[ทดลองอ่าน] โอตาคุวันสิ้นโลก เล่ม 4 บทที่ 102 : สะพานลอยฟ้า

โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则

 

暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล

 

นิยาย 7 เล่มจบ

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

____________________________________

 

บทที่ 102 สะพานลอยฟ้า

 

งานก่อสร้างโครงการใหญ่มาอีกแล้ว การันตีได้เลยว่ามีงานให้ทำไปอีกนาน!

 

เมื่อได้ฟังถ้อยคำที่เหมือนการสารภาพรักของเหยียนเฟยประโยคนี้แล้ว ใบหน้าหลัวซวินก็แดงซ่านขึ้นอีกครั้ง ดวงตาเสมองไปทางอื่น “ฉันนึกว่า…ใครจะไปคิดล่ะว่านายจะเก็บเรื่องไร้สาระมาคิดเป็นตุเป็นตะได้ถึงขนาดนี้” ต่อให้เมื่อชาติที่แล้วเขาเคยจับมือกับคนคนนั้นมาก่อน…อย่างเช่นตอนหนีเอาชีวิตรอดต้องดึงอีกฝ่ายขึ้นรถอะไรประมาณนั้น แต่ที่แน่ๆ คือตอนนี้แม้แต่ชื่อของผู้ชายคนนั้นเขายังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

แต่จะว่าไป…

จู่ๆ หลัวซวินก็กวาดตาพิจารณาเหยียนเฟยด้วยสีหน้าบึ้งตึงแล้วพูดขึ้นว่า “ว่าแต่ถ้าเทียบกันแล้ว ฉันว่านายน่าจะมีอดีตเยอะกว่าฉันอีกนะ” เหยียนเฟยคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล้าสวนกลับตน

ทว่าเหยียนเฟยยังคงเก็บสีหน้าอาการ ใบหน้าเปื้อนยิ้มอ่อนโยนไม่เปลี่ยน เขาเลื่อนมือข้างหนึ่งไปช้อนลำคอด้านหลังของหลัวซวิน ส่วนมืออีกข้างก็เลื่อนลงไปใต้ข้อพับเข่า “จะเอามาเทียบกันได้ยังไง ที่ฉันเป็นห่วงคือเรื่อง ‘คู่ชีวิตในอนาคต’ ในความฝันของนาย ไม่ใช่ขุดคุ้ยอดีตก่อนวันสิ้นโลกว่าเคยมีแฟนทั้งหญิงและชายมาแล้วกี่คนเสียหน่อย”

หลัวซวินนึกฉุน “ใครจะไปรู้ เกิดอยู่ดีๆ มีแฟนเก่านายโผล่มาขอให้ฉันหลีกทางให้ โดยอ้างว่าเธอสามารถคลอดลูกให้นายได้ขึ้นมา ถึงตอนนั้นถ้านายคิดทิ้งคนรักที่ร่วมลำบากด้วยกันมา…ฉันก็…” ในสมองหลัวซวินสับสนตีรวนไปหมด จนเจ้าตัวก็คิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรต่อดี

รอยยิ้มบนใบหน้าเหยียนเฟยยิ่งเด่นชัดขึ้น เขาจ้องมองหลัวซวิน ‘ของเขา’ ด้วยแววตาแฝงความหมายลึกซึ้งจนคนถูกจ้องถึงกับต้องหลบตา อารมณ์คุกรุ่นก่อนหน้านี้พลันหายไปจนหมดสิ้น เหยียนเฟยยืนขึ้นแล้วอุ้มคนรักพาเดินตรงเข้าห้องน้ำไปทันที “ฉันไม่เคยมีแฟน และถึงจะเคยมีคนมาเสนอตัว ฉันก็ไม่ได้ตอบรับอะไร แต่เพื่อเป็นการชดเชยที่เมื่อกี้ฉันหึงจนทำให้นายเสียความรู้สึก และเพื่อปลอบขวัญเรื่องที่นายกังวลเกี่ยวกับอนาคต ฉันคิดว่าทางที่ดีตอนนี้เรามาเชื่อมสัมพันธ์ให้ลึกซึ้งอย่างสมบูรณ์กันดีกว่า…”

หลัวซวินเบิกตาค้างด้วยความตกตะลึงเมื่อถูกอีกฝ่ายอุ้มมาในห้องน้ำเอาดื้อๆ แบบนี้ ส่วนเจ้าตัวเล็กที่จู่ๆ ไออุ่นจากทั้งหมอนหนุนและหมอนข้างผละจากไปจึงหงายเงิบกลิ้งกลุกลงบนโซฟา ก่อนจะรีบลุกขึ้นมองตามร่างเจ้านายทั้งสองที่เดินหายลับเข้าไปในห้องน้ำ จากนั้นก็มีเสื้อผ้าลอยลิ่วออกมาทีละชิ้นๆ…

โถ เจ้าตัวเล็กผู้น่าสงสาร ถูกทิ้งมาตั้งสองวัน ตอนนี้เจ้านายทั้งสองของมันยังเข้าไปเล่นเกม ‘อือๆ อาๆ’ กันในห้องน้ำโดยไม่คิดจะเหลียวแลมันเลย เจ้าตัวเล็กจึงคอตกกระโดดลงจากโซฟาเป็นหมาหงอย จากนั้นก็วิ่งไปคาบสลิปเปอร์ข้างหนึ่งของเหยียนเฟยที่ถอดทิ้งไว้หน้าประตูห้องน้ำไปซ่อนไว้ในกรงของมัน

