[ทดลองอ่าน] เชิญร่ำสุรา 將進酒 บทที่ 51 : จอมทัพ

เชิญร่ำสุรา
將進酒

 

ถังจิ่วชิง
唐酒卿

กอหญ้า แปล

 

“เจ้าก้าวเข้ามาในถิ่นของข้าทีละก้าว ปล่อยให้ข้าหยั่งเชิงเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า
จุดประสงค์ก็เพื่อค่ำคืนนี้ เพื่อลงเรือลำเดียวกับข้า”
เซียวฉือเหย่โน้มตัวไปข้างหน้าช้าๆ สายตาเย็นชา
“แต่หากคืนนี้ข้าสืบไม่ได้ว่าผู้บงการเบื้องหลังคือ… ไม่ล่วงรู้จุดประสงค์ของเจ้า
เจ้าก็จะเหยียบข้าลงไปอย่างแท้จริง ใช้ข้าเป็นแท่นเพื่อก้าวขึ้นไปใช่หรือไม่”

“เจ้าเป็นหมาป่าจมูกไว” เสิ่นเจ๋อชวนพูด
“ไฉนจึงพูดเหมือนตัวเองน่าสงสารเช่นนั้นเล่า หากข้ามิใช่ข้า
เจ้าไม่มีทางเปิดโอกาสให้ข้าเหยียบย่างเข้ามา พวกเราจะไม่มีแม้กระทั่งการสนทนากันด้วยซ้ำ
เจ้ากับข้าเป็นคนประเภทนี้แหละ แทนที่จะมาคาดคั้นข้า ไยจึงไม่ถามตัวเจ้าเองดูก่อนเล่า”

เซียวฉือเหย่พูด “เจ้าต่างหากที่เป็นสารเลว”

เสิ่นเจ๋อชวนตอบ “สารเลวที่มีเป้าหมายเดียวกันหาไม่ง่ายนะ”

เซียวฉือเหย่ไม่อ้อมค้อมกับเขาอีกตรงเข้าประเด็น
“บัดนี้เป็นเจ้าที่ต้องการยืมอำนาจข้า
ทว่าการเป็นพันธมิตรก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างจึงจะสำเร็จได้”

“พวกเรามีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน” เสิ่นเจ๋อชวนตอบ

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 51 จอมทัพ

 

เซียวฉือเหย่ใช้นิ้วโป้งเช็ดมุมปากในความมืด ตรงนั้นยังหลงเหลือคราบสุราอยู่ เขาพูด “ปั่นหัวข้าหนึ่งครั้งแลกกับจูบหนึ่งที เจ้าข้าล้วนไม่เสียเปรียบ”

เสิ่นเจ๋อชวนหันกลับไปมองเขา

เซียวฉือเหย่หยักยิ้ม “วันหน้าอยู่ข้างนอกยังจะปั่นหัวข้าอีกหรือไม่ เอาซี หลันโจว ข้าจะเอาคืนทั้งต้นและดอก”

เสิ่นเจ๋อชวนใช้ปลายลิ้นเลียบริเวณที่ถูกเขากัด “เจ้าไม่มีโอกาสเช่นนี้ทุกครั้งหรอก”

เซียวฉือเหย่ประชิดเข้าไปอีกก้าว โอบล้อมเขาไว้ภายใต้เงาทะมึนของตนโดยสมบูรณ์ “เจ้าก็ไม่สามารถหนีได้ทุกครั้งเหมือนกัน”

เซียวฉือเหย่พูดจบก็ยื่นมือไปเด็ดดอกเหมยสีแดงข้างกายเสิ่นเจ๋อชวน ขยี้กลีบดอกไม้และส่งมันเข้าปาก ยามอยู่ภายใต้สายตาเขา เสิ่นเจ๋อชวนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นดอกเหมยสีแดงดอกนั้น เขารู้สึกว่าเซียวฉือเหย่นอกจาก ‘จมูกไว’ แล้ว ยัง ‘ดึงดันในสิ่งที่ต้องการ’ ด้วย

