินดาวน์โหลดนิยายออนไลน์และไฟล์เอกสารความรู้ต่างๆ เก็บไว้เพียบ ตอนที่พวกหลี่เถี่ยรู้เข้า ไม่รู้ว่าไปเอาสัญญาณไวไฟจากที่ไหนมาเปิดใช้ภายในชั้นของพวกตน และขอเข้าไปดาวน์โหลดเก็บไว้อ่านจากโทรศัพท์มือถือของแต่ละคนเป็นครั้งคราว ของเหล่านี้ไว้รอให้อวี๋ซินหรันโตมากกว่านี้อีกหน่อยค่อยให้เธออ่าน ส่วนตอนนี้…ตำราเรียนกับหนังสือสำหรับเด็กน่าจะเหมาะกับเด็กน้อยมากกว่า

ด้านนอกแนวป้องกันมีเสียงดังเปรี๊ยะๆ เป็นเสียงของลมที่โหมพัดเปลวเพลิงจนเกิดสะเก็ดไฟ ราวกับกองไฟกลางทุ่งหญ้ารกร้าง

 

เมื่อค่ำคืนผ่านพ้น ซอมบี้ข้างนอกก็ไหม้ดำเป็นตอตะโก

หลัวซวินปีนขึ้นนั่งร้านที่เหยียนเฟยสร้างให้เพื่อสำรวจดูสถานการณ์โดยรอบก่อน เมื่อมั่นใจว่าละแวกนี้ไม่มีร่างซอมบี้โผล่มาให้เห็นแล้ว ส่วนซอมบี้ที่อยู่ในคูเมืองก็ถูกเผาตายเกลี้ยงจนเหลือแต่ซาก หลัวซวินจึงค่อยโล่งใจและปีนกลับลงมาบอกว่า “เปิดประตูได้ ไปเก็บคริสตัลกัน”

ครั้งนี้พวกเขาก็ยังคงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ดีไม่มีตก นอกจากจะเก็บคริสตัลได้เจ็ดพันกว่าก้อนแล้ว ยังเป็นคริสตัลขั้นสองถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนคริสตัลทั้งหมด

ปัจจุบันราคาคริสตัลขั้นสองในฐานที่มั่นสูงกว่าคริสตัลขั้นหนึ่งประมาณสิบเท่า ถ้าพวกเขานำคริสตัลขั้นสองที่พวกตนใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ไปแลกกับคริสตัลขั้นหนึ่ง ก็จะเห็นได้ว่าผลประกอบการครั้งนี้สูงกว่าสองครั้งก่อนหลายเท่าเลยทีเดียว

พวกเขามาล้อมวงกันข้างๆ รถ ก่อนจะเริ่มแบ่งคริสตัลกัน โดยเก็บส่วนหนึ่งไว้เป็นกองกลาง เมื่อจัดสรรให้ครบทุกคนแล้วก็หารือกันถึงสิ่งที่จะทำต่อหลังจากนี้

“จะล่าต่ออีกหน่อยหรือกลับฐานที่มั่นเลย” ครั้งนี้พวกเขาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ดีเกินคาด ทุกคนจึงรู้สึกมีกำลังใจเพิ่มขึ้นไม่น้อย ถึงแม้ข้างนอกจะมีซอมบี้ขั้นสองอยู่เยอะมาก แต่เป็นเพราะพวกตนมีอาวุธจากเห็ดพิษ…รอบนี้พวกเขานำพิษเห็ดมาเยอะกว่าคราวก่อนถึงสองเท่า เพราะเดือนที่แล้วไม่ได้ออกมานอกฐานที่มั่นกัน

หลัวซวินครุ่นคิดเล็กน้อยพลางมองทุกคน แล้วเงยหน้ามองพระอาทิตย์บนฟ้าอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจว่า “กลับกันเถอะ” เขาพูดพลางหันไปยิ้มให้ทุกคน “ครั้งนี้เก็บเกี่ยวได้ไม่เลวเลย แต่ตอนนี้ใกล้เที่ยงแล้ว ถ้าตอนกลับเข้าฐานที่มั่นพวกเราไม่อยากตรวจเลือดก็ต้องรอในเขตกักตัวอีกพักใหญ่”

อันที่จริงถ้าเข้าไปให้ลึกขึ้นอีกหน่อยก็สามารถล่าคริสตัลได้เพิ่มขึ้น แต่ถ้าตอนขากลับถูกฝูงซอมบี้ล้อมไว้อย่างคราวก่อน ไม่แน่อาจต้องสู้กับซอมบี้ถึงครึ่งค่อนคืนก็ยังกลับฐานไม่ได้แบบนั้นอีก แม้พรุ่งนี้พวกเขาส่วนใหญ่จะยังมีวันหยุดอีกหนึ่งวัน แต่บางทีการได้หยุดพักผ่อนสบายๆ สักวันก็ดีกว่าต้องตะลอนสู้รบอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ข้างนอก

แต่ละคนหันมามองหน้ากัน ก่อนตัดสินใจอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า…ตรงกลับบ้านกันเลย!

