โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则
暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล
นิยาย 7 เล่มจบ
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
____________________________________
บทที่ 130 รายได้พิเศษ?
ปรับปรุงโถงทางเดินครั้งใหญ่
เดือนพฤศจิกายนสภาพอากาศเปลี่ยนเป็นเย็นลงอย่างเห็นได้ชัดแล้ว โชคดีที่บ้านพวกหลัวซวินผ่านพ้นฤดูกาลทำการเกษตรที่เหนื่อยหนักไปได้ในที่สุด พืชผลส่วนใหญ่ล้วนเก็บเกี่ยวเสร็จหมดแล้ว ที่ควรจัดการก็จัดการไว้อย่างเรียบร้อย แม้แต่ดอกทานตะวันที่ปลูกไว้ตรงระเบียงก็ตัดมาเคาะเมล็ดออกหมดแล้ว พวกเขาแบ่งเมล็ดดิบบางส่วนไว้ทำเป็นเมล็ดพันธุ์เพื่อปลูกใหม่ในรอบต่อไป ส่วนที่เหลือก็นำมากระเทาะล่อนเปลือก และนำไปสกัดเป็นน้ำมันเมล็ดทานตะวันไว้ใช้ประกอบอาหาร ส่วนถั่วลิสงกับถั่วเหลืองก็เก็บเกี่ยวได้แล้วเช่นกัน จึงจัดการด้วยวิธีคล้ายคลึงกัน… ถั่วลิสงนำมาบดทำเป็นเนยถั่วก็เป็นของดีมาก เก็บไว้ทาหมั่นโถวกินก็อร่อยดี
ส่วนถั่วเหลืองนอกจากจะเอาไปสกัดทำเป็นน้ำมันแล้ว ยังเอาไปตากแห้งแล้วหมักเป็นเต้าหู้ได้อีกด้วย!
อุปกรณ์ที่ใช้ในการบดก็คือหินโม่แป้งชุดเล็กที่หลัวซวินซื้อมาตั้งแต่ก่อนวันสิ้นโลก ขนาดไม่ใหญ่แถมเป็นสินค้ามือสอง แต่นับว่าใช้งานได้ดีมากทีเดียว เวลาว่างจากการทำงานเกษตร สองสาวก็เล่นกับอวี๋ซินหรันไปพร้อมกับทำงานเหล่านี้ได้
แม้จะมีปริมาณถั่วไม่มากแต่ก็สามารถสกัดน้ำมันออกมาได้เยอะพอสมควร เพียงพอให้สมาชิกทีมแต่ละบ้านแบ่งไปใช้กันได้สักระยะ ต้องบอกก่อนว่าทางฐานที่มั่นแทบไม่มีน้ำมันสำหรับใช้ในการบริโภคออกมาจำหน่ายเลย ไม่รู้เป็นเพราะว่าไม่ได้ปลูกพืชสำหรับสกัดน้ำมันไว้เลย หรือปลูกแล้วแต่กลายพันธุ์ไปหมดจนเอามาใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้กันแน่
อย่างไรก็ตาม หลังจากค้นพบสถานการณ์นี้สมาชิกในทีมโอตาคุจึงยิ่งตื่นตัวในการสกัดน้ำมันพืชใช้เอง และใช้น้ำมันทุกหยดอย่างรู้คุณค่า
ภาพถ่ายจากดาวเทียมถูกส่งมาอีกกองใหญ่ ทำเอาสายตาทุกคู่ดูแล้วตื่นตรกหนกตกใจอีกครั้ง
กลุ่มผู้นำระดับสูงของฐานที่มั่นนั่งล้อมรอบโต๊ะกลมตัวใหญ่ พูดอะไรไม่ออกอยู่นานสองนาน ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันไปมา ในที่สุดก็มีคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ทีนี้…เราจะ…จัดการยังไงดี”
“จัดการ? จะจัดการยังไง จะต้องทำยังไงถึงจะกวาดล้างเจ้าพวกนี้ได้สิ้นซาก”
“ผู้มีพลังพิเศษไง ส่งผู้มีพลังพิเศษไปสิ”
“ผู้มีพลังพิเศษจะกำจัดพวกมันได้จริงเหรอ ทีมที่ส่งออกไปก่อนหน้านี้ยังไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไงเลย!”
“แต่นั่นยังพิสูจน์ไม่ได้หรอกนะว่า…เป็นฝีมือพวกมัน อย่าลืมสิว่าในใจกลางเมืองยังมีสิ่งอื่นอยู่ด้วย”
“เฮอะๆ ถ้างั้นคุณคิดว่าใครล่ะที่ถล่มอาคาร และพังสิ่งปลูกสร้างลงมาแบบนี้ได้ พวกผู้มีพลังพิเศษที่เข้าไปรวบรวมทรัพยากรในตัวเมืองเป็นคนทำงั้นเหรอ หรือว่าตึกพวกนั้นถูกลมพัดโค่นถล่มลงมาเองตามธรรมชาติกันล่ะ”
“ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ ทุกคนมาช่วยกันถกปัญหากันก่อน” รอให้ประชุมเสร็จแล้วพวกนายค่อยไปเถียงกันนอกรอบยังไงก็เชิญ ปัญหาในตอนนี้คือ จะกำจัดพวกสัตว์ประหลาดที่เห็นในภาพถ่ายเหล่านี้อย่างไรดี
นอกจากภาพถ่ายจากดาวเทียมที่วางกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะแล้ว ยังมีรายงานจากหน่วยสอดแนมที่เข้าไปสำรวจพื้นที่ในตัวเมืองวางอยู่ด้วย
ซอมบี้ยักษ์ขนาดมหึมา ร่างกายกำยำ สูงไม่ต่ำกว่าสามเมตร ผิวสีเทาดำ สามารถยกรถทั้งคันขึ้นไปฉีกแยกได้สบาย พวกมันกำลังเดินเตร่ไปทั่วเมือง ข้างตัวพวกมันยังมีร่องรอยของตึกถล่มที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ
“ต้องไปสร้างกำแพงชั้นนอกอีกแล้วเหรอ” สมาชิกทีมหน่วยโลหะมองสะพานลอยฟ้าที่เหลืองานอีกเล็กน้อยก็จะเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็หันไปมองกำแพงชั้นนอกอันแกร่งกร้าวที่อยู่ห่างไปไม่ไกล… เบื้องบนกำลังเล่นอะไรกันเนี่ย ทำไมย้ำคิดย้ำทำจะให้พวกเขาไปสร้างกำแพงชั้นนอกอีกล่ะ พวกเขาเพิ่งทำเสร็จไปหมาดๆ เองไม่ใช่เหรอ
“คราวนี้ให้พวกคุณช่วยกันหลอมโลหะบนกําแพงให้แข็งแรงทนทานระดับเดียวกับสะพานลอยฟ้านี่น่ะ” คนที่มาแจ้งข่าวอธิบายให้พวกเขาฟังอย่างใจเย็น “นี่คืออัตราส่วนการผสมโลหะที่เราต้องการ พวกคุณต้องแยกองค์ประกอบทั้งหมดออกจากกันแล้วหลอมรวมกันใหม่ตามอัตราส่วนนี้…”
หัวหน้ากัวลูบคางครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะโพล่งถามว่า “มีซอมบี้พันธุ์ใหม่โผล่มาอีกแล้วใช่ไหม แถมมีพลังทำลายล้างที่ร้ายกาจมากด้วยสินะ”
พอคนคนนั้นได้ยินก็ถึงกับแข็งทื่อไปทั้งตัว จากนั้นเขาก็หัวเราะลั่นพลางโบกมือปัดๆ “ฮ่าๆ ฮ่าๆ พวกคุณคิดมากไปแล้ว จะเป็นไปได้ยัง….” เขาพูดได้เพียงครึ่งเดียวก็ถูกผู้มีพลังพิเศษทั้งกลุ่มมองด้วยสายตาเหยียดหยาม ชายคนนั้นพลันกลืนคำพูดที่เหลือลงคอไปแทบไม่ทัน ผ่านไปครู่ใหญ่ชายคนนั้นจึงกำชับพวกเขาเสียงอ่อยว่า “สรุปคือ พวกคุณรู้อยู่แล้วก็ดีเหมือนกัน งั้นเรื่องสร้างกำแพง พวกคุณก็ต้องรีบเร่งมือแล้วละ”
หลัวซวินและเหยียนเฟยหันมองสบตากัน ในใจต่างมีคำตอบกันอยู่แล้ว …ต้องเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่พวกเขาเจอมาเมื่อวันก่อนแน่ ไม่อย่างนั้นคงไม่ประจวบเหมาะขนาดนี้
ถึงแม้ตอนนี้จะยังสืบหาข่าวที่แน่ชัดไม่ได้ แต่ก็ต้องเตรียมตัวไว้ให้พร้อม ในเมื่อเบื้องบนมีคำสั่งมาแบบนี้ พวกเขาก็ต้องไปทำตามนั้น เนื่องจากงานสร้างสะพานกำลังจะเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว แต่ทางกำแพงชั้นนอกก็เป็นงานฉุกเฉินเร่งด่วนมาก ผู้บัญชาการที่รับผิดชอบของทั้งสองโครงการต่างถกเถียงกันอยู่นานกว่าจะจำใจยอมลงให้กัน สุดท้ายตัดสินใจว่า… ช่วงสองสามวันนี้ให้ทุกคนไปจัดการงานสร้างกำแพงในช่วงเช้า หลังจากกินข้าวเที่ยงแล้วค่อยย้ายกลับมาทำงานสร้างสะพานต่อ
ถึงอย่างไร เนื้องานของทั้งสองโครงการนี้ก็ไม่แตกต่างกันมากนัก ระดับความยากของแต่ละงานที่หน่วยโลหะรับผิดชอบล้วนไม่ต่างกัน
ดังนั้นหน่วยที่พวกเหยียนเฟยสังกัดอยู่จึงต้องวิ่งรอกงานสองที่ เช้าสร้างกำแพง บ่ายไปสร้างสะพาน งานรัดตัวราวกับพวกศิลปินคนดังไม่มีผิด โชคดีที่ทางเบื้องบนไม่ใจร้ายถึงขั้นสั่งเพิ่มเวลาทำงานของพวกเขาด้วย ไม่งั้น…เหอะๆ มีหวังได้เหนื่อยตายจริงๆ แน่
เดิมทีเป็นเพราะพวกเขาเห็นแก่คูปองสะสมและคริสตัลที่ได้รับเป็นค่าตอบแทนจากการทำงานในแต่ละวัน ไม่อย่างนั้นลำพังคุณภาพของอาหารที่ทางทหารจัดเตรียมไว้ให้ก็เพียงพอให้หลัวซวินกับเหยียนเฟยชิงลาออกไม่ทนทำต่อแล้ว นี่ถ้ามีคำสั่งให้เพิ่มเวลาทำงานของพวกเขาด้วยละก็ มีหวังเหยียนเฟยได้ลาออกไปเลยแน่…เขายอมออกไปล่าคริสตัลที่นอกฐานที่มั่นเองเสียยังดีกว่า เพราะอย่างน้อยเขาก็ยังได้กินอาหารที่คนรักลงมือทำให้กินเอง
ท่ามกลางลมหนาวพัดมาเป็นระลอกๆ ผู้คนซึ่งปราศจากเครื่องป้องกันความหนาวจึงได้แต่สวมเสื้อผ้าหลายๆ ชั้นต้านทานลมจากทางเหนือที่แวะเวียนมาทักทายกันก่อนจะถึงฤดูหนาว พวกเขาแทบอยากจะร้องเพลงอมตะจากบทละครเรื่องหญิงสาวผมขาว[1] ท่อนที่ว่า ‘ลมเหนือนั้นพัดมา…’ กันแล้วเชียว
ไม่รู้ว่าเพราะรู้สึกไปเอง หรือเพราะความเป็นอยู่ของทุกคนแย่ลงกว่าเมื่อก่อน แต่สมาชิกทุกคนของหน่วยโลหะรวมถึงเหยียนเฟยและหลัวซวินต่างรู้สึกเหมือนกันว่าฤดูหนาวปีนี้จะต้องหนาวกว่าปีก่อนๆ แน่ ขนาดลมเหนือยังพัดแรงกว่าเดิมมาก
พวกเขาต้องทนทรมานฝ่าลมหนาวเดินสายทำงานวันละสองที่ติดต่อกันหลายวัน
เช้าวันนี้ พวกหลัวซวินหอบขนถุงผักที่เก็บเกี่ยวมาแล้วดูท่าว่าจะกินไม่หมดแน่ๆ ใส่ขึ้นรถเพื่อนำไปขาย พวกเขาขับรถตรงดิ่งไปที่ประตูหลังของโรงอาหารในค่าย หัวหน้าหลี่ผู้รับผิดชอบโรงอาหารเหมือนมารออยู่ที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่ ครั้นเห็นพวกเขาทั้งสองเข้ามาก็รีบมาต้อนรับทักทายด้วยตัวเองอย่างกะตือรือร้น ทำให้หลัวซวินแอบส่งสายตาเป็นสัญญาณให้เหยียนเฟย
“โอ้โฮ ระยะหลังมานี้พวกคุณทิ้งระยะห่างนานเลยกว่าจะเอาผักมาส่งแต่ละครั้ง” หัวหน้าหลี่ยิ้มร่าพลางยื่นบุหรี่ให้พวกเขาคนละมวน
ถึงแม้พวกเขาทั้งสองจะไม่สูบบุหรี่ แต่ก็ยังรับมาเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเสียน้ำใจ… นี่เป็นเรื่องประหลาดมากจริงๆ ที่ผ่านมามีเพียงพวกเขาที่เป็นฝ่ายคอยเอาใจยื่นไมตรีให้หัวหน้าหลี่ก่อน การที่หัวหน้าหลี่กลับเป็นฝ่ายเสนอไมตรีต่อพวกเขาแบบนี้นับเป็นครั้งแรกเลยทีเดียว
“เฮ้อ ช่วงนี้อากาศหนาวมากเลยครับ พืชผักที่ปลูกไว้ในบ้านไม่ค่อยโตเท่าไร พวกผมก็จนปัญญาเหมือนกันครับ” หลัวซวินยิ้มจนตาหยีรับบุหรี่มวนนั้นที่อีกฝ่ายยื่นมาให้เก็บใส่กระเป๋า…บุหรี่เป็นของสำหรับใช้ผูกมิตรเชื่อมสัมพันธ์ในยุควันสิ้นโลกได้อย่างดีเยี่ยม ถึงแม้ตอนก่อนวันสิ้นโลกมันจะเป็นสินค้าราคาถูก บางรุ่นก็เป็นมวนแบบสูบยาก หรือแม้แต่เจอความชื้น กลิ่นจางหาย เก็บไว้นานจนหมดอายุแล้วก็ตาม แต่บุหรี่ก็ยังคงเป็นของฟุ่มเฟือยที่ได้รับความนิยมมากในยุควันสิ้นโลกอยู่ดี ต่อให้ตัวเองไม่สูบบุหรี่ แต่จะทิ้งให้เสียของสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้
หัวหน้าหลี่เดินนำทั้งคู่เข้าประตูด้านหลังโรงอาหาร นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้านในแบบนี้ ทั้งสองมองหน้ากัน ต่างอยากรอดูว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์อะไร จึงเดินตามหลังอีกฝ่ายไปแต่โดยดี ส่วนรถของพวกเขา…เหยียนเฟยสามารถใช้พลังพิเศษล็อกรถได้โดยไม่ต้องล้วงกระเป๋าไปหยิบกุญแจเลยด้วยซ้ำ และไม่ต้องทำไม้ทำมืออะไรก็สามารถจัดการได้เรียบร้อย
พวกพลทหารฝ่ายพลาธิการช่วยกันชั่งผักอยู่ตรงประตู ส่วนพวกเขาสามคนนั่งบนเก้าอี้สตูลในห้องครัวด้านหลังของโรงอาหาร หัวหน้าหลี่หัวเราะร่าพลางกระซิบถามพวกเขาทั้งสอง “ผักในบ้านพวกคุณใช้น้ำสะอาดจากผู้มีพลังพิเศษมารดทั้งหมดเลยใช่ไหมครับ”
สองหนุ่มเพียงยิ้มแต่ไม่ได้ตอบอะไร
หัวหน้าหลี่ก็ไม่ได้ต้องการถามเพื่อเอาคำตอบอะไร ปัจจุบันใครๆ ก็รู้ดีว่าถ้าใช้น้ำที่ปนเปื้อน พืชผักก็จะยิ่งกลายพันธุ์ได้ง่าย แต่ที่พวกหลัวซวินสามารถปลูกผักที่ไม่กลายพันธุ์ออกมาได้เยอะขนาดนี้ ต้องมีต้นเหตุมาจากน้ำแน่ๆ!
เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ตอบ หัวหน้าหลี่ก็ไม่ซักไซ้ต่อและเปลี่ยนประเด็นพูดว่า “ตอนนี้อากาศหนาวแล้ว พืชผลที่ทางการปลูกก็เก็บเกี่ยวได้ไม่เท่าไร แต่พวกเราทำโรงอาหารต้องรับประกันได้ว่าดูแลปากท้องของกองทัพได้ทั่วถึง แต่ช่วงนี้วัตถุดิบที่แลกซื้อตรงจุดแลกของในฐานที่มั่นก็น้อยลงไปมาก…”
หัวหน้าหลี่พูดยืดยาว จนในที่สุดก็บอกวัตถุประสงค์ในใจออกมาว่า “ต่อไปถ้าพวกคุณเอาผักมาขายได้เกินสิบจิน จะให้ราคาเพิ่มขึ้นอีก”
เรื่องนี้เหยียนเฟยไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ เขาจึงนั่งเงียบๆ ไม่ส่งเสียงสักแอะ หลัวซวินเป็นฝ่ายพูดกลั้วหัวเราะว่า “เรื่องนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับผลผลิตที่พวกผมเก็บเกี่ยวได้นะครับ…คุณก็รู้ว่าพออากาศหนาวผักจะโตช้า ยังไงพวกผมจะพยายามอย่างเต็มที่ครับ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ อย่างน้อยก็ช่วยให้หัวหน้าหลี่สบายใจขึ้นบ้าง ตอนนี้ผักที่พวกหลัวซวินขนมาชั่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว สองฝ่ายจึงเคลียร์บัญชีจ่ายค่าของกัน จากนั้นหลัวซวินกับเหยียนเฟยก็ลุกขึ้นขอตัวลา
หลัวซวินขับรถมาที่ลานจอดรถในค่ายทหาร เมื่อทั้งสองลงจากรถก็รีบตรงไปยังจุดรวมตัวของหน่วยโลหะพลางกระซิบหารือเรื่องนี้กัน
“เขาขึ้นราคาให้เราเพราะในฐานที่มั่นปลูกผักได้น้อยลงงั้นเหรอ” เหยียนเฟยขมวดคิ้ว “ฉันรู้สึกว่าเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น”
“ต่อให้ช่วงนี้มีผักน้อยลงจริง แต่ไม่ถึงขั้นที่เขาจะขึ้นราคาให้เราหรอก” หลัวซวินหัวเราะขำเบาๆ “ฉันเดาว่านอกจากผักที่ไม่กลายพันธุ์ของฝ่ายพลาธิการจะมีน้อยลงแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งน่าจะเป็นเพราะ… มีคนบางกลุ่มในฐานที่มั่นให้ราคาที่ดีกว่า”
“ให้ราคาดีกว่า?” เหยียนเฟยเลิกคิ้วพลางมองหลัวซวินด้วยความสนใจอยากรู้
“ใช่แล้ว ได้ยินพวกสวีเหมยบอกว่าบู๊ธขายอาหารในฐานที่มั่นก็เริ่มไม่มีผักสดมาขายตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว มีแต่ผักดองเค็ม ผักดองซีอิ๊ว และกับข้าวที่ทำสำเร็จไว้แล้วมาขาย ต่อให้ทุกคนอยากซื้อผักกาดหอมกลับไปทำกินเองก็ต้องไปตระเวนหาซื้อตามตลาด ยิ่งกว่านั้น พอในเขตเมืองใหม่มีสมาชิกทีมผู้มีพลังพิเศษเพิ่มมากขึ้น กองกำลังหลายทีมมาอยู่รวมกัน…ถ้าในบรรดาหัวหน้าทีมพวกนั้นอยากจะกินผักกินผลไม้ที่ปลูกกันเองในบ้าน สมาชิกทีมคนอื่นๆ ก็ย่อมอยากกินด้วยเหมือนกัน…แบบนี้ราคาพืชผักไม่พุ่งสูงขึ้นก็แปลกแล้ว” หลัวซวินพูดเรื่องพวกนี้ด้วยใบหน้ายิ้มๆ สีหน้าผ่อนคลาย
ในชาติก่อนตอนที่เขาเริ่มทำเกษตรอย่างเป็นทางการได้สักระยะ ราคาพืชผักในฐานที่มั่นก็สูงพอสมควรอยู่แล้ว เมื่อพบว่าสามารถสร้างกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ เขาจึงเริ่มลงมืออย่างจริงจัง แน่นอนว่าก่อนหน้านั้นเขาเคยทำงานปลูกผักที่ฐานเพาะปลูกมาระยะหนึ่ง แม้ในช่วงฤดูหนาวจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ไม่มากนักเป็นธรรมดา แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะไปเอ่ยปากขอขึ้นราคากับผู้ดูแลโรงอาหารของทางกองทัพได้หรอก ทว่าในชาตินี้ที่หัวหน้าหลี่เป็นฝ่ายเสนอเรื่องขึ้นราคาผักออกมาเองเมื่อครู่…นั่นมีเพียงเหตุผลเดียวซึ่งก็คือ…ผักที่รสชาติเป็นปกติไม่กลายพันธุ์ที่อื่นๆ ในฐานที่มั่นล้วนขึ้นราคากันหมดแล้ว
มีใครบ้างอยากทรมานปากของตัวเองเวลากินข้าวล่ะ ดูอย่างตอนที่ข้าวใหม่ล็อตแรกของฐานที่มั่นถูกปล่อยออกมาสิ ข้าวเก่ารสชาติดีหายไปแบบไม่เหลือร่องรอยเลย ในขณะที่พวกคนใหญ่คนโตเหล่านั้นกินข้าวเก่า เพื่อคงอรรถรสในการกินไว้ พวกเขาย่อมเต็มใจจ่ายเพื่อให้ได้กินพืชผักที่ไม่กลายพันธุ์ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นผักปกติที่ปลูกไว้ในโรงเรือนของทางการหรือพืชผักที่พวกหลัวซวินแบ่งออกมาขาย เดาได้เลยว่าร้อยละแปดสิบเก้าสิบต้องตกไปอยู่ในท้องของคนใหญ่คนโตพวกนี้แหละ
ถ้าพวกหัวหน้าทีมที่อยู่ข้างนอกนั้นอยากกินบ้างก็ต้องเป็นฝ่ายเสนอราคารับซื้อที่สูงกว่า แต่ที่น่าเสียดายก็คือ แม้พวกผู้มีพลังพิเศษส่วนใหญ่จะย้ายเข้าไปอยู่ในเขตเมืองใหม่กันเกือบหมด และผู้มีพลังพิเศษธาตุน้ำที่อยู่อย่างกระจัดกระจายบางส่วนก็เข้าร่วมทีมต่างๆ แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าผู้มีพลังพิเศษธาตุน้ำจะยินดีใช้พลังพิเศษเพื่อเพาะปลูกกันทุกคนสักหน่อย และก็ไม่ใช่ว่าทุกทีมจะสามารถหาคนที่เก่งเรื่องการทำเกษตรมาร่วมงานได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้น ใช่ว่าทุกทีมจะมีพื้นที่สร้างโรงเรือนสำหรับเพาะปลูกเสียเมื่อไร…โดยเฉพาะเขตที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่จำกัดและประชากรหนาแน่นอย่างเขตเมืองใหม่นั่นด้วย
ดังนั้น เมื่อหัวหน้าทีมเหล่านี้อยากกินของดีๆ จะต้องทำยังไงล่ะ ก็ต้องซื้อสิครับ!
เหยียนเฟยฟังการวิเคราะห์ของหลัวซวินแล้วก็เข้าใจความซับซ้อนซ่อนเงื่อนของเรื่องนี้ได้ในทันที ที่ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าแปลกๆ เป็นเพราะที่บ้านพวกเขามีเสบียงอาหารและพืชผักเยอะแยะเต็มไปหมด แม้แต่ข้าวพวกเขาก็ยังปลูกกินเองได้ แถมยังเก็บเกี่ยวได้ครั้งละมากๆ อีก
แน่นอนว่า หลังจากตั้งสติได้เขาก็เข้าใจสาเหตุที่แฝงเร้นพวกนั้นได้ไม่ยาก และยิ่งเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วว่าหลัวซวินสามารถยังชีพด้วยการขายผักเลี้ยงปากเลี้ยงท้องพวกเขาสองคนได้สบาย…อ้อ ยังมีสุนัขอีกหนึ่งตัวด้วย
ด้วยเหตุนี้ เมื่อทั้งคู่ทำงานของวันนี้เสร็จ หลัวซวินและเหยียนเฟยก็ไม่แปลกใจเลยที่เจอผู้ชายสองคนซึ่งเห็นได้ชัดว่ามายืนรออยู่ข้างรถที่ห่อหุ้มด้วยโลหะไว้อย่างแน่นหนาอยู่นานแล้ว
ชายสองคนนั้นมองสังเกตหลัวซวินกับเหยียนเฟยอย่างละเอียดสักพัก พอเห็นพวกเขาเข้าไปเปิดรถเก่าๆ รูปทรงพิลึกพิลั่นนั่นก็รีบก้าวเข้ามาทักทาย “พวกคุณสองคน…ใช่คนที่มาส่งผักที่โรงอาหารเมื่อเช้าหรือเปล่าครับ” โลหะที่ปิดตายหน้าต่างรถถูกถอดออกไปหลอมติดกับตัวรถแล้ว เหลือเพียงโลหะที่เหมือนซี่กรงพาดแนวขวางตรงกระจกหน้ารถเอาไว้กันกระแทก
ถ้าไม่ใช่เพราะชายสองคนนั้นรู้แล้วว่าในยุควันสิ้นโลกไม่มีอุปกรณ์ไฮเทคล้ำยุคอะไรขนาดนั้น… และคนทั่วไปก็คงไม่เอาไปติดตั้งตรงที่แบบนั้น พวกเขาก็คงนึกว่าแผ่นโลหะบนรถถูกควบคุมโดยอุปกรณ์อะไรสักอย่าง ใครใช้ให้ดูไม่ออกล่ะว่าแท้จริงแล้วมีคนควบคุมโลหะพวกนี้อยู่
แต่จะว่าไปผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะต้องหาเลี้ยงตัวเองด้วยการขายผักด้วยเหรอ นี่มันเรื่องบ้าบอชัดๆ …
ตอนนี้เองเหยียนเฟยจึงถามขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “มีธุระอะไร”
สองคนนนั้นมองหน้ากัน จากนั้นก็มองดูรถประหลาดคันนี้อีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะยิ้มก้าวออกมาอีกหนึ่งก้าว “พวกเราเป็นทีม XX ได้ข่าวว่าปกติพวกคุณมาส่งผักที่โรงอาหารในค่ายโดยเฉพาะใช่ไหมครับ ไม่ทราบว่าคิดราคายังไง…”
สองคนนี้เป็นตัวแทนลูกพี่ใหญ่ของพวกเขามาสืบข่าวเรื่องการซื้อขายผักจากหลัวซวินและเหยียนเฟย เพื่อดูว่าพวกตนจะสามารถดึงแหล่งสินค้าไปจากโรงอาหารของทางกองทัพไปส่งให้พวกตัวเองได้หรือไม่ หรือกระทั่งทีมพวกเขาจะทำตัวเป็นพ่อค้าคนกลางซื้อผักจากเจ้านี้ในราคาถูกแล้วเอาไปขายที่อื่นต่อแพงๆ ได้หรือเปล่า ผลปรากฏว่ามีหลัวซวินผู้รู้แนวโน้มราคาตลาดจากชาติก่อนอยู่ทั้งคน บวกกับเหยียนเฟยที่เคยมีตำแหน่งเป็นถึงผู้บริหารในยุคก่อนวันสิ้นโลก นอกจากคนพวกนั้นจะไม่ได้คำตอบเรื่องราคาแล้ว ยังถูกพ่อค้าผักหลอกถามราคาขั้นต่ำที่เคยรับซื้ออีกด้วย พวกนั้นถูกสองหนุ่มสับขาหลอกจนมึนตึ้บ แม้แต่เบอร์โทรศัพท์ของพวกหลัวซวินก็ไม่ได้ไป มีแต่เป็นฝ่ายนั้นแจกเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองให้หลัวซวินกับเหยียนเฟยไว้แทน เสร็จแล้วพวกเขาก็แยกย้ายจากไป
“ราคาใช้ได้ แต่ชื่อทีมนี่… ไม่เห็นจะเคยได้ยินเลย” หลัวซวินอยากมีรายได้เพิ่มอย่างนั้นเหรอ แน่นอนอยู่แล้ว แต่ต่อให้เขาอยากหาเงินได้เยอะๆ แค่ไหน ก็ไม่ควรขายของให้กับทีมที่ไม่รู้ว่าวันดีคืนดีจะหายหัวไปตอนไหน ไม่อย่างนั้น เกิดตกลงซื้อขายกันเสียดิบดี ให้เขากระตือรือร้นเก็บผักมาขาย แต่สุดท้าย… ลูกค้าไม่อยู่แล้ว แบบนี้เขาจะเอาของไปขายให้ใครล่ะ
แน่นอนว่ามีคนเต็มใจซื้อพวกเขาก็ยินดีที่จะขายให้ เพียงแต่ช่วงนี้… พวกเขาเพิ่งปรับสัดส่วนของพืชผลที่ปลูกในบ้านเพราะกลัวว่าจะมีข้าวไม่พอกิน หากมีคนต้องการจะซื้อผักจริงๆ ก็ต้องปรับแผนใหม่ แม้จะอยากขายแต่ก็ต้องให้สมาชิกทีมทุกคนมีพอกินก่อนถึงจะนำไปขายได้
เมื่อทั้งสองกลับถึงบ้าน ก็ตามสวีเหมยกับซ่งหลิงหลิงให้มาหารือเรื่องนี้ด้วยกัน ทุกคนต่างเห็นตรงกันว่าถึงจะไม่ขายให้ทีมอื่นพวกนั้น แต่ขายให้แค่กองทัพที่ยินดีจะเพิ่มราคาให้ พวกเขาก็ยินดีที่จะปลูกผักให้มากขึ้น
แต่ปัญหาหลักในตอนนี้ก็คือพวกเขาจำเป็นต้องปรับแผนการเพาะปลูกใหม่ก่อน
ระหว่างที่พวกเขากำลังปรึกษากันอยู่ ไม่นานพวกหลี่เถี่ยสี่คนก็กลับมา ผ่านไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมงหวังตั๋วซึ่งตั้งใจไปรอรับจางซู่ก็กลับมาพร้อมราชินีสุดที่รักของเขา
ทันทีที่จางซู่ย่างเท้าเข้ามาในห้องก็ทำหน้าหงิกพร้อมกับแค่นเสียงขึ้นจมูกใส่เหยียนเฟยเป็นอันดับแรก
ทุกคนต่างหันขวับมามองเหยียนเฟยพร้อมกันเป็นตาเดียว… ทำไมเขาถึงมาหาเรื่องคุณชายอีกล่ะเนี่ย
เหยียนเฟยเองก็ประหลาดใจ เขาเลิกคิ้วถามจางซู่ว่า “เป็นบ้าอะไร”
จางซู่ค้อนตาหลับตาเหลือกใส่เขาซ้ำอีกที จากนั้นก็เดินไปนั่งพิงเก้าอี้ ทิ้งน้ำหนักไว้ที่สองขาหลังของเก้าอี้ ส่วนสองขาหน้ายกลอยโดยใช้ปลายเท้าตัวเองค้ำยันไว้แล้วโยกเก้าอี้ไปมา “วันนี้พวกนางพยาบาลวิ่งมาบอกว่า มีคนจะเล่นงานฉัน ให้ฉันระวังตัวไว้หน่อย”
มีคนจะเล่นงานจางซู่ แล้วเขามาถลึงตาจ้องหน้าเหยียนเฟยทำไม เหยียนเฟยไม่ใช่คนที่จะเล่นงานเขาเสียหน่อย
“เล่นงานคุณ? ใครจะเล่นงานคุณ?!” หวังตั๋วได้ยินก็พองขนขู่ฟ่อขึ้นมาทันที เขาทำท่าถกแขนเสื้อเตรียมจะออกไปคิดบัญชีกับคนที่มาหาเรื่อง “ที่รักบอกผมมา ใช่ตาแก่ที่ชอบอิจฉาในความเก่งกาจของคุณคนนั้นหรือเปล่า หรือมีใครหลงใหลในความงามของคุณแล้วคิดจะมาข่มเหงรังแกกัน?”
ทั้งห้องไม่มีใครสนใจท่าทางบ้าๆ บอๆ ของหวังตั๋วเลยสักคน แต่ทั้งหมดพุ่งสายตาไปที่จางซู่ รอดูว่าเขาจะว่ายังไงต่อ
จางซู่แสยะยิ้มเย็นชาขณะโยกเก้าอี้ไปด้วย “พอฉันได้ยินแบบนั้นก็ไปสืบมาจนรู้ว่า ต้นเหตุมาจากเมื่อสองวันก่อนที่ฉันปฏิเสธคำขอของคนไข้รายหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าเธอจะไปฟ้องผู้บริหารโรงพยาบาลให้ไล่ฉันออก” เขาพูดแล้วก็แค่นหัวเราะหึๆ “ไม่รู้จริงๆ ว่าเธอไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ต่อให้เธอเป็นผู้นำสูงสุดของฐานที่มั่น แต่ถ้าคิดจะไล่ฉันออกในสถานการณ์ตอนนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าจะไล่ฉันออกได้หรือเปล่า”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลัวซวินกับเหยียนเฟยที่รู้ความเป็นมาต่างก็หันมาสบตากันอย่างจนใจ เฮ้อ จริงๆ เลย… ถ้าหลิวเซียงอวี่มีเส้นสายจริงๆ เธอจะยังต้องเที่ยวขอให้คนอื่นช่วยทำแท้งให้ไปทั่วแบบนี้เหรอ เหยียนเฟยไม่ใช่หมอผู้เชี่ยวชาญ และก็ไม่รู้ว่าแม่ของเขาใช้เส้นสายอะไรหาคนไปเอาเรื่องจางซู่ หรือว่าเธอแจ้นไปหาผู้บริหารของโรงพยาบาลด้วยตัวเองกันแน่ แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน ผู้บริหารโรงพยาบาลน่าจะรู้เรื่องที่เธอหอบท้องโย้ๆ เที่ยวหาคนช่วยผ่าตัดทำแท้งไปทั่วอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงมีหมอตอบตกลงรับงานนี้เป็นการส่วนตัวไปแล้ว
เพียงแต่ ดูเหมือนจางซู่จะแค่บ่นๆ ไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้คิดจะหาเรื่องเหยียนเฟยจริงๆ จังๆ แบบนั้น เขานับว่าเป็นคนที่เข้าใจเรื่องในครอบครัวเหยียนเฟยดีที่สุดในทีม จากท่าทีที่คุณนายหลิวคนนั้นมีต่อเหยียนเฟย และจากการปฏิบัติตัวต่อคนอื่นๆ ของเธอ… เหยียนเฟยไม่ควรมารับผิดชอบอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
ครั้นเห็นจางซู่ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก นอกจากหวังตั๋วที่ยังคงหงุดหงิดงุ่นง่าน คนอื่นๆ ก็ล้วนฉลาดพอจะไม่เซ้าซี้ถามให้มากความ แต่เปลี่ยนประเด็นไปเรื่องปลูกผักที่หลัวซวินคุยค้างไว้ก่อนหน้านี้แทน
เมื่อได้ฟังหลัวซวินอธิบายสถานการณ์อย่างชัดเจน ทุกคนต่างคิดตรงกันทันทีว่า… จะมัวลังเลอะไรอยู่เล่า ปลูกเลย! ก็แค่การขยายพื้นที่ปลูกเองไม่ใช่เหรอ
เพียงแต่พื้นที่เพาะปลูกในห้องต่างๆ ยึดตามแผนที่วางไว้ก่อนหน้าแล้ว ทั้งการปลูกผักชนิดต่างๆ และการปลูกข้าวปลูกธัญพืช จึงไม่สะดวกที่จะปรับโครงสร้างใหม่ในตอนนี้ ดังนั้น จึงเหลือเพียงตัวเลือกเดียวเท่านั้น นั่นก็คือโถงทางเดิน
