โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则
暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล
นิยาย 7 เล่มจบ
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
____________________________________
บทที่ 103 บทบัญญัติสามประการ[1]
ไร้กฎเกณฑ์ย่อมไม่สำเร็จ
เวลานี้จางซู่กลับมาแล้ว แถมกลับมาพร้อมกับข่าวหนึ่งด้วย “อุปกรณ์ตัวใหม่ที่ทางฐานที่มั่นค้นคว้าวิจัยถูกนำออกมาใช้แล้ว” เขาพูดพลางหันไปมองหลัวซวินกับเหยียนเฟยด้วยสีหน้าแฝงรอยยิ้มแปลกๆ “เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ตรวจว่าติดเชื้อไวรัสซอมบี้หรือเปล่าโดยที่ไม่ต้องเจาะผิวหนัง เพียงสแกนบนร่างกายก็พอ แถมยังบอกว่าตรวจได้แม้กระทั่งบนตัวรถและเสื้อผ้าว่าปนเปื้อนเชื้อไวรัสซอมบี้มาด้วยหรือเปล่า ที่พวกเราออกไปนอกฐานคราวก่อนโชคไม่ค่อยเข้าข้างสักเท่าไร นี่เพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วันพวกเขาก็นำอุปกรณ์เครื่องนี้ออกมาใช้แล้ว” หลังเล่าจบเขาก็ผายมือยักไหล่ ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
เขาไม่คิดเลยหรือว่าหนึ่งในคนที่โชคไม่ดีพอจะได้ใช้ของแบบนี้ก็คือตัวเขาด้วยเหมือนกัน ดูท่าสะใจนั่นสิ จะสะใจเพื่อ?
หลัวซวินเห็นสีหน้าท่าทางจะอาการหนักของจางซู่แล้วรู้สึกหมดคำพูด จึงได้แต่หันไปมองหวังตั๋วที่ตามติดจางซู่ชนิดไม่ห่างเกินสามก้าวด้วยสายตาสงสารจับใจ ส่วนหวังตั๋วยังคงยิ้มเซ่ออยู่เหมือนเก่า ราวกับคนโง่งมและซื่อบื้อที่ชีวิตในแต่ละวันมีแต่ความสุข จึงยิ่งทำให้หลัวซวินถึงกับทนมองไม่ได้หนักกว่าเดิม
ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าทางฐานที่มั่นกำลังวิจัยอุปกรณ์ตรวจหาเชื้อที่ง่ายและสะดวกมากขึ้น เพราะพวกเขามีจางซู่ซึ่งเป็นคนวงในเป็นเพื่อนร่วมทีมอยู่ทั้งคน เพียงแต่จะสามารถวิจัยออกมาอย่างเป็นรูปธรรมได้วันไหน และมีประสิทธิภาพการใช้งานจริงเป็นอย่างไรนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จางซู่ผู้เป็นศัลยแพทย์จะสามารถรู้ก่อนได้ เขาก็ได้แต่ถามข่าวคราวทั่วๆไปเท่านั้น ส่วนเรื่องรายละเอียดที่เจาะจงมากกว่านี้ต้องรอให้นำออกมาใช้งานจริงก่อนถึงจะรู้ผล
จากนั้นจางซู่ก็เล่าข่าวที่สองของค่ำคืนนี้ต่อ “ส่วนอีกข่าวหนึ่งก็คือ… อุปกรณ์ที่ลือว่าสามารถตรวจจำแนกประเภทและระดับขั้นของพลังพิเศษก็คิดค้นออกมาได้แล้วด้วย เห็นว่าตอนนี้กำลังทดสอบกันในกองทัพ ถ้ายืนยันแล้วว่าไม่มีข้อผิดพลาดอะไรก็สามารถนำมาใช้ได้เลย” เขาเล่าพลางยิ้มบางๆ “ข่าวนี้ยังเป็นความลับอยู่นะ คิดว่าต้องรออีกสักระยะกว่าจะนำออกมาใช้อย่างเป็นทางการได้”
“ทำไมล่ะ” เหอเฉียนคุนถามอย่างไม่เข้าใจ “ทำออกมาให้ทุกคนทดลองใช้จริงไปเลยไม่เห็นผลได้จริงกว่าเหรอ ไม่งั้นจะสร้างขึ้นมาทำไม”
“เห็นบอกว่าต้องเก็บสถิติภายในกองทัพตั้งแต่ระดับบนจนถึงระดับล่างกันก่อนสักรอบหนึ่ง เพราะมีพลังพิเศษบางประเภทที่ค่อนข้างพิเศษมาก ถ้าไม่ได้เจอสถานการณ์เฉพาะบางอย่างจริงๆ แม้แต่เจ้าตัวเองก็อาจไม่รู้ว่ามีพลังพิเศษอยู่เหมือนกัน” จางซู่พูดพลางแสยะยิ้มเยือกเย็น “เป็นไปได้ว่าในอนาคตอาจแสดงผลการตรวจสอบบนบัตรประจำตัวประเภทต่างๆ หรือกำหนดกฎระเบียบกับภารกิจของทีมใหม่ๆ ด้วย” เขาพูดพลางกวาดตามองเด็กหนุ่มทั้งห้าที่ยังคงไม่เข้าใจอย่างมีเลศนัย สุดท้ายก็เลื่อนสายตามามองเหยียนเฟยกับหลัวซวินก่อนถามขึ้น “หัวหน้าคิดว่าไงล่ะ”
