[ทดลองอ่าน] เชิญร่ำสุรา 將進酒 บทที่ 47 : แย่งชิง

 เชิญร่ำสุรา
將進酒

 

ถังจิ่วชิง
唐酒卿

กอหญ้า แปล

 

“เจ้าก้าวเข้ามาในถิ่นของข้าทีละก้าว ปล่อยให้ข้าหยั่งเชิงเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า
จุดประสงค์ก็เพื่อค่ำคืนนี้ เพื่อลงเรือลำเดียวกับข้า”
เซียวฉือเหย่โน้มตัวไปข้างหน้าช้าๆ สายตาเย็นชา
“แต่หากคืนนี้ข้าสืบไม่ได้ว่าผู้บงการเบื้องหลังคือ… ไม่ล่วงรู้จุดประสงค์ของเจ้า
เจ้าก็จะเหยียบข้าลงไปอย่างแท้จริง ใช้ข้าเป็นแท่นเพื่อก้าวขึ้นไปใช่หรือไม่”

“เจ้าเป็นหมาป่าจมูกไว” เสิ่นเจ๋อชวนพูด
“ไฉนจึงพูดเหมือนตัวเองน่าสงสารเช่นนั้นเล่า หากข้ามิใช่ข้า
เจ้าไม่มีทางเปิดโอกาสให้ข้าเหยียบย่างเข้ามา พวกเราจะไม่มีแม้กระทั่งการสนทนากันด้วยซ้ำ
เจ้ากับข้าเป็นคนประเภทนี้แหละ แทนที่จะมาคาดคั้นข้า ไยจึงไม่ถามตัวเจ้าเองดูก่อนเล่า”

เซียวฉือเหย่พูด “เจ้าต่างหากที่เป็นสารเลว”

เสิ่นเจ๋อชวนตอบ “สารเลวที่มีเป้าหมายเดียวกันหาไม่ง่ายนะ”

เซียวฉือเหย่ไม่อ้อมค้อมกับเขาอีกตรงเข้าประเด็น
“บัดนี้เป็นเจ้าที่ต้องการยืมอำนาจข้า
ทว่าการเป็นพันธมิตรก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างจึงจะสำเร็จได้”

“พวกเรามีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน” เสิ่นเจ๋อชวนตอบ

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 47 แย่งชิง

 

หลี่เจี้ยนเหิงสะบัดขาอย่างลนลานและถีบหัวคนออกไป เขาไม่สนใจภาพลักษณ์ของตัวเองอีกแล้ว ยามนี้อยากจะซุกตัวเข้าไปในบัลลังก์มังกร ข้างหูมีแต่เสียงดังอื้ออึง เขาเห็นเลือดเปื้อนชุดคลุมยาวของตัวเอง ลำคอรู้สึกเหมือนถูกคนบีบไว้ นานครู่ใหญ่ที่มิอาจเอ่ยคำพูดออกมาได้แม้แต่คำเดียว

เสิ่นเจ๋อชวนคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ฝ่าบาทมิต้องกลัวพ่ะย่ะค่ะ คนร้ายถูกสำเร็จโทษแล้ว กระหม่อมคุ้มกันล่าช้า ความผิดสมควรตาย!”

มือเท้าของหลี่เจี้ยนเหิงเหมือนเป็นเหน็บชากระนั้น เขาออกแรงบีบที่เท้าแขน สายตาเลื่อนจากศพไปยังใบหน้าของเสิ่นเจ๋อชวน เกือบจะสะอื้นไห้ออกมาขณะคว้าแขนเสื้อเสิ่นเจ๋อชวนไว้ “ไม่ช้า…ไม่ช้า! เจ้า…หลันโจวทำได้ดี! เรา เราเกือบจะ…”

“ตามหมอหลวง!” ไทเฮาก้าวเร็วๆ เข้ามา โดยไม่สนใจศพที่โลหิตไหลนอง กุมมือหลี่เจี้ยนเหิงและร้องเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฝ่าบาท ฝ่าบาท?”

