[ทดลองอ่าน] โอตาคุวันสิ้นโลก เล่ม 5 บทที่ 127 : หลีกห่างวงซุบซิบ

โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则

 

暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล

 

นิยาย 7 เล่มจบ

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

____________________________________

 

บทที่ 127 หลีกห่างวงซุบซิบ

 

ชาตินี้ไม่ซุบซิบนินทาใคร ไม่มุงดูเรื่องชาวบ้าน ไม่เพียงคุณภาพชีวิตของเขาจะดีขึ้นมาก

ยังไม่ต้องเจอเรื่องยุ่งยากและเรื่องเสี่ยงอันตรายใดๆ ด้วย

 

หลัวซวินเดินขึ้นชั้นบนพร้อมกับจับพุ่มหางฟูๆ ของเจ้าตัวเล็กเล่นไปด้วย แม้ตอนนี้มันจะตัวใหญ่กลายเป็น ‘เจ้าตัวโต’ แล้วก็ตาม แต่เรื่องชื่อ…ก็เป็นชื่อเฉพาะนี่นา ไม่ต้องไปสนใจรายละเอียดมากก็ได้

สองคนกับหนึ่งสุนัขกลับเข้ามาในบ้าน หลัวซวินและเหยียนเฟยเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมจะอาบน้ำ เจ้าตัวเล็กวิ่งตื๋อไปที่เบาะนุ่มของมันตรงมุมโซฟาในห้องรับแขก แล้วพาดหัวไว้บนก้อนหินซึ่งเป็นผลึกใสแวววาวขนาดใหญ่พอๆ กับลูกวอลเลย์บอล

นี่คือคริสตัลที่อยู่ในหัวเป็ดยักษ์ที่พวกเขาล่ามาได้เมื่อเดือนก่อน ไม่รู้ว่าทำไมตั้งแต่เอาคริสตัลกลับมาเจ้าตัวเล็กถึงได้ชอบเดินป้วนเปี้ยนวนรอบเจ้าสิ่งนี้นัก ขนาดตอนนอนก็ไม่มาเซ้าซี้นอนเกยตักเจ้านายทั้งสองแทนหมอนหนุนแล้ว แต่กลับหนุนคริสตัลก้อนนี้แทน หรือไม่ก็จะคอยวนเวียนอยู่รอบๆ มัน

ตามที่หลัวซวินเปรยไว้ว่า ‘ให้มันเอาไว้นอนกอดละกัน ถึงยังไงเจ้าหินก้อนนี้ก็ยังเอาไปทำประโยชน์อะไรไม่ได้ในเวลานี้ ไม่แน่ถ้าเจ้าตัวเล็กนอนกอดไปกอดมาอาจมีพลังพิเศษขึ้นมาก็ได้’ ด้วยเหตุนี้พวกหลัวซวินจึงไม่ได้สนใจคริสตัลอีก แต่ยกให้เจ้าตัวเล็กใช้เป็นของเล่นหรือหมอนกอดไปก่อน

ตอนช่วงหัวค่ำ หลังจากทุกคนกินข้าวเย็นเสร็จแล้วก็มารวมตัวเพื่อประชุมกันอีกครั้ง คนทั้งกลุ่มนั่งล้อมรอบโต๊ะแล้วเริ่มหารือกันว่า พรุ่งนี้จะไปล่าคริสตัลหรือจะไปหาโรงงานผลิตกระดาษทิชชู่ดี… ใช่แล้ว หัวข้อของการหารือนี้ค่อนข้างแปลกจริงๆ นั่นแหละ

“ปัญหาตอนนี้ก็คือ …ถ้าเราไปโรงงานผลิตกระดาษทิชชู่จะเจอกระดาษทิชชู่ที่ผลิตสำเร็จแล้วจริงๆ เหรอ” จางซู่ปรายตามองหลัวซวินพลางกระดิกเท้าเป็นจังหวะจนรองเท้าสลิปเปอร์จวนจะหลุดไม่หลุดแหล่ เขาเองก็ไม่ชอบใช้กระดาษทิชชู่ที่ทางฐานที่มั่นแจกให้ในปัจจุบันเหมือนกัน แต่ถึงจะไม่ชอบอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ เพราะหาซื้อที่คุณภาพดีกว่านี้ไม่ได้แล้วน่ะสิ “ต่อให้พวกเราดั้นด้นไปถึงแหล่ง เจอสายพานผลิตกระดาษทิชชู่นั่นจริงๆ แล้วพวกเธอคิดว่าเราจะขนกลับมาได้เหรอ”

ได้ยินจางซู่ย้อนถามมาแต่ละคำถาม หลัวซวินรู้สึกเหมือนถูกปืนยิงเข้าที่หัวเข่าทีละนัด ตอนนี้หัวเข่าทั้งสองข้างถูกโจมตีจนพรุนลุกขึ้นไม่ไหวแล้ว

เหยียนเฟยกระแอมขึ้นทีหนึ่งเพื่อช่วยหาทางออกให้คนรัก “ฉันคิดว่าเราหันมาพิจารณาเรื่องเปลี่ยนชักโครกใหม่ก่อนดีกว่า เปลี่ยนไปใช้รุ่นอัตโนมัติ แบบที่เป็นระบบไฟฟ้าแล้วโถชักโครกจะฉีดน้ำชำระเองโดยอัตโนมัติ แม้จะเปลืองไฟ…แต่ประหยัดกระดาษนะ” วัสดุสิ้นเปลืองอย่างเครื่องอุปโภคบริโภคช้าเร็วอย่างไรก็ต้องใช้หมดอยู่ดี เมื่อถึงวันนั้นทุกคนก็จะไม่มีให้ใช้เหมือนๆ กัน ไม่เห็นต้องคิดมากให้ยุ่งยาก แต่ในเมื่อมันเป็นปัญหาหนักอกของคนรักของเขา งั้นก็แก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยนโถชักโครกเป็นระบบที่ฉีดชำระล้างได้ก็สิ้นเรื่อง

