โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则
暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล
นิยาย 7 เล่มจบ
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
____________________________________
บทที่ 126 ครอบครัวกับผลประโยชน์
ชีวิตของคนอย่างเหยียนเฟยไม่ได้ไร้ค่าขนาดนั้น
ราวกับว่าโลหะใต้ฝ่ามือเหยียนเฟย มีชีวิตเคลื่อนไหวเองได้ เหล็กเส้นแต่ละเส้นประกอบร่างขึ้นช้า ๆ เป็นโครงสะพานขนาดใหญ่ งาน สร้างสะพานสายนี้ของพวกเขาเสร็จไปแล้วประมาณเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ เหลือเพียงช่วงสุดท้ายอีกหนึ่งช่วงกับการเก็บงานตกแต่งขั้นสุดท้าย งาน ก็จะเสร็จสมบูรณ์ แต่ตอนเริ่มต้นกับตอนจบท้ายนี่แหละที่ยากกว่าช่วง กลางหลายเท่า ใครใช้ให้สะพานนี่มีขนาดสูงใหญ่มหึมาขนาดนี้กันเล่า การเชื่อมทางขึ้นลงและทางแยกต่างระดับให้มีความลาดชันที่เหมาะสมจำเป็น ต้องทำวงแหวนและทางโค้งจำนวนมาก จึงต้องอาศัยความแม่นยำที่สูงอย่างยิ่ง
เมื่อพวกเขาสร้างโครงหลักของสะพานตามแบบที่กำหนดไว้แข็งแรงมั่นคงดีแล้ว สองสามวันมานี้ผู้มีพลังพิเศษธาตุดินจึงเข้ามารับช่วงต่อ โดยเติมส่วน ‘เนื้อ’ ของตัวสะพาน
แน่นอนว่ากว่าจะสร้างสะพานเสร็จสมบูรณ์ยังมีขั้นตอนอื่น ๆ อีกหลายอย่าง แต่ขั้นตอนเหล่านั้นไม่ใช่ส่วนที่พวกเหยียนเฟยต้องไปสนใจ
หลังจากวันนี้เก็บงานเสร็จทุกคนต่างเก็บข้าวของเตรียมจะขึ้นรถ เพื่อเดินทางกลับไปที่ค่ายทหาร
ขณะที่กำลังออกจากจุดพักชั่วคราวเพื่อเตรียมขึ้นรถ ก็บังเอิญเห็น ตรงบริเวณปากทางเข้าพื้นที่ก่อสร้างนอกจากจะมีรถบรรทุกที่พวกเขานั่งมา กับรถขนส่งโลหะสำหรับใช้สร้างสะพานจอดอยู่หลายคันแล้ว ยังมีรถจี๊ป ติดป้ายกองทัพจอดเทียบอยู่ใกล้ ๆ อีกคัน ฝ่ายคนบนรถจี๊ปเมื่อเห็นกลุ่มคน กำลังเดินมากันแล้วจึงเปิดประตู คนคนหนึ่งเดินตรงไปหาพวกเขา
“คนไหนคือคุณเหยียนเฟยครับ”
หัวหน้ากัวเลิกคิ้วแล้วเหลือบมองรถจี๊ปที่อยู่ด้านหลังคนคนนั้น แวบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองเหยียนเฟย
เหยียนเฟยเองก็มองไปยังจุดที่รถจี๊ปจอดอยู่ด้วยเหมือนกัน จึงเห็น ด้านหลังประตูที่เปิดแง้มอยู่มีคนกำลังมองมาทางนี้ พอเห็นเหยียนเฟย ก็กวักมือคล้ายกับเรียกให้เขาเดินไปหา
พอเห็นว่าคนที่อยู่ในรถเป็นใคร เหยียนเฟยก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ สีหน้า ไม่ค่อยดีนัก
หัวหน้ากัวตบบ่าพลางบอกเขายิ้ม ๆ ว่า “คุณไปเถอะ เดี๋ยวพวกผม ขึ้นไปรอบนรถ”
สิ้นเสียงหัวหน้ากัว ชายหนุ่มที่เดินมาหาเหยียนเฟยก็ตีสีหน้าบึ้งตึง “ท่านเลขาธิการเหยียนมีเรื่องสำคัญต้องการหารือกับคุณเหยียนเฟย คง อีกนานกว่าจะเสร็จธุระ ทีมของพวกคุณกลับไปก่อนได้เลย” พูดจบ ก็ยื่นมือมาจับแขนเหยียนเฟยคิดจะพาเขาไปที่รถจี๊ป การกระทำของชาย คนนั้นเหมือนตำรวจมาจับกุมตัวผู้ร้ายไม่มีผิด
ทุกคนต่างอึ้งไปชั่วขณะ พากันมองชายคนนั้นด้วยสายตาแปลกใจและไม่สบอารมณ์ คนคนนี้พูดจาไม่มีมารยาทเอาซะเลย เห็นว่าหน่วยสร้าง กำแพงอย่างพวกเขาเป็นเพียงกรรมกรใช้แรงงานอย่างนั้นหรือ
เหยียนเฟยหรี่ตาลงและปัดมือชายคนนั้นออกไปทันที เขาไม่ได้หันไปมองว่าตอนนี้หลัวซวินกำลังมองมาด้วยสายตากังวลใจมากแค่ไหน เหยียนเฟยเพียงแสยะยิ้มเย็นชา…ทันใดนั้นโลหะที่อยู่บนรถบรรทุกก็ลอยหวือออกมายังจุดที่พวกเขายืนอยู่ พร้อมกับเปลี่ยนรูปร่างเป็นกำแพง โลหะขนาดใหญ่ขวางหน้า ชายที่ทำหน้าบึ้งเสียงแข็งคิดจะพาเหยียนเฟยไปที่รถจี๊ปเมื่อครู่ถึงกับช็อกและรีบถอยหลังหลบ ‘กำแพง’ ตามสัญชาตญาณแต่กำแพงโลหะยักษ์กลับไล่ต้อนประจันหน้าเขาใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ
จนกระทั่งเกิดเสียงดัง ‘ตึง’ ชายคนนั้นถอยหลังไปชนกับวัตถุบางอย่าง กำแพงโลหะถึงลอยกลับขึ้นไปบนรถบรรทุกและคืนสู่สภาพเดิมของมัน
เหยียนเฟยเหลือบตาไปมองเหยียนเก๋อซินซึ่งยังอยู่บนรถ แต่เปิดประตูอ้ากว้างแล้ว พ่อของเขากำลังอ้าปากค้าง สีหน้าตกตะลึงอย่างยิ่ง
“พวกเราไปกันเถอะครับ” เหยียนเฟยพูดจบก็หันหลังเดินนำไปทางรถบรรทุก หัวหน้ากัวอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะหันเดินตามเหยียนเฟยพลางยิ้มขำ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเหยียนเฟยมีความสัมพันธ์อย่างไรกับคนที่มาหาแต่เห็นอยู่ทนโท่ว่าเขาไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับคนคนนั้น แถมลูกสมุนของคนคนนั้นยังทำตัวไร้สมองสิ้นดีอีก
เดี๋ยวไปสืบในค่ายทหารดูนิด ๆ หน่อย ๆ ก็รู้แล้ว ตอนนี้มีใครไม่รู้จักทีมโม่แป้งที่แสนโด่งดังกันบ้าง ขนาดบรรดาคนใหญ่คนโตในฐานที่มั่นเจอคนจากทีมนี้ยังต้องส่งยิ้มทักทาย ทำท่าเกรงอกเกรงใจพวกเขาเลยนายคนนี้เป็นแค่ลูกน้องของเลขาธิการ เทียบชั้นทหารพลาธิการยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แล้วมีสิทธิ์อะไรมาออกคำสั่งพวกเขาด้วยท่าทีแข็งกร้าวแบบนี้แถมยังจะพาตัวเหยียนเฟยไปดื้อ ๆ อีกเนี่ยนะ แต่ก็เอาเถอะ บางทีพวกเขาอาจจะ ‘เซ้นสิทีฟ’ ไปหน่อยก็ได้ ฝ่ายนั้นแค่มีท่าทีขึงขัง แต่ก็ไม่ได้พ่นคำพูดอะไรที่ไม่ดีออกมานี่นา
ขณะที่ทุกคนกำลังจะเดินไปขึ้นรถบรรทุก ก็ได้ยินเสียงคนคนหนึ่งตะโกนเรียกมาจากรถจี๊ปคันนั้น
“เสี่ยวเฟย!” คนคนนั้นก้าวลงจากรถแล้ว
‘ขวับ ขวับ ขวับ’ ทุกคนต่างหันไปมองเหยียนเฟยพร้อมกัน ส่วนเหยียนเฟยก็หันไปมองคนเรียกด้วยสีหน้ารำคาญอย่างที่สุด เขากอดอกยืนอยู่กับที่ ตอนนี้เองทุกคนจึงเห็นชัดและจำได้ว่าฝ่ายนั้นคือชายวัยกลางคนที่เข้ามาทักเหยียนเฟยตอนงานเลี้ยงประกาศเกียรติคุณของกองทัพคราวก่อน ดังนั้นก็หมายความว่าพวกเขาสองคนรู้จักกัน หรืออาจเป็นคนในครอบครัวเหยียนเฟยก็เป็นได้
หัวหน้ากัวเห็นชายคนนั้นกำลังเดินตรงมาทางนี้ เขาจึงหันไปบอกเหยียนเฟยว่า “พวกเราจะไปรอคุณบนรถนะ” พูดจบก็โอบบ่าหลัวซวินพาเดินไปทางรถบรรทุกด้วยกัน
เขารู้ว่าผู้ชายคนนี้แซ่เหยียน และนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้มีผู้นำในฐานที่มั่นคนหนึ่งกำลังตามหาชายหนุ่มแซ่เหยียนอายุยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปีแม้ว่าหลังจากเหยียนเฟยรู้ข่าวนี้แล้วจะทำเฉย แต่ดูจากที่อีกฝ่ายมาทักเหยียนเฟยในงานเลี้ยงคราวก่อนก็พอจะเดาได้ว่าคนคนนี้คงจะเป็นพ่อของเหยียนเฟย
เมื่อคนเป็นพ่อซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยลงรอยกันมาหาลูกชายดังนั้นควรพาลูกสะใภ้เลี่ยงออกมาก่อนจะดีกว่า ไม่งั้นเกิดคนเป็นพ่อพูดอะไรให้เหยียนเฟยโมโหคุมตัวเองไม่อยู่ขึ้นมา…พลั้งมือฆ่าผู้นำของฐานที่มั่นโดยไม่เจตนา และเป็นเหตุให้คนธรรมดาที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ถูกลูกหลงไปด้วย ความผิดโทษฐานนี้ในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยผ่านกันได้ง่าย ๆ
เหยียนเก๋อซินเห็นว่าคนอื่นหลบไปอย่างรู้งานก็มีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ยังปรากฏร่องรอยความไม่พอใจอยู่บ้าง “เสี่ยวเฟย เป็นอะไร นึกจะอาละวาดก็อาละวาด เมื่อก่อนแกไม่เคยนิสัยเสียแบบนี้นะ ทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นคนที่ไม่พูดจากันดี ๆ ก็ลงไม้ลงมือกับคนอื่นไปได้”
เหยียนเฟยเลิกคิ้วพลางพูดกลั้วหัวเราะ “คุณไม่เห็นเหรอว่าเขาพูดจากับผม ปฏิบัติกับผมด้วยท่าทีแบบไหน หูตาฝ้าฟางจนมองไม่เห็นได้ยินไม่ชัดไปแล้วหรือไง ทำไมผมถึงกลายเป็นฝ่ายผิดไปซะได้”
เหยียนเก๋อซินอึ้งไปชั่วขณะ เขาพยายามระงับโทสะในใจ เป็นเพราะเขาเองที่ออกคำสั่งกับลูกน้องว่า ‘ไม่ว่ายังไงก็ต้องพาตัวเหยียนเฟยมาขึ้นรถให้ได้’ แต่ดูท่าคงได้ผลตรงกันข้ามซะแล้ว ทว่าวันนี้เขามาหาเหยียนเฟยเพราะมีธุระสำคัญ ดังนั้นคนเป็นพ่อจึงต้องเก็บอาการไว้ แม้ว่าตนจะเจอลูกชายตอกกลับมาให้เจ็บปวดใจแทบทุกครั้งก็ตาม
“ขึ้นรถไปกับพ่อเถอะ เรากินข้าวด้วยกันสักมื้อ พ่อมีเรื่องสำคัญจะพูดกับแก” เหยียนเก๋อซินพูดจบก็เดินกลับไปทางรถจี๊ป
จู่ ๆ เหยียนเฟยก็ส่งเสียงหัวเราะเยาะออกมา ทำให้เหยียนเก๋อซินชะงักเท้าแล้วหันไปมองลูกชายด้วยความประหลาดใจ “ท่านเลขาฯเหยียนไม่มีใครเคยบอกคุณเหรอครับว่า การจะเชิญคนอื่นไปกินข้าวด้วยต้องนัดหมายล่วงหน้าก่อน แม้ผมจะไม่ได้มีตำแหน่งสูงและงานรัดตัวเหมือนคุณ แต่ผมก็ไม่ได้มีเวลาว่างมากขนาดนั้นนะ” เหยียนเฟยพูดจบก็หันหลัง
เดินไปทางรถบรรทุก
ตอนนี้เองเหยียนเก๋อซินจึงรู้แล้วว่าเหยียนเฟยไม่พอใจเรื่องอะไรเขาจึงรีบสาวเท้าไปคว้าแขนลูกชายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เสี่ยวเฟย พ่อมีธุระสำคัญจะคุยกับแกนะ”
เหยียนเฟยพยักพเยิดไปทางด้านหลังพลางพูดว่า “เพื่อนร่วมงานกำลังรอผมอยู่บนรถ ถ้าคุณรีบมากก็ขึ้นไปคุยกับผมบนรถคันนั้นระหว่างทางกลับไปค่ายก็ได้นะ ส่วนเรื่องกินข้าวด้วยกันผมว่าอย่าดีกว่า” ต่อให้ทางฐานที่มั่นจะกันข้าวเก่าที่รสชาติดีไว้ให้คนระดับผู้นำอย่างพ่อเขา แต่เขาไม่รู้สึกเสียดายเลยสักนิด เขารอคอยที่จะกลับไปกินอาหารที่หลัวซวินทำให้ที่บ้านมากกว่า
เหยียนเก๋อซินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “มะรืนนี้ทางกองทัพจะมีภารกิจใหญ่ เป็นภารกิจที่สำคัญมาก ฉันจัดการให้แกมีชื่ออยู่ในนั้นด้วย…ฉันรู้ว่าแกยังย้ายไปอยู่ในเขตเมืองใหม่ไม่ได้ แต่วางใจเถอะ ถ้าแกสามารถทำภารกิจนี้สำเร็จ ก็จะใช้ฐานะความเป็นผู้มีพลังพิเศษของแกกับผลงานการทำภารกิจนี้เข้าไปอยู่ที่นั่นได้แบบฟรี ๆ…และถ้าอยากจะพาคนอื่นเข้าไปอยู่ด้วย ฉันจะช่วยแกเอง ครั้งนี้มีทีมผู้มีพลังพิเศษที่มีชื่อเสียงในฐานที่มั่นเข้าร่วมเยอะมาก ถ้าแกสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขาได้ ต้องเป็นประโยชน์กับแกในอนาคตแน่ ฉันตั้งใจไว้แล้วว่าจะส่งแกไปอยู่ฝ่ายพลาธิการ”
เมื่อครู่ตอนเหยียนเฟยใช้พลังพิเศษ เหยียนเก๋อซินเห็นแล้วรู้สึกประหลาดใจมาก
แม้เขาจะไม่รู้ว่าระดับความสามารถของผู้มีพลังพิเศษมีวิธีแยกแยะอย่างไร และแบบไหนถึงเข้าข่ายว่าเป็นผู้มีพลังแข็งแกร่ง แต่ดูจากปฏิกิริยาและการเคลื่อนไหวของโลหะที่รวดเร็วแบบนั้น ก็ประจักษ์แก่สายตาเขาแล้วว่าลูกชายน่าจะทำอะไรได้ไม่แพ้ผู้มีพลังพิเศษระดับต้น ๆ ของฐานที่มั่นกระมัง ถึงแม้ผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะจะลำบากกว่าธาตุอื่น แถมต้อง
พกโลหะติดตัวไปกองเบ้อเริ่ม แต่มีพลังการต่อสู้และป้องกันภัยดีเยี่ยมอย่างน้อยถ้าเหยียนเฟยได้ร่วมปฏิบัติการปกป้องขบวนรถและทรัพยากรเหล่านั้น เขาจะต้องกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญได้แน่
เหยียนเก๋อซินคาดหวังอยากให้เหยียนเฟยลูกชายของเขาได้มีตำแหน่งใหญ่โตในฝ่ายพลาธิการเป็นอย่างมาก
เหยียนเฟยฟังอีกฝ่ายพูดได้เพียงครึ่งเดียวก็พูดขัดขึ้นเสียก่อน “วันนั้นผมไม่ว่าง อีกอย่าง ผมไม่สนใจและไม่คิดจะย้ายไปอยู่เมืองใหม่อะไรทั้งนั้น”
เหยียนเก๋อซินยังพูดไม่จบก็ถูกลูกชายปฏิเสธเสียแล้ว เขาหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อระงับความโกรธแล้วพูดกับลูกชายว่า “เสี่ยวเฟย แกก็ใกล้จะสามสิบแล้ว อย่าทำอะไรเอาแต่ใจเป็นเด็กสิบขวบไม่รู้ประสีประสาจะได้ไหม พ่อหวังดีกับแกนะ…”
เหยียนเฟยหันขวับไปจ้องเหยียนเก๋อซินตรง ๆ ทันที สีหน้าของเขาปราศจากรอยยิ้ม “คุณรู้เหรอว่าผมต้องการอะไร คุณรู้เหรอว่าในยุควันสิ้นโลกผมอยากมีชีวิตแบบไหน แล้วคุณรู้เหรอว่าผมพอใจในสภาพความเป็นอยู่ของตัวเองตอนนี้หรือเปล่า ท่านเลขาฯเหยียน ความคิดของคุณ แผนการของคุณ รวมทั้งความทะเยอทะยานของคุณ ทั้งหมดเป็นความต้องการของตัวคุณเองล้วน ๆ ดังนั้นคุณอยากให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบไหน คุณก็ต้องไปดิ้นรนต่อสู้ด้วยตัวเอง เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ผมไม่สนุกด้วยที่ต้องถวายชีวิตทั้งชีวิตทำเรื่องที่ตัวเองไม่อยากทำเพื่ออนาคตของคนอื่น” ดวงตาเหยียนเฟยฉายชัดถึงความเหนื่อยล้า “ชีวิตที่ต้องทำตามความคาดหวังและความต้องการของคนอื่น ผมทิ้งมันไปกับยุคก่อนวันสิ้นโลกนั่นแล้ว”
เหยียนเฟยพูดจบก็หันตัวเดินไปขึ้นรถบรรทุก บนรถคันนั้นมีคนรักและเพื่อนร่วมงานของเขา ทุกคนกำลังรอเขาอยู่
“เหยียนเฟย! ครอบครัวอบรมเลี้ยงดูแกมาจนป่านนี้ นี่น่ะเหรอคือสิ่งที่แกตอบแทนพ่อของแก?!” น้ำเสียงของเหยียนเก๋อซินเต็มไปด้วยความผิดหวังที่ลูกชายทำตัวไม่ได้ดั่งใจ