หลี่เจี้ยนเหิงยังตกอยู่ในความหวาดหวั่นพรั่นพรึง เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ชักมือตัวเองออกจากฝ่ามือไทเฮาอย่างเร่งร้อน แล้วกำแขนเสื้อเสิ่นเจ๋อชวนแน่นขณะเอ่ยขอร้อง “เจ้าอยู่ก่อน เจ้ากับองครักษ์เสื้อแพรอยู่คุ้มกันเราก่อน!”

“องครักษ์เสื้อแพรเดิมมีหน้าที่คุ้มกันฝ่าบาทอยู่แล้ว” เสิ่นเจ๋อชวนสีหน้าไม่เปลี่ยน “เพื่อฝ่าบาทแล้ว องครักษ์เสื้อแพรยินดีบุกน้ำลุยไฟ กระหม่อมจะคุ้มกันฝ่าบาทกลับตำหนักหมิงหลี่เดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”

ทุกคนในงานยังคงตกใจไม่หาย เซวียซิวจั๋วก้าวไปข้างหน้าหลายก้าว เอ่ยเสียงเฉียบ “คุมตัวคนของกองเครื่องเสวย กองมหรสพ ห้องเครื่องหวานและห้องหมักสุราไว้ก่อน คนร้ายแฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนที่รับใช้ใกล้ชิดโอรสสวรรค์ ผู้ที่รับผิดชอบจัดเวรขันทีและดูแลรักษาความปลอดภัยมิอาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้!”

“คืนนี้ใครเป็นคนรับผิดชอบตรวจตรารักษาความปลอดภัย” ไทเฮาถาม

ภายในงานเงียบกริบ เซียวฉือเหย่โค้งกายตอบ “ทูลไทเฮา เป็นกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ”

ไทเฮาหาได้เอาผิดเขาทันทีไม่ แต่หันไปมองหลี่เจี้ยนเหิง เหล่าขุนนางก็หันไปมองหลี่เจี้ยนเหิงเช่นกัน

ขันทีผู้นี้เข้ามาอยู่ในกองเครื่องเสวยได้ ก่อนอื่นพื้นเพครอบครัวต้องสะอาดสะอ้าน ประวัติความเป็นมาชัดเจน เขาเข้าวังตั้งแต่เมื่อใด เคยทำงานอยู่ในกรมกองใดในยี่สิบสี่กรมกองมาก่อน ที่ผ่านมาคบหากับขันทีคนใดบ้าง ทั้งหมดล้วนต้องตรวจสอบ ไม่เพียงตรวจสอบเขา ยังต้องตรวจสอบบุคคลที่เขาเคยใกล้ชิดและจดบันทึกไว้ เซียวฉือเหย่รับผิดชอบดูแลความปลอดภัย เรื่องพวกนี้เดิมเป็นหน้าที่เขาที่ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนวันงานเลี้ยงเหล่าขุนนาง ในเมื่อคนร้ายเล็ดลอดเข้ามาได้จากการป้องกันหลายชั้นของเขา เขาย่อมไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบ

หลี่เจี้ยนเหิงหลั่งเหงื่อเย็น ริมฝีปากขาวซีด “คุมตัวขันทีจากกองต่างๆ ไว้ก่อน เรา…” เขายังพูดไม่จบ คนก็เป็นลมไปเสียก่อน

 

คืนนี้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะเป็นค่ำคืนที่ทุกคนมิได้หลับ หลี่เจี้ยนเหิงนอนหมดสติอยู่ด้านใน หมอหลวงมารวมตัวกัน ไทเฮาฟังผลการตรวจอยู่หลังม่าน ไห่เหลียงอี๋รออยู่ด้านข้าง ตามคำสั่งที่ไทเฮากำชับมาเป็นพิเศษ

หานเฉิงนำองครักษ์เสื้อแพรถือดาบยืนอยู่ใต้ชายคา เหล่าขุนนางข้างนอกคุกเข่า คืนวันปีใหม่อากาศหนาวเหน็บ ขุนนางเก่าแก่หลายคนที่อายุมากแล้วหนาวจนตัวสั่น ประคองร่างไว้ได้ด้วยความยืนหยัดอันแน่วแน่เท่านั้น

วังหลวงทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบ บรรยากาศเย็นชาวังเวงผิดปกติ

เซียวฉือเหย่ไม่ได้อยู่ข้างใน เขาต้องร่วมกับกรมอาญาและสำนักตรวจการจับกุมขันทีที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งทหารรักษาพระองค์ยังถูกคุมตัว ผู้ช่วยผู้บังคับการทหารรักษาพระองค์ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบคนในคืนนี้ถูกปลดป้ายห้อยเอวและส่งตัวเข้าคุกพร้อมกับขันที

ในห้องมิได้ตั้งกระถางไฟ แค่จุดโคมไว้เท่านั้น

เซียวฉือเหย่นั่งอยู่ฝั่งขวามือของเสนาบดีกรมอาญาข่งชิว ซ้ายมือเป็นข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายเฉินอวี้และข้าหลวงตรวจการฝ่ายขวาฟู่หลินเยี่ย

หากเป็นเมื่อก่อน เซียวฉือเหย่มีสิทธิ์นั่งอยู่ในตำแหน่งเทียบเท่าเสนาบดีกรมอาญาและร่วมสอบสวนคดีด้วย แต่ตอนนี้เขาต้องหลีกเลี่ยงข้อครหา จึงได้แต่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำลงไปทางขวามือ ให้ขุนนางใหญ่สองคนในสำนักตรวจการเป็นผู้มีอำนาจในการตรวจสอบ

ปีนี้เป็นปีที่เกิดเรื่องขึ้นมากมาย เรื่องเก่ายังไม่ทันจบก็มีเรื่องใหม่ผุดขึ้นมา สามตุลาการไม่เคยต้องสอบสวนคดีต่อเนื่องแบบนี้มาก่อน อีกทั้งคดีทั้งหมดยังเป็นคดีใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงชีวิตของจักรพรรดิ

ข่งชิวดื่มน้ำชาเย็นชืดในถ้วย ระหว่างรอนักโทษ เขาไม่เอ่ยคำพูดใดเลย ความจริงตั้งแต่พวกเขามานั่งตรงนี้ก็ไม่มีใครกล่าวทักทายกัน ทุกคนต่างรู้ว่าตอนนี้มิใช่เวลาที่จะมาพูดคุยล้อเล่น แต่ละคนสีหน้าเคร่งเครียด

เซียวฉือเหย่นั่งอยู่บนเก้าอี้ หมุนแหวนปันจื่อเงียบๆ ขณะกำลังใช้ความคิด

คดีนี้มีการเตรียมพร้อมมาก่อนล่วงหน้า เหมือนคดีเสี่ยวฝูจื่อก่อนหน้านี้ ตอนเกิดเหตุคล้ายมีเงาประหลาดซ้อนทับกันหลายชั้น ทำให้เรื่องราวถูกบิดเบือนไปจากจุดประสงค์ดั้งเดิมของมัน ราวกับเรื่องนี้ถูกชักดึงด้วยเส้นใยนับไม่ถ้วน สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่คือเหตุผลลึกซึ้งกว่าที่เห็น

ขันทีกองเครื่องเสวยต้องชิมอาหารให้โอรสสวรรค์ พวกเขาไม่ว่าตำแหน่งสูงหรือต่ำ ทุกคนล้วนเคยถูกสอบประวัติย้อนไปถึงบรรพบุรุษสามรุ่นก่อนหน้า จะเปลี่ยนคนแบบนี้ให้เป็นคนร้ายนั้นยากมาก ทว่าก็ง่ายดายมากเช่นกัน ก่อนอื่นคนผู้นั้นต้องเป็นบุคคลที่ติดต่อกับขันทีได้ หรือเป็นขันทีที่แฝงตัวอยู่ในวังหลวง แต่กลับทำงานให้ขั้วอำนาจที่อยู่นอกวัง มีเพียงคนสองประเภทนี้เท่านั้นที่สามารถข่มขู่หรือใช้ผลประโยชน์ล่อลวงขันทีผู้ลงมือได้

เซียวฉือเหย่คิดถึงตรงนี้พลันนึกอะไรขึ้นได้ เขาหยุดหมุนแหวนปันจื่อ ประจวบเหมาะกับนักโทษถูกพาเข้ามาพอดี เป็นผู้ช่วยผู้บังคับการทหารรักษาพระองค์

ข่งชิวไม่พูดไร้สาระ ตรงเข้าประเด็นทันที “เจ้าเป็นผู้ช่วยผู้บังคับการทหารรักษาพระองค์ คืนนี้เจ้ารับผิดชอบตรวจสอบทหารรักษาพระองค์ที่ต้องพกดาบหน้าพระพักตร์ รวมถึงขันทีชิมอาหารที่กองเครื่องเสวยส่งมา เจ้ารู้จักขันทีผู้นี้มากน้อยเพียงใด”

ผู้ช่วยผู้บังคับการมีนามว่าเมิ่งรุ่ย เป็นคนจากครอบครัวทหารที่เซียวฉือเหย่ผลักดันขึ้นมาในรัชศกเสียนเต๋อที่หก เดิมดำรงตำแหน่งผู้ดูแลงานกิจทั่วไปในกองกำลังรักษาพระองค์ ระวังรอบคอบมาก สายตาเขามองตรง ตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง “ขันทีผู้ลงมือชื่อกุ้ยเซิง อายุยี่สิบหก เป็นชาวเมืองชุนเฉิง บิดาเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนถนนไป๋สุ่ยเมืองชุนเฉิง ป่วยตายในรัชศกเสียนเต๋อที่หกแล้ว เขาเป็นบุตรคนเดียวของครอบครัว เข้าวังในรัชศกหย่งอี๋ จวบจนบัดนี้ทำงานมาเป็นเวลาสิบสองปีได้ เขาเข้าทำงานในกองเครื่องเสวยในปีแรกของรัชศกเสียนเต๋อ ทำหน้าที่ชิมอาหารให้อดีตจักรพรรดิตั้งแต่รัชศกเสียนเต๋อที่สี่เป็นต้นมา ปกติไม่มีความชื่นชอบพิเศษใดๆ บุคคลที่คบหาด้วยมีน้อยมาก”

ข่งชิวขบคิดและถาม “คืนนี้ใครเป็นคนจัดการให้เขาชิมอาหาร”

เมิ่งรุ่ยตอบ “นางข้าหลวงกองเครื่องเสวยฝูหลิง”

ข่งชิวมองคนจากสำนักตรวจการก่อน จากนั้นหันไปมองเซียวฉือเหย่ ผงกศีรษะเอ่ยว่า “อาวุธที่ใช้คือตะเกียบทอง ดังนั้นตอนทหารรักษาพระองค์ค้นตัวจึงจนปัญญา เอาอย่างนี้ ผู้ช่วยผู้บังคับการเมิ่งรอสักครู่ เรียกตัวฝูหลิงจากกองเครื่องเสวยเข้ามา”

เมิ่งรุ่ยถอยไปด้านข้าง ตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ เขามิได้สบตากับเซียวฉือเหย่เลย

ความจริงเซียวฉือเหย่ไม่ได้ประหม่าเหมือนที่คนอื่นคิด เขารู้ดีว่าการลอบสังหารครั้งนี้มิอาจชิงเอาอำนาจทางทหารของเขาไปได้ หลังจากนี้เขาอาจถูกลงโทษลดเบี้ยหวัด ทว่าเรื่องนั้นไม่ส่งผลกับเขาแต่อย่างใด ตอนเกิดเหตุเขาอยู่ไกลเกินไป ไม่มีทางเข้าไปช่วยเหลือได้ทันแน่นอน กระนั้นตำแหน่งที่นั่งภายในงานกำหนดตามกฎระเบียบอยู่แล้ว เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็มิอาจตำหนิเขาได้ ยังมีอีกจุดคือ ตอนนั้นเสิ่นเจ๋อชวนชักดาบเร็วเกินไปจริงๆ แทบจะชั่วพริบตาเท่านั้น หัวคนก็ตกลงบนพื้น ดาบคืนสู่ฝัก ความเร็วเช่นนี้แตกต่างจากความเร็วที่เขาแสดงออกมาในคืนวันฝนตกโดยสิ้นเชิง ต่อให้ตอนนั้นเซียวฉือเหย่ยืนอยู่ข้างกายเขา ยังไม่แน่ว่าจะลงมือได้เร็วกว่าเขา แต่เรื่องราวภายหลังการลอบสังหารต่างหากที่เซียวฉือเหย่ใส่ใจมากที่สุด เขาต้องตัดไฟแต่ต้นลม หยุดยั้งมิให้เพลิงครั้งนี้มีโอกาสแผดเผามาถึงตัวเขาได้

เซียวฉือเหย่ย้อนคิดถึงสายตาที่เสิ่นเจ๋อชวนมองมาในครั้งสุดท้าย

ธรรมเนียมปฏิบัติทั่วไปของกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรคือ แปดปีมีการเลื่อนขั้นหนึ่งครั้ง องครักษ์เสื้อแพรจะถูกแบ่งเป็นสิบสองกองย่อยตามข้อมูลในทะเบียนราษฎร์[1]ของตัวเอง จากนั้นเลื่อนขั้นขึ้นไปโดยดูจากผลงานและความสามารถ โอกาสที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นกรณีพิเศษมีน้อยมาก เสิ่นเจ๋อชวนมีชาติกำเนิดพิเศษไม่เหมือนใคร บัดนี้แม้จะได้รับยกเว้นโทษแล้ว แต่ในทะเบียนราษฎร์ยังมิอาจนับเป็นทหาร หากเขาคิดจะปกครองกองกำลังองครักษ์เสื้อแพร ย่อมต้องหาวิธีเลื่อนขั้นให้ตัวเอง

หลายเดือนมานี้เซียวฉือเหย่กดข่มองครักษ์เสื้อแพรมาตลอด หนึ่งเพื่อรักษาอำนาจของทหารรักษาพระองค์ไว้ สองเพื่อป้องกันมิให้เสิ่นเจ๋อชวนเลื่อนตำแหน่ง สถานการณ์ในชวี่ตูสับสนวุ่นวายก็จริง ทว่าจุดประสงค์ของแต่ละฝ่ายชัดเจน ทุกคนต่างคุ้นเคยกันแล้ว ร่วมมือกันเพราะผลประโยชน์ ต่อสู้กันก็เพราะผลประโยชน์ มีเพียงเสิ่นเจ๋อชวนที่เป็นตัวแปรซึ่งมิอาจคาดเดา เซียวฉือเหย่พยายามหยั่งเชิงเขาทุกวิถีทาง แต่กลับไม่รู้เสียทีว่าเขาคิดจะทำสิ่งใดกันแน่

เมื่อคาดเดาเป้าหมายไม่ถูกย่อมมิอาจร่วมมือได้อย่างสบายใจ

เซียวฉือเหย่หวังว่าเสิ่นเจ๋อชวนจะอยู่เบื้องล่างอย่างสงบต่อไป ทว่าการลอบสังหารครั้งนี้กลับเป็นคำตอบของอีกฝ่าย

เป็นไปไม่ได้

เขาเป็นดาบคมของตัวเอง จะบุกเบิกเส้นทางของตัวเอง ไม่ยอมให้คนอื่นบงการ สิ่งที่เขาต้องการคือการฉีกขย้ำ มิใช่การเชื่อฟัง

ความสำราญบนเตียงครั้งหนึ่งจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้

นั่นเป็นการร้องคำรามเพื่อระบายความโกรธแค้นในค่ำคืนอันมืดมิด เป็นเสียงหอบหายใจที่เกิดจากอารมณ์ใคร่ของทั้งสองคน การกระทบกระแทกของร่างกายก่อให้เกิดความเข้าอกเข้าใจกัน แต่ความรู้สึกนี้ยังไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งการตัดสินใจของทั้งคู่

เซียวฉือเหย่ไม่มีทางมอบอำนาจในมือออกไป นี่เป็นดาบที่เขาต้องใช้เพื่อความอยู่รอด ถ้ามิอาจกลับไปหลีเป่ยได้ เขาก็ต้องกำดาบเล่มนี้ไว้แน่นๆ เสิ่นเจ๋อชวนเองก็ไม่ยอมให้ตัวเองตกเป็นเบี้ยล่างของผู้อื่น ไม่ยอมให้ชะตาชีวิตถูกผู้อื่นบงการตลอดไปเช่นกัน เขาต้องการก้าวขึ้นไป เขาจำเป็นต้องก้าวขึ้นไป

เซียวฉือเหย่พลันกำหมัดแน่น ในเมื่อคดีนี้เสิ่นเจ๋อชวนมีส่วนร่วมวางแผน เช่นนั้นใครเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับเขา

 

หลี่เจี้ยนเหิงยังไม่ฟื้น เสิ่นเจ๋อชวนถูกผลัดออกมาให้พักผ่อน ตอนเขาเช็ดมือในห้องทะเบียน ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้นข้างหลัง มีคนเดินเข้ามา

“ตามแผนการที่เจ้าว่า คืนนี้ควรเป็นหานเฉิงที่ออกหน้าคุ้มกันฝ่าบาท” เซวียซิวจั๋วม้วนแขนเสื้อเล็กน้อย ล้างมือในอ่างน้ำเย็น พลางยิ้มพูด “พวกเราพี่น้องล้วนถูกใต้เท้าเสิ่นปั่นหัวจนหัวหมุนไปหมด”

“สถานการณ์คับขัน” เสิ่นเจ๋อชวนมิได้หันกลับไป “หากหานเฉิงมีความสามารถเช่นนี้ ให้เขาเป็นผู้คุ้มกันก็ไม่เป็นไร แต่เขากลับเชื่องช้า จะทำอย่างไรได้เล่า”

“เรื่องนี้มิอาจกำจัดเซียวเอ้อร์ได้ อย่างมากก็แค่ร้องเรียนว่าเขาสะเพร่า กลับเป็นเจ้าที่ครั้งนี้เปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา ต่อให้ก้าวขึ้นไปได้ หนทางต่อจากนี้ก็คงไม่ราบรื่นนัก”

“ข้ากับใต้เท้าผู้ช่วยผู้พิพากษาลงเรือลำเดียวกันแล้ว ย่อมต้องฝ่าคลื่นลมมรสุมไปด้วยกัน หากข้าไม่ราบรื่น” เสิ่นเจ๋อชวนหันกลับไป ยิ้มถาม “ใต้เท้าจะได้อยู่อย่างสบายหรือ”

“ข้าได้ยินว่ามีสุนัขบ้าชนิดหนึ่ง เวลาบ้าคลั่งแม้แต่คนกันเองยังกัดได้” เซวียซิวจั๋วแบมือสองข้าง มองไปยังเสิ่นเจ๋อชวน “ใช้ผู้อื่นเป็นก้อนหินเพื่อเหยียบย่างขึ้นไปอย่างเฉียบขาดเช่นนี้ การลงเรือลำเดียวกันกลับทำให้คนรู้สึกกลัว”

“คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร” เสิ่นเจ๋อชวนถาม “คืนนี้ผู้ที่ได้ประโยชน์ล้วนเป็นพี่น้องข้า ส่วนผู้ที่ต้องเป็นก้อนหินให้เซียวเอ้อร์เหยียบย่ำมิใช่ข้าหรือ วันหน้าข้าย่อมต้องกลายเป็นเสี้ยนหนามในใจเซียวเอ้อร์ ไม่ว่าด้วยอารมณ์หรือเหตุผล เขาล้วนต้องเกลียดข้าเข้ากระดูกดำ”

“ฝ่าบาทกับเซียวเอ้อร์มิตรภาพแน่นแฟ้น บุญคุณที่เขาเคยช่วยชีวิตฝ่าบาทในลานล่าสัตว์หนานหลินยากจะลืมเลือนเป็นที่สุด ครั้งนี้แม้เจ้าจะแสดงฝีมืออย่างโดดเด่น ก็ไม่แน่ว่าจะกำจัดเซียวเอ้อร์ได้”

“เรื่องทุกอย่างการเริ่มต้นยากเสมอ” เสิ่นเจ๋อชวนถอนหายใจ “หากฝ่าบาทซาบซึ้งในบุญคุณที่เซียวเอ้อร์ช่วยชีวิตจริง คงไม่ขังเขาไว้ในชวี่ตูต่อไป คำว่าบุญคุณที่คนเราพูดกันก็มีน้ำหนักเพียงเท่านี้”

เซวียซิวจั๋วเช็ดมือ หัวเราะครู่หนึ่งก่อนพูด “แม้คืนนี้จะผิดแผนไปเล็กน้อย แต่สุดท้ายยังคงประสบความสำเร็จ ใต้เท้าเจิ้นฝู่ วันหน้าโปรดชี้แนะด้วย”

เจิ้นฝู่ในกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรเป็นขุนนางขั้นห้า เซวียซิวจั๋วกำลังบอกเสิ่นเจ๋อชวนเป็นนัยว่า การปูนบำเหน็จในวันข้างหน้า เขาจะได้ยศอะไร

เสิ่นเจ๋อชวนมิได้ตื่นเต้นยินดีนัก “คนของกองเครื่องเสวยต้องถูกสอบสวน ข่งชิวจากกรมอาญาเป็นเหมือนเปาบุ้นจิ้นที่เถรตรงไม่เกรงกลัวอำนาจ พวกเจ้าอย่าได้พลาดท่าเพราะเขาล่ะ”

“ในเมื่อกล้าทำ ย่อมไม่กลัวพวกเขาตรวจสอบอยู่แล้ว” เซวียซิวจั๋วจัดแขนเสื้อให้ดี เอ่ยอย่างนอบน้อมมีมารยาท “ปีใหม่นี้หวังว่าพวกเราจะร่วมแรงร่วมใจกันต่อไปและสมปรารถนาในเร็ววัน”

“ด้วยการดูแลช่วยเหลือของใต้เท้าผู้ช่วยผู้พิพากษา” เสิ่นเจ๋อชวนมองเขา เอ่ยอย่างสุภาพ “ข้าต้องบรรลุปณิธานของตัวเองแน่นอน”

 

[1] ทะเบียนราษฎร์ หรืออีกชื่อหนึ่งคือทะเบียนเหลือง เป็นระบบบันทึกข้อมูลพลเมืองในสมัยราชวงศ์หมิงที่ประกอบด้วยรายละเอียดด้านภูมิลำเนา ชื่อแซ่ อายุ สมาชิกในครัวเรือน ฯลฯ โดยทะเบียนราษฎร์จะแบ่งบุคคลเป็นประเภทต่างๆ เพื่อใช้อ้างอิงในการจ่ายภาษีหรือเกณฑ์ไพร่พล พลเมืองจะถูกแบ่งเป็นสามกลุ่มใหญ่คือ ชาวบ้าน ทหาร ช่างฝีมือ

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า