 

วันรุ่งขึ้นหลัวซวินไม่โผล่มาให้ใครเห็นหน้าเลยตั้งแต่เช้ายันค่ำ โชคดีที่สมาชิกทีมโอตาคุเรียนรู้วิธีดูแลจัดการไปจนถึงการเก็บเกี่ยวพืชผลกันเป็นแล้วทุกคน หลังจากที่ได้รู้ว่าวันนี้หัวหน้าทีม ‘เจ็บหนัก’ ถึงขั้นลุกจากเตียงไม่ไหว สองสาวจึงรับผิดชอบงานเพาะปลูกที่ต้องทำในวันนี้เองทั้งหมดด้วยความเห็นใจ และแน่นอนว่าหลังจากพวกหลี่เถี่ยนอนขี้เกี้ยจสันหลังยาวจนหนำใจแล้วก็ลุกไปช่วยพวกเธอดูแลพืชผลของทั้งสองชั้นด้วยเหมือนกัน

เมื่อคืนหลังจากอาบน้ำเสร็จเหยียนเฟยก็พบว่าสลิปเปอร์ข้างหนึ่งของตนถูกแทะจนไม่เหลือชิ้นดีอีกครั้ง จึงต้องเดินเท้าเปล่ามาใส่สลิปเปอร์ของหลัวซวินที่ถอดทิ้งไว้ตรงโซฟาแทน…โชคดีที่เจ้าตัวเล็กยังมีจิตสำนึกอยู่บ้าง มันไม่เคยเอาสลิปเปอร์ของหลัวซวินไปแทะเล่นเลย และโชคดียิ่งกว่าที่ทั้งสองใส่สลิปเปอร์ไซส์เดียวกันได้ จึงมีสลิปเปอร์ให้เหยียนเฟยใส่อุ้มคนรักที่อ่อนเพลียหมดเรี่ยวหมดแรงขึ้นไปชั้นลอย แล้วเริ่มบรรเลงเพลงรักในห้องนอนกันต่อ ส่วนสถานการณ์ศึกรักเป็นอย่างไรนั้น…เนื่องจากทั้งสองทำสงครามกันอย่างดุเดือด ตื่นเต้นเร้าใจและลึกล้ำมาก ดังนั้นจึงไม่สามารถบรรยายอย่างละเอียดในที่นี้ได้

สรุปคร่าวๆ ก็คือ หลัวซวินได้แต่นอนซมจนถึงเที่ยงของวันที่ 30 ถึงจะมีแรงลุกจากเตียงเดินไปไหนมาไหนเองได้…วันก่อนหน้านั้นเขาเหลือแค่แรงจิกเตียงอย่างเดียวเท่านั้น

พอถึงวันที่ 1 เมื่อพวกเขากลับไปทำงานตามปกติ แม้แต่หัวหน้ากัวเองก็เผลอชำเลืองมองคอที่โผล่พ้นเสื้อผ้าของหลัวซวินซึ่งเต็มไปด้วยแต้มสีสตรอว์เบอร์รี่อยู่เป็นระยะ ทำให้คนถูกมองแทบทนไม่ไหว อยากรีบเผ่นกลับไปเปลี่ยนใส่เสื้อคอเต่าที่บ้านใจจะขาด

ทุกคนคอยชำเลืองมองสองหนุ่มด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น และอาจเจือความขำขันอยู่บ้าง แต่ทั้งหัวหน้ากัวและสมาชิกคนอื่นที่สายตาดีเหล่านั้นต่างไม่มีใครพูดอะไร เพียงร่วมเดินทางไปยังจุดที่ต้องทำงานในวันนี้ด้วยกัน

ทุกคนดูออกกันมานานแล้ว ความสัมพันธ์ของสองหนุ่มไม่ได้ธรรมดาเหมือนอย่างที่พวกเขาแสดงออกในยามปกติแน่นอน ลูกพี่ลูกน้องอะไรกัน…ดูอย่างเวลาพักเบรกหรือตอนกินข้าวสิ บรรยากาศหวานชื่นเหมือนคู่สามีภรรยากันไม่มีผิด คงมีแต่คนโง่เท่านั้นที่เชื่อว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกันจริงๆ เพียงแต่พอพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ยังไม่ขอพูดถึงฝ่ายหลัวซวินละกัน ลำพังแค่หน้าตาที่แสนหล่อเหลาสะดุดตาของเหยียนเฟย ต่อให้เป็นยุควันสิ้นโลกก็ใช่ว่าจะหาภรรยาไม่ได้สักหน่อย

ทุกคนในทีมต่างรู้ดีว่า ‘ลูกพี่ลูกน้อง’ คู่นี้อยู่ด้วยกัน และไม่เคยมีข่าวลือเรื่องแฟนสาวให้ได้ยินมาก่อน บวกกับพวกเขาเคยเห็นทั้งคู่เดินจูงมือโอบไหล่กันบ้างเป็นครั้งคราว แม้จะไม่เคยจูบหรือหอมแก้มกันให้ใครเห็นมาก่อน แต่พวกเขาทำงานด้วยกันมานานพอให้เหล่าชายฉกรรจ์ดิบๆ ห้าวๆ อย่างพวกเขามองออกว่าอะไรเป็นอะไร… โดยเฉพาะปัจจุบันที่ในฐานที่มั่นมีคู่ชายรักชายเพิ่มมากขึ้นทุกวัน

ดังนั้นวันนี้หลังจากที่ทุกคนได้เห็นรอยสตรอว์เบอร์รี่ประทับอยู่บนคอใครบางคน พวกเขาก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรให้น่าแปลกใจ เพียงแค่รู้สึกข้องใจเล็กน้อยตรงที่…ดูจากภายนอกก็เห็นได้ชัดว่าหน้าตาเหยียนเฟยเหมาะจะเป็นฝ่ายรับมากกว่า แต่ไม่ว่าจากเวลาปกติที่ได้คลุกคลีอยู่ด้วยกัน หรือแม้กระทั่งหลักฐานในวันนี้ ล้วนชี้ชัดว่าใครบางคนถูกกำหนดให้เป็นฝ่ายรับแบบไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ จุ๊ๆ ตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้จริงๆ

 

สถานที่ทำงานของพวกหลัวซวินถูกย้ายจากที่เดิมไปอีกที่หนึ่งแล้ว หลังจากผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะเพิ่มขั้นพลังถึงขั้นสองกันครบทุกคน ประสิทธิภาพการทำงานของพวกเขาก็พัฒนาขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงทำภารกิจเสริมความสูงให้กำแพงโลหะของฐานที่มั่นชั้นในเสร็จสิ้นไปตั้งแต่ช่วงกลางเดือนก่อน จากนั้นก็กลับมาลงมือสร้างสิ่งต่างๆ ตามที่ทางกองทัพกำหนดไว้ และสิ่งที่พวกเขากำลังจะสร้างในตอนนี้ก็คือ… สะพานลอยฟ้า

สะพานลอยฟ้าหรือสะพานยกระดับนี้เป็นทางที่เชื่อมจากใจกลางค่ายทหารในฐานที่มั่นชั้นในไปจนถึงกำแพงชั้นกลาง (เวลานี้กำแพงฐานที่มั่นชั้นในถูกเรียกว่ากำแพงชั้นกลางไปเรียบร้อยแล้ว) และกำแพงชั้นนอก และต้องสร้างให้กว้างพอที่ยานพาหนะของกองทัพ ทั้งรถสายพานลำเลียงและรถหุ้มเกราะต่างๆ สามารถแล่นผ่านไปได้

ทางเชื่อมนี้ไม่เพียงต้องสร้างให้ตรงกับประตูทางเข้าใหญ่ของฐานที่มั่นซึ่งมุ่งหน้าสู่เขตใจกลางเมืองได้ แต่ยังต้องเชื่อมต่อกับทางอื่นๆ อีกสามทิศด้วย นอกจากนี้ยังมีทางคู่ขนานที่ฝ่ายทหารบกต้องเร่งสร้างมาเชื่อมต่อกันอีกหลายแห่ง และมีแนวโน้มว่าต้องดำเนินการขยายเส้นทางรอบสองในอนาคต เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์การสัญจรที่สะดวกสบายทั่วทิศทางอย่างแท้จริง

เนื่องจากต้องการใช้เป็นทางสัญจรของรถหนักอย่างรถถังได้ด้วย ‘สะพานลอยฟ้า’ นี้จึงต้องรับน้ำหนักได้สูงมาก โชคดีที่พลังพิเศษของพวกเหยียนเฟยเพิ่มขึ้นเป็นขั้นสองแล้ว เวลานี้นอกจากเหยียนเฟย ผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะอีกสามคนก็สามารถใช้พลังดึงโลหะบริสุทธิ์ออกมาได้เหมือนกัน จึงพอจะทำตามความต้องการของทางกองทัพได้

จะว่าไป เหยียนเฟยเองก็เพิ่งใช้วันหยุดสองวันสุดท้ายของเดือนไปกับการปรับปรุงโลหะทั้งหมดที่ใช้เสริมความแข็งแกร่งของบ้านให้แข็งแรงทนทานขึ้น และเพิ่มมาตรการป้องกันตัวบ้านตามคำแนะนำของหลัวซวินแล้ว…แน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะเสริมความแข็งแรงให้กับผนังของตึกด้วยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นหากชั้นบนหนักแต่ฐานรากไม่แข็งแรง ตึกอาจพังถล่มลงมาเข้าสักวัน…เหอะๆ ผลลัพธ์แบบนั้นคงน่าสะพรึงกลัวมากแน่ๆ

ตอนนี้พวกเขาเริ่มแบ่งงานกันแล้ว โดยให้ผู้มีพลังพิเศษสามคนนำโลหะกองนั้นมาเริ่มขจัดสิ่งปลอมปน ทำให้เนื้อโลหะบริสุทธิ์ จากนั้นก็หลอมรวมใหม่เพื่อสร้างเป็นวัสดุโลหะที่แข็งแรงที่สุด ส่วนเหยียนเฟยรับหน้าที่ทำโครงสร้างของสะพานลอยฟ้าจากเหล็กตามแปลนที่ออกแบบไว้

ตอม่อสะพานแต่ละต้นอยู่ห่างกันพอสมควร ปัจจุบันในทีมของพวกเขา นอกจากเหยียนเฟยแล้ว คนอื่นๆ ยังควบคุมโลหะระยะไกลขนาดนี้ได้ไม่ดีนัก นี่ไม่ใช่งานสร้างกำแพง ที่หากบริเวณไหนไม่เรียบลื่นเสมอกันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่เป็นงานสร้างสะพาน หากงานโครงสร้างจุดไหนทำพลาดไปแม้แต่นิดเดียวก็อาจเป็นต้นเหตุให้สะพานพังถล่มลงมาได้ สร้างสะพานไม่สำเร็จยังไม่ร้ายแรงเท่ากับสร้างเสร็จแล้วแต่พังครืนลงมาทับบ้านเรือนและผู้คนที่อยู่ด้านล่าง ขืนเป็นแบบนั้นคงเกิดเรื่องใหญ่แน่

ดังนั้นงานด้านเทคนิคประเภทนี้จึงยกหน้าที่ให้เหยียนเฟยเป็นคนจัดการ ใครใช้ให้เขาฝีมือดีแบบนี้ล่ะ… แค็กๆ

โลหะเส้นหนึ่งเคลื่อนไหวราวกับมังกรที่มีชีวิต มันบิดพัน พลิกหมุนอยู่กลางอากาศด้วยการควบคุมอย่างแกร่งกร้าวจากมือทั้งสองข้างของเหยียนเฟย จากนั้นก็แผ่ขยายตัวออกตามรูปร่างและทิศทางที่เขาได้กำหนดไว้ล่วงหน้า

ดูเหมือนว่าภาพเหตุการณ์นี้จะชวนให้ผู้ที่พบเห็นต่างรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ราวกับโลหะที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเหยียนเฟยเหล่านั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวได้เองจริงๆ

พวกเขาทำงานหนักกันมาตลอดทั้งวัน แต่ก็ไม่อาจสร้างสะพานช่วงหนึ่งให้เสร็จสมบูรณ์ได้ภายในวันเดียว อย่างมากก็ได้เพียงวางโครงเหล็กเส้นที่ปูเชื่อมระหว่างเสาสะพานแค่ช่วงหนึ่งต้นเท่านั้น ถ้าคำนวณจากประสิทธิภาพการทำงานของพวกเขาในเวลานี้ คาดว่าภายในครึ่งปีหลังน่าจะสร้างสะพานยกระดับเสร็จตามคำสั่งของเบื้องบนได้สองสามแห่ง ซึ่งถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว

แต่งานครั้งนี้ไม่ว่าจะกับเหยียนเฟยหรือผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะทุกคนในทีม ต่างนับว่าเป็นเรื่องดีด้วยกันทั้งสิ้น…เพราะนี่คือ ‘ชามข้าวเหล็ก’ [1] ชัดๆ ถ้าพวกเขาทำงานเสร็จทั้งหมดในตอนนี้ ก็จะไม่ต่างจากทีมอื่นที่ต้องออกไปเผชิญหน้าต่อสู้กับซอมบี้นอกฐานที่มั่น

ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากออกไปล่าซอมบี้ แต่หลังจากที่ไปทำภารกิจนอกฐานจริงๆ ถึงรู้ว่ากฎของทหารต่างจากทีมที่ผู้มีพลังพิเศษรวมตัวกันเองอย่างสิ้นเชิง ถ้าไปกับทีมผู้มีพลังพิเศษแล้วเจอเหตุการณ์วิกฤตจริงๆ ในช่วงคับขันคุณสามารถหนีเอาตัวรอดได้ แต่ถ้าไปกับกองทัพ หากผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้ยืนหยัดสู้ตาย นั่นก็หมายความว่าต้อง ‘ต่อสู้จนตัวตาย’ จริงๆ

แม้รู้ว่านี่เป็นหน้าที่ของตัวเอง และก็รู้ว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญที่มีแต่ตนเท่านั้นที่ทำได้ แต่เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์นอกฐานที่มั่นซึ่งเวลานี้มีซอมบี้ออกอาละวาดไปทั่วแล้ว ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง ฉะนั้นการที่ทุกคนต่างอยากเก็บตัวอยู่แต่ในฐานที่มั่นจึงเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็เต็มใจยอมพลีชีพเพื่อปกป้องบ้านของตัวเอง กลัวก็แต่ว่าเมื่อถึงคราววิกฤตที่ต้องสละชีวิตตัวเองขึ้นมาจริงๆ กลับรักษาบ้านของตัวเองไว้ไม่ได้อยู่ดี แถมพวกเบื้องบนที่ดีแต่ชี้นิ้วสั่ง สุดท้ายก็ละทิ้งฐานที่มั่น ไม่สนใจชีวิตคนธรรมดา หนีเอาตัวรอดไปแต่พวกพ้องของตนน่ะสิ

 

หลังจากทำงานวุ่นกันมาทั้งวัน ทุกคนจึงเก็บของกลับค่าย หลัวซวินและเหยียนเฟยรีบขับรถตรงดิ่งไปแลกคริสตัลที่จุดแลกของทันที

คริสตัลที่พวกเขานำออกมาในวันนี้เกือบครึ่งหนึ่งเป็นคริสตัลขั้นสองพลังอื่นๆ ที่ทุกคนใช้การอะไรไม่ได้ จึงเตรียมมาแลกเป็นคริสตัลขั้นหนึ่งกลับไปแทน

ถึงแม้การไปหาแลกส่วนตัวกับคนข้างนอกอาจแลกได้ในจำนวนที่มากกว่า แต่ตลาดข้างนอกไม่มีกำลังพอจะรับแลกคริสตัลล็อตใหญ่ในคราวเดียวแบบนี้ได้

ต้องบอกก่อนว่าพวกหลัวซวินไม่ได้แลกเพียงแค่หยิบมือหลักสิบหลักร้อยอะไรแบบนั้น คริสตัลขั้นสองที่พวกเขาใช้ประโยชน์ไม่ได้มีมากถึงหลายพันก้อนเลยทีเดียว คริสตัลปริมาณเยอะขนาดนี้ไม่ใช่สิ่งที่ในท้องตลาดปัจจุบันจะมีมากพอให้แลกเปลี่ยนหมุนเวียนได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงนำมาแลกกับทางกองทัพเท่านั้น

สิ่งที่น่ายินดีสำหรับทั้งสองคนก็คือ เนื่องจากทีมผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะที่ทั้งคู่สังกัดอยู่ได้ถูกยกระดับขึ้นอีกขั้นจากผลงานความดีความชอบที่ช่วยปกป้องประตูฐานที่มั่นไว้เมื่อคราวก่อน ดังนั้นจึงมีสวัสดิการและสิทธิพิเศษเพิ่มขึ้นตามมาด้วย อาทิ เวลาพวกเขานำคริสตัลมาแลก ก็จะไม่มีคนมาคอยซักไซ้ไล่เลียงถึงที่มาของคริสตัลเหล่านี้

แน่นอนว่าพวกเขาก็ไม่ได้นำคริสตัลขั้นสองที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้ออกมาทั้งหมดในคราวเดียว แต่แบ่งมาแค่บางส่วน ที่เหลือไว้ค่อยทยอยนำมาแลกในวันอื่น หรือไม่ก็นำไปซื้อข้าวของที่ต้องการโดยตรงเลยก็ได้

ทั้งคู่นำคริสตัลขั้นสองสองพันกว่าก้อนมาแลกเป็นคริสตัลพลังเดียวกับของคนในทีมได้ส่วนหนึ่ง ที่เหลือทั้งหมดก็แลกเป็นคริสตัลขั้นหนึ่งกับคูปองสะสม จากนั้นก็เดินออกจากจุดแลกของพร้อมถุงที่หนักขึ้นกว่าเดิม

ทางกองทัพให้อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่หนึ่งต่อเก้า ต่างจากราคาตามท้องตลาดที่ให้หนึ่งต่อสิบ และอาจจะถึงสิบเอ็ดหรือสิบสอง แต่ใครใช้ให้พวกเขาขนมาแลกทีล็อตใหญ่ขนาดนี้กันเล่า ตลาดข้างนอกไม่มีกำลังรับซื้อไหวอยู่แล้ว

หลังจากรับคริสตัลมาเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ไปยังจุดถัดไปเพื่อนำคูปองสะสมจากการทำภารกิจคราวนี้กับคริสตัลที่เพิ่งแลกมาเมื่อครู่ไปแลกซื้อแผงพลังงานแสงอาทิตย์และแบตเตอรี่เพิ่ม จากนั้นทั้งสองก็ไปดูที่จุดแลกเมล็ดพันธุ์พืช เมื่อแน่ใจว่าที่บ้านมีเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ครบหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องแลกเพิ่ม จึงหันหลังเดินออกมาจากอาคารแลกเปลี่ยนแล้วไปขึ้นรถเพื่อขับกลับบ้าน

 

อวี๋ซินหรันขี่หลังเจ้าตัวเล็กพากันมารับพวกเขาที่หน้าประตู

ตอนนี้หนูน้อยเปลี่ยนมาใส่กระโปรงแล้ว แม้ในห้องจะไม่ได้เปิดระบบทำความร้อนใต้พื้น แต่ระยะนี้อากาศอุ่นขึ้นมากแล้ว ตราบใดที่ฝนไม่ตก อุณหภูมิก็จะเย็นสบายกำลังดี

หลัวซวินแย้มยิ้มพลางก้มลงไปลูบศีรษะเล็กๆ ของอวี๋ซินหรัน ก่อนจะตบหัวเจ้าตัวเล็กแปะๆ หนึ่งคนหนึ่งสุนัขต่างชูคอแหงนรับสัมผัสนั้นด้วยความเพลิดเพลิน

สวีเหมยรับถุงที่เหยียนเฟยส่งให้ เธอลองกะน้ำหนักดูก่อนจะถามด้วยรอยยิ้มว่า “แลกหมดเลยเหรอ”

“อืม แลกหมดเลย เขาให้เรตหนึ่งต่อเก้า ดีกว่าที่คิดไว้นิดหน่อย พวกเราเลยแลกไปหมดเลย” พลังพิเศษธาตุทรายของอวี๋ซินหรันก็เป็นธาตุที่หายากมากเช่นกัน พวกเขาออกไปล่าซอมบี้มาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะครั้งนี้มีซอมบี้ขั้นสองเยอะมาก แต่กลับล่าคริสตัลพลังทรายมาได้แค่สองก้อน น้อยกว่าคริสตัลพลังโลหะของเหยียนเฟยเสียอีก

เดิมทีพวกหลัวซวินประเมินกันว่าอัตราแลกเปลี่ยนประมาณหนึ่งต่อแปดก็พอจะแลกได้แล้ว แต่ถ้าน้อยกว่านี้พวกเขายอมไปหาแลกตามท้องตลาดแทนจะดีกว่า ทว่าเมื่อราคาดีกว่าที่คาดไว้ก็แลกไปเสียเลย

“มิน่าล่ะ ได้เยอะดีจัง” ซ่งหลิงหลิงยิ้มร่าพลางขยับหลีกทางให้ทั้งสองเดินเข้ามา

“ตอนที่พวกเรากลับมา เหมือนเห็นว่ามีบางคนกำลังสร้างบ้านตรงที่ว่างในเขตชุมชนกันด้วย?” จู่ๆ หลัวซวินก็ถามขึ้น วันนี้ตอนพวกเขาสองคนขับรถเข้ามาก็เห็นมีวัสดุที่ใช้สร้างเพิงชั่วคราวมากองไว้เต็มไปหมด

ปัจจุบันที่พักในฐานที่มั่นยังพอมีห้องว่างอยู่บ้าง ไม่ถึงกับอยู่กันเต็มอัตรา แต่ไม่ว่าที่ไหนก็ล้วนมีพวกวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อคนพวกนั้นได้รับการจัดสรรให้อยู่รวมกับผู้อื่นก็หาทางขับไล่เพื่อนร่วมห้องออกไปจนหมด แม้ในฐานที่มั่นจะมีผู้ดูแลเรื่องกฎระเบียบอยู่ก็จริง แต่หลังจากที่ทางการจัดสรรที่พักให้ในครั้งแรกตอนที่เข้ามาในฐานที่มั่นมาแล้ว ถ้าคุณไม่มีเส้นสาย แถมมีคูปองสะสมไม่พอที่จะจ่ายค่าเช่าอีก แบบนั้นหากเกิดเหตุถูกคนไล่ตะเพิดออกจากห้อง อย่างมากทางฐานที่มั่นก็แค่ส่งคนไปไกล่เกลี่ยให้ แต่ถ้าไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ คนพวกนั้นก็ต้องคิดหาหนทางกันเอาเองแล้ว

“ใช่ วันนี้มีคนมาสร้างห้องพักไว้บนดาดฟ้าตึกเจ็ดชั้นที่อยู่เขตชุมชนข้างๆ เราด้วย” หลังจากสวีเหมยวางคริสตัลลงแล้วก็เอ่ยขึ้นพร้อมกับชี้ไปที่ตึกด้านข้าง

“ตอนเที่ยงพวกฉันออกไปซื้อของข้างนอกก็เห็นคนถูกไล่ออกจากห้อง แถมสัมภาระต่างๆ ก็ถูกโยนทิ้งลงมาทางหน้าต่าง” ซ่งหลิงหลิงพูดด้วยเสียงระอาใจ โลกปัจจุบันเป็นยุคปลาใหญ่กินปลาเล็กขนานแท้ ผู้เข้มแข็งที่สุดจึงจะอยู่รอด ถ้าไม่มีความสามารถอะไรติดตัวเลยก็ใช้ชีวิตอยู่ในฐานที่มั่นอย่างสุขสบายได้ยาก

อยู่นอกฐานที่มั่นก็ถูกซอมบี้ไล่ล่า พอหนีตายมาอยู่ในฐานก็ถูกมนุษย์ด้วยกันทอดทิ้งรังแก นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนในยุคนี้ต้องเผชิญ คนธรรมดาที่ไม่ได้มีพลังพิเศษอะไรนั้น ถ้าหาผู้มีอิทธิพลให้พึ่งพาไม่ได้ แล้วยังอยากดิ้นรนมีชีวิตที่ดีหน่อยละก็ ตัวเลือกที่ดีที่สุดคงต้องทำแบบเดียวกับหลัวซวินในชาติก่อน คือไปอยู่ในห้องใต้ดินที่ไม่มีใครสนใจอยากอยู่ แล้วปลูกผักใช้ชีวิตสมถะเรียบง่ายในแบบของตัวเองไป

“ยังมีอีกนะ ได้ข่าวว่าวันนี้แม้แต่ห้องใต้ดินในตึกต่างๆ ของเขตชุมชนเราก็ถูกจัดสรรให้มีคนเข้ามาอยู่แล้วด้วย”

ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘ห้องใต้ดิน’ ดวงตาหลัวซวินก็ฉายแววราวกับ… ตั้งตารอ?

ถูกต้อง เขาอยากรู้มากว่าใครกันที่ได้มาอยู่ในห้องใต้ดินที่เขาเคยอยู่ เพียงแต่ถึงจะอยู่ตึกเดียวกัน ทว่าเขาก็ไม่มีข้ออ้างที่จะไปเคาะประตูห้องอีกฝ่ายได้อยู่ดี ทำได้แค่แอบสังเกตเวลาเดินผ่านเท่านั้น

 

หลัวซวินและเหยียนเฟยพาเจ้าตัวเล็กกลับมาบ้านและเริ่มเตรียมทำมื้อเย็น

ช่วงสองสามวันมานี้บ้านหลัวซวินมีข่าวดี พริกที่เขาปลูกไว้ตั้งแต่ปลายฤดูใบไม้ผลิ ในที่สุดวันนี้ก็เด็ดกินได้แล้ว!

แม้จะเป็นพริกล็อตแรก แต่ตอนนั้นเขากังวลว่ามันจะกลายพันธุ์ มิหนำซ้ำถ้าปลูกไว้เยอะเกินไปก็กินไม่ทัน เขาจึงปลูกแค่นิดเดียว แต่เมื่อเห็นสีเขียวของพริกแต่ละเม็ด ทั้งพริกหยวกอวบๆ พริกชี้ฟ้าเรียวๆ นั่นแล้ว ก็ทำให้หลัวซวินรู้สึกตื่นเต้นดีใจมาก

แม้ปัจจุบันในบ้านจะมีพริกแห้งและพริกดองที่เขาซื้อมาตุนไว้ตั้งแต่ก่อนวันสิ้นโลกอยู่เยอะมาก แต่นั่นก็ลบล้างความชอบของเขาที่มีต่อพริกสดๆ ไม่ได้อยู่ดี

ที่จริงแล้วหลัวซวินชอบกินเผ็ดมาก ถึงแม้ในชาติก่อนเหตุที่เขากินเผ็ดบ่อยจะเป็นเพราะมีผักใช้ทำกับข้าวน้อย เลยต้องกินข้าวคลุกน้ำมันพริกแทน แต่ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังวันสิ้นโลกเขาก็ชอบอาหารรสชาติจัดจ้านอยู่ดี และแล้วในที่สุดสองวันนี้ก็ได้เห็นพริกสดๆที่กินได้สักที ไม่ต้องทนกินอะไรจืดๆ อีกต่อไปแล้ว

“วันนี้ฉันจะทำผัดพริกหยวก!” หลัวซวินพูดพลางถกแขนเสื้อขึ้นแล้วตรงดิ่งไปที่ตู้เย็น เขาจำได้ว่าตอนนั้นตัวเองยังเก็บเนื้อไว้อีกหนึ่งเส้นเพราะตัดใจเอามากินไม่ลง ฉะนั้นวันนี้จะเอามาผัดกับพริกหยวกให้อร่อยเหาะไปเลย

เหยียนเฟยเห็นคนรักมุ่งมั่นกับมื้อนี้มากก็ยิ้มขัน จากนั้นจึงหยิบถุงคริสตัลหลายใบออกมาจากในกระเป๋าเป้

พริกหยวกในบ้านหลัวซวินยังไม่แก่เต็มที่และมีขนาดไม่ค่อยใหญ่ พริกที่เพิ่งโต อย่าว่าแต่พริกหยวกเลย ต่อให้เป็นพริกชี้ฟ้า ระดับความเผ็ดก็จะพอๆ กับพริกหวาน ถึงแม้จะน่าเสียดายที่มันไม่มีรสเผ็ดฉุนของพริก แต่แค่ได้กินพริกหยวกสดใหม่แบบนี้เขาก็ดีใจมากแล้ว และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับวันดีๆ แบบนี้ หลัวซวินจึงหยิบพริกชี้ฟ้าตากแห้งในโหลมาหนึ่งกำโยนใส่กระทะ…เพื่อเพิ่มรสเผ็ดร้อนขึ้นอีกหน่อย

เหยียนเฟยนั่งอยู่ที่โต๊ะ มองดูพริกเขียวๆ แดงๆ ในจาน แล้วเลื่อนสายตาขึ้นมองหลัวซวินที่ดวงตาเป็นประกายโดยไม่ได้พูดอะไร เขารู้ว่าเวลาทำอาหารหลัวซวินชอบเติมพริกลงในกับข้าวด้วยเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติ แต่ดูเมนูวันนี้ที่มีทั้งพริกหยวก พริกชี้ฟ้า และพริกแห้งใส่ลงไปผัดกับเนื้อแล้ว รู้สึกท้าทายประสาทรับรสเหลือเกิน

โชคดีที่เหยียนเฟยไม่กลัวเผ็ด อาหารจานนี้จึงไม่ได้เป็นปัญหาต่อเขาเลย เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนที่หลัวซวินเอาน้ำมันพริก พริกดอง พริกแห้ง พริกหมาล่า และพริกหอมมาปรุงเป็นน้ำซุปหม้อไฟแล้ว อย่างนี้ก็ดีกว่ามาก

เพียงแต่…

เหยียนเฟยกวาดสายตาไปมองเอวของหลัวซวินแวบหนึ่ง… กินเผ็ดจัดขนาดนี้ ระวังจะลำบากก้นนะที่รัก แน่ใจเหรอว่าจะกินรสแซ่บขนาดนี้น่ะ

หลัวซวินไม่รู้ถึงกระแสจิตที่เหยียนเฟยพยายามส่งมา เขาหยิบตะเกียบคีบพริกหยวกใส่ปาก ชิมไปบ่นไป “ไม่ได้กินพริกสดกรอบแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ เสียดายที่ตอนนี้มันยังไม่ค่อยเผ็ดเท่าไร แถมพริกหังโจว[2]ที่ปลูกไว้ก็ยังไม่โตด้วย แล้วก็เสียดายที่หาซื้อเนื้อวัวไม่ได้แล้ว…”

เหยียนเฟยยิ้มพลางคีบกับข้าวใส่ชามให้หลัวซวิน ก่อนจะพุ้ยข้าวใส่ปากแล้วเอ่ยว่า “วันนี้แลกคริสตัลพลังโลหะมาได้ไม่เยอะ ฉันกะว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้หลังเลิกงานจะไปเดินดูที่ตลาดสักหน่อย”

เดิมทีคริสตัลพลังโลหะก็มีน้อยอยู่แล้ว แม้ในกองทัพจะพอมีอยู่บ้าง แต่โดยปกติเวลามีคริสตัลพลังโลหะ ทางกองทัพก็จะจัดสรรมาให้ทีมของเหยียนเฟยก่อน จึงไม่ค่อยมีตกมาถึงจุดแลกของสักเท่าไร

ผู้มีพลังพิเศษบางคนในทีมของเหยียนเฟยสัมผัสได้หลังจากดูดซับพลังจากคริสตัลขั้นสองว่า… ดูเหมือนพลังของคริสตัลขั้นสองไม่เพียงแต่บริสุทธิ์กว่าขั้นหนึ่งถึงสิบเท่า แต่คล้ายกับว่าระหว่างคริสตัลสองระดับนี้น่าจะไม่ได้แบ่งแยกกันที่พลังธาตุเพียงอย่างเดียวด้วย ดังนั้นถ้าเป็นไปได้เหยียนเฟยก็อยากแลกคริสตัลพลังโลหะมาเพื่อดูดซับพลังให้ได้เยอะๆ มากกว่า