หลัวซวินนิ่งเงียบไปสักพัก “เพื่อดึงตัวคนที่มีความสามารถมาละมั้ง การที่พวกเขาตรวจสอบทุกคนในกองทัพนั้นเป็นเรื่องที่ปกติมาก ขั้นแรกก็คงจะรวบรวมสถิติผู้มีพลังพิเศษในกองทัพใหม่อีกครั้ง ส่วนคนนอก…ฉันคิดว่าในอนาคต ‘ทีมย่อย’ อาจกลายเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของฐานที่มั่น ขนาดแค่ตอนนี้ผู้มีอำนาจบางคนยังเตรียมดึงทีมและผู้มีพลังพิเศษมาเข้าสังกัดหน่วยตัวเองกันแล้วเลย ดังนั้นพวกเขาจะต้องยืดเวลาออกไปก่อนอีกสักระยะ เมื่อเตรียมอะไรทุกอย่างไว้พร้อมหมดแล้วก็ค่อยเปิดใช้อุปกรณ์ตัวนี้อย่างเป็นทางการ และอาจให้คนทั่วไปได้ใช้ฟรีด้วย”
เมื่อชาติก่อน หลัวซวินเองก็เคยไปลองทดสอบมาครั้งหนึ่งเหมือนกัน แต่คนธรรมดาก็ยังเป็นคนธรรมดาอยู่วันยังค่ำ ไม่มีวันที่จะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึงยอมถอดใจและเก็บตัวทำการเกษตรอยู่ในฐานที่มั่นอย่างสงบเสงี่ยม ส่วนผู้มีพลังพิเศษที่โผล่มารุ่นหลังส่วนมากล้วนสังกัดกองทัพหรือมีญาติพี่น้องเกี่ยวข้องกับคนในแวดวงทหาร หรือไม่ก็มีเส้นสายจากผู้มีอำนาจคอยสนับสนุนและส่งเสริมพวกเขาอย่างลับๆ
พวกหลี่เถี่ยยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเรื่องนี้จะมีความหมายลึกซึ้งอะไร ในขณะที่สองสาวไม่ห่วงกังวลเรื่องนี้เลยสักนิด ไม่ว่าจะมีใครมาดึงตัวพวกเธอไปร่วมทีม ยังไงสองสาวก็จะอยู่ทีมโอตาคุต่อไป หากพวกหลัวซวินตัดสินใจจะไปอยู่ใต้สังกัดใคร ถ้าฝ่ายนั้นเป็นพวกที่เชื่อถือได้ พวกเธอก็จะตามไปด้วย แต่หากพวกเขาจะอยู่ทีมเดิมแบบนี้ต่อไป พวกเธอก็จะอยู่กับพวกเขาหมือนเดิม ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น
กลับเป็นพวกหลี่เถี่ยที่สนใจอุปกรณ์ตรวจวัดหาพลังพิเศษนี้เอามากๆ ฟังจากคำพูดของพวกเขาก็รู้ “ถ้าตรวจแล้วเกิดมีพลังพิเศษขึ้นมาจริงๆ แบบนั้นก็เอาคริสตัลที่เรามีมาใช้ประโยชน์ได้แล้วสิ?”
หลัวซวินผู้มีจิตใจเมตตาไม่ได้บอกพวกเด็กหนุ่มออกไปตรงๆ ว่า ผู้มีพลังพิเศษส่วนใหญ่จะปรากฏออกมาตั้งแต่ช่วงแรกของยุควันสิ้นโลกแล้ว มีสถานการณ์ที่น้อยมาก ไม่ก็พิเศษสุดๆ หรือบังเอิญขั้นสุด ที่ผู้มีพลังพิเศษจะไม่ค้นพบความสามารถของตัวเองในทันที แต่กลับเพิ่งมาค้นพบตอนที่อุปกรณ์เครื่องนี้ตรวจสอบจำแนกออกมาได้
แต่นี่ก็เหมือนกับการไม่บอกเด็กๆ ว่าที่จริงแล้วไม่มีเทพเซียนอยู่บนฟ้า และซานตาคลอสในเทศกาลคริสต์มาสก็เป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น เพราะสำหรับเด็กหนุ่มไร้เดียงสาทั้งห้าคนคงเป็นความจริงที่แสนโหดร้าย หลัวซวินจึงปล่อยให้พวกเด็กหนุ่มได้เพ้อฝันไปก่อนสักสองสามวัน
ขณะที่พวกหลี่เถี่ยกำลังปรึกษากันว่าพรุ่งนี้ตอนไปทำงานพวกเขาจะไปสืบข่าวและลองหาโอกาสแอบเนียนเข้าไปขอกองทัพให้ช่วยตรวจดูดีไหมอยู่นั้น หลัวซวินก็ปรบมือแปะๆ ทำให้ทุกคนหยุดคุยกันแล้วพุ่งความสนใจมาที่เขา
“เรื่องที่เพิ่งวิเคราะห์ไปเมื่อกี้นี้ มีความเป็นไปได้ว่าทางฐานที่มั่นน่าจะเลือกใช้มาตรการที่ไม่จากต่างเดิมนัก อย่างเช่น บรรดาทีมย่อยที่กระจัดกระจายอยู่ให้ไปรวมในสังกัดทีมใหญ่อะไรทำนองนั้น ถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริง แล้วมีทีมอื่นหรือมีผู้มีพลังพิเศษมาดึงเราไปเป็นพวก…ทุกคนมีความคิดเห็นว่าไงกันบ้าง”
สวีเหมยยกมือขึ้นก่อนเป็นคนแรก เธอหันไปมองซ่งหลิงหลิงทีหนึ่ง ซึ่งอีกฝ่ายเพียงยักไหล่ให้เธอเป็นคนตัดสินใจได้เลย ฉะนั้นสวีเหมยจึงกล่าวว่า “ฉันกับหลิงหลิงและซินหรันแล้วแต่หัวหน้าทีม ถ้าหัวหน้าตัดสินใจว่าจะไปรวมกับทีมอื่นหรือขยายทีมเพิ่มสมาชิกพวกฉันสามคนก็ไม่ขัด เพียงแต่มีเงื่อนไขข้อเดียว…ถ้ามีคนคิดไม่ดีกับผู้หญิงอย่างพวกฉันสามคนละก็…”
เธอพูดค้างไว้แค่นั้น แต่ความแน่วแน่ในแววตาของเธอล้วนประจักษ์แก่สายตาทุกคน หลัวซวินพยักหน้ารับรอง “วางใจเถอะ ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกในทีมหรือคนนอกก็ตาม ถ้ามีใครมารังแกพวกเธอ พวกเราจะไม่ยอมปล่อยไปแน่นอน”
“ใช่ๆ! ถ้ามีใครมารังแกพวกคุณ ต้องข้ามศพพวกเราไปก่อน” หานลี่รีบคว้าโอกาสยืนขึ้นแล้วตบอกแห้งๆ ของตนอย่างแรงเพื่อเป็นการรับประกัน
หลี่เถี่ยยื่นหน้าเข้าไปปรึกษากับอู๋ซิน “เราจัดการเจ้านี่ก่อนเลยดีไหม”
อู๋ซินพยักหน้าหงึกๆ “นั่นสิ ฉันก็ว่าหมอนี่แหละอันตรายที่สุด จัดการมันก่อนเลย”
ครั้นแล้วเด็กโข่งสามคนที่ไม่รู้จักโตก็เปิดศึกสามด้านฟัดกันนัวเนียจนล้มกลิ้งไปด้วยกัน
จางซู่ตวัดตามองเจ้าสามตัวที่ส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวก่อนพูดกับหลัวซวินว่า “ฉันไม่สนใจจะไปรวมทีมกับกลุ่มอำนาจอื่น และยิ่งไม่สนใจให้คนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามาร่วมทีม เว้นแต่ว่าผ่านการ ‘ทดสอบ’ จากฉันก่อน”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกจากปากจางซู่ พวกหลี่เถี่ยสามคนนั้นจึงหยุดเล่นวุ่นวาย แล้วหันมาสบตากันโดยมองข้ามเจ้าลูกหมาอย่างหวังตั๋วที่อยู่ข้างๆ ราชินีที่รักของเขา หลี่เถี่ยกระแอมขึ้นทีหนึ่งแล้วมองเพื่อนอีกสามคน ก่อนพูดกับหลัวซวินว่า “พวกผมเชื่อฟังหัวหน้า… แน่นอนว่าถ้าจำเป็นต้องมีคนใหม่เข้ามาร่วมทีมเพิ่มขึ้น… ทางที่ดีพวกเราควรมีระบบการทดสอบ ยังไงซะ…” ครอบครัวเล็กๆ ของพวกเขาเพิ่งก่อร่างสร้างตัวได้ไม่นานก็จริง แต่นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาทุกคนร่วมแรงร่วมใจสร้างกันขึ้นมา ทั้งยังวางแผนว่าจะเป็นที่ฝากชีวิตของทุกคนไปตลอดด้วย
แม้ว่างานของพวกเขาห้าคนจะมั่นคงจนไม่ต้องกังวลอีก แต่ทุกครั้งหลังเลิกงานกลับมาพวกเขาจะไปช่วยดูแลพืชผลในแต่ละห้องเสมอ ถ้าพืชผักที่ปลูกไว้โตเต็มที่แล้วต้องเก็บเกี่ยวแต่เช้าตรู่เพื่อให้ผักสดใหม่ ทุกคนก็ยอมลุกจากเตียงมาช่วยงานแต่เช้า ไม่เคยหาข้ออ้างแย่ๆ อะไรมาปัดเกี่ยงงานเลยสักครั้ง
ในปัจจุบันมีผู้อาศัยอยู่ในสองชั้นนี้ทั้งหมดสี่ครอบครัว ทุกคนล้วนสนิทสนมกันเหมือนญาติ เหมือนเพื่อนพ้องที่ใกล้ชิดกันมากที่สุด แม้ว่าจะมีเส้นกั้นกลางระหว่างกันบ้าง แต่ทุกคนต่างเคารพกฎและใส่ใจอีกฝ่ายมาก จึงไม่มีทางที่จะล้ำเส้นกันเด็ดขาด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อยากไปอยู่รวมกับ ‘กองกำลังใหญ่’ ที่แข็งแกร่งกว่า และก็ไม่อยากได้คนที่ไม่รู้จักมักจี่กันมาร่วมทีมเพิ่ม
คำพูดของหลี่เถี่ยแทนคำพูดของคนที่เหลืออีกสามคนอย่างครบถ้วน เด็กหนุ่มนักศึกษาต่างมีความคิดใกล้เคียงกัน…ชีวิตในปัจจุบันก็ดีมากแล้ว เช้าไปทำงาน เย็นกลับมาปลูกผัก เล่นกับเด็กน้อยเพียงคนเดียวในบ้าน พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แบ่งปันนิยายกันอ่าน รอปลายเดือนก็ออกไปทำภารกิจล่าคริสตัลนอกฐาน แม้ชีวิตแบบนี้จะดูเรียบง่ายจำเจไปสักหน่อย แต่กลับทำให้ทุกคนรู้สึกสงบสุขมั่นคงและสมเป็นชีวิตจริงๆ
เมื่อหลัวซวินได้ฟังความคิดเห็นของพวกหลี่เถี่ยก็รู้สึกโล่งใจ เขาหันไปมองเหยียนเฟย แม้พอจะเดาความคิดของอีกฝ่ายได้บ้าง แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่เคยพูดคุยกันในเรื่องนี้มาก่อน
เหยียนเฟยเห็นหลัวซวินหันมามองจึงยิ้มให้แล้วพูดว่า “ถ้าพึ่งพากองกำลังอื่น…ไม่ว่าจะเป็นทางกองทัพหรือทีมอื่น ล้วนต้องเคารพกฎของฝ่ายตรงข้าม ต่อให้ทางนั้นไม่แยกทีมของพวกเราจากกัน ก็จะต้องส่งเราไปปฏิบัติภารกิจตามที่พวกเขากำหนดอยู่ดี และที่จริงทีมของพวกเราก็ไม่เหมาะกับรูปแบบทีมที่เน้นประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นส่วนตัวฉันไม่แนะนำให้ไปพึ่งพากองกำลังอื่น” เขาพูดพลางมองหลัวซวิน “และสำหรับสมาชิกใหม่…ฉันคิดว่าก่อนหน้านี้พวกเราก็แสดงความคิดเห็นกันไปแล้ว”
ใช่แล้ว หลังจากเกิดเรื่องกับสวีเหมยและนักศึกษาหญิงที่เคยอาศัยอยู่ในชั้นสิบห้าสองคนนั้น เหยียนเฟยกับหลัวซวินก็แสดงออกอย่างชัดเจนแล้ว ไม่ใช่แค่พวกเขาสองคน แต่ท่าทีของจางซู่ในตอนนั้นก็ชัดเจนเช่นกัน พวกเขาตั้งมาตรฐานสมาชิกใหม่ไว้ค่อนข้างสูงกว่าพวกหลี่เถี่ย ที่สวีเหมยสามารถเข้าร่วมทีมโอตาคุได้เพราะความแข็งแกร่ง ความขยัน และความมุ่งมั่นของเธอเอง จนทำให้พวกหลัวซวินต่างให้การยอมรับ
หลัวซวินเห็นพวกหลี่เถี่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก จึงพูดกลั้วหัวเราะกับทุกคนว่า “โดยส่วนตัวแล้วฉันไม่สนใจที่จะเข้าร่วมกองกำลังอื่นหรือไปรวมกับทีมอื่นอยู่แล้ว ต่อให้ในอนาคตอาจมีวันที่เราไม่สะดวกออกไปล่าคริสตัลที่นอกฐานได้อีก แต่แค่อาศัยความขยันของพวกเราทุกคนก็สามารถมีชีวิตอยู่ในฐานได้อย่างสุขสบาย จุดนี้ฉันเชื่อว่าทุกคนคงไม่คัดค้านอะไรเนอะ” ครั้นเห็นทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยหลัวซวินจึงพูดต่อ “ในเมื่อวันนี้เราคุยเรื่องนี้กันเคลียร์แล้ว ถ้าอย่างนั้นทีมโอตาคุของเรามาตั้งกฎชั่วคราวกัน อย่างเช่น ข้อแรก เราจะไม่เข้าร่วมกองกำลังใดๆ ทั้งสิ้น เว้นแต่จะมีกรณีพิเศษ ไม่งั้นเราจะไม่ออกไปล่าคริสตัลนอกฐานที่มั่นกับทีมอื่น ข้อสอง จะพยายามไม่รับคนใหม่เข้ามา ถ้าจำเป็นจริงๆ ต้องได้รับความเห็นชอบจากทุกคนอย่างเป็นเอกฉันท์ และต้องผ่านการทดสอบก่อนถึงจะอนุญาตให้เข้าร่วมทีมได้ ข้อสุดท้าย ไม่ว่าเมื่อไรก็ตาม ห้ามกระทำการใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ส่วนรวมของทุกคน ถ้ามีการทรยศหักหลังหรือทำให้ทีมได้รับความเสียหาย จะถูกไล่ออกจากทีม แต่ถ้าเลวร้ายกว่านั้นก็ต้องถูกกำจัดทิ้ง”
กฎที่หลัวซวินตั้งขึ้นมาใหม่สุดแสนจะเรียบง่าย แต่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของทุกคนมาก แถมยังคงความแปลกอยู่นิดหน่อยตามสไตล์ของทีมอย่างที่เคยเป็นมา
ครั้นเมื่อสิ้นเสียงของหลัวซวิน ทุกคนก็รีบส่งเสียงสนับสนุนขึ้นมาทันที
พวกเขาแค่อยากอยู่อย่างสงบสุข ในช่วงยุควันสิ้นโลกนี้ ขอแค่มีชีวิตที่ดี สุขภาพแข็งแรง ขยันทำงานต่อไปเรื่อยๆ ก็พอแล้ว
วันรุ่งขึ้นพวกหลัวซวินได้ยินหัวหน้ากัวบอกว่าทางศูนย์วิจัยมีอุปกรณ์ตรวจหาเชื้อซอมบี้รุ่นใหม่ล่าสุดออกมาให้ได้ใช้แล้ว ส่วนอุปกรณ์ตรวจวัดพลังพิเศษ หัวหน้ากัวบอกว่าแม้ล็อตแรกจะไม่ใช่คิวของทุกคน แต่อีกสองวันจะส่งสมาชิกหน่วยโลหะไปตรวจเช่นกัน แม้โอกาสพบผู้มีพลังพิเศษเพิ่มจะเป็นไปได้ต่ำ แต่ก่อนหน้านี้ก็มีคนที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นผู้มีพลังพิเศษหลังจากไปเข้ารับการตรวจสอบนี้เป็นกรณีตัวอย่างมาแล้ว
ทุกคนในหน่วยล้วนมีความอยากรู้อยากเห็นแตกต่างกันไป แม้จะไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองต้องมีพลังพิเศษอะไร แต่พวกเขาอยากรู้มากว่าอุปกรณ์เครื่องนั้นมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร และจะตรวจแบบไหน ทว่าพวกเขารู้ดีว่ามีบางเรื่องที่รีบร้อนไปก็ไม่เกิดประโยชน์ เรื่องนี้ต้องให้สิทธิ์หน่วยรบไปตรวจก่อนเป็นทีมแรกอยู่แล้ว จากนั้นค่อยถึงคิวของคนที่อยู่ในสังกัดพลาธิการอย่างพวกเขา ซึ่งแน่นอนว่าถึงจะอยู่ฝ่ายพลาธิการเหมือนกัน แต่หน่วยของพวกเขาจัดอยู่ในระดับสูงกว่าหน่วยอื่นเล็กน้อย ช้ากว่าหน่วยรบ แต่เร็วกว่าหน่วยอื่นอยู่นิดหน่อย
ครั้นเสร็จจากงานของวันนี้แล้ว หลัวซวินกับเหยียนเฟยก็ขับรถกลับมาจอดหน้าตึกที่พักของตน หลังจากล็อกรถเรียบร้อย พวกเขาก็แบกถุงคริสตัลและคูปองสะสมเดินออกจากเขตชุมชนไป
เมื่อตอนเช้าพวกเขาบอกกับสองสาวไว้แล้วว่า หลังจากกลับมาจะออกไปทำธุระข้างนอกก่อน ฉะนั้นวันนี้ต้องฝากเจ้าตัวเล็กไว้ที่ห้องของพวกเธอนานหน่อย
ต้องบอกก่อนว่า ปกติเวลาเจ้าตัวเล็กตื่นเต้นดีใจนั้นมันจะคึกมาก ตอนอยู่ในห้อง 1603 จึงมักจะวิ่งพล่านเอาหัวไปชนชั้นโน้นชั้นนี้อยู่เป็นประจำ แต่เวลาที่เจ้าตัวเล็กอยู่กับอวี๋ซินหรันที่ไร้เดียงสากว่ามันมากนั้น สุนัขตัวนี้กลับแสดงให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดของสุนัขพันธุ์ใหญ่ที่มีความสุขุม แม้มันจะเล่นสนุกไร้สาระเป็นเพื่อนอวี๋ซินหรัน แต่เมื่อใดก็ตามที่อวี๋ซินหรันทำพฤติกรรมที่เสี่ยงอันตราย เจ้าตัวเล็กก็จะยับยั้งเธอได้อย่างแสนรู้
ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งอวี๋ซินหรันวิ่งไปดึงปลั๊กตรงจุดที่วางอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่ เจ้าตัวเล็กก็งับแขนเสื้อเธอไว้ ครั้นเมื่อสองสาวมาเห็นเข้า สถานะของเจ้าตัวเล็กในบ้านของสามสาวก็ถูกยกระดับขึ้น แถมพวกเธอยังดูแลมันดีมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
ถนนหน้าประตูชุมชนยังคงคึกคัก มีรถส่วนตัวจอดไว้เต็มสองข้างทางราวกับในฐานที่มั่นไม่เคยมีเรื่องเกิดขึ้นมาก่อน ขณะเดียวกัน เนื่องด้วยสภาพอากาศที่เริ่มอุ่นขึ้น บางคนที่ไม่พอใจห้องพักที่ทางฐานที่มั่นจัดสรรให้จึงมาอาศัยกินนอนอยู่ในรถตัวเอง วางแผนเก็บเงินให้ได้เยอะๆ แล้วไปเช่าห้องชุดอยู่เอง จะได้ไม่ต้องเบียดเสียดเยียดยัดอยู่ในห้องรูหนูกับกลุ่มคนที่พวกเขาไม่รู้จัก
ถูกต้องแล้ว ในบางชั้นของอาคาร ห้องพักธรรมดาแบบห้องเดี่ยวไม่สามารถแบ่งแยกห้องย่อยได้ เมื่อทหารเข้าไปจัดสรรก็มักถูกปรับให้เป็นห้องแบบหอพักนักศึกษา
ส่วนห้องชุดแบบสองห้องนอนนั้น ขนาดเป็นห้องเล็กที่สุดก็ยังยัดเตียงสองชั้นเข้าไปถึงสองเตียง ให้อัดกันอยู่สี่คนต่อห้อง จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงห้องที่มีขนาดใหญ่และมีห้องรับแขกเลย
ด้วยเหตุนี้จึงมีเหตุการณ์คนถูกไล่ออกจากห้องหรือย้ายออกมาเองเกิดขึ้นบ่อยครั้งมากจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว บวกกับในปัจจุบันทางฐานที่มั่นขาดแคลนกำลังคนที่จะมาดูแลจัดการด้านนี้เป็นอย่างมาก เมื่อทางการไม่มีเวลามาเก็บรวบรวมข้อมูลและสำรวจตรวจสอบว่าเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นจริงหรือไม่ ภาพที่คนมาสร้างที่พักชั่วคราวตามสองข้างทางจึงปรากฏให้เห็นอีกครั้ง
คนที่เพิ่งเข้ามาอยู่ใหม่ไม่เคยผ่านประสบการณ์จึงไม่รู้ว่าในฐานที่มั่นตะวันตกเฉียงใต้เคยเกิดวิกฤตการณ์ไวรัสซอมบี้ระบาดมาก่อน ส่วนคนที่รู้เรื่องนี้ปัจจุบันก็ย้ายออกไปอยู่เขตชั้นนอกอย่างสบายใจแล้ว แต่ก็มีส่วนน้อยที่ยังยืนหยัดปักหลักต่อและไม่ยอมให้คนอื่นมารุกล้ำที่ของตน ที่สำคัญ ไม่มีใครไปเตือนคนที่มาใหม่เหล่านั้นเลย…แต่ถึงเตือนไปก็คงเปล่าประโยชน์ เพราะพวกเขาคิดว่าอยู่ได้ก็ทนอยู่กันไป
หลัวซวินและเหยียนเฟยเดินดูของไปพร้อมกับกวาดตามองหาว่ามีร้านไหนรับแลกคริสตัลบ้าง ซึ่งตามแผงลอยในตลาดแบบนี้ต้องมีอยู่แล้ว เพียงแต่คนที่คิดจะนำคริสตัลไปแลกก็ต้องหูตาว่องไวพอสมควร
เช่นที่พวกเขาสองคนเห็นว่าร้านหนึ่งนำคริสตัลขั้นสองมาวางไว้บนแผง แม้จะไม่มีคริสตัลพลังโลหะที่เหยียนเฟยต้องการ แต่หนึ่งในนั้นน่าจะเป็นคริสตัลพลังทรายที่อวี๋ซินหรันสามารถใช้ได้พอดี เมื่อหลัวซวินเอ่ยถามไป พ่อค้าก็ตอบกลับมาว่าพวกเขายังมีคริสตัลอีกมากมายหลายสีสัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นคริสตัลพลังอะไรบ้าง เลยพกติดมาแค่ไม่กี่ก้อนเพื่อเป็นสินค้าตัวอย่างเท่านั้น ถ้าทั้งสองคนอยากได้จะตามไปดูของที่ที่พักของเขาก็ได้
หลัวซวินเงยหน้ามองเหยียนเฟยด้วยสายตาจนใจ เหยียนเฟยรับรู้ความหมายที่เขาต้องการสื่อโดยเก็บสีหน้าอาการอย่างดีเยี่ยม จากนั้นจึงชี้ไปยังคริสตัลพลังทรายก้อนนั้น “เอาแค่ก้อนนี้ แลกได้หรือเปล่า”
ชายคนนั้นอึ้งไปสักพัก สีหน้าคิดหนักเล็กน้อย ก่อนกวาดตามองพิจารณาสองหนุ่มครู่หนึ่ง จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปมองกระเป๋าเป้ตุงๆ ที่พวกเขาสะพายไว้บนบ่า ต่อด้วยเหลือบมองแขนเสื้อข้างซ้ายที่ดูพองๆ ของหลัวซวิน สุดท้ายเขาจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่เต็มใจนัก “แลกกับคริสตัลขั้นหนึ่งสิบห้าก้อน หรือคริสตัลพลังดินหนึ่งก้อนบวกกับคริสตัลขั้นหนึ่งอีกห้าก้อน”
หลัวซวินรีบยืดตัวตรงแล้วดึงแขนเหยียนเฟย “คริสตัลขั้นสองแลกกับคริสตัลขั้นสอง ไม่บวกคริสตัลขั้นหนึ่งเพิ่ม ถ้าไม่แลกก็ไม่เป็นไร” เขาว่าพลางตวัดตามองชายคนนั้นทีหนึ่ง ครั้นเห็นอีกฝ่ายยังไม่เลิกทำหน้าไม่พอใจ หลัวซวินจึงดึงมือเหยียนเฟยเดินออกมา จะแลกก็แลก ไม่แลกก็ตามใจ เห็นอยู่ว่าจงใจมาล่อเหยื่อจับปลากันชัดๆ ทีแรกกะว่าถ้าราคาพอรับได้ก็จะแลกเก็บไว้สักก้อน ที่ไหนได้ คิดจะฟันราคากันขนาดนี้ เห็นพวกเขาสองคนเป็นแกะอ้วนให้หลอกกินได้ง่ายๆ เหรอ
พลังพิเศษธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุสายฟ้า และธาตุน้ำ เป็นธาตุที่พบได้มากในฐานที่มั่น ตอนนี้คริสตัลพลังดินกำลังเป็นที่ต้องการของตลาด เพราะปัจจุบันผู้มีพลังพิเศษธาตุดินกำลังทำงานให้กองทัพ ปกติพวกเขากินใช้ของหลวง แถมมีคูปองสะสมไว้ให้ใช้จ่ายอีกต่างหาก จึงไม่สะทกสะท้านหากต้องจ่ายเงินเล็กๆ น้อยๆ เพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเอง แม้คูปองสะสมในมือจะมีจำกัด แต่ก็หยุดยั้งความต้องการของพวกเขาไม่ได้หรอก ดังนั้นคริสตัลพลังดินจึงได้รับความนิยมสูงมากในฐานที่มั่นมาโดยตลอด
ผู้มีพลังพิเศษธาตุน้ำ แรกเริ่มอาจดูไม่โดดเด่น แต่เมื่อผู้คนในฐานรู้ข่าวว่า แม้น้ำประปาจะมีให้ใช้ตลอด แต่กลับปนเปื้อนเชื้อไวรัส ขนาดการปลูกผักทำฟาร์มยังต้องใช้แต่น้ำสะอาดจริงๆ จึงจะดีที่สุด สถานะความสำคัญของผู้มีพลังพิเศษธาตุน้ำจึงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทว่าในแต่ละทีมมีสมาชิกที่เป็นผู้มีพลังพิเศษธาตุน้ำอยู่แค่ไม่กี่คน กระทั่งเวลานี้ทางฐานที่มั่นก็ยังกำลังเปิดรับสมัครผู้มีพลังพิเศษธาตุน้ำเลย ทำให้มูลค่าของคริสตัลพลังน้ำเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
ส่วนผู้มีพลังพิเศษธาตุไฟกับธาตุสายฟ้านั้นไม่ว่าอยู่ในทีมไหนต่างก็เนื้อหอมกันมาก เพราะพลังโจมตีที่แข็งแกร่งทรงอานุภาพ จึงทำให้คริสตัลของสองธาตุนี้มีราคาสูงไปโดยปริยาย
การนำคริสตัลพลังดินที่กำลังขายดีหนึ่งก้อนมาแลกกับคริสตัลที่ใช้ประโยชน์อะไรได้ก็ยังไม่รู้หนึ่งก้อน แถมยังจะบวกราคาเพิ่มอีก แม้จะเป็นคริสตัลพลังทรายที่มีน้อยและหายากมากก็ตาม แต่เขาใช้คริสตัลขั้นหนึ่งทั้งกองมาช่วยให้อวี๋ซินหรันเพิ่มขั้นพลังพิเศษธาตุทรายยังดีเสียกว่า ไม่จำเป็นต้องทำตัวโง่ตกเป็นเหยื่ออย่างนั้นไหม
สุดท้ายชายคนนั้นก็ไม่ได้รั้งตัวหลัวซวินกับเหยียนเฟยไว้ เพราะเขาคิดว่าคริสตัลที่ตัวเองมีอยู่ในมือเป็นของหายาก ไม่เคยเห็นคริสตัลแบบนี้มาก่อน เผื่ออาจยังมีคนอื่นที่อยากได้และยอมจ่ายในราคาที่แพงกว่า หรือแม้กระทั่งตกเหยื่อโง่เขลาที่ยอมตามเขากลับไปสำเร็จก็เป็นได้
หลังจากเหยียนเฟยเดินตามหลัวซวินมาได้ไม่กี่ก้าวก็กระซิบถามเขาว่า “นายคนนั้นกำลังล่อเหยื่ออยู่สินะ”
หลัวซวินคลี่ยิ้มมุมปากพลางหันไปจ้องเหยียนเฟยตาแป๋วแล้วถามว่า “ดูออกด้วยเหรอ” พูดแล้วก็เดินไปแผงถัดไปพลางบ่นอุบอิบเบาๆ ว่า “ประเภทที่บอกว่าที่บ้านยังมีเก็บไว้อีกเพียบ ร้อยทั้งร้อยก็แค่จะหลอกพาไปแหล่งที่พวกมันดักรออยู่ จากนั้นก็ตีหัวเหยื่อสลบแล้วปลดทรัพย์ไปจนเกลี้ยง อย่างเบาก็อาจแค่ทิ้งเหยื่อไว้ข้างทาง อย่างร้ายแรงอาจถึงขั้นฆ่าปิดปากเหยื่อเลยก็มี” เรื่องแบบนี้ถึงจะไม่ได้เกิดขึ้นให้เห็นทุกวัน แต่ก็เลี่ยงไม่ให้มีคนคิดแบบนี้ได้ยาก
เหยียนเฟยเองก็พอจะเดาออก แต่พอฟังที่หลัวซวินเล่าจนน่ากลัวแบบนี้ ก็ขอให้เป็นสิ่งที่หลัวซวินได้ยินได้เห็นจากแค่ในฝันก็พอ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เหยียนเฟยก็รู้สึกฉุนขึ้นมานิดๆ “เราสองคนดูเหมือนพวกไร้สมองหลอกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ”
หลัวซวินยิ้มขันก่อนเปลี่ยนเป็นสีหน้าเจ้าเล่ห์ เขาหันไปมองเหยียนเฟยแล้วเลิกคิ้วพูดว่า “ก็ดูเอาสิ ดูนี่ แต่งตัวสะอาดสะอ้าน ถึงจะเห็นหน้าไม่ชัด แต่ดูจากผิวพรรณ ทั้งมือทั้งรูปร่าง แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่พวกหาเช้ากินค่ำ…” นี่ถ้าเหยียนเฟยไม่คาดหน้ากากปิดปาก ผู้คนภายนอกต้องมองว่าเขาเป็นเจ้าหน้าอ่อนที่มีคนเลี้ยงดูอยู่แน่ๆ แต่ต่อให้เห็นหน้าเขาไม่ชัด ดูจากสภาพการแต่งตัวสะอาดเกลี้ยงเกลาออกมาเดินเตร่แบบนี้ ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าเขาจะเป็นผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งมาก