เหยียนเฟยพูดทิ้งท้ายโดยไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมอง “คุณให้ผมเกิดมาเพราะชีวิตผมมีประโยชน์ต่อคุณต่างหาก เพียงแต่ผมไม่คิดจะใช้ชีวิตไปตามสิ่งที่คุณกะเกณฑ์ให้ก็เท่านั้นเอง” เขาเบื่อหน่ายชะตาชีวิตที่ ‘พ่อแม่เป็นผู้มอบชีวิตให้ลูก ฉะนั้นจึงมีสิทธิ์บงการอนาคตของลูกได้ กระทั่งพ่อแม่ล่วงลับจากไปแล้ว ลูกก็ยังต้องสืบทอดการกำหนดชีวิตของลูกหลานรุ่นต่อไปให้ทำตามความต้องการของตระกูล โดยที่คนเป็นลูกห้ามต่อต้านโต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น’ อะไรทำนองนี้เต็มทน
ภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบ และฐานะตัวตนของเขาสิ้นสุดลงตั้งแต่วันสิ้นโลกแล้ว…ถ้าไม่มีหลัวซวิน เขาอาจไม่มีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้ด้วยซ้ำ
ถ้าหากบอกว่าผู้ที่มอบชีวิตให้กับคนคนหนึ่งแล้วมีสิทธิ์กะเกณฑ์ชีวิตและการตัดสินใจของคนคนนั้นได้นับตั้งแต่เกิดไปจนวันตาย แบบนั้นบนโลกนี้จะมีคนเต็มใจอยากมีชีวิตอยู่สักกี่คนกันเชียว
การให้ชีวิตแก่ลูกคนหนึ่งควรเป็นผลผลิตจากความรักที่บริสุทธิ์ปราศจากเงื่อนไข เป็นความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง และเป็นความปรารถนาที่จะเห็นชีวิตของลูกดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่มีลูกไว้ใช้เป็นหุ่นเชิดเพื่อบรรลุเป้าหมายบางอย่าง หรือเพราะต้องการหาคนคอยเลี้ยงดูตัวเองยามแก่เฒ่าตามขนบโบราณเรื่องความกตัญญู
ชีวิตของคนอย่างเหยียนเฟยไม่ได้ไร้ค่าขนาดนั้น
เหยียนเฟยปีนขึ้นรถบรรทุกแล้วก็นั่งลงข้าง ๆ หลัวซวิน เขาคว้าตัวหลัวซวินมากอดและประทับริมฝีปากจูบคนรักอย่างดูดดื่มเร่าร้อน ทำเอาทุกคนที่อยู่บนรถต่างตกตะลึงพรึงเพริดไปตาม ๆ กัน แต่หลังจากนั้นก็ส่งเสียงโห่แซวกันอย่างครื้นเครงพวกเขารู้มานานแล้วว่าสองคนนี้เป็นคู่รักกัน เพียงแต่ไม่เคยมีใครถามตรง ๆ และพวกเขาทั้งสองก็ไม่เคยทำตัวประเจิดประเจ้อ แต่ตอนนี้จู่ ๆ ก็มาจูบกันต่อหน้าธารกำนัล ทำเอาบรรดาหนุ่มโสดเต็มคันรถเลือดลมสูบฉีดพลุ่งพล่านกันเป็นแถว…อยากจะมีคู่กับเขาบ้างเลย จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ ขอแค่มีคนคอยอยู่เคียงข้างเวลาที่รู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนแอเท่านั้นก็พอ
นานพักใหญ่กว่าเหยียนเฟยจะยอมผละออก หลัวซวินซุกหน้าอยู่ในอ้อมกอดของเขาเพื่อหลบสายตาของทุกคนที่จับจ้องมองมา ผ่านไปสักพักถึงได้ยอมเงยหน้าขึ้นมาด้วยริมฝีปากแดงเจ่อ จนกระทั่งทุกคนละสายตาเลิกมองพวกเขาสองคนแล้ว หลัวซวินจึงกระซิบถามเหยียนเฟยว่า“ไม่เป็นไรใช่ไหม”
เหยียนเฟยก้มมองเขาแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ฉันไม่เป็นไร ส่วนเขาจะเป็นอะไรหรือเปล่า ฉันก็ไม่แน่ใจ” เหยียนเฟยพูดพลางเงยหน้ามองไปทางกำแพงสูงใหญ่ของค่ายทหาร เขาไม่ชอบพ่อแม่ตัวเอง แต่ไม่เคยเกลียดหรือเคียดแค้นชิงชังพวกท่านทั้งสอง เพียงแต่พฤติกรรมของพ่อในตอนนี้กำลังท้าทายขีดความอดทนของเขา เมื่อถูกวอแวซ้ำ ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าเขาเองก็เหนื่อยเป็นเหมือนกัน
หลัวซวินยิ้มขำอย่างจนใจ เขาล้วงกุญแจรถออกมาขณะเดินไปที่รถของพวกเขาสองคนจู่ ๆ เหยียนเฟยก็พูดว่า “เขาบอกว่ามะรืนนี้ฐานที่มั่นจะมีภารกิจสำคัญ นายพอจะรู้บ้างไหมว่าภารกิจอะไร”
หลัวซวินชะงักไปชั่วขณะก่อนส่ายหน้าตอบ “ฉันก็ไม่รู้…คงไม่ใช่ออกไปช่วยฐานที่มั่นอื่นหรอกมั้ง”
เหยียนเฟยส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่น่าใช่ ต้องเป็นภารกิจที่ให้ผลประโยชน์ ที่สำคัญ หลังบรรลุภารกิจแล้วต้องได้รับผลประโยชน์ก้อนโตแน่” ไม่งั้นเหยียนเก๋อซินไม่ถ่อมาหาลูกชายถึงที่เด็ดขาด…ภารกิจยาก แต่ให้ผลกำไรมหาศาล แถมยังช่วยเพิ่มชื่อเสียงเกียรติยศ เสริมสร้างบารมีในฐานที่มั่น ถ้ามีปัจจัยเหล่านี้ครบถ้วนย่อมดึงดูดคนอย่างเหยียนเก๋อซิน
“น่าจะเป็นภารกิจรวบรวมทรัพยากรที่ขาดแคลนละมั้ง” หลัวซวินพูดพลางยักไหล่ “ตอนนี้ข้าวของต่าง ๆ ในฐานที่มั่นต่างก็ขึ้นราคาสูงลิ่วฉันคิดว่าแค่พวกเขาส่งคนไปขนวัตถุดิบจากโรงงานกระจกเดิมมาก็รวยเละแล้ว” ในยุควันสิ้นโลก มีทรัพยากรอะไรที่ไม่ให้ประโยชน์มหาศาลกันล่ะขนาดกระดาษทิชชู…แค็ก ๆ ของชนิดนี้หลัวซวินซื้อตุนตั้งแต่ก่อนวันสิ้นโลกไว้ไม่น้อย พอเข้ายุควันสิ้นโลก เวลาออกไปข้างนอกแล้วเจอกระดาษทิชชูที่ไหน เขาก็จะหอบมายัดใส่รถขนกลับบ้านให้ได้มากที่สุดด้วยทุกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นนี่ก็ผ่านมาจะหนึ่งปีแล้ว กระดาษทิชชูที่ตุนไว้ร่อยหรอไปมาก…ถ้าใช้ทิชชูจนหมดเกลี้ยงแล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่จะทำยังไง
“พวกเราไปโรงงานกระดาษกันบ้างดีไหม?!” หลัวซวินหันมาดึงแขนเหยียนเฟยด้วยดวงตาเป็นประกาย
“…โรงงานกระดาษ?” เหยียนเฟยอึ้ง คิดตามไม่ทัน ไม่รู้ว่าความคิดนี้ผุดเข้ามาในสมองหลัวซวินตั้งแต่เมื่อไร
“กระดาษทิชชูไง ทิชชูน่ะ! ทิชชูที่บ้านใกล้จะหมดแล้ว!” หลัวซวินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ทิชชูที่ผลิตขึ้นในฐานที่มั่น…เนื้อหยาบอย่างกับอะไร ขืนใช้ไปนาน ๆ มีหวังได้เป็นริดสีดวงแน่!” เมื่อชาติก่อนเขาทนทุกข์กับกระดาษทิชชูมามาก จึงรู้ซึ้งเรื่องนี้เป็นอย่างดี ‘อึอึ๊’ แต่ละทีไม่ต่างจากการทารุณกรรมตัวเองเลยสักนิด!
เหยียนเฟยมีสีหน้าเหยเกเล็กน้อย กระดาษทิชชูที่บ้านมีให้พวกเขาสองคนใช้ได้ถึงปีหน้าเลยไม่ใช่เหรอ อีกอย่าง ที่บ้านก็มีทรัพยากรน้ำค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ พวกเขาใช้น้ำชำระล้างเอาก็ได้ จริงอยู่ว่าเรื่องกระดาษทิชชูเป็นปัญหาสำคัญ แต่เอาไว้กลับไปแล้วค่อยปรึกษาเรื่องนี้กับทุกคนอีกทีก็ได้
เมื่อขับรถกลับมาถึงเขตชุมชนบ้านตัวเองก็พบว่าที่นี่กลับมามีบรรยากาศ คึกคักอีกแล้ว…เดิมทีมีคนมาปลูกเพิงพัก สร้างห้อง หรือดัดแปลงซากรถเป็นบ้านบริเวณที่โล่งของเขตชุมชน แต่ไม่รู้ว่าวันนี้คนพวกนั้นไปหาผู้มีพลังพิเศษธาตุดินมาจากไหน หรือจ่ายเงินจ้างมาโดยเฉพาะหรืออย่างไร พวกผู้มีพลังพิเศษธาตุดินหลายคนจึงกำลังช่วยคนเหล่านั้นสร้างบ้านพักไว้บนพื้นที่ว่างระหว่างตึกในเขตชุมชน
บ้านพักที่สร้างไม่ได้สูงมาก ส่วนใหญ่เป็นอาคารสองชั้น…เพราะในบรรดาพวกเขามีแต่ผู้มีพลังพิเศษธาตุดิน ไม่มีใครสามารถทำเหล็กเส้นหรือวัสดุอื่นที่เกี่ยวข้องได้เลย
ทั้งสองหันมาสบตากันด้วยความแปลกใจ เมื่อขับเข้ามายังส่วนลึกของเขตชุมชนก็พบว่าคนที่ทำแบบนี้ไม่ได้มีแค่ครอบครัวเดียว แต่ตรงจุดอื่นก็มีคนมาสร้างอาคารสูงสองชั้นแบบนี้ด้วยเหมือนกัน
หลัวซวินจำไม่ได้ว่าเมื่อชาติที่แล้วมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นด้วยแน่นอนว่าเมื่อชาติที่แล้วมีการปลูกสร้างบ้านเรือนระหว่างอาคารกับอาคารอยู่เยอะมาก แต่ละหลังล้วนสร้างสูงสองชั้นขึ้นไป…ด้วยเหตุนี้จึงบดบังแสงอาทิตย์ที่จะส่องลอดผ่านช่องหน้าต่างห้องใต้ดินของเขาซึ่งมีอยู่เพียงบานเดียวไปจนหมด ต่างกันเพียงแค่เมื่อชาติที่แล้วไม่มีผู้มีพลังพิเศษธาตุดินมาช่วยสร้างบ้านให้เหมือนอย่างในชาตินี้
เมื่อจอดรถดีแล้ว เหยียนเฟยก็ใช้รั้วโลหะล้อมไว้อย่างแน่นหนาแถมยังเพิ่มความสูงอีกเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองจึงค่อยเดินเข้าตึกขึ้นบันไดไปชั้นบน
สวีเหมยและซ่งหลิงหลิงออกมายืนตรงระเบียงมองดูความวุ่นวายด้านล่างอยู่พอดี ครั้นเห็นว่าชายหนุ่มทั้งสองกลับมากันแล้ว สองสาวก็รีบเล่าให้พวกเขาฟังว่า “ได้ยินมาว่ามีคนจ่ายเงินจ้างผู้มีพลังพิเศษธาตุดินมาสร้างบ้านในเขตชุมชน ต่อมาคนที่อาศัยอยู่ข้างนอกนั้นเลยเอาอย่างทำตามบ้าง เมื่อตอนกลางวันเลยพากันมาจับจองพื้นที่ว่างจนเต็มหมดแล้ว แถมยังรื้อถอนบ้านเก่า ๆ โทรม ๆ ที่มีอยู่เดิมออกไปด้วยค่ะ”
หลัวซวินเดินไปที่ระเบียงแล้วมองลงไปด้านล่าง ตอนนี้มีคนมาสร้างบ้านอยู่บริเวณข้างตึกพวกเขาสองครัวเรือน “พวกเขาควักเงินจ้างคนมาสร้างบ้านให้เลยเหรอ”
“น่าจะใช่มั้ง ในเขตชุมชนอื่นก็มีคนทำแบบนี้เหมือนกัน พวกคุณดูสิ ข้างตึกเจ็ดชั้นติดกับชุมชนเราก็มีคนกำลังสร้างบ้านกันอยู่”
เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ตึกเจ็ดชั้นหลายหลังในเขตชุมชนข้าง ๆ มีคนกำลังสร้างบ้านเพิ่มขึ้นมาเช่นกัน บ้านเหล่านั้นถ้าไม่ต่อเติมเพิ่มขึ้นจากบนดาดฟ้าของอาคารหลังเดิม ก็เป็นการสร้างส่วนต่อขยายออกไปด้านนอกคล้ายกับบ้านสองชั้นด้านล่างตึกของพวกเขา
“ฉันจำได้ว่าแนวป้องกันนอกฐานที่มั่นสร้างเสร็จแล้ว” จู่ ๆ เหยียนเฟยก็หันไปพูดกับหลัวซวิน “ถึงแม้ตอนนี้จะยังมีงานที่จำเป็นต้องใช้ผู้มีพลังพิเศษธาตุดินอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ต้องการคนเยอะเท่าแต่ก่อนแล้ว”
หลัวซวินได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะขึ้นมา “เดาว่าตอนนี้พวกเขาคงกำลังว่างงานชั่วคราวสินะ อีกอย่าง พวกเขาอยู่แต่ในฐานที่มั่นมานาน คงมีน้อยคนมากที่จะยอมเข้าร่วมทีมผู้มีพลังพิเศษออกไปฆ่าซอมบี้ที่นอกฐาน”
ดังนั้นผู้มีพลังพิเศษธาตุดินพวกนี้จึงตัดสินใจเลือกหนทางอื่น…รับจ๊อบหาลำไพ่พิเศษ? พวกเขาเคยมีส่วนร่วมในงานก่อสร้างประเภทต่าง ๆ ในฐานที่มั่นทั้งโครงการเล็กและโครงการใหญ่มาหมดแล้ว เมื่อมีประสบการณ์มากเข้า สร้างบ้านแค่นี้จะทำไม่เป็นได้อย่างไร โดยเฉพาะผู้มีพลังพิเศษขั้นสองหรือบางคนถึงขั้นสามแล้วก็มี ฉะนั้นการสร้างบ้าน
สักหลังจึงเป็นเพียงเรื่องกล้วย ๆ ที่ไม่ได้ลำบากยากเย็นอะไรเลย
พวกเขามองดูบ้านด้านล่างตึกของตัวเองและในเขตชุมชนที่อยู่ติดกันก็เห็นว่ามีรูปร่างลักษณะแบบเดียวกันเปี๊ยบ จึงได้แต่ยอมรับว่าผู้มีพลังพิเศษธาตุดินซึ่งออกมาหาลำไพ่พิเศษเหล่านี้จะต้องเป็นกลุ่มเดียวกัน หรืออย่างน้อย ๆ น่าจะถูกฝึกมาจากที่เดียวกันแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นจะสร้างบ้านที่ดูคล้ายคลึงกันมากขนาดนี้ได้อย่างไร
“โชคดีที่วันนั้นไล่พวกที่จะขึ้นไปอยู่บนดาดฟ้าตึกเราออกไปได้ไม่งั้นถ้าพวกเขาไปจ้างคนให้สร้างบ้านบนนั้น…” สวีเหมยเบ้ปากทำท่าขนลุกเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ด้วยความรู้สึกสะท้อนใจ
บ้านที่เพิ่งปลูกใหม่ในเขตชุมชนไม่ใช่มีแค่หลังสองหลัง พวกหลัวซวินสามารถดูแลไม่ให้คนอื่นบุกรุกขึ้นไปสร้างที่พักบนดาดฟ้าตึกของพวกตนได้แต่ไปยุ่งกับตึกอื่นหรือส่วนอื่นของคนอื่นไม่ได้ แม้จะรู้ดีว่าการใช้ดินเปล่า ๆ สร้างอาคารคงไม่แข็งแรงทนทานเท่าไรนัก…แต่ในเมื่อคนสร้างอย่างผู้มีพลังพิเศษธาตุดินไม่บอกให้เจ้าของบ้านรู้ แล้วพวกเขาพูดไปใครจะเชื่อ…ต่อให้เป็นบ้านที่สร้างโดยผู้มีพลังพิเศษธาตุดิน ก็ต้องนำวัสดุมาผสมให้ได้ตามสัดส่วนที่เหมาะสมจึงจะนำไปใช้ได้ แบบนั้นถึงจะมีความแข็งแรงทนทานกว่าซี้ซั้วใช้ดินที่ขุดมาจากที่ไหนก็ไม่รู้หลายเท่า
ก็เหมือนกับพวกเหยียนเฟยในตอนนี้ เพื่อให้ได้โลหะที่มีความแข็งแกร่งทนทานสูงและมีความเหนียวแน่นในระดับหนึ่ง พวกเขาจึงต้องหลอมวัสดุตามสัดส่วน ไม่อย่างนั้นจะมัวแยกวัสดุออกมาแล้วหลอมผสมขึ้นใหม่ให้เปลืองแรงไปทำไม แค่ควบคุมโลหะที่อยู่ใกล้มือเชื่อมต่อเข้าไปแบบเดียวกับกำแพงชั้นนอกซะก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ
ปัจจุบันบ้านดินในเขตชุมชนของพวกเขาและบนดาดฟ้าของที่อื่นล้วนขุดดินจากข้างถนนมาสร้างทั้งสิ้น แม้จะใช้อยู่อาศัยได้ระยะหนึ่ง แต่ถ้าตากแดดตากฝนไปนาน ๆ ย่อมผุกร่อนเสื่อมสภาพตามธรรมชาติ หรืออาจพังเสียหายเพราะความแข็งแรงคงทนไม่มากพอ แต่ในความเป็นจริงจะเกิดขึ้นลักษณะไหนนั้น…พวกเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะจึงไม่ค่อยแน่ใจนัก เป็นเพียงแค่การวิเคราะห์หน้างานจากประสบการณ์การทำงานของเหยียนเฟยเท่านั้น ส่วนสภาพภายนอกอย่างอื่นก็มีเพียงไม่สวยชวนมองก็เท่านั้น
พวกหลัวซวินพาเจ้าตัวเล็กกลับขึ้นชั้นสิบหกด้วยกัน ตอนนี้เจ้าตัวเล็กที่กินอยู่สุขสบายดีโตเต็มวัยแล้ว ขนเงางาม กล้ามเนื้อแน่นแข็ง ดูก็รู้ว่าได้รับการเลี้ยงดูอย่างดียิ่งกว่าคนธรรมดาทั่วไปเสียอีก การที่มันให้อวี๋ซินหรันขี่หลังแล้วพาเธอวิ่งเล่นรอบบ้านและตามโถงทางเดินก็ถือเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง เพียงแต่ตอนนี้ในบ้านเต็มไปด้วยชั้นปลูกผักและขอนไม้ปลูกเห็ด ทำให้มีบางห้องที่ให้มันเข้าไปวิ่งเล่นไม่ได้ จึงต้องถูกลดกิจกรรมบางอย่างไปโดยปริยาย