เสิ่นเจ๋อชวนเคยคิดว่าความใคร่จะเอาชนะเซียวฉือเหย่ได้ ทำให้เขาเจออุปสรรคและถอยหลังไป ทว่าการตอบสนองของเขากลับเหนือความคาดหมาย นิสัยบ้าบิ่นมีแต่จะทำให้เขาพุ่งไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญ ทุกก้าวที่ถอยล้วนเป็นไปเพื่อการเตรียมพร้อมจู่โจมที่ดียิ่งกว่า เขาเหมือนสัตว์ร้ายและตัวหายนะโดยแท้

“จุดโคม” เซียวฉือเหย่หันไปด้านข้างเรียกคน

ผ่านไปครู่หนึ่ง เหล่าสาวใช้ผลักประตูเข้ามา ขยับฉากบังลมขนาดเล็ก เก็บอาหารบนโต๊ะออกไปและปูเสื่อบนพื้นพรมสักหลาด เปลี่ยนโต๊ะอาหารเป็นโต๊ะน้ำชาขาเกือกม้า เฉินหยางเปลี่ยนรองเท้าก้าวเข้ามา วางเอกสารและรายชื่อของทหารรักษาพระองค์ลงบนโต๊ะน้ำชา ก่อนรับป้านชาจากมือสาวใช้ คุกเข่าลงด้านข้างและชงชาให้ทั้งสองคน

เมื่อมีคนอื่นอยู่ด้วย สองคนจึงนั่งลงอีกครั้งด้วยท่วงทีของสุภาพชน

เสิ่นเจ๋อชวนสร่างเมาไปแล้วครึ่งหนึ่ง เนื่องจากถูกลมเย็นพัดใส่ จึงหายจากอาการร้อนรุ่มมึนงงเมื่อครู่นี้ เพียงแต่รอยแดงบนใบหน้ายังคงอยู่ ทั้งยังถูกแสงสลัวจากโคมไฟขับเน้น ทำเอาเฉินหยางไม่กล้าเหลือบตาขึ้นมองเขาตรงๆ เกรงว่าสายตาของตนจะเป็นการล่วงเกิน ทำให้เขากับเซียวฉือเหย่ไม่พอใจ

เฉินหยางชงชาพลางคิดในใจ ไม่แปลกที่ถานไถหู่จะเป็นกังวล เสิ่นหลันโจวมีรูปโฉมที่เป็นภัยต่อแผ่นดินจริงๆ แถมยังมีนิสัยเช่นนี้ คนที่รู้นิสัยนายท่านสักหน่อยย่อมต้องหวั่นใจอยู่แล้ว

เซียวฉือเหย่ชอบสิ่งใดเป็นที่สุด

ฝึกม้าและฝึกเหยี่ยว! เวลาฝึกเหยี่ยว เหยี่ยวไม่ได้นอน เซียวฉือเหย่ก็ไม่ได้นอนด้วย ยิ่งฝึกยากเขายิ่งใส่ใจ ยิ่งฝึกยากเขายิ่งชอบ ในอดีตตอนจู่โจมทหารม้าเปียนซา เซียวฉือเหย่สามารถหมอบอยู่ในน้ำสกปรกได้นานถึงเพียงนั้น เป็นเพราะเขาหลงใหลขั้นตอนการกำราบและเคี่ยวกรำ เขาได้นิสัยนี้มาจากเซียวฟางซวี่ มีความปรารถนาอยากเอาชนะเหนือคนทั่วไป นี่เป็นจุดที่เขาแตกต่างจากเซียวจี้หมิงมากที่สุด

เฉินหยางยกน้ำชาให้ทั้งสองคน คารวะเล็กน้อยและพูด “หากนายท่านต้องการสิ่งใด สามารถเรียกข้าได้ตลอด” จากนั้นลุกขึ้นถอยออกไป เปลี่ยนมาสวมรองเท้าหุ้มแข้งตามเดิมและยืนเฝ้าหน้าประตู

กู่จินที่อยู่บนหลังคาหย่อนศีรษะลงมา โยนถุงหนังใส่สุราให้เฉินหยาง ใช้สายตาสอบถามว่าสถานการณ์ข้างในเป็นอย่างไรบ้าง

เฉินหยางพรูลมหายใจช้าๆ “…ไม่มีอะไร นายท่านรู้ความเหมาะสม”

ติงเถายังคงกุมศีรษะบ่นพึมพำ “ข้ากำลังจะตายใช่หรือเปล่า ตายแล้ว ตายแล้ว ตาย…”

“ตอบยาก” เฉียวเทียนหยาปัดหิมะออก หยิบกล้องยาเส้นออกมาพลางหัวเราะฮ่าๆ “วันนี้ของปีหน้า พี่ชายจะไม่ลืมเผากระดาษให้เจ้า”

ติงเถาน้ำตาจะร่วงอยู่รอมร่อ เขาถูผมขณะจ้องทั้งสองคนตาเขียว ตำหนิว่า “ต้องโทษพวกท่าน! ถ้าพวกท่านไม่ทะเลาะกัน ข้าย่อมไม่ต้องห้ามปราม ถ้าข้าไม่เข้าไปห้ามปรามก็ไม่ต้องตกลงไป ถ้าข้าไม่ตกลงไปก็ไม่ต้องตาย ข้าเกลียดพวกท่าน!”

เฉียวเทียนหยาจดจ่อกับการถูหินจุดไฟ ส่วนกู่จินกอดอกงีบหลับ

ติงเถาแค้นเหลือเกิน หยิบสมุดบันทึกออกมาตวัดพู่กันอย่างรวดเร็ว ระบายโทสะทั้งหมดลงไปในนั้น ด่าพวกเขาสองคนว่าเป็นสารเลวที่สุดในใต้หล้า เขียนจบหนึ่งหน้าเขาก็เช็ดน้ำตาตัวเอง พลิกเปิดหน้าใหม่และจดบันทึกความคิดที่พรั่งพรูออกมาดุจน้ำพุต่อ

 

คนในห้องเปลี่ยนน้ำชาและสนทนากันต่อ

เซียวฉือเหย่พูด “กลับมาเรื่องเดิม เจ้าบอกว่าในชวี่ตูมีคนที่สามารถบงการแปดสกุลใหญ่ได้ซ่อนตัวอยู่ ข้าขบคิดดูแล้ว รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้นัก”

เสิ่นเจ๋อชวนถูกสุรายาแผดเผาจนควันแทบออกจากคอ ดื่มน้ำชาลงไปหลายถ้วยก่อนตอบ “เจ้ารู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะการจะทำเช่นนี้ยากเกินไป”

เซียวฉือเหย่พูด “ถูกต้อง ไม่พูดถึงคนอื่น เอาแค่ไทเฮาก็ไม่มีทางยอมให้ผู้อื่นบงการแล้ว”

“หากนางไม่ตระหนักเล่า” เสิ่นเจ๋อชวนพูด “การควบคุมสถานการณ์บางทีก็ไม่จำเป็นต้องออกคำสั่งกับคนอื่น แค่ใช้นิ้วมือข้างเดียวก็สามารถผลักดัน ‘สถานการณ์’ ได้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย”

“เจ้าต้องพิสูจน์ให้ได้ก่อนว่ามีคนผู้นี้อยู่จริง” เซียวฉือเหย่มองเขา “…ดูเหมือนเจ้าจะร้อนมาก”

เสิ่นเจ๋อชวนปลดกระดุม กระดุมนั้นหลุดจากพันธนาการอย่างง่ายดาย ลำคอขาวเนียนเรียบลื่นค่อยๆ ปรากฏออกมาทีละนิดตามมือที่ปลดกระดุม ก่อนจะหยุดลงเหนือกระดูกกุญแจ หยดเหงื่อเม็ดเล็กไหลตามแนวเส้นสายบนลำคอลงไปในแอ่ง ทำให้ปลายนิ้วเปียกชื้น

“แม้ซีหงเซวียนจะเป็นหมากที่ชัดแจ้ง แต่กลับมีความสำคัญมาก คนผู้นี้มีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ ต้องใช้ซีหงเซวียนเป็นเครื่องพิสูจน์ ดังนั้นครั้งนี้เจ้าจะกำจัดเขาไม่ได้” เสิ่นเจ๋อชวนเงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้าเองก็ไม่สามารถกำจัดเขาได้ด้วย การลอบสังหารครั้งนี้เขามิได้ปรากฏตัว คำสารภาพของฝูหลิงบอกได้เพียงว่านางถูกข่มขู่ ตอนนี้คนที่น่าสงสัยมากที่สุดคือเจ้า”

“การป้ายสีข้าเป็นความคิดเจ้า” เซียวฉือเหย่มองหยดเหงื่อที่หายไป

“ตอนนี้เจ้าเป็นขุนนางใกล้ชิดของโอรสสวรรค์ ทั้งยังได้รับความโปรดปรานอย่างสูง หากสามารถทำให้เจ้าหลุดจากตำแหน่งและกลายเป็นคนว่างงานได้ ซีหงเซวียนไม่ยอมปล่อยโอกาสทิ้งไปแน่ เขาจะต้องฉวยโอกาสนี้ดึงอำนาจของแปดกองกำลังมาเป็นของตัวเอง ต้องล่อพวกเขาออกจากถ้ำก่อน จึงจะมองเห็นชัดเจนว่าต้องจู่โจมที่ใด อีกอย่าง ฝ่าบาททรงเชื่อเจ้า ต่อให้ปลดเจ้าแล้วก็ไม่มีทางเชื่อคนอื่นง่ายๆ ทันที รอให้ผ่านช่วงนี้ไป เขาเห็นแปดสกุลใหญ่ฟื้นฟูบารมีอีกครั้ง ย่อมตระหนักว่าตัวเองก็ถูกผู้อื่นปั่นหัวเช่นกัน ถึงเวลานั้นเขากลับต้องรู้สึกละอายต่อเจ้าที่พลอยเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้ไปด้วยโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ จากนั้นก็คิดหาหนทางชดเชยให้เจ้า” เสิ่นเจ๋อชวนลูกกระเดือกขยับตอนดื่มน้ำชา “ข้าเดาว่าก่อนมาหาข้า เจ้าคิดแผนการรับมือไว้แล้ว”

“แน่นอน ข้าจะเล่นกับพวกเขา” เซียวฉือเหย่รินน้ำชาให้อีกฝ่าย “ข้าจะใช้แผนซ้อนแผน ปล่อยให้พวกเจ้าเหยียบย่ำให้พอใจ”

“ทำแบบนี้ฉลาดกว่าการโต้ตอบในเวลานี้” เสิ่นเจ๋อชวนพูด “ตอนนี้ยิ่งเจ้าร้อนใจอยากดึงตัวเองออกมา จะยิ่งทำให้ฝ่าบาทสงสัย”

“ข้ารู้จักฝ่าบาทดี” เซียวฉือเหย่พูด “เขาเป็นคนหูเบา ทนการยุแยงไม่ได้มากที่สุดและทนถูกผู้อื่นดูหมิ่นไม่ได้มากที่สุดเช่นกัน ข้าเป็นพี่น้องของเขา ทั้งยังเป็นคนแรกที่เขาเลื่อนตำแหน่งให้มาอยู่ข้างกายหลังขึ้นครองราชย์ ข้าเป็นสัญลักษณ์บางอย่างของการเผชิญหน้ากับขุนนางของเขา ข้าต้องเจออุปสรรคทั้งภายนอกและภายใน กลายเป็นวัวเป็นแพะที่เขาเลี้ยงไว้ ในความคิดเขา ข้าไร้ที่พึ่งพิง เพราะอาศัยบารมีเขาจึงนั่งอยู่บนตำแหน่งนี้ได้อย่างมั่นคง หากข้าถูกคนวางแผนปองร้ายและถีบลงไป เช่นนั้นเขาย่อมต้องบังเกิดความรู้สึกเช่นเดียวกัน อำนาจฝ่ายฮวาเป็นโรคทางใจของเขา เขาวางใจให้ไห่เหลียงอี๋เป็นคนตัดสินใจข้อราชการต่างๆ ก็เพราะรู้ว่าไห่เหลียงอี๋ไม่มีทางตั้งพรรคตั้งฝ่าย”

“โอกาสจะปล่อยให้หลุดมือมิได้” เสิ่นเจ๋อชวนถือถ้วยชานิ่งคิดครู่หนึ่ง “ครั้งนี้จะต้องทำให้ซีหงเซวียนเคลื่อนไหว”

“ข้าอยากเตือนเจ้าคำหนึ่ง” เซียวฉือเหย่ใช้ข้อศอกยันโต๊ะ กวักมือให้เสิ่นเจ๋อชวน

เสิ่นเจ๋อชวนวางถ้วยชา โน้มตัวเข้าไปหา

เซียวฉือเหย่กระซิบ “คอไม่แข็งก็อย่าออกไปข้างนอกดื่มสุรากับคนอื่นเลย ใช่ว่าสารเลวทุกคนจะมีความอดทนอดกลั้นเหมือนเช่นข้าคุณชายรอง ที่สามารถทำตัวเป็นสุภาพชนต่อหน้าเจ้าได้”

เสิ่นเจ๋อชวนปรายตามองเขา กัดฟันพูดเน้นย้ำ “สุภาพชนเองก็คิดฟุ้งซ่านไม่น้อยกระมัง”

เซียวฉือเหย่จ้องมองเขา “พรุ่งนี้เช้าออกจากประตูบานนี้ไป เจ้าข้าย่อมเป็นศัตรูคู่แค้น ศัตรูคู่แค้นมักคิดถึงกันตลอดเวลา ข้าคิดถึงเจ้า มิใช่สมควรแล้วหรือ”

เสิ่นเจ๋อชวนตอบ “แต่ข้าไม่คิดถึงเจ้า”

เซียวฉือเหย่แย้ง “ตอนนี้ทุกการตัดสินใจที่เจ้าทำลงไปล้วนหนีไม่พ้นข้า น่ากลัวว่ามิใช่ไม่คิด แต่เป็นกลางวันคิดถึง กลางคืนก็คิดถึงเสียมากกว่า”

“ไฉนการจู่โจมในงานเลี้ยงเหล่าขุนนางจึงไม่โดนเจ้านะ” เสิ่นเจ๋อชวนยกมือขึ้นบังลมหายใจของเซียวฉือเหย่ “คุณชายรองจะได้มีสติหน่อย”

ปลายจมูกของเซียวฉือเหย่ชนกลางฝ่ามือของเสิ่นเจ๋อชวน เขาจ้องมองเสิ่นเจ๋อชวน พูดอย่างชั่วร้าย “ใจร้ายเหลือเกินหลันโจว ก่อนนอนกับข้ายั่วยวนสารพัด แต่นอนกับข้าแล้วกลับป้องกันสารพัด เจ้ามันผีใจดำ ผู้ชายไร้หัวใจ”

เสิ่นเจ๋อชวนถูกเขาจับจ้องจนต้องเบนสายตาหลบ “เซียวเอ้อร์ คืนนี้เจ้าดื่มเยอะเกินไปแล้ว”

เซียวฉือเหย่ถอยกลับไปในฉับพลัน “พรุ่งนี้เช้าในราชสำนักต้องมีคนตั้งคำถามและหาคนผิดแน่ ข่งชิวจะต้องยื่นคำสารภาพของฝูหลิงตามความเป็นจริง ถึงเวลานั้นสำนักตรวจการย่อมเอาผิดที่ข้าหละหลวมในการดูแล”

ฝ่ามือของเสิ่นเจ๋อชวนว่างเปล่าแล้ว เขาพูด “เจ้าต้องถอย แต่มิอาจถอยอย่างโจ่งแจ้งเกินไป”

“เมื่อข้าตกอยู่ท่ามกลางการประณามด้วยวาจาและอักษร ต้องดูว่าฝ่าบาทจะลงโทษอย่างไร” เซียวฉือเหย่พูด

“สถานเบาตัดเบี้ยหวัดไม่กี่เดือน สถานหนักแขวนป้ายห้อยเอวสำนึกผิด รัฐทายาทยังอยู่ในชวี่ตู ทุกคนย่อมต้องเห็นแก่หน้าเขา ไม่ตำหนิเจ้าเกินไปหรอก”

“พี่ใหญ่อยู่ในชวี่ตูไม่นาน” เซียวฉือเหย่หยุดครู่หนึ่ง “หากข้าถูกลงโทษ การแต่งงานระหว่างฮวาเซียงอีกับชีสืออวี่ย่อมไม่มีผู้ใดขัดขวางอีก”

“สกุลฮวากับสกุลชีจะผนวกรวมเข้าด้วยกันต้องใช้เวลา” เสิ่นเจ๋อชวนครุ่นคิด “บัดนี้จอมทัพของฉี่ตงห้าจวิ้นคือชีจู๋อิน บางทีอาจลงมือผ่านทางนางได้”

เซียวฉือเหย่นึกอะไรขึ้นได้ “ข้ามีวิธี”

เสิ่นเจ๋อชวนถาม “วิธีใด”

“กรมพิธีการมีบันทึกการแต่งงานของสกุลฮวาอยู่ ข้าจะให้คนปรับแต่งเล็กน้อย จากนั้นมอบสำเนาบันทึกฉบับนี้ให้ชีจู๋อิน นางต้องไม่ยอมรับฮวาเซียงอีง่ายๆ แน่”

“ในต้าโจวญาติห่างๆ แต่งงานกันไม่นับเป็นข้อห้าม แม้เป็นญาติผู้พี่ก็ยังได้” เสิ่นเจ๋อชวนพูด “จอมทัพชีจะใส่ใจเรื่องนี้หรือ”

“ใส่ใจซี” เซียวฉือเหย่อธิบาย “ทุกคนต่างรู้ว่าชีสืออวี่นิสัยเจ้าชู้ รับสาวงามมากมายในฉี่ตงเข้ามาในจวน ในจำนวนนั้นมีคนหนึ่งเป็นหลานสาวแท้ๆ ของเขา หลายปีก่อนฮูหยินท่านนี้ให้กำเนิดบุตร ทว่าบุตรที่ออกมาร่างกายกลับพิการ ทั้งยังอ่อนแอผิดปกติ มีชีวิตอยู่เพียงไม่กี่วันก็ตาย ภายหลังเมื่อชีสืออวี่จะรับอนุอีก ชีจู๋อินจึงเข้มงวดเป็นพิเศษ หากมีสายเลือดเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย แม้เป็นเพียงญาติห่างๆ นางก็ไม่ยอมให้เข้าประตูบ้านโดยเด็ดขาด”

“ทว่าฮวาเซียงอีเป็นบุคคลที่ไทเฮาพระราชทานให้” เสิ่นเจ๋อชวนพูด “ต่อให้จอมทัพชีอยากขัดขวางก็คงทำไม่ได้กระมัง”

“ในเมื่อมิอาจขัดขวาง ย่อมได้แต่ถอยก้าวหนึ่ง คือให้คุณหนูสามสกุลฮวาแต่ง” ดวงตาของเซียวฉือเหย่ฉายแววเย็นชา “แต่จะให้นางมีบุตรมิได้ นางแต่งให้ชีสืออวี่เป็นภรรยาคนใหม่ของเขา ย่อมกลายเป็นฮูหยินในฉี่ตงอย่างถูกต้องสมบูรณ์ เมื่อนางมีบุตร บุตรคนนั้นจะได้เป็นทายาทสายตรงเช่นเดียวกับชีจู๋อิน ชีจู๋อินเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง หลายปีมานี้รวบรวมกำลังทหารของฉี่ตงห้าจวิ้นขึ้นมาอย่างยากลำบาก เป็นจอมทัพที่หลั่งโลหิตในสมรภูมิอย่างแท้จริง แต่ใครจะรับรองได้ว่าจะไม่มีผู้เห็นต่าง หากฮวาเซียงอีให้กำเนิดเด็กผู้ชาย ชีจู๋อินย่อมต้องตกอยู่ในการต่อสู้แย่งชิงอำนาจภายใน นางจำต้องมีเหตุผลเพื่อใช้กดข่มฮวาเซียงอี”

“ข้าได้ยินมาว่าสกุลชีก็มีลูกผู้ชาย ทว่าตอนนั้นชีสืออวี่กลับยืนกรานในความคิดตัวเอง จะยกตำแหน่งจอมทัพให้ชีจู๋อินให้ได้” เสิ่นเจ๋อชวนพูด “นี่มิใช่เพราะเขาเห็นคุณค่าของผู้มีความสามารถหรือ”

“ใช่” เซียวฉือเหย่พูด “ชีจู๋อินเป็นบุตรที่เกิดจากภรรยาคนแรกของเขา ทั้งยังเป็นขุนพลที่เขาฝึกฝนมาด้วยตัวเอง ตอนที่เขาไม่มีบุตรชาย เขาเลี้ยงดูชีจู๋อินแบบเด็กผู้ชาย ภายหลังเมื่อมีบุตรชายแล้ว กลับไม่มีใครสู้ชีจู๋อินได้สักคน ตอนนั้นฉี่ตงยังทำศึกกับเปียนซาอยู่ ชีสืออวี่บาดเจ็บสาหัสมิอาจนำทัพได้ ถูกล้อมอยู่ทางฝั่งตะวันออกของกระโจมพวกเปียนซาที่ตั้งติดกันเป็นแนวยาว บุตรชายสกุลชีทั้งหลายไม่มีใครกล้าออกมารับคำสั่ง เป็นชีจู๋อินที่สะพายดาบบนหลังควบขี่อาชา ห้อตะบึงตลอดคืนเพื่อเดินทางไปโน้มน้าวทหารรักษาการณ์ในชื่อจวิ้น เปียนจวิ้นและด่านสั่วเทียนให้ออกรบกับนาง หลังจากนั้นใช้ลมวางเพลิง เพลิงครั้งนั้นเผาค่ายทหารของพวกเปียนซาที่เรียงติดกันจนวอดวาย นี่เป็นสงครามที่สร้างชื่อให้นาง บัดนี้ที่นางได้ฉายาว่า ‘วายุชักนำเปลวอัคคี’ เพราะศึกครั้งนั้นนางนำทหารชักดาบฝ่าเพลิงเข้าไปแบกตัวชีสืออวี่ออกมา เดิมชีสืออวี่ยังลังเล ทว่าหลังเหตุการณ์ครั้งนั้น เขามอบตราจอมทัพให้นางทันที ทั้งยังมอบกำลังทหารในห้าจวิ้นให้ชีจู๋อินด้วย”

“การได้รับแต่งตั้งเป็นจอมทัพต้องให้ชวี่ตูเห็นชอบ” เสิ่นเจ๋อชวนพูด “ไม่ง่ายเลย”

เซียวฉือเหย่หัวเราะ ลูบแหวนปันจื่อบนนิ้วโป้ง “เจ้าคงคิดไม่ถึงว่าคนที่แต่งตั้งนางมิใช่จักรพรรดิหย่งอี๋”

เสิ่นเจ๋อชวนเอียงศีรษะเล็กน้อย

“ตอนนั้นเมื่อข่าวแพร่มาถึงชวี่ตู แต่ละฝ่ายต่างคัดค้านกันใหญ่ เนื่องจากชีจู๋อินเป็นสตรี กรมกลาโหมสงสัยว่าผลงานการรบของนางจะเป็นการกุเรื่องขึ้นเท่านั้น จึงขอคำแนะนำไปยังสภาขุนนาง ขอให้ส่งผู้ตรวจการจากสำนักตรวจการและองครักษ์เสื้อแพรเดินทางไปมณฑลฉี่ตงเพื่อตรวจสอบให้ชัดเจน จักรพรรดิหย่งอี๋เห็นหลายฝ่ายไม่พอใจ จึงระงับคำร้องขอของฉี่ตงไว้ไม่อนุมัติ ภายหลังตรวจดูผลงานการรบแล้วไม่มีข้อผิดพลาด กรมพิธีการจึงกราบทูลว่าสามารถแต่งตั้งนางเป็นจอมทัพได้ แต่ไม่สามารถให้นางก้าวขึ้นไปรับตำแหน่งบนแท่นอวี้หลง[1]ที่ใช้สำหรับขุนพลโดยเฉพาะ นางได้แต่ยืนอยู่หน้าขั้นบันไดโถงหมิงหลี่และโขกศีรษะเท่านั้น”

เซียวฉือเหย่เงียบไปครู่หนึ่ง “เป็นไทเฮาที่ไม่ฟังคำคัดค้านของทุกคนและอนุญาตให้นางก้าวขึ้นไปบนแท่นอวี้หลง รับการอวยยศเป็นจอมทัพแห่งฉี่ตงอย่างสง่าผ่าเผย”

 

[1] อวี้หลง แปลว่ามังกรหยก

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า