เนื่องจากใกล้ถึงฤดูหนาวแล้ว บริเวณโถงทางเดินหน้าห้องจากมีลมถ่ายเทมากเป็นพิเศษ หลังจากเก็บพืชผักซึ่งปลูกอยู่ตรงพื้นที่ทางเดินหน้าห้อง เพราะไม่ต้องการแดดจัดแล้ว ก็ยังปล่อยว่างไว้อยู่ ในเมื่อตอนนี้พวกเขาต้องการขยายพื้นที่ปลูกผักใบเขียว จึงต้องคิดหาวิธีปรับปรุงพื้นที่ตรงโถงทางเดินหน้าห้องใหม่
การปรับปรุงโถงทางเดินนั้นง่ายมาก โดยเฉพาะโถงทางเดินมีชั้นวางเตรียมไว้แล้ว พวกเขาแค่ปิดช่องว่างไม่ให้มีลมเข้า จากนั้นก็ให้เหยียนเฟยใช้โลหะวางท่อน้ำนำความร้อนแล้วค่อยปูพื้น แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว มีปัญหาเพียงเรื่องเดียวคือพวกเขาต้องย้ายของตรงทางเดินไปเก็บไว้ที่อื่น
สำหรับเรื่องนี้ทุกคนต่างไม่มีความเห็นขัดแย้งอะไร แผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่แขวนอยู่บนผนังด้านนอกตอนนี้ก็สามารถรองรับการใช้พลังงานไฟฟ้าของทุกห้องได้อย่างเพียงพอ จึงไม่จำเป็นต้องเอาออกไปติดตั้งเพิ่ม และแน่นอนว่าไม่มีใครบ่นเรื่องมีแบตเตอรี่เยอะมากเกินไปอยู่แล้ว
ส่วนเรื่องย้ายของเพื่อปูพื้นใหม่ ทุกคนตกลงกันว่าหลังกินข้าวเย็นเสร็จแล้วก็เริ่มลงมือได้เลย!
เหยียนเฟยผู้ทำงานควบคุมโลหะสร้างเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้สารพัดเป็นประจำทุกวันย่อมไม่มีความกดดันในการรับผิดชอบงานครั้งนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ทุกคนช่วยกันเก็บกวาดเคลียร์พื้นที่บริเวณโถงทางเดินของชั้นสิบหกจนเกลี้ยงเกลา กระทั่งตอนที่พวกเขาไปช่วยกันขนย้ายของที่โถงทางเดินชั้นสิบห้าและตรงชานพักบันได เหยียนเฟยก็จัดการทางเดินชั้นสิบหกเสร็จสิ้นในเวลาอันรวดเร็ว
เขาปูพื้นโลหะ ผนังโลหะ และปิดช่องที่ลมหนาวอาจเข้ามาทำลายพืชทุกจุด จากนั้น ในขณะที่ทุกคนกำลังช่วยกันขนย้ายของออกมาจัดวางบนโถงทางเดินชั้นที่สิบหกอีกครั้งอยู่นั้น เหยียนเฟยก็ปรับปรุงโถงทางเดินชั้นสิบห้าและบันไดทางขึ้นลงของสองชั้นเสร็จเรียบร้อย
นอกจากบริเวณหน้าทางเข้าลิฟต์ชั้นสิบหกที่ต้องเว้นช่องว่างไว้สำหรับขนย้ายสิ่งของขึ้นลงชั้นล่างแล้ว ทุกคนก็ช่วยกันขนของที่ก่อนหน้านี้ย้ายไปเก็บในห้องชั่วคราวกลับออกมาวางไว้ข้างนอกทั้งหมด
เหยียนเฟยยังดัดแปลงประตูเหล็กบานใหญ่ตรงบันไดทางขึ้นจากชั้นสิบสี่มาชั้นสิบห้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการกั้นเขตและการเก็บรักษาอุณหภูมิให้ดีขึ้นอีกขั้น และแน่นอนว่าต้องเว้นช่องสำหรับให้อากาศถ่ายเท และติดตั้งพัดลมดูดอากาศไว้ให้เรียบร้อย ถ้าอากาศไม่หมุนเวียนถ่ายเทจะปลูกพืชให้โตได้อย่างไรล่ะจริงไหม
[1] หญิงสาวผมขาว หรือ The White-Haired Girl เป็นบทละครโอเปร่าที่เขียนขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1940 เพื่อสนองแนวคิดของเหมาเจ๋อตุง (เหมาเจ๋อตง) ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งทำสงครามต่อต้านญี่ปุ่นในขณะนั้น โดยต้องการใช้ผลงานทางวัฒนธรรมเป็นสื่อเชื่อมโยงกับประชาชนในชาติ บทละครนี้ได้รับความนิยมแพร่หลายและมีการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ งิ้วปักกิ่ง และการแสดงบัลเลต์ในเวลาต่อมา