พวกเขาต่างเริ่มเก็บข้าวของ ในขณะที่เหยียนเฟยก็แยกวัสดุโลหะที่เขาต้องการออกเป็นส่วนๆ แล้วใส่ไว้บนรถแต่ละคัน ตรงตำแหน่งที่พวกเขาอยู่นั้นมีต้นไม้ที่ถูกระเบิดจนหักโค่นอยู่บางส่วน พวกหลัวซวินจึงถือโอกาสเก็บขอนไม้ที่ยังมีสภาพสมบูรณ์ขึ้นรถไปด้วย ก่อนจะขับกลับไปยังฐานที่มั่น

วัสดุโลหะที่เหลือถูก ‘ซ่อน’ ไว้ที่ ‘ฐานทัพ’ ตามแผนเดิมที่เคยทำมา แต่ครั้งนี้เก็บไว้ในหลุมกับดักเลย แน่นอนว่าพวกเขาปิดฝาหลุมไว้อย่างมิดชิดแน่นหนาเช่นเคย และคราวนี้จางซู่ยังตั้งใจใช้ก้อนหิน ก้อนกรวด และเศษไม้ต่างๆ มากองสุมพรางตาไว้ด้านบนด้วย ทำให้พอมองดูแล้วเหมือนกับกองซากปรักหักพังทั่วไป

หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยขบวนรถของพวกเขาก็แล่นออกสู่ถนนทันที ถึงแม้ว่าที่นี่จะอยู่ห่างจากฐานที่มั่นค่อนข้างไกลสักหน่อย แต่ทุกคนก็อยากไปให้ถึงฐานที่มั่นก่อนแล้วค่อยกินข้าวเที่ยงขณะที่รอกักตัวกัน

สิ่งที่ส่งผลกระทบต่อรถที่บรรทุกของมาเยอะมากก็คือ… ฝุ่นควันที่ฟุ้งตลบมาจากผิวถนน แต่พอพวกเขาขับมาจนใกล้ถึงถนนสายหลักเดิมก็เห็นฝุ่นควันโขมงอีกกลุ่มหนึ่ง

“ซอมบี้ แถมยังมีรถด้วย” เหยียนเฟยลดกล้องส่องทางไกลในมือลง แล้วหันไปพูดกับหลัวซวินที่กำลังขับรถอยู่ข้างๆ เขา

หลัวซวินพยักหน้าเล็กน้อยด้วยสีหน้าฉายแววหนักใจ ก่อนพูดเสียงเข้มว่า “ขับไปก่อน รอดูสถานการณ์อีกที”

มีรถหลายคันไล่ตามมาติดๆ บนถนนสายนี้มีซอมบี้โผล่มาเยอะกว่าตอนขามาเมื่อวานนี้หลายเท่า รวมกับรถที่จอดอยู่ด้านหน้าไม่ไกล ทุกคนจึงเดาสาเหตุได้ไม่ยาก…ฝูงซอมบี้คงตามขบวนรถพวกนี้มา หรือไม่ก็อาจตามรถคันอื่นซึ่งขับผ่านมาทางนี้ก่อนหน้าพวกเขา

นี่เป็นหนึ่งในถนนสายหลักสำหรับเดินทางเข้าเมืองเอ จากที่นี่ขับตรงไปทางใต้สามารถไปถึงเมืองอื่นๆ ได้อีกหลายแห่ง ตามที่ได้ข่าวมา มีผู้คนจากฐานที่มั่นสองสามแห่งที่ถูกถล่มเมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายนล้วนใช้ถนนสายนี้เพื่อเดินทางเข้าสู่เมืองเอกันเกินครึ่ง

จากตำแหน่งที่พวกหลัวซวินอยู่ในตอนนี้ หลังการทิ้งระเบิดก็มีเพียงถนนสายนี้เท่านั้นที่ใช้เป็นทางกลับสู่ฐานที่มั่นได้…ใครใช้ให้พวกเขาไม่มีรถออฟโรดกันล่ะ พวกเขาไม่มีทางขับผ่านถนนสายเล็กซึ่งเต็มไปด้วยซากปรักหักพังได้เลย อีกอย่าง แม้ว่าถนนสายนี้จะมีซอมบี้อยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับทีมที่มีประสบการณ์อย่างพวกเขา พวกหลัวซวินไม่ได้ใช้ลูกดอก ลูกธนู กระสุนพิษ พิษเห็ด รวมถึงน้ำมันเชื้อเพลิงไปจนหมดเกลี้ยง บนรถยังเหลือเก็บไว้มากพอให้เผาซอมบี้ฝูงใหญ่ได้สบาย เพียงแต่ก่อนหน้านี้พวกเขาคำนึงถึงเรื่องเวลาและความปลอดภัยจึงไม่คิดล่าซอมบี้กันต่อ