“ได้สิ จะได้ไปดูด้วยว่าที่ตลาดมีอะไรมาขายบ้าง” หลัวซวินเคี้ยวข้าวพลางพยักหน้า เขาเองก็ไม่ได้ไปเดินดูของนานแล้วเหมือนกัน วันๆ ทำแต่งาน น้อยครั้งมากที่พวกเขาจะมีเวลาว่างไปเดินเล่นกัน แน่นอนว่าการออกไปเดินจับจ่ายในช่วงยุควันสิ้นโลกอาจเจอเหตุการณ์ต่างๆ สารพัด อย่างเช่นโจรล้วงกระเป๋าที่ชุกชุมยิ่งกว่าตอนก่อนวันสิ้นโลก ซึ่งแน่นอนว่าถ้าโจรถูกจับได้ บ่อยครั้งที่ผู้เสียหายจะเป็นฝ่ายถูกทำร้ายจนถึงขั้นเสียชีวิตเสียเอง เพราะโจรนั่นมีพลังแข็งแกร่งกว่า หรือไม่ก็เพราะพรรคพวกของโจรพากันมารุมซ้อมผู้เสียหายจนตาย

แม้ความจริงจะมีเหตุอันตรายถึงชีวิตเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก โดยเฉพาะในที่สาธารณะผู้คนพลุกพล่าน อย่างมากก็แค่ซ้อมเพื่อระบายอารมณ์เล็กน้อย แต่ถ้าฝ่ายนั้นเผ่นหนีไปแล้วก็ไม่ควรไล่ตามไปอีก เพราะถ้าไล่กวดไปในที่ลับตาคน…แบบนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้างก็ไม่รู้

โชคดีที่ความสามารถของหลัวซวินและเหยียนเฟยนั้นไม่ธรรมดา ขอเพียงไม่ประมาทก็ไม่ต้องกลัวว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย

หลังจากทั้งคู่หารือกันเสร็จก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ แม้ที่บ้านจะมีผักสดๆ อยู่มากมาย แต่พวกเขาไม่ได้กินอาหาร ‘เมนูบ้านๆ’ แบบนี้มานานมากแล้ว เรียกว่าถูกใจเหยียนเฟยมากจนเจ้าตัวเติมข้าวเพิ่มอีกหนึ่งชาม

หลัวซวินเป็นคนทำอาหารแล้ว… ฉะนั้นหน้าที่ล้างจานจึงตกเป็นของเหยียนเฟย ส่วนหลัวซวินก็นั่งลูบพุงพิงโซฟาสบายใจ

เจ้าตัวเล็กกินพริกหยวกชิ้นหนึ่งที่หลัวซวินส่งมาให้… เป็นชิ้นที่ล้างรสเค็มและรสเผ็ดออกไปแล้ว แม้เจ้าสิ่งนี้จะมีรสชาติแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ก็ต้องบอกว่าพริกหยวกที่ไม่ได้มีรสเผ็ดนี่ถูกปากเจ้าสุนัขที่เปลี่ยนรสนิยมหันมาชอบกินผักตัวนี้อยู่ไม่น้อย หลังได้ชิมรสชาติแปลกใหม่แล้วเจ้าตัวเล็กก็กระโดดดึ๋งขึ้นโซฟา ก่อนจะปีนไปบนท้องหลัวซวิน หวังจะไปนอนฟุบบนพุงเจ้านายพร้อมจ้องหน้าส่งความรู้สึกให้เขาอย่างที่ทำเป็นประจำ

อนิจจา วันนี้หลัวซวินกินอิ่มจนแน่นท้อง และตอนนี้เจ้าตัวเล็กก็โตเต็มวัยแล้ว น้ำหนักตัวของมัน…หลัวซวินถูกมันเหยียบจนแทบจะขย้อนอาหารออกมา เขารีบดันเจ้าสุนัขจอมซนออก เจ้าตัวเล็กจึงหงายท้องขาชี้ฟ้า เกือบพลัดตกลงมาเพราะความคึกเกินเหตุของมันเอง

หลัวซวินได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวและเสียงพูดคุยดังแว่วมาจากโถงทางเดินนอกห้อง แต่เขาจุกท้องไปหมดเลยขี้เกียจลุกไปเปิดประตู พวกหลี่เถี่ยเห็นว่าหลัวซวินกับเหยียนเฟยไม่ออกมาจึงไม่คิดไปรบกวน พวกเขาเดินตรงกลับไปกินข้าวเย็นที่ห้องตัวเอง จนกระทั่งทุ่มกว่าๆ เกือบสองทุ่มถึงมาเคาะประตูห้องของหลัวซวิน

 

 

[1] สำนวนจีน หมายถึง หน้าที่การงานที่มั่นคง

[2] ตั้งชื่อตามแหล่งกำเนิดที่เมืองหังโจว ลักษณะภายนอกมีผิวบางและเรียวยาวคล้ายพริกชี้ฟ้าของไทย แต่ยาวและใหญ่กว่า นอกจากใช้ผลสดประกอบอาหาร ยังนิยมนำผลแก่สีแดงตากเป็นพริกแห้ง ชาวจีนทั่วไปมักรู้สึกว่าพริกหังโจวมีรสเผ็ดมาก แต่ในทางการเกษตรจัดระดับความเผ็ดอยู่ในระดับกลางเท่านั้น

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า