[ทดลองอ่าน] โอตาคุวันสิ้นโลก เล่ม 6 บทที่ 162 : หายตัวไป

โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则

 

暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล

 

— โปรย —
โทรศัพท์จากเบอร์ที่ไม่รู้จักนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงในชีวิตอีกครั้ง
ของเหยียนเฟยและหลัวซวิน…
ไม่สิ ของสมาชิกทุกคนในทีมโอตาคุเลยต่างหาก!
ในเมื่อล่มหัวจมท้ายกันมาขนาดนี้ เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกันมาตั้งเท่าไร
ถ้าคนใดคนหนึ่งต้องการความช่วยเหลือ มีหรือที่พวกเขาจะทอดทิ้งกัน
เพียงแต่… ทีมโอตาคุจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีกแล้วเรอะ คราวนี้ใครล่ะเนี่ย

เพื่อให้มีเสบียงอาหารเลี้ยงปากท้องทุกคนได้อย่างพอเพียง
ทีมโอตาคุตั้งใจแล้วว่าจะต้องหาทางขยายพื้นที่เพาะปลูกให้จงได้
แต่ดูเหมือนกฎระเบียบใหม่จะไม่เอื้อให้พวกเขาทำอะไรได้เลย
แถมยังมีประกาศว่า ทางการเตรียมจะมาสำรวจสำมะโนประชากร?!
ใครจะยอมให้คนบุกมาถึงบ้านกันเล่า… จะให้ใครมาเห็นสมบัติ
ในบ้านชั้นสิบห้าและสิบหกของพวกเขาไม่ได้เด็ดขาด!
หรือบางที ฐานที่มั่นแห่งนี้จะไม่ปลอดภัยสำหรับพวกเขาแล้ว?

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 162 หายตัวไป

 

คนที่หายตัวไปกับของที่ทิ้งไว้

 

ความเงียบเหงาอ้างว้างแผ่คลุมไปทั้งห้อง ชายคนนั้นยืนมองมุมผนังห้องด้วยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ที่ตรงนั้นเมื่อคืนยังวางลังกระดาษและท่อนไม้ที่เขาเที่ยวขนมาจากห้องว่างต่างๆ ด้วยความยากลำบากอยู่เลย ของพวกนี้ถือเป็นของดีที่ขาดไม่ได้เลยในช่วงฤดูหนาว เพราะสามารถใช้สร้างความอบอุ่น หรือต่อให้ไม่ใช่หน้าหนาว ก็จำเป็นต้องใช้เป็นฟืนเวลาหุงหาทำอาหารเช่นกัน ทว่าพวกหมอพยาบาลสามคนที่มาทำคลอดให้หลิวเซียงอวี่พอเห็นของพวกนี้ก็จ้องตาเป็นมัน หลังจากทำคลอดให้หลิวเซียงอวี่เสร็จก็อยากได้พวกมันทั้งกองไปแทนค่าจ้าง

ผลสุดท้าย เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับหลิวเซียงอวี่ หลังจัดการธุระเรื่องเธอเสร็จเรียบร้อย คนพวกนั้นก็อาศัยช่วงชุลมุนขนของกองนั้นไปหมดแล้ว

และในตอนนี้…

จู่ๆ ชายคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นจ้องเขม็งไปทางประตูห้องด้วยสายตาเคียดแค้น… เหยียนเก๋อซิน เป็นเพราะเหยียนเก๋อซิน

ตัวเขาไม่มีคนคอยหนุนหลัง ก่อนวันสิ้นโลกเขามีดีเพียงแค่รูปร่างหน้าตา เป็นสไตล์แบบที่หลิวเซียงอวี่ชอบ เขาจึงได้แต่เกาะชายกระโปรงเธอ แต่หลังจากวันสิ้นโลกมาเยือน ชีวิตก็ช่าง…

ตอนเขาอยู่ในกองทัพก็ไม่มีลู่ทางเติบโตเลยแม้แต่น้อย ชีวิตทหารธรรมดาๆ ในยุควันสิ้นโลกยิ่งไม่มีทางลืมตาอ้าปากได้เข้าไปใหญ่ ส่วนหลิวเซียงอวี่หลังจากสิ้นบุญพ่อของเธอ ในกองทัพก็เหลือคนของท่านหลิวที่พอจะให้ความช่วยเหลือได้แค่ไม่กี่คน นอกเหนือจากนั้นก็แทบเอาตัวไม่รอด ฉะนั้นตัวเขาที่หมายมั่นจะร่วมวงศ์วานกับคนตระกูลหลิวมาตั้งแต่ก่อนวันสิ้นโลก แถมโดนผู้มีอำนาจดูถูกว่าเกาะผู้หญิงกิน เมื่อหลิวเซียงอวี่จากไป เขาจึงไม่เหลือทางออกใดแล้ว