จนกระทั่งเข้าไปใกล้รถเหล่านั้น ทุกคนจึงได้เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้น… มีรถบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่คันหนึ่งพลิกคว่ำอยู่กลางถนน ซอมบี้ฝูงหนึ่งยกโขยงกันมาดึงทึ้งรื้อตัวรถและจับคนเป็นๆ ที่อยู่ในนั้นออกมา ส่วนรถบรรทุกเล็กอีกคันถูกรถคันข้างหน้าขวางทาง บางคนจึงถือไม้กระบองและท่อเหล็กต่างๆ ฟาดใส่ซอมบี้ที่ไล่ตามพวกเขามา ทั้งต่อสู้และหนีเอาชีวิตรอดกันสุดชีวิต สีหน้าแววตาของทุกคนนั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง กระทั่งพวกเขาเห็นรถของพวกหลัวซวิน

“ฆ่ามัน” หลัวซวินคว้าหน้าไม้ที่วางไว้บนแผงคอนโซลขึ้นมาแล้วลดกระจกหน้าต่างลง เล็งใส่ซอมบี้ด้านหน้าที่ได้ยินเสียงรถของพวกเขาแล้วกำลังหันมา

ซอมบี้เหล่านี้กับรถทั้งสองคันขวางถนนไว้เต็มพื้นที่ นอกเสียจากว่าพวกหลัวซวินจะขับอ้อมไปใช้ถนนสายอื่น ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางผ่านไปได้เลย เมื่อพวกเขาคิดจะผ่านบริเวณนี้ไปก็มีทางเลือกเดียวเท่านั้น คือต้องกำจัดซอมบี้เหล่านี้ให้สิ้นซาก

เหยียนเฟยเห็นว่าหลัวซวินยังคงขับรถมุ่งหน้าไปทางรถคันที่เกิดเหตุต่อจึงเตรียมตัวพร้อมลุย ส่วนคนอื่นในรถคันหลังก็เตรียมพร้อมต่อสู้ทุกเมื่ออยู่แล้ว ดังนั้นพอเห็นสถานการณ์เบื้องหน้าจึงเปิดฉากเริ่มจู่โจมทันที

ซอมบี้ตัวหนึ่งหลบลูกธนูหน้าไม้ แล้วกระโดดพุ่งใส่รถของพวกหลัวซวิน มันกระโดดขึ้นไปสูงถึงสามเมตร! แต่ในจังหวะที่มันกำลังทะยานตัวขึ้นกลางอากาศก็เกิดเสียงดัง ‘ปัง’ ซอมบี้ตัวนั้นกระแทกเข้ากับแผ่นเหล็กอย่างจัง ฉับพลันแผ่นเหล็กนั่นก็แผ่คลี่ออกราวกับมีชีวิต ก่อนห่อหุ้มร่างของมันแล้วบิดเป็นเกลียวกลางอากาศเสียงดัง ‘กร๊อบ’ ร่างซอมบี้ที่อยู่ข้างในกลายเป็นก้อนเนื้อแหลกเหลวทันที

หลังจากกำจัดซอมบี้ที่อยู่นอกรถได้หมดแล้ว หลัวซวินและพวกหลี่เถี่ยก็เปิดประตูลงจากรถมายืนรวมตัวกัน อวี๋ซินหรันชี้ไปตรงพื้นที่ด้านข้างถนนบริเวณนั้นแล้วแปรสภาพให้มันกลายเป็นทรายภายในเวลาอันรวดเร็ว จางซู่ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ทั้งทราย ก้อนกรวด และเศษหินประสานรวมกับลูกไฟน้อยใหญ่ของสวีเหมย ทันใดนั้นก็ระเบิดกระจายออกไปเบื้องหน้า

ครั้นคนจากรถสองคันนั้นเห็นว่าคนกลุ่มนี้ลงจากรถมาช่วยพวกเขาจริงๆ ในดวงตาของแต่ละคนพลันฉายชัดถึงความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดอย่างแรงกล้า มีคนคนหนึ่งตะโกนขึ้นเสียงดังลั่น “ทุกคนพยายามอีกนิด ต้านไว้ก่อน” เดิมทีบางคนที่อายุน้อยพอมีแรงอยู่บ้างเห็นว่าพวกตนคงสู้ไม่ได้แน่จึงคิดหนี ก็เกิดแรงฮึดแล้วร่วมต่อสู้อย่างสุดกำลังอีกครั้ง