หลัวซวินขยุ้มหัวตัวเองสองที นึกบ่นตัวเองในใจว่าทำไมเขาถึงไม่คิดเรื่องเปลี่ยนโถชักโครกเสียตั้งแต่ที่แรกนะ ไม่อย่างนั้นตอนนี้ก็ไม่ต้องมาปวดหัวกับเรื่องนี้หรอก แต่ถ้าเขาคิดจะเปลี่ยนโถชักโครกตั้งแต่ตอนก่อนวันสิ้นโลกจริง คิดว่าเขาก็คงถอดใจไปตั้งแต่ตอนไปสำรวจราคาแล้ว ถ้ามีเงินซื้อชักโครกราคาแพงขนาดนั้นสู้เอาเงินไปซื้อเมล็ดพันธุ์มาเก็บไว้เยอะๆ ยังมีประโยชน์กว่า

“แต่พวกเราไม่รู้ว่าตรงส่วนไหนของในเมืองถึงจะมีของแบบนั้นขายนี่สิ” หลี่เถี่ยยกมือแสดงความคิดเห็น

ทันใดนั้นเหยียนเฟยก็ยืนขึ้น “ลองเสิร์ชเน็ตดูก่อน ตอนนี้พวกเราสามารถเสิร์ชหาสถานที่ที่เคยระบุที่ตั้งไว้จากแผนที่ก่อนวันสิ้นโลกได้”

หลัวซวินรู้สึกผิดที่ตัวเองตัดสินใจพลาด เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “เอ่อคือว่า…ฉันแค่เสนอขึ้นมาเฉยๆ พวกเราไม่ต้องไปตามหาเจ้าสิ่งนี้จริงๆ ก็ได้นะ…”

เหอเฉียนคุนตบบ่าหลัวซวินพลางบอกว่า “ที่จริงผมก็รู้สึกมาตลอดครับว่า…อะแฮ่ม เวลาปลดทุกข์มันไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไร ถ้าใช้น้ำล้างน่าจะดีที่สุด”

สวีเหมยและซ่งหลิงหลิงปิดปากหัวเราะขัน พูดเสริมว่า “ไปลองหาดูกันเถอะ ถ้าเปลี่ยนไปใช้รุ่นนั้นได้ย่อมดีที่สุด” ประเด็นนี้เป็นปัญหาสำหรับสองสาวมากกว่าหนุ่มๆ เสียอีก ทั้งลำบากและไม่สบายเอามากๆ โดยเฉพาะช่วงวันนั้นของเดือนพวกเธอต้องใช้ทิชชู่เปลืองมากเป็นพิเศษอยู่หลายวัน…เพราะในยุควันสิ้นโลกไม่มีโรงงานผลิตผ้าอนามัย

ทุกคนช่วยกันตรวจสอบดู สุดท้ายสายตาก็ไปสะดุดตรงที่หนึ่ง… สถานที่ซึ่งช่วงแรกของยุควันสิ้นโลกพวกเขาหลายคนเคยไปที่นั่นกันมาแล้ว แถมอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล และไม่ได้รับผลกระทบจากตอนทิ้งระเบิดคราวก่อน… ‘ศูนย์อุปกรณ์แต่งบ้านจินหลง’

นี่เป็นสถานที่แรกที่พวกเขาร่วมกันปฏิบัติการหลังจากก่อตั้งทีมโอตาคุขึ้น เป็นสถานที่แรกที่พวกหลัวซวินออกไปต่อสู้กวาดล้างซอมบี้ด้วยกัน

แม้จะไม่แน่ใจว่าที่นั่นจะมีโถชักโครกรุ่นที่พวกเขาต้องการหรือเปล่า แต่อย่างน้อยที่นั่นก็ใหญ่โตและน่าจะมีสินค้าให้เลือกเยอะกว่าที่อื่น ที่สำคัญคืออยู่ไม่ไกลจากฐานที่มั่น

ทีแรกหลัวซวินอยากจะบอกทุกคนว่าไม่จำเป็นต้องไปตามหาเจ้าโถชักโครกนั่นก็ได้ แต่คนอื่นๆ ตัดสินใจลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าพวกเขาจะได้ถือโอกาสไปสำรวจดูอาคารที่ไม่ได้รับความเสียหายด้วยเลย ก่อนหน้านี้ออกไปกี่ทีพวกเขาก็ไปแต่โซนที่ถูกระเบิดจนเหลือแต่ซากปรักหักพัง ยิ่งไปกว่านั้น เห็นได้ชัดว่าซอมบี้ทางใต้ของตัวเมืองมีระดับสูงกว่าซอมบี้ทางเหนืออยู่เล็กน้อย คราวก่อนถึงกับเจอสัตว์กลายพันธุ์ขนาดมหึมา บางทีไปที่อื่นอาจปลอดภัยมากกว่าก็เป็นได้

ประกอบกับเส้นทางที่พวกเขาไปกันมาทุกครั้ง ตลอดทางเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง หาของอะไรไม่ได้เลยยังพอว่า แต่โลหะต่างๆ ล้วนถูกเหยียนเฟยกวาดมาแทบไม่มีเหลือแล้ว ดังนั้นลองเปลี่ยนเส้นทางขึ้นไปทางเหนือดูบ้างก็ดี

ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือคริสตัลที่ได้มาคราวก่อน พวกเขายังนำมาดูดซับพลังกันไม่เท่าไรเลย ดังนั้นถ้ารอบนี้ล่าซอมบี้ได้ไม่เยอะ ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

ครั้นแล้ว ทุกคนจึงหาข้อสรุปได้อย่างสวยงาม

 

ทีมโอตาคุซึ่งสวมชุดและเตรียมสัมภาระพร้อมออกปฏิบัติการมารวมตัวกันและลงไปชั้นล่างตั้งแต่เช้าตรู่ จุดหมายปลายทางของพวกเขาในวันนี้แตกต่างจากครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา จึงมีตัวแปรที่ต้องเตรียมรับมือเยอะขึ้น ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงรู้สึกตื่นเต้นและพะว้าพะวังกับการออกไปนอกฐานคราวนี้มากกว่าปกติหลายเท่า

สภาพรถหลายคนดูดิบเถื่อนแบบแปลกประหลาด เพราะนอกจากฐานรถแล้ว ส่วนอื่นๆ ก็แทบดูไม่ออกเลยว่ารูปร่างหน้าตาเดิมของพวกมันเป็นอย่างไร เวลานี้รถเหล่านั้นกำลังขับเรียงขบวนมุ่งหน้าไปยังประตูทางออกฐานที่มั่น

พวกเขาต้องขับเลียบผ่านกำแพง ‘ป้อมปราสาท’ ดำทะมึนขนาดมหึมาของกองทัพ และผ่านกำแพงชั้นกลางอันแสนใหญ่โตโอฬารที่ล้อมเขตฐานที่มั่นชั้นใน สุดท้ายทุกคนจึงได้มาถึงกำแพงชั้นนอกซึ่งแกร่งกร้าวและสุดแสนยิ่งใหญ่อลังการ

“กำแพงที่เห็นอยู่ลิบๆ ตอนเราขับผ่านมามันคือสถานที่อะไรเหรอ ฐานที่มั่นจะสร้างอะไรใหม่อีกงั้นเหรอ” เหอเฉียนคุนที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารด้านหลังเอ่ยถามขึ้นตอนรถแล่นกำลังจะแล่นผ่านประตูใหญ่ของฐานที่มั่นออกไป

“ดูเหมือนว่าจะเป็นเขตเมืองใหม่ใช่หรือเปล่า” หลัวซวินนึกถึงสิ่งที่เหยียนเฟยเคยเล่าให้ฟัง

เหยียนเฟยพยักหน้า “น่าจะเป็นเมืองใหม่นะ”

“เมืองใหม่ก็ต้องสร้างกำแพงใหญ่โตขนาดนี้ด้วยเหรอเนี่ย” อู๋ซินร้องอุทานออกมา เมืองใหม่นั่นมีไว้ให้พวกทีมผู้มีพลังพิเศษพักอาศัยโดยเฉพาะ ถ้าหากคนพวกนั้นยังต้องใช้ทั้งโลหะทั้งดินไปสร้างกำแพงสูงใหญ่หนาสองชั้นขนาดนั้น ก็ไม่ยุติธรรมกับคนธรรมดาที่ต้องอาศัยอยู่ข้างนอกเลย พวกเขาเป็นถึงผู้มีพลังพิเศษนะ คนธรรมดาที่มีกำลังสู้รบไม่เท่าพวกเขาสิถึงต้องได้รับการปกป้องดูแลเป็นพิเศษ

“ไม่หรอก พวกเขาคงไปจ้างผู้มีพลังพิเศษธาตุดินมาสร้างกำแพงต่อเติมกันเองมากกว่า” เหยียนเฟยผายมือยักไหล่ “เพราะฉันไม่เคยได้ยินข่าวว่าผู้มีพลังพิเศษธาตุดินได้รับภารกิจใหม่จากกองทัพ ตอนนี้ผู้มีพลังพิเศษธาตุดินถ้าไม่ได้กำลังรอสร้างสะพานลอยฟ้า ก็ไปสร้างแนวป้องกันด้านนอกกำแพงฐานที่มั่น หรือไม่ก็ไปเป็นฝ่ายพลาธิการติดตามทีมอื่นออกไปทำภารกิจข้างนอก และก็ไม่เห็นมีใครตามหาทีมโลหะให้ไปทำภารกิจใหม่นะ”

ดังนั้นจึงเดาว่ากำแพงรั้วของเขตเมืองใหม่หากไม่ใช่พวกผู้มีพลังพิเศษธาตุดินที่อยู่ในนั้นลงแรงสร้างมาตรการป้องกันตัวเอง ก็คงเป็นงานที่รับจ้างทำเหมือนกับที่สร้างบ้านให้คนที่ใช้สอยพื้นที่ว่างในเขตชุมชนต่างๆ พวกนั้น

“แล้วเขตชุมชนของพวกเรา…” เหอเฉียนคุนเพิ่งอ้าปากพูดเปิดประโยค แต่แล้วกลับกลืนคำพูดที่เหลือลงคอไป แม้ว่าเขาจะอยากให้เขตชุมชนของตัวเองมีความปลอดภัยมากขึ้น แต่ในเขตชุมชนมีผู้คนมากหน้าหลายตาเข้ามาอยู่กันเต็มไปหมด และส่วนใหญ่ล้วนจ่ายค่าเช่าด้วยคูปองสะสมเป็นประจำทุกเดือน จึงมีสภาพคล่องสูงมาก คนเข้าคนออกพลุกพล่านสุดๆ ดังนั้นต่อให้พวกเขาอยากสร้างกำแพงป้องกัน เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับเขตชุมชนของตัวเองแค่ไหน แต่ก็จนปัญญาที่จะไปขอความร่วมมือจากผู้อยู่อาศัยคนอื่นๆ จึงได้แต่หยุดความคิดตัวเองไว้เพียงเท่านี้

การออกมาทำภารกิจครั้งนี้เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัยของทุกคน และเพื่อให้รถของพวกเขาทุกคนมีกำลังโจมตีสูงสุด ดังนั้นพวกเขาจึงจัดแบ่งสมาชิกที่นั่งประจำรถแต่ละคันเฉลี่ยให้พอๆ กัน โดยในรถของพวกหลัวซวินคันนี้ มีเหยียนเฟยซึ่งเป็นผู้มีพลังพิเศษนั่งอยู่หนึ่งคน มีหลัวซวินผู้มีทักษะการยิงแม่นยำที่สุดของทีม บวกด้วยเหอเฉียนคุนและอู๋ซิน รถคันกลางมีซ่งหลิงหลิง อวี๋ซินหรัน หานลี่และหลี่เถี่ย รถคันหลังสุดมีจางซู่ สวีเหมยและหวังตั๋วซึ่งรับหน้าที่เป็นคนขับรถคันนั้น

เมื่อเทียบกันแล้ว รถคันกลางมีกำลังสู้รบด้อยกว่าคันอื่นเล็กน้อย แต่ถ้านำพลังพิเศษของอวี๋ซินหรันมาใช้ในการจู่โจมเป้าหมายกลับมีประโยชน์กว่าพลังพิเศษของคนอื่น ส่วนซ่งหลิงหลิงหลังผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน ในที่สุดเธอก็สามารถใช้ศรน้ำโจมตีคู่ต่อสู้ได้ดีไม่แพ้อานุภาพของลูกธนูหน้าไม้เลย ถึงแม้อาจยังไม่ร้ายกาจขนาดจะปราบซอมบี้ที่มีพลังพิเศษขั้นสูง แต่เธอสามารถยิงศรน้ำใส่ตาซอมบี้หรือคู่ต่อสู้ที่อ่อนด้อยกว่า ต่างก็ใช้ได้ผลดีเยี่ยม

หลังจากรับใบภารกิจและลงทะเบียนออกนอกฐานเสร็จ รถของพวกเขาก็ขับเคลื่อนออกจากประตูฐานที่มั่นตามขบวนรถของคนอื่นๆ ไปอย่างรวดเร็ว

เป้าหมายของหลัวซวินวันนี้คือพื้นที่อาคารในเขตตัวเมืองที่ยังไม่พังถล่มลงมา ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายของทีมอื่น ดังนั้นบนท้องถนนจึงเห็นขบวนรถแล่นไปทางเดียวกับพวกเขาหลายคัน ขณะเดียวกันก็มีรถของทีมอื่นๆ ขับสวนมาเพื่อมุ่งหน้ากลับฐานที่มั่น

บนถนนสายนี้มีซอมบี้ไม่มากนัก บางครั้งก็เห็นซอมบี้จำนวนหนึ่งวิ่งไล่กวดรถมาบ้างประปราย เมื่อเทียบกับตอนที่พวกหลัวซวินเดินทางไปแถวซากปรักหักพังทางใต้แล้ว ที่นี่มีปริมาณบางตากว่า จำนวนต่างกันลิบลับ

พวกเขาขับไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง จู่ๆ ขบวนรถข้างหน้าก็เหยียบเบรกจอดรถกะทันหัน ทำให้พวกหลัวซวินต้องพลอยชะลอรถจอดเทียบข้างทางไปด้วย หลังจากนั้นก็พบว่า… บนถนนด้านหน้ามีคนกำลังเปิดศึกตะลุมบอนกัน

ใช่แล้ว เป็นการต่อสู้ระหว่างทีม ไม่ใช่ระหว่างคนกับซอมบี้

 

รถสามคันจอดเรียงแถวอยู่หน้าอาคารที่สภาพไม่ต่างจากซากปรักหักพัง กำลังรอดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ส่วนขบวนรถทีมอื่นถ้าไม่จอดมุงดู ก็จะขับอ้อมไปทางอื่นแทน

“พระเจ้า นี่มันสนุกกว่าสู้กับซอมบี้ซะอีกนะเนี่ย” หลังจากพวกเขาจอดรถแล้ว หวังตั๋วรีบลงมาชะเง้อคอยาวพยายามดูว่าข้างหน้านั่นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ด้วยความตื่นเต้น

หลัวซวินสังเกตสถานการณ์ คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “ขึ้นรถเถอะ เตรียมขับอ้อมไปอีกทาง”

“หัวหน้า ถ้าขับอ้อมมันจะเสียเวลา…” เหอเฉียนคุนก้มดูโทรศัพท์มือถือของตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นมามองเหตุการณ์ชุลมุนเบื้องหน้า จู่ๆ ก็เกิดเสียงดัง ‘ตูม’ ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือผู้มีพลังพิเศษคนไหนซัดพลังระเบิดถูกตึกข้างทางไปหนึ่งหลัง ตึกนั้นเกิดรูโบ๋ขนาดใหญ่ เศษอิฐ เศษปูน และกระจกพังถล่มลงมา

“ไปกันเถอะ” หลัวซวินโบกมือส่งสัญญาณเรียกทุกคนขึ้นรถ เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้สมาชิกทีมโอตาคุก็หมดอารมณ์จะมุงดูเรื่องสนุกแล้ว ทุกคนรีบขึ้นรถและเตรียมจะขับออกมาจากที่นั่น …นี่คือการต่อสู้กันของเพื่อนร่วมชาติแท้ๆ อำมหิตจริงๆ!

เมื่อพวกเขาประจำที่นั่งในรถแล้วก็ศึกษาเส้นทางบนแผนที่อยู่ครู่หนึ่ง หลัวซวินเลือกใช้ถนนอีกสาย เป็นถนนสายเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากสะพานยกระดับพอสมควร จากนั้นก็หมุนพวงมาลัยเปลี่ยนทิศทาง พร้อมกับหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาจ่อปาก (พวกเขาเพิ่งไปแลกมาก่อนออกนอกฐานครั้งนี้ได้ไม่นาน) “ขับตามหลังฉัน ย้อนกลับไปที่ทางแยกแล้วเลี้ยวไปทางตะวันออกนะ”

“รับทราบครับ ลูกพี่ เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นกับคนพวกนั้นเหรอ” เสียงหลี่เถี่ยที่ดังผ่านวิทยุสื่อสารฟังดูแปลกๆ แม้ว่าปัจจุบันในฐานที่มั่นจะมีคนทะเลาะวิวาทกันอยู่เป็นประจำ แต่เนื่องจากพวกหลี่เถี่ยต้องไปทำงานในค่ายทหารทุกวัน แถมเข้างานเลิกงานเป็นเวลา ดังนั้นพวกเขาจึงมีโอกาสได้เจอเหตุทะเลาะวิวาทอย่างเอาเป็นเอาตายในระยะใกล้ขนาดนี้น้อยมาก

ผิดกับหลัวซวินและเหยียนเฟยที่ต้องออกไปทำภารกิจสร้างกำแพงสร้างสะพาน เดินทางไปทั่วฐานที่มั่น จึงได้มองจากที่สูงเห็นสิ่งต่างๆ ได้ไกล

“คิดว่าพวกเขาอาจมีความแค้นกันอยู่ก่อนแล้วเลยออกมาเคลียร์กันนอกฐาน หรือไม่ก็ขัดแย้งกันเรื่องภารกิจ เรื่องผลประโยชน์” หลัวซวินไม่รู้สึกแปลกใจเรื่องนี้เลยสักนิด ชาตินี้เขาใช้ชีวิตอย่างมีหลักการมาก ถ้าเห็นคนตีกันอยู่ไกลๆ เขาก็จะเลี่ยงไม่เข้าไปใกล้เด็ดขาด เพราะเมื่อชาติก่อน… ต่อให้เขาไม่ได้มีเจตนาไปสืบเสาะก็ยังมีช่องทางสารพัดที่ทำให้เขาได้ยินข่าวซุบซิบนินทาต่างๆ ขนาดตอนตายเขายังตายอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ตะลุมบอนกันของสองทีมเลย…

พอตอนนี้มาลองคิดดูดีๆ การอยู่ให้ห่างจากวงซุบซิบถึงจะช่วยให้ปลอดภัย ดูเขาเป็นตัวอย่างสิ ชาตินี้ไม่ซุบซิบนินทาใคร ไม่มุงดูเรื่องชาวบ้าน ไม่เพียงคุณภาพชีวิตของเขาจะดีขึ้นมาก ยังไม่ต้องเจอเรื่องยุ่งยากและเรื่องเสี่ยงอันตรายใดๆ ด้วย

รถของพวกเขาขับอ้อมไปอีกทาง เดิมทีพวกเขาวางแผนว่าจะขับไปตามถนนเลียบสะพานยกระดับเพื่อไปที่ศูนย์อุปกรณ์แต่งบ้าน…เนื่องจากหลังเข้าสู่ยุควันสิ้นโลกก็ไม่อาจรับประกันความปลอดภัยของสะพานยกระดับเหล่านี้ได้ เพียงแต่เมื่อครู่มีคนตีกันขวางถนน พวกเขาจึงต้องอ้อมไปอีกทาง

ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าพวกเขาก็มาถึงบริเวณไม่ไกลจากสถานที่เป้าหมาย พูดตามตรง การเข้ามาในเขตเมืองที่มีสภาพเป็นเมืองจริงๆ ครั้งนี้ของพวกเขาก็ไม่ค่อยแตกต่างจากครั้งอื่นมากนัก แม้ว่าที่นี่จะไม่ได้รกร้างอย่างทางใต้ของเขตเมืองซึ่งเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง แต่อาคารบ้านเรือนทั้งสองข้างทาง ท้องถนนหรือแม้แต่ต้นไม้ในย่านนี้ก็มีสภาพเละเทะระเนระนาดไปหมด

กระจกหน้าต่างตามอาคารบ้านเรือนในเมืองส่วนใหญ่ล้วนแตกละเอียด หรือไม่ก็โหว่หายไปหมดแล้ว ประตูร้านค้าล้วนถูกเปิดทิ้งไว้ มีไม่น้อยที่ประตูหายไปทั้งบาน ข้าวของข้างในนั้นก็ถูกขนไปจนเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่เงา

แน่นอนว่า ร้านค้าที่ยังมีสินค้าหลงเหลืออยู่ล้วนแต่เป็นของที่ไม่มีคนสนใจทั้งนั้น ส่วนที่ถูกกวาดไปจนเรียบก็หนีไม่พ้นร้านขายวัตถุดิบในการทำอาหาร ร้านเสื้อผ้า ร้านขายเฟอร์นิเจอร์จำพวกตู้โต๊ะ และร้านที่มีวัสดุไม้ต่างๆ

ระหว่างทางเหยียนเฟยก็ใช้พลังพิเศษเก็บรวบรวมวัสดุโลหะใกล้ๆ ไปด้วย เนื่องจากมาทางนี้ย่อมหลีกไม่พ้นเจอทีมอื่นที่เข้ามาทำภารกิจในเมืองด้วยเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าทำลูกโลหะยักษ์กลิ้งตามข้างรถเหมือนอย่างที่ผ่านมา เพียงแค่ดูดโลหะที่รวบรวมได้แปะติดไว้กับตัวรถของตัวเอง และรถด้านหลังของทีมอีกสองคัน ทว่า จะแปะติดแบบนี้ไปได้สักเท่าไรกันเชียว

หลัวซวินจึงหักเลี้ยวตรงทางแยกหนึ่ง ครั้นเห็นว่าไม่มีคนอื่นอยู่แถวนั้นจึงส่งสัญญาณให้ทุกคนจอดรถก่อนชั่วคราว เขาหันไปขยิบตาให้เหยียนเฟยที่นั่งอยู่ข้างๆ พลางบอกว่า “เอาโลหะมาสร้างเป็นรถกัน”

“หา?” อย่าตำหนิเหยียนเฟยที่ตั้งตัวไม่ทัน ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางเข้าใจความหมายของหลัวซวินได้ในทันทีหรอก

“ฉันหมายความว่า ให้นายเอาโลหะที่เก็บได้ระหว่างทางมาสร้างเป็นตัวรถที่หน้าตาเหมือนรถจริงๆ วิ่งไปข้างๆ รถพวกเรา ตอนนี้ก็ทำแค่โครงข้างนอกแบบกลวงๆ ไปก่อน พอเก็บโลหะได้เพิ่มก็ค่อยเติมเข้าไปข้างใน แล้วถ้ารวบรวมอะไหล่ต่างๆ ได้ด้วยก็ค่อยดัดแปลงจากรถเก๋งเป็นรถจี๊ป หรือจะทำเป็นรถบรรทุกไปเลยก็ได้!”

“…” เหยียนเฟยยอมรับเลยว่านี่เป็นวิธีการที่ดีมาก สามารถทำได้จริง แถมไม่เป็นที่สะดุดตาอีกต่างหาก ภรรยาเขานี่สมองอัจฉริยะอะไรแบบนี้นะ

เหอเฉียนคุนกับอู๋ซินที่นั่งอยู่ด้านหลังฟังแล้วพากันชื่นชมความคิดหลัวซวินกันยกใหญ่

“โห พี่หลัวฉลาดสุดๆ เลย!”

“ร้ายกาจมากเลยพี่หลัว!”

ท่ามกลางเสียงชื่นชมยินดี เหยียนเฟยเอี้ยวตัวไปหอมแก้มหลัวซวินเป็นรางวัลหนึ่งฟอด

เมื่อหนุ่มโสดสองคนเห็นฉากรักหวานชื่นนี้แล้วถึงกับโผกอดกันร้องห่มร้องไห้ “พวกพี่จงใจทิ่มแทงคนโสดอย่างพวกผมใช่ไหมเนี่ย ใจร้าย ใจร้ายที่สุด”

“พวกนายสองคนก็คบกันเองได้นี่ พวกฉันไม่ขัดอยู่แล้ว” หลัวซวินพูดปัดความรับผิดชอบ ไม่แม้แต่จะหันไปมองเด็กหนุ่มรุ่นน้องสองคนด้านหลัง

เหอเฉียนคุนกับอู๋ซินได้แต่นั่งมองหลัวซวินอย่างอึ้งๆ ฝ่ายเหยียนเฟยเริ่มหันไปโบกมือเก็บโลหะบริเวณใกล้เคียงมารวมร่างสร้างเป็นรถ

ควรบอกว่าเป็นเพราะเหยียนเฟยเพิ่มขั้นพลังขึ้นเป็นขั้นสามแล้วความสามารถของเขาพัฒนาไปไกลมาก? หรือเป็นเพราะไม่มีผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะคนอื่นผ่านมาแถวนี้เลย จึงไม่มีใครเคยดึงโลหะที่เยอะราวกับเหมืองทองแถวนี้ออกมากันแน่?

เหยียนเฟยเพียงแค่โบกๆ มือก็สามารถประกอบรถยนต์ที่มีตัวถังแข็งแรงทนทานได้คันหนึ่งแล้ว เขาครุ่นคิดสักพักก็เปลี่ยนจากรถเก๋งเป็นรถบรรทุกขนาดเล็กที่ภายในว่างเปล่า

เหยียนเฟยไม่ได้ตั้งใจค้นหาโลหะชิ้นเล็กชิ้นน้อยอะไรขนาดนั้น และไม่ได้ครอบคลุมรัศมีกว้างใหญ่เท่าไรนักก็สามารถดึงดูดโลหะมาสร้างรถได้แล้ว ถ้าหากตั้งใจมากกว่านี้ล่ะก็ พวกเขาอาจจะมีรถบรรทุกขนาดใหญ่ให้ ‘ขับ’ กลับฐานที่มั่นไปอีกสามคันแน่ๆ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้พวกเขายังไม่จำเป็นต้องขนโลหะกลับไปเยอะขนาดนั้น… ปัจจุบันข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ในบ้าน พวกเขาก็ทำไว้ครบหมดแล้ว

แน่นอนว่า หลังจากขนโลหะเหล่านี้กลับไปแล้ว ก็สามารถนำไปต่อเติมเสริมความแข็งแรงให้กับตัวอาคารได้ด้วย

เหยียนเฟยดัดแปลงรถบรรทุกเสร็จก็หันไปยิ้มให้หลัวซวิน “พอกลับไปเราก็ใช้เสริมความแข็งแกร่งให้ที่จอดรถเพิ่มด้วย”

ในเขตชุมชนมีคนอพยพมายึดพื้นที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่เข้ามาอาศัยอยู่ตรงพื้นที่ว่างแต่ไม่มีเงินจ้างคนมาสร้างบ้านให้มักมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับคนที่เข้ามาสร้างบ้านโดยล้ำพื้นที่คนอื่นเป็นประจำ รถของพวกหลัวซวินจอดไว้ใต้ตึกแบบนั้น ไม่รู้ว่าวันใดวันหนึ่งจะมีคนรู้สึกขัดหูขัดตามาก่อปัญหาสร้างความยุ่งยากให้พวกเขาหรือไม่…ดังนั้นป้องกันไว้ก่อนย่อมดีกว่า

หลัวซวินฟังแล้วจึงตอบกลับไปว่า “งั้นเอากลับไปเยอะๆ หน่อย ยังไงซะเดี๋ยวนายก็ต้องได้ใช้มัน” เดี๋ยวตอนที่พวกเขาไปหาของรวบรวมทรัพยากร เหยียนเฟยก็สามารถใช้โลหะเหล่านี้มาทำเป็นอาวุธหรืออุปกรณ์ป้องกันได้ ไม่แน่ว่าอาจหมดเปลืองไปบางส่วน ทางที่ดีคือให้เหยียนเฟยเตรียมพร้อมไว้แต่เนิ่นๆ อีกอย่างพื้นที่ใต้ตึกจะปล่อยให้ใครมายึดครองได้อย่างไร พวกเขาก็จำเป็นต้องใช้เหมือนกันนะ

เหยียนเฟยยิ้มรับพลางพยักพเยิดหน้าให้หลัวซวินขับต่อไป ส่วนเขาแค่โบกมือใช้พลังเพียงเล็กน้อยก็จัดการเรื่องนี้ได้เรียบร้อยเสร็จสรรพ โดยที่ไม่ต้องเปลืองแรงเปลืองสมองคิดอะไรให้ยุ่งยากเลยสักนิด

พวกเขาเลี้ยวรถอีกสองครั้ง เพราะระหว่างทางมีซากบ้านเรือนที่พังถล่มลงมา และรถราจอดขวางถนน แต่พวกหลัวซวินก็ขับมาถึงจุดหมายปลายทางได้ในที่สุด

 

“พระเจ้า…ทำไมที่นี่ถึงกลายเป็นแบบนี้เนี่ย”

ศูนย์อุปกรณ์แต่งบ้านที่พวกเขาเคยมา ตอนนี้กระจกของประตูใหญ่แตกทั้งบานร่วงเกลื่อนเต็มพื้น ประตูบานเลื่อนที่เป็นโลหะถูกคนถอดออกไปแล้ว ม่านพลาสติกที่แขวนอยู่ด้านในก็หายไปด้วย ตัวผนังของซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ที่อยู่ติดกันพังถล่มลงมากว่าครึ่งแถบ

บนถนนแถวนั้นเต็มไปด้วยซากรถที่พังยับเยิน เศษขยะ และข้าวของจิปาถะต่างๆ

มีซอมบี้หลายตัวกำลังเดินโซเซอยู่ในพื้นที่นั้น เมื่อเห็นรถขับเข้ามา ซอมบี้แต่ละตัวก็พากันปรี่เข้ามาหาทุกคนด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ

‘ฟิ้วๆๆ’ หลังสิ้นเสียง ซอมบี้ขั้นหนึ่งพวกนั้นก็ล้มคว่ำลงกับพื้น พวกหลัวซวินไม่หันไปมองพวกมันให้เสียเวลา อวี๋ซินหรันจัดการแปรสภาพพวกมันให้กลายเป็นทรายแล้วเก็บคริสตัลกลับมาส่งให้ซ่งหลิงหลิงที่อยู่ใกล้ๆ…ถึงแม้ซ่งหลิงหลิงจะมีพลังพิเศษธาตุน้ำแต่เธอก็พัฒนาพลังโจมตีรุดหน้าไปไกลมาก เพียงแต่ปกติเธอยังคงทำหน้าที่เป็นฝ่ายสนับสนุนเป็นหลัก

“…มีใครจำได้บ้างไหมว่าบู๊ธขายเครื่องสุขภัณฑ์อยู่ตรงไหน” หลัวซวินเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ พร้อมกับกวาดตามองสำรวจภายในศูนย์อุปกรณ์แต่งบ้านที่มืดตื๋อไม่มีแสงสว่างเลยสักจุด

ทุกคนหันมองหน้ากัน แต่จู่ๆ จางซู่ก็พูดขึ้น “ปกติเครื่องสุขภัณฑ์จะอยู่ชั้นหนึ่งไม่ใช่เหรอ”

“งั้นไปดูกัน” ทุกคนล็อกรถเสร็จ เหยียนเฟยก็ใช้โลหะปิดตายหน้าต่างและตัวรถไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นเขาก็เปลี่ยนโลหะบางส่วนให้กลายเป็นโล่กำบังแบบมีช่องตะแกรงป้องกันอยู่ข้างหน้าทุกคน ขณะที่ทั้งหมดค่อยๆ เดินคลำทางเข้าไปในอาคารที่มืดมิดอย่างช้าๆ

หลายคนในทีมเคยมาที่นี่กันแล้ว แต่คราวก่อนเป้าหมายหลักของพวกเขาอยู่ที่โกดัง ทว่าตอนนี้พวกเขาอยากแน่ใจก่อนว่าที่นี่ขายสินค้าประเภทเครื่องสุขภัณฑ์ และมีโถชักโครกรุ่นฉีดชำระล้างอย่างที่พวกเขาต้องการอยู่จริงถึงค่อยไปที่โกดัง เพียงแต่เมื่อคิดดูดีๆ พวกเขาลำบากมากกว่าจะออกมานอกฐานได้สักครั้ง แต่ออกมาทั้งทีดันได้แค่โถชักโครกกลับไปอย่างเดียวเนี่ยนะ ขืนไปพูดให้ใครฟัง มีหวังได้ถูกชาวบ้านหัวเราะเยาะจนฟันหักแน่

‘โฮก…’ เสียงคำรามดังขึ้นทีหนึ่ง จู่ๆ ด้านบนเพดานก็ปรากฏเงาดำพุ่งจู่โจมมาทางพวกเขา เสียง ‘โครม… ตึง’ ดังขึ้นติดๆ กัน คนอื่นยังไม่ทันได้ขยับตัว สวีเหมยก็จัดการฆ่าซอมบี้ที่พุ่งมาใส่พวกเขาตัวนั้นตายสนิทเป็นที่เรียบร้อย

“ขั้นสอง” สวีเหมยบอกระดับของซอมบี้ตัวนั้นให้ทุกคนรู้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ราวกับว่าเธอเพิ่งเหยียบมดตัวใหญ่ตายไปตัวเดียวเท่านั้น

หลังจากขุดคริสตัลออกมาได้แล้ว พวกเขาก็เดินลึกเข้าไปตรวจดูสิ่งของที่เหลืออยู่ข้างในต่อ พวกเขาทุกคนต่างพกไฟฉายรุ่นพลังงานแสงอาทิตย์หรือไม่ก็รุ่นชาร์จแบตเตอรี่กันมาด้วย เวลานี้พวกมันถูกเปิดใช้งานครบทุกกระบอก เพื่อส่องดูสิ่งของต่างๆ ในโถงใหญ่นี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน

นับว่ายังโชคดีอยู่บ้าง เพราะทีมที่เข้าเขตตัวเมืองมารวบรวมทรัพยากรส่วนใหญ่จะใช้ ‘นโยบายสามให้เรียบ[1]’ ดังนั้นสิ่งของที่เป็นประโยชน์ทั้งหมดล้วนถูกกวาดไปเรียบไม่มีเหลือหลอ… ใครใช้ให้ที่นี่อยู่ใกล้ฐานที่มั่นมากขนาดนี้กันล่ะ

พวกเขาแค่หาดูเล็กน้อย ก็เจอบู๊ธที่ขายข้าวของเครื่องใช้ของห้องอาบน้ำและห้องส้วมแล้ว

“พระเจ้า แม้แต่คอกแบ่งบู๊ธพวกนั้นยังขนไปเกลี้ยงเลยเหรอ”

“พื้นกระดานก็ไม่เหลือ”

“โชคดีนะที่ยังมีโถชักโครกอยู่!” ทุกคนเดินวนดูรอบๆ เดิมทีในโถงนี้มีฝากระดานกั้นเป็นผนังของแต่ละบู๊ธ และบนผนังเหล่านั้นยังดัดแปลงเป็นที่โชว์สินค้าตัวอย่างด้วย แต่ตอนนี้ผนังที่ว่านั่นหายไปหมดแล้ว สินค้าที่ไร้ประโยชน์ถูกทิ้งเกลื่อนกลาดเต็มพื้น รวมถึงโถสุขภัณฑ์ที่แตกเสียหายไปสองตัว

พวกเขาสำรวจดูจนแน่ใจว่ามีโถสุขภัณฑ์อัตโนมัติแบบฉีดชำระในตัวอยู่สองรุ่น ในเมื่อมีสินค้าตัวอย่างตั้งอยู่ตรงนี้ เช่นนั้นในโกดังก็ต้องมีสินค้าเก็บไว้แน่ อย่างน้อยๆ ก็น่าจะมีสต็อกสินค้าเก็บไว้รุ่นละตัวละมั้ง

เมื่อได้ผลสรุปแล้วทุกคนก็รีบตรงไปที่โกดังทันที

 

[1] เป็นคำที่มาจากนโยบายในการทำสงครามของญี่ปุ่นที่เรียกว่า ‘ซานโกซะกุเซน’ (Three Alls Policy) หมายถึง ฆ่าให้เรียบ เผาให้เรียบ ริบให้เรียบ

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า