ตอนนี้หลิวเซียงอวี่ตายแล้ว ก่อนที่เหยียนเก๋อซินจะจากไปได้ทิ้งคำพูดทิ่มแทงที่ดังก้องวนเวียนอยู่ข้างหูเขา… ‘อูฐหิวตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า’[1]

ต่อให้ในยุควันสิ้นโลกเหยียนเก๋อซินจะแทบไม่เหลืออำนาจใดๆ ในมือแล้วก็ตาม แต่อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถหาที่พึ่งพิงในกองทัพได้บ้าง แต่ตนนี่สิ…

ขณะที่ความคิดต่างๆ ผุดขึ้นในใจสารพัด ก็มีเสียงร้องแผ่วเบาราวกับเสียงแมวดังมาจากในห้องนอน ทว่าชายคนนั้นกลับไม่ได้ยินและไม่รู้ตัวเลยสักนิด

 

ทุกคนยุ่งวุ่นวายมาเกือบตลอดทั้งวัน พอกลับถึงบ้านต่างก็อ่อนเพลียอยู่บ้าง แม้ไม่ใช่ญาติพี่น้องของตัวเองเสียชีวิต แต่พอคิดว่าคนในครอบครัวของเพื่อนจากไป ยังไงก็ต้องไปร่วมส่งเป็นครั้งสุดท้าย ส่วนครอบครัวของตัวเอง…ต่อให้พวกเขาได้กลับไปบ้านเกิดหรือบ้านเดิมของตัวเองตอนนี้ พวกเขายังจะหาร่างของญาติพี่น้องตัวเองเจอหรือเปล่าก็ไม่รู้

ทุกคนต่างตบบ่าปลอบใจเหยียนเฟยด้วยความรู้สึกเศร้าสลด “ถ้าได้กำหนดการวันที่จะไปส่งแม่นายเมื่อไร พวกเราจะออกไปด้วยกันนะ”

ปัจจุบันนอกฐานที่มั่นนับว่ายังสงบดีอยู่ แม้ไม่รู้ว่าพอพ้นประตูฐานที่มั่นไปตามเส้นทางสู่สุสานจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างหรือไม่ ดังนั้นถ้าตัดสินใจจะออกนอกฐานกันจริงๆ พวกเขาก็ต้องเตรียมตัวพร้อมรับทุกสถานการณ์

เหยียนเฟยพยักหน้าเล็กน้อย “รบกวนทุกคนแล้ว”

“โหย พูดเป็นคนอื่นคนไกลไปได้”

หลังร่ำลาแยกย้ายกัน หลัวซวินและเหยียนเฟยก็กลับบ้านตัวเอง วันนี้ตอนทุกคนออกไปข้างนอก ยังคงให้เจ้าตัวเล็กกับอวี๋ซินหรันอยู่เฝ้าบ้าน…ไม่ว่าอย่างไรคนทั่วไปล้วนไม่มีใครคิดพาเด็กเล็กๆ ไปในที่ที่มีคนเพิ่งเสียชีวิตกันอยู่แล้ว แม้ในยุควันสิ้นโลกทุกคนจะเคยฆ่าซอมบี้มานับไม่ถ้วนก็ตาม

เมื่อหลัวซวินกลับมาถึงบ้าน เขาก็เข้าครัวไปเตรียมอาหารเย็นสำหรับสองคน จากนั้นก็ยกอาหารมาวางบนโต๊ะ แล้วก็เริ่มเดินไปทั่วบ้าน

“นายทำอะไรเหรอ” เหยียนเฟยเห็นหลัวซวินไม่มานั่งกินข้าวให้เป็นกิจจะลักษณะ เดี๋ยวก็ลุกไปตรงนั้น เดี๋ยวก็แวบไปหาอะไรตรงโน้น เขาเห็นแล้วจึงอดถามไม่ได้