ทีมโอตาคุผู้มีอาวุธครบมือ แถมยังปรับตัวจนคุ้นเคยกับการต่อสู้มานานแล้วช่วยพวกเขากวาดล้างซอมบี้จนราบคาบภายในเวลาอันรวดเร็ว ที่น่าเศร้าก็คือ บนรถสองคันนี้มีคนบางส่วนได้รับบาดเจ็บ บางคนกลายร่างเป็นซอมบี้ไปในทันที ส่วนบางคนที่มีบาดแผลตามตัวก็แววตาสิ้นหวัง ลงมานั่งปิดหน้าอยู่ริมถนนอย่างหมดอาลัยตายอยาก

หลัวซวินกวาดตาไปมองผู้คนที่นั่งอยู่ข้างทาง ก่อนจะหันไปหาคนที่เหลือซึ่งไม่ได้รับบาดเจ็บหรือมีบาดแผลบนตัว “พวกคุณมาจากที่ไหนครับ” ดูจากเสื้อผ้าที่สวมใส่และสภาพรถของพวกเขาแล้วก็พอจะมองออกว่าไม่ใช่ทีมที่ออกมาปฏิบัติภารกิจนอกฐานจากเมืองเอแน่ เสื้อผ้าของคนพวกนี้ขาดวิ่น ใบหน้าเหลืองซีดเซียว เห็นได้ชัดว่ามีชีวิตความเป็นอยู่ต่างจากผู้คนที่จัดว่าเป็นชนชั้นกลางในฐานที่มั่นเมืองเออย่างสิ้นเชิง และสาเหตุที่ทำให้เขาลงความเห็นออกมาแบบนี้ก็คือ…คนเหล่านี้ไม่มีแม้กระทั่งสิ่งที่เป็นอาวุธอย่างแท้จริง

บางคนเหน็บขวานดับเพลิงไว้ตรงบั้นเอว คนที่เหลือส่วนใหญ่ถือท่อนโลหะที่ไม่รู้ไปถอดรื้อมาจากไหนไว้เพื่อใช้เป็นอาวุธป้องกันตัว

ทุกคนต่างรีบตอบเสียงตีกัน “พวกเรามาจากเมืองซี”

“เรามาจากเมืองเอ็ม”

“พวกเรา…”

ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบเศษๆ อธิบายว่า “ในทีมของพวกเรามีคนมาจากหลายๆ ฐานที่มั่นที่ถูกถล่มไป ซึ่งเราทุกคนกำลังจะอพยพไปอยู่เมืองเอ แต่รถพังหมดแล้วเลยมารวมตัวกัน…”

หลัวซวินพยักหน้าแล้วชี้ไปทางรถด้านหน้าคันนั้นพร้อมกับเอ่ยถามว่า “ทีมของพวกคุณมากันแค่สองคันเหรอครับ”

ชายคนนั้นสีหน้าเปลี่ยนเป็นไม่น่ามองขึ้นเล็กน้อย ส่วนคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าขุ่นเคือง “ทีแรกขบวนรถของพวกเรามียี่สิบคัน ทุกคนมารวมตัวกันระหว่างทาง ดังนั้นถึงจะเจอซอมบี้ก็ยังพอคิดหาวิธีรับมือได้บ้าง แต่วันนี้ตอนขับมาถึงถนนสายนี้ รถคันนั้นเกิดเสียและดับไปเฉยๆ แถมบนถนนก็มีฝูงซอมบี้อยู่เต็มไปหมด…ปกติเวลาเจอสถานการณ์แบบนี้ทุกคนจะจอดรถหยุดรอและช่วยกันหาทางกำจัดซอมบี้ หรือไม่ก็พยายามช่วยคนออกมาให้ได้ก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อ แต่วันนี้…”

ตรงจุดนี้อยู่ห่างจากเมืองเอไม่ไกล คิดไม่ถึงว่าพอขบวนรถของพวกเขาขับมาถึงตรงนี้แล้วจะเจอเข้ากับฝูงซอมบี้ขั้นสอง ประกอบกับได้ยินว่าอีกไม่ไกลก็จะถึงฐานที่มั่นเขตตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเอแล้ว รถคันหน้าพวกนั้นไม่อยากเสียเวลาและกลัวว่าจะมีคนบนรถต้องสละชีวิตอีก แม้บนรถสองคันสุดท้ายจะมีคนอยู่เยอะมาก แต่ก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดากันทั้งนั้น ไม่มีผู้มีพลังพิเศษเลยสักคน รถของพวกเขาอยู่รั้งท้ายขบวนจึงถูกรถของผู้มีพลังพิเศษที่อยู่ข้างหน้าทิ้งให้กลายเป็น ‘เหยื่อล่อเป้า’ หาทางไปต่อกันเอง ส่วนคนพวกนั้นก็หนีเอาตัวรอดไปกันหมด

พอหลัวซวินเข้าใจเหตุการณ์แล้วก็หันไปมองพวกหลี่เถี่ยที่อยู่ด้านหลัง เหล่าเด็กหนุ่มต่างจัดการกับศพซอมบี้รอบๆ และควักคริสตัลออกมาได้หนึ่งถุงเล็ก ครั้นเห็นหลัวซวินมองมาทางพวกตนจึงรีบยื่นถุงให้พร้อมบอกว่า “มีหกสิบสี่ก้อนครับ”

หลัวซวินรับถุงใบนั้นมาแล้วแบ่งให้ชายวัยสี่สิบเศษคนนั้นครึ่งหนึ่ง “ครึ่งหนึ่งเป็นของพวกคุณ” พูดจบเขาก็ส่งคริสตัลที่เหลือให้จางซู่ที่อยู่ข้างๆ “ฐานที่มั่นเขตตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเออยู่เลยไปข้างหน้าอีกไม่ไกล พวกคุณจะไปพร้อมรถพวกเราหรือจะไปกันเองครับ”

ชายคนนั้นอึ้งไปชั่วขณะก่อนรีบหันกลับไปมองคนอื่นๆ ในทีม คนเหล่านั้นค่อนข้างลังเลใจอยู่เล็กน้อย ทว่าทันใดนั้นชายหนุ่มคนหนึ่งก็โพล่งถามขึ้น “พวกคุณจะไปที่อื่นต่อหรือเปล่าครับ”

หลัวซวินมองอีกฝ่ายครู่หนึ่ง เขารู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาคนคนนี้อยู่นิดหน่อย ก่อนส่ายหน้าแล้วพูดว่า “พวกเราจะตรงกลับฐานที่มั่นเลย”

คนเหล่านั้นเห็นว่าดูเหมือนในรถพวกหลัวซวินจะบรรทุกของกันมาเต็มคันรถ ก็เดาออกว่าพวกเขาน่าจะเป็นทีมจากเมืองเอที่ออกมาปฏิบัติภารกิจนอกฐานที่มั่น จึงปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่ง และแล้วชายวัยสี่สิบเศษคนนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าไปพร้อมกับพวกคุณได้ก็คงดีที่สุดแล้ว อย่างที่พวกคุณเห็น คนบนรถของพวกเรา…เป็นแค่คนธรรมดากันทั้งนั้น ไม่มีความสามารถแม้แต่จะป้องกันตัวเอง…”

หลัวซวินสั่นหัวพลางพูดยิ้มๆ “ไม่เป็นไรเลยครับ พอดีทางฐานที่มั่นตะวันตกเฉียงใต้มีมาตรการให้รางวัล ถ้าใครช่วยผู้รอดชีวิตกลับไปได้ก็จะมีรางวัลให้น่ะ งั้นพวกคุณก็เตรียมตัวกันเถอะ”

หลังจากตกลงกันเรียบร้อยแล้ว เหยียนเฟยจึงขยับขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว เขาลอกโลหะออกจากตัวรถบรรทุกคันใหญ่ที่พังยับจนไม่อาจทำให้คืนสู่สภาพเดิมได้นั้น ก่อนจะหลอมเข้ากับโครงของรถบรรทุกเล็กที่ทุกคนนั่งมาก่อนหน้านี้ นอกจากเหยียนเฟยจะช่วยปะซ่อมบริเวณที่เป็นรูให้แล้ว ยังช่วยเสริมความแข็งแรงของตัวรถเพิ่มให้อีกชั้นหนึ่งด้วย

ส่วนชิ้นส่วนที่เหลือของรถคันนั้น ทุกคนก็ลากพวกมันไปทิ้งไว้ตรงพื้นที่รกร้างริมถนน

ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยและเตรียมตัวจะออกเดินทางกันต่อ คนครึ่งหนึ่งที่ถูกซอมบี้กัดเป็นแผลก็ได้กลายร่างเป็นซอมบี้กันแล้ว ต่อให้เป็นคนจิตใจดีฆ่าพวกเขาไม่ลงสักแค่ไหนทุกคนก็ปล่อยไปไม่ได้ ส่วนคนที่ยังมีแค่บาดแผลก็หลบไปอยู่ยังจุดที่ไกลออกไป แม้ในแววตาจะมีความปรารถนา แต่กลับไม่อาจเอ่ยปากขอร่วมขบวนไปกับทุกคนด้วย ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากมีชีวิตรอด และใช่ว่าพวกเขาไม่อยากขอความช่วยเหลือ แต่เป็นเพราะช่วงเวลาครึ่งปีที่ผ่านมานี้ ตลอดเส้นทางที่พวกเขาอพยพหนีตายเพื่อมาที่เมืองเอนั้น ล้วนเคยเห็นชะตากรรมของคนมากมายที่ต้องกลายร่างเป็นซอมบี้ในท้ายที่สุดแล้ว

ในบรรดาคนกลุ่มนั้นมีชายคนหนึ่งใจเด็ดอย่างยิ่ง หลังจากเขาถูกซอมบี้กัดเข้าที่แขนก็รีบตัดแขนตัวเองทิ้งทันที เพียงแต่ไม่รู้ว่าสิ่งสกปรกเข้าไปในบาดแผล หรือเชื้อไวรัสซอมบี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วกันแน่ เพราะไม่ทันไรเขาก็กลายเป็นซอมบี้เหมือนกับคนพวกแรกที่เป็นซอมบี้ไปแล้วนั้นโดยสมบูรณ์

เมื่อเห็นว่าคนเหล่านั้นปีนขึ้นไปบนรถบรรทุกเล็กกันแล้ว ทันใดนั้นหลัวซวินก็พลันชี้ไปยังถนนเบื้องหน้าและบอกกับคนที่กำลังนั่งรอความตายอยู่ข้างทางว่า “เดินตรงไปตามถนนสายนี้ประมาณสามสิบนาทีก็จะเห็นกำแพงของฐานที่มั่นเขตตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเอ ถ้าไปถึงที่นั่นแล้วพวกคุณไม่เป็นซอมบี้ไปซะก่อน ขอแค่พวกคุณผ่านการตรวจและได้รับการยืนยันว่าไม่ติดเชื้อไวรัสซอมบี้ ก็จะสามารถเข้าไปขอรับการรักษาได้” แต่ถ้ากลายเป็นซอมบี้ สิ่งที่รอคอยพวกเขาอยู่เบื้องหน้าก็คืออาวุธปืนของทหารคุ้มกันฐานที่มั่น

รถแล่นมุ่งหน้าสู่ฐานที่มั่น หลังจากลงทะเบียนที่หน้าประตูทางเข้า และแจ้งข้อมูลว่าพวกตนเป็นคนช่วยชีวิตผู้คนที่อยู่บนรถบรรทุกเล็กคันนั้นระหว่างทางขากลับ พวกหลัวซวินก็ได้รับคูปองสะสมเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย จากนั้นจึงมารอเวลาอยู่ในเขตกักตัว

พวกเขานั่งอยู่ในเขตกักตัวเพื่อรอให้เวลาผ่านไปกันอย่างเงียบๆ หลัวซวินนั่งเคี้ยวผักก้อนนึ่ง[1]ที่สวีเหมยเตรียมไว้เมื่อสองวันก่อน จู่ๆ คนที่ไม่ค่อยพูดมาตลอดอย่างเหยียนเฟยก็วางมือลงบนหลังมือของหลัวซวินแล้วถามว่า “เป็นอะไรหรือเปล่า วันนี้นายดูอารมณ์ไม่ปกติสักเท่าไรเลย” ตั้งแต่ย่างเข้าสู่เดือนมิถุนายน ภาวะอารมณ์ของหลัวซวินก็ดูจะผิดปกติไปเล็กน้อย เพียงแต่ก่อนหน้านี้ยังไม่เห็นชัดเจนมากนัก จนกระทั่งวันนี้หลังจากเจอคนที่ถูกซอมบี้รุมทำร้ายพวกนั้น อาการของหลัวซวินก็ยิ่งเห็นชัดขึ้น

ตอนเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้า… หลัวซวินดูพูดเยอะกว่าปกติ แต่ที่สำคัญที่สุดคือเหยียนเฟยสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าอารมณ์ความรู้สึกของหลัวซวินนั้นไม่ปกติ

หลัวซวินอึ้งไปชั่วขณะ เขาเงยหน้ามองไปทางเหยียนเฟยด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เหยียนเฟยมองออกด้วยเหรอ ก็แหงละ ทั้งสองคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานานป่านนี้ ก็เหมือนกับหลัวซวินที่สัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนเช่นกัน ถ้าตัวเขามีภาวะอารมณ์ผิดไปจากยามปกติ อีกฝ่ายย่อมต้องสัมผัสได้ไม่ต่างกันอยู่แล้ว

“… ไว้กลับไปบ้านแล้วเราค่อยคุยกัน” สายตาหลัวซวินฉายแววอ่อนล้า เขาไม่รู้ว่าจะเล่าหรืออธิบายให้เหยียนเฟยฟังว่าอย่างไรดี ตั้งแต่วันที่ตนได้กลับชาติมาเกิดใหม่ก็ตัดสินใจไว้แล้วว่าจะไม่เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง แต่มีบางเรื่องที่หากเก็บไว้ในใจนานเกินไปก็ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยล้าจนยากจะแบกรับไหวเหมือนกัน

โดยเฉพาะเรื่องที่เคยประสบในชาติก่อนได้เกิดขึ้นซ้ำรอยอีกครั้ง

ตอนกลับมาเกิดใหม่ในชาตินี้หลัวซวินจำไม่ได้ว่าชาติก่อนนั้นตัวเองเดินทางเข้าเมืองเอมาด้วยเส้นทางไหน เขาถึงขั้นไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเข้ามาอยู่ในฐานที่มั่นตั้งแต่วันไหน แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับจำวันที่ฐานที่มั่นในเมืองเอ็มถูกถล่มได้อย่างแม่นยำ ทว่าเรื่องราวหลังจากนั้น…

บางทีอาจเป็นเพราะเคยผ่านประสบการณ์ที่ยากลำบากมาก่อน กลไกการทำงานของสมองมนุษย์จึงลบเลือนความทรงจำบางอย่างในอดีตไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นจนกระทั่งวันนี้ตอนขับรถกลับฐานที่มั่นแล้วบังเอิญเจอรถสองคันนั้นจอดขวางถนนอยู่ หลัวซวินถึงนึกออกว่า…ตอนหนีตายในชาติที่แล้ว เขาเคยเกือบตายอยู่ที่นั่น และที่ตรงนั้นทำให้เขาสูญเสียเพื่อนร่วมทางที่พยายามหลบหนีมาจากเมืองเอ็มด้วยกัน จนเหลือผู้รอดชีวิตที่กระเสือกกระสนหนีมาถึงฐานที่มั่นเขตตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเอได้เพียงไม่กี่คน

ในเวลานั้นพวกเขาไม่ได้โชคดีพอจะพบกับทีมที่ออกมาทำภารกิจแล้วผ่านมาช่วยไว้แบบวันนี้ สุดท้ายผู้ที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันก็บาดเจ็บล้มตายไป ทำให้เขาและพรรคพวกที่เหลืออยู่แทบไม่เหลือแรงจะต่อสู้แล้ว จึงได้แต่หนีหัวซุกหัวซุนอย่างน่าอนาถ ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองอดีตสหายของตัวเอง

หลัวซวินรู้จักชายวัยสี่สิบเศษที่พบในวันนี้ เนื่องจากชายคนนั้นเป็นหนึ่งในพรรคพวกที่สุดท้ายสามารถหนีเอาชีวิตรอดมาถึงฐานที่มั่นแห่งนี้เหมือนกับตน หลังจากหตุการณ์น่าสะพรึงกลัวที่เกิดขึ้นระหว่างทาง เมื่อคุณอาเฉินมาถึงฐานที่มั่นก็ตัดสินใจปลูกผักไว้ในที่พักของตนและเริ่มหางานในฐานที่มั่นทำก่อนเป็นคนแรก ขนาดหลัวซวินในตอนแรกยังเคยไม่ยอมแพ้และเลือกที่จะออกไปทำภารกิจนอกฐานที่มั่นร่วมกับทีมอื่นอยู่สองสามครั้ง… ตอนอยู่เมืองเอ็มเขาก็เคยออกไปนอกฐานที่มั่น และยังใช้หน้าไม้ที่ประดิษฐ์เองฆ่าซอมบี้ได้ด้วยนะ

แต่สุดท้ายความจริงที่โหดร้ายได้บอกหลัวซวินว่า…เขาเป็นเพียงคนธรรมดา ซอมบี้ระดับล่างจำนวนแค่ไม่กี่ตัวนั้นยังพอรับมือไหว แต่ถ้าเป็นซอมบี้ระดับสูง คนธรรมดาอย่างเขาไม่มีทางจัดการได้ง่ายๆ อยู่แล้ว

เมื่อหลัวซวินคิดจะกลับไปหางานในฐานที่มั่นทำ ในตอนนั้นคุณอาเฉินท่านนี้ก็พอจะมีประสบการณ์การทำการเกษตรบ้างแล้ว หลังจากที่ทั้งสองได้เจอกันอีกครั้ง อีกฝ่ายก็แนะนำให้หลัวซวินทำงานเพาะปลูกในฐานที่มั่น จนหลัวซวินได้เข้าสู่เส้นทางการเป็นโอตาคุอยู่ในฐานที่มั่นอย่างสมบูรณ์

ส่วนคนอื่นๆ… แม้บางคนบนรถบรรทุกเล็กที่ขับตามหลังรถทีมโอตาคุกลับมาจะดูคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง แต่หลัวซวินต้องขออภัยด้วยที่ในเวลานี้เขานึกไม่ออกจริงๆ…แต่เดี๋ยวนะ!

ทันใดนั้นหลัวซวินก็ตาลุกวาวขึ้นมาแวบหนึ่ง ท่าทางตอนเขาเงยหน้าพึ่บขึ้นมาทำให้เหยียนเฟยเห็นแล้วถึงกับเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ “เป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” เหยียนเฟยเอ่ยถามพร้อมกับยกมือไปแตะหน้าผากหลัวซวิน

“เอ่อ…เปล่า…ไม่มีอะไร…” หลัวซวินพลันรีบกดหน้าลง ใบหน้าขึ้นสีแดงซ่าน ปล่อยให้เหยียนเฟยวางมือแตะหน้าผากเขาแต่โดยดี

เขาเพิ่งนึกออกว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นหน้าชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าที่พูดแทรกขึ้นมาตอนอยู่นอกฐานคนนั้นนัก… เขายังจำได้ว่าระหว่างมาเมืองเอเขาเคยมีเพื่อนชายคนสนิทร่วมทางมาด้วยหนึ่งคน แม้ตอนนั้นทั้งสองเคยสัญญากันไว้ว่าหลังมาถึงฐานที่มั่น ถ้าต่างฝ่ายต่างยังไม่มีคนรักก็จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันต่อไปเรื่อยๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาทั้งสองกลับได้รู้จักกันแค่เพียงไม่นาน

ชายคนนั้นรูปร่างหน้าตาธรรมดามาก ถึงขั้นที่ถ้าเขาไปอยู่รวมกับคนหมู่มากก็จะจดจำหน้าตาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ซึ่งตัวหลัวซวินเองก็เป็นคนที่หน้าตาธรรมดามากเช่นกัน ด้วยเหตุนี้หลังจากเพื่อนชายคนสนิทเสียชีวิตไปเพียงไม่กี่ปี หลัวซวินจึงค่อยๆ ลืมเลือนรูปร่างหน้าตาของผู้ชายคนนั้น จำได้เพียงถ้อยคำที่ทั้งสองเคยคุยกันไว้ และเพราะเหตุนี้ แม้วันนี้จะได้เจอกันอีกครั้ง แต่ก็รู้สึกแค่เพียง ‘คุ้นตา’ เท่านั้น

เหยียนเฟยเลิกคิ้วข้างหนึ่งสูงขึ้นเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ เขาสัมผัสได้ว่าในเวลานี้หลัวซวินมีอาการร้อนตัวนิดๆ ว่าแต่หลัวซวินเคยทำเรื่องอะไรที่ควรรู้สึกร้อนตัวไว้ด้วยเหรอ อีกอย่าง ตอนที่ตนถามหลัวซวินว่าวันนี้ดูมีท่าทีแปลกไป หลัวซวินกลับไม่ได้แสดงอาการแบบนี้ออกมานี่นา ท่าทางในตอนนี้… ราวกับว่าจู่ๆ หลัวซวินก็นึกถึงเรื่องน่าละอายใจบางอย่างที่เจ้าตัวเคยทำไว้ในอดีตขึ้นมาได้อย่างไรอย่างนั้น

เหยียนเฟยเก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจ ที่เขาไม่พูดอะไรมากเพราะกะว่าเมื่อกลับไปถึงบ้านค่อยซักถามหลัวซวิน ‘ดีๆ’ อีกที จึงเพียงรวบตัวอีกฝ่ายมากอดอย่างใจเย็น เฝ้ารอเวลาให้ผ่านไปด้วยกัน

ถ้าเป็นเมื่อสองเดือนก่อน การที่เหยียนเฟยแสดงท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมกับเขาแบบนี้คงตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนรอบข้างแล้ว แต่ตอนนี้… บรรดาชายแท้ในฐานที่มั่นต่างเริ่มยอมรับสภาพ ‘หาสะใภ้เข้าบ้านไม่ได้ หาเพื่อนชายก็ยังดี’ กันได้แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีคนสนใจคู่รักชายชายที่แสดงความรักหวานแหววกันต่อหน้าธารกำนัล ในทางตรงกันข้ามการมีสมาชิกสองสาวสวยอยู่ในทีมโอตาคุของพวกหลัวซวินต่างหากที่ดึงดูดให้ผู้คนรอบข้างคอยชำเลืองมองมาทางพวกเขาอยู่เป็นระยะ

โชคดีที่ทั้งสวีเหมยและซ่งหลิงหลิงระมัดระวังตัวสูงมาก ตั้งแต่เกิดเรื่องกับพวกเธอ ทุกครั้งยามออกมาข้างนอกสองสาวจะแต่งตัวแบบยูนิเซ็กซ์ ถึงขนาดที่ซ่งหลิงหลิงยอมตัดใจหั่นผมยาวสลวยของตัวเองทิ้ง ปกติเวลาออกไปไหนนอกจากแต่งตัวแบบไม่ให้ดูระบุเพศแล้ว พวกเธอยังแต่งตัวไม่ให้สะดุดตา แถมยังพยายามปิดบังใบหน้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วย

 

[1] หรือไช่ถวนจื่อ คือผักที่นำไปปรุงรสผสมกับแป้งข้าวโพดแล้วปั้นเป็นก้อน ก่อนนำไปนึ่ง กินกับน้ำมันพริกเพื่อเพิ่มรสชาติเผ็ดก็ได้ แต่บางท้องที่ห่อไส้ผักด้วยแป้งข้าวโพดก่อนนำไปนึ่ง ลักษณะจึงคล้ายซาลาเปาไส้ผัก แต่แป้งด้านนอกเป็นสีเหลือง และเนื้อแป้งบางไม่นุ่มฟู

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า