เหยียนเฟยเลิกคิ้วก่อนคว้าข้อมือหลัวซวินดึงตัวมาอยู่ข้างกาย จากนั้นก็โน้มใบหน้าลงไปกระซิบข้างหูอีกฝ่ายเบาๆ ว่า “พูดแบบนี้ นายเองก็ไม่ต่างกันหรอก อย่าลืมสิว่าพวกเราถูกมองว่าเป็นไก่อ่อนถูกหลอกง่ายด้วยกันทั้งคู่”
ถูกต้อง แม้หลัวซวินจะไม่ได้คาดหน้ากากผ้า แต่ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้วก็เห็นได้ชัดว่าในยุควันสิ้นโลกนี้เขาไม่ได้มีชีวิตตรากตรำอะไร ปัจจุบันเขาก็ไม่ได้ตกระกำลำบาก อดหยากแร้นแค้นจนหน้าตาซีดเซียวเหมือนอย่างชาติก่อนแล้ว ก่อนกลับชาติมาเกิดใหม่มือทั้งสองข้างของหลัวซวินด้านแข็งเป็นไตๆ เพราะการกรำงานหนัก ผิวพรรณก็หยาบกร้านไม่ค่อยได้อาบน้ำเพราะกลัวเปลือง มีเพียงเรื่องเดียวที่ควรค่าให้เอ่ยถึง นั่นก็คือ เพราะเขาหมกตัวปลูกผักอยู่ในห้องใต้ดิน นานๆ ทีถึงจะได้เจอแสงอาทิตย์ ผิวจึงขาวเป็นพิเศษ
ทั้งสองหยอกล้อแซวกันไปมาระหว่างเดินดูของจนเกือบรอบตลาด ในที่สุดทั้งคู่ก็เจอคริสตัลพลังโลหะที่ต้องการอยู่หลายก้อน รวมทั้งคริสตัลพลังทรายที่กำลังช่วยอวี๋ซินหรันตามหาอยู่ หลังจากนั้นถึงค่อยนำคริสตัลขั้นสองที่พวกตนใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ไปแลกกับคริสตัลขั้นหนึ่งด้วยอัตราหนึ่งต่อสิบเอ็ด
เมื่อพี่ชายที่แลกเปลี่ยนซื้อขายกับพวกเขาเห็นว่าทั้งสองนำคริสตัลขั้นสองมาแลก แถมมีจำนวนเยอะมาก จึงหมายมาดในใจว่าจะจีบให้ทั้งคู่เป็นลูกค้าประจำ หลังทำการค้ากันเสร็จแล้วก็ชวนคุยต่อหวังจะตีสนิท “ผมรบกวนถามอะไรหน่อยสิครับ แต่ถ้าพวกคุณไม่สะดวกตอบก็ไม่เป็นไรนะ คือผมอยากรู้ว่าคริสตัลสีเหลืองที่พวกคุณแลกไปพวกนั้นเป็นพลังอะไรเหรอ” ทีมที่พี่ชายคนนี้เข้าร่วมส่วนใหญ่มักออกไปรวบรวมทรัพยากร เลยมีโอกาสได้ล่าคริสตัลมาบ้าง แต่ก็ย่อมมีคริสตัลที่ไม่รู้จักอยู่บ้าง ถ้ารู้ว่านั่นเป็นคริสตัลพลังอะไรจะได้สะดวกต่อการทำการค้าแลกเปลี่ยนกับคนอื่น
เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องปิดเป็นความลับ เพราะคริสตัลพลังของธาตุนี้ไม่ได้ต่างจากของธาตุอื่น หากไม่ใช่ผู้มีพลังพิเศษธาตุทราย ต่อให้ได้คริสตัลไปก็เปล่าประโยชน์ ถ้าตั้งราคาขายสูงเกินไป ผู้มีพลังพิเศษที่ไม่พอใจก็ไปซื้อคริสตัลขั้นหนึ่งดูดซับพลังแทนก็ได้ คนที่โก่งราคาก็คงได้แต่กำคริสตัลในมือค้างเติ่งต่อไปเท่านั้น
ดังนั้นเหยียนเฟยจึงบอกอีกฝ่ายอย่างเป็นธรรมชาติมากว่า “พลังทรายน่ะ สามารถทำให้ดินกลายเป็นทรายได้”
อีกฝ่ายพอได้ยินก็ตาลุกวาว “หา! นี่ถือเป็นพลังพิเศษม้ามืดที่ใช้ล่าซอมบี้ได้ยอดเยี่ยมมากเลย” ทั้งคนที่เป็นผู้มีพลังพิเศษเหมือนกันและคนที่มีประสบการณ์ออกไปสู้กับซอมบี้นอกฐาน เมื่อได้ยินก็เข้าใจวิธีใช้พลังพิเศษธาตุนี้ทันที ซึ่งต่างจากพ่อแม่ของอวี๋ซินหรัน และแฟนเก่าของสวีเหมยที่หลอกอวี๋ซินหรันไปขาย หลังจากชายคนนั้นพูดจบก็มองทั้งสองด้วยสายตาอิจฉา มิน่าล่ะ สองคนนี้ถึงนำแต่คริสตัลขั้นสองมาแลก ดูท่าทีมพวกเขาต้องแข็งแกร่งมากแน่ๆ แม้แต่ผู้มีพลังพิเศษธาตุแปลกๆ ก็ยังมาอยู่ในทีมนี้เลย
[1] ปรากฏใช้ครั้งแรกในสมัยซีฮั่น (ฮั่นตะวันตก) หลังจากจักรพรรดิฮั่นเกาจู่หลิวปังทรงสถาปนาแคว้นฮั่น ให้ล้มเลิกกฎหมายของราชวงศ์ฉิน ประกาศธรรมนูญของแคว้น 3 ประการ ได้แก่ 1) ผู้ที่ฆ่าคนต้องตายตกไปตามกัน 2) ผู้ที่ทำร้ายคนต้องได้รับโทษอย่างสาสม 3) ผู้ที่ขโมยทรัพย์สินต้องถูกตัดสินโทษ ปัจจุบัน ‘บทบัญญัติสามประการ’ กลายเป็นสำนวน หมายถึง กฎเหล็กที่ต้องยึดถือ