หลัวซวินรื้อต่ออีกสักพักก็เดินเกาหัวแกรกมายืนที่ข้างโต๊ะและพูดว่า “ฉันหาผ้าฝ้ายเนื้อนุ่มเจอสองผืน…” เขาพูดอย่างกังวล “ไว้พรุ่งนี้เราแวะไปดูพวกเขากันไหม เด็กยังเล็กเกินไป หมอนั่นคงไม่มีของใช้ที่เหมาะกับเด็กทารกแรกเกิด เจอผ้าฝ้ายสองผืนนี้ขนาดไม่ใหญ่มาก เอาไปให้เขา… ใช้เป็นผ้าอ้อมดีไหม”

หลัวซวินไม่ได้มีจิตใจเป็นพ่อพระแต่อย่างใด เขาเพียงคิดว่า ถึงอย่างไรเด็กคนนั้นก็เป็นน้องชายต่างพ่อของเหยียนเฟย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เด็กคนนั้นเพิ่งสูญเสียแม่แท้ๆ ไป ต่อให้เป็นตอนก่อนวันสิ้นโลก เวลาไปบ้านญาติเจอลูกๆ หลานๆ ในฐานะญาติผู้ใหญ่ อย่างน้อยก็ต้องมีของขวัญติดไม้ติดมือไปฝากกันบ้างไม่ใช่เหรอ แต่ปัจจุบันเป็นยุควันสิ้นโลกถ้าในบ้านพ่อของเด็กมีสิ่งของมากมายสักหน่อย เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของเด็กน้อยว่าจะขาดแคลนเสบียงหรือข้าวของเครื่องใช้หรือไม่ แต่ในบ้านหลังนั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เขาจึงคิดว่าถ้าพรุ่งนี้เข้าไปก็ควรหยิบหาอะไรไปให้เด็กน้อยสักหน่อยดีกว่า

เหยียนเฟยดึงเขามาข้างตัว แล้วยื่นตะเกียบกับชามข้าวส่งให้ “นายชอบเด็กเหรอ” เด็กนั่นตัวแดงๆ ทั้งผอมแห้งและตัวเล็กมาก…เขาผู้เป็นพี่ชายมองเด็กคนนั้นแล้วหาส่วนที่คล้ายคลึงกับตนไม่เจอเลยสักจุด และก็มองไม่ออกว่าเด็กคนนั้นมีส่วนไหนที่ดูเหมือนพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดบ้าง เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมหลัวซวินถึงดูใส่ใจเด็กคนนี้นัก บางทีหลัวซวินอาจถือตำราที่ว่า ‘รักใครก็ต้องรักอีกาบนหลังคาบ้านเขาด้วย’[2]…เพราะถึงอย่างไรเด็กคนนั้นก็ถือว่าเป็นน้องชายร่วมสายเลือดกับตนครึ่งหนึ่ง เลยรู้สึกรักอยู่บ้างอย่างนั้นหรือ

หลัวซวินอึ้งไปสักพัก เขากัดปลายตะเกียบโดยไม่รู้ตัว “เอ่อ… ก็ไม่เชิง…” เดิมทีเมื่อชาติก่อนเขาคิดจะซื้อเด็กกลับมา แต่ในเวลานั้นเขาต้องการที่จะหาใครสักคนมาอยู่เป็นเพื่อน จึงห่างไกลจากการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมมากๆ ส่วนชาตินี้เขาก็มีเหยียนเฟยอยู่เป็นเพื่อนแล้วทั้งคน แถมยังมีสุนัขจอมอ้อนอีกหนึ่งตัว แล้วเขาจะยังต้องการเด็กน้อยอีกทำไม “ก็แค่รู้สึกว่า…” เขาพูดพลางยักไหล่ “เด็กคนนั้นตัวเล็กมาก อ่อนแอเกินไป…”

ตัวก็เล็กปานนั้น แม่แท้ๆ ยังจากไปอีก ถ้าคนเป็นพ่อคิดจะเลี้ยงเด็กทารกคนนั้นก็ต้องใช้น้ำข้าวป้อนแทนนม ถ้าเป็นตอนก่อนวันสิ้นโลกยังหาซื้อนมผงมาชงให้เด็กดูดได้ แต่ตอนนี้สิ…จะรอดหรือเปล่ายังเป็นปัญหา ในยุควันสิ้นโลกคนอ่อนแอไม่มีสิทธิ์ได้มีชีวิต ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเด็กน้อยที่อ่อนแอเปราะบาง ทำอะไรเองก็ไม่ได้ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรแบบนั้นเลย

เหยียนเฟยไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาแค่ลูบผมหลัวซวิน จากนั้นก็คีบกับข้าวให้หลัวซวินจนเต็มชาม

 

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลังจากหลัวซวินและเหยียนเฟยตื่นขึ้นมา จัดการตัวเองและเตรียมข้าวของเล็กน้อยแล้ว พวกเขาก็ออกเดินทางไปยังเขตฐานที่มั่นชั้นนอก วันนี้สมาชิกคนอื่นๆ ในทีมไม่ได้ตามมาด้วยเพราะที่บ้านยังมีงานให้ต้องทำอีกมากมาย ต้องดูแลจัดการพืชที่ปลูกไว้ แถมยังต้องเก็บเกี่ยวพืชผักที่โตเต็มที่ด้วย

ทั้งสองค่อยๆ เดินมาช้าๆ เมื่อถึงตึกนั้นก็ขึ้นบันไดไปที่ชั้นสาม จากนั้นก็เคาะประตู แต่ทั้งสองเคาะเรียกอยู่นานถึงยี่สิบนาทีเต็มก็ไม่มีคนมาเปิดประตูให้สักที

ทั้งคู่หันมามองหน้ากัน หลัวซวินจึงเสนอความคิดว่า “นายลองโทร.หาเขาดูสิ” ผู้ชายคนนั้นออกไปข้างนอกแต่เช้าขนาดนี้เลยเหรอ

เหยียนเฟยล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดหาเบอร์ที่โทร.หาเขาเมื่อวานแล้วกดโทร.ออก “โทร.ไม่ติด เหมือนไม่ได้เปิดเครื่อง” เหยียนเฟยพูดพลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

ทั้งสองมองหน้ากัน อย่าบอกนะว่าแบตหมด หรือตอนออกจากบ้านลืมพกโทรศัพท์มือถือติดตัวไปด้วย?

ในระหว่างที่พวกเขายังงงๆ กันอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากชั้นบน…คงเป็นคนที่พักอยู่ชั้นบน ครั้นเห็นทั้งคู่ยืนอยู่หน้าประตูห้องนี้ก็กวาดตามองพวกเขาสองสามทีก่อนรีบเดินลงบันไดไป

“ไม่งั้น…เรารอต่ออีกหน่อยดีไหม” ผู้ชายคนนั้นรู้ว่าวันนี้พวกเขาจะมา บางทีอาจแค่ออกไปจัดการธุระด่วนบางอย่างก็ได้…เช่น ออกไปหาแลกเสบียงอาหารอะไรพวกนี้ ดังนั้นต่อให้เขาออกไปทำธุระ แต่อีกสักพักก็น่าจะกลับมา

ทั้งสองคนรอต่ออีกสักพัก เวลานี้ผู้ที่อยู่อาศัยในตึกนี้ก็เริ่มทยอยตื่นนอนและเริ่มทำงานในเช้าวันใหม่กันแล้ว ดังนั้นจึงมีผู้คนเดินผ่านโถงทางเดินไปมาอยู่ตลอด หลัวซวินกับเหยียนเฟยก็คอยเคาะประตูเป็นระยะๆ จวบจนคนที่เดินลงบันไดไปก่อนหน้านี้กลับมาหลังจากทำธุระเสร็จแล้ว เห็นพวกเขายังอยู่ที่เดิมจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามว่า “พวกคุณมาหาคนที่อยู่ห้องนี้เหรอ”

ทั้งคู่หันไปมองชายคนนั้นด้วยความแปลกใจ ก่อนพยักหน้าตอบ “ใช่ครับ คุณรู้ไหมครับว่าเขาไปไหน”

ชายคนนั้นหันซ้ายแลขวาก่อนกระซิบเบาๆ ว่า “ดูเหมือนว่าจะย้ายไปแล้วนะ ย้ายไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่างเลย”

“ย้ายไปแล้ว?!” ทั้งสองสบตากันด้วยความประหลาดใจ อยู่ดีๆ ย้ายบ้านทำไม คงไม่ใช่เห็นว่าที่นี่เคยมีคนตาย อาจไม่เป็นมงคลหรอกนะ แถมอีกไม่นานก็ต้องเอาเถ้ากระดูกของหลิวเซียงอวี่ไปฝังแล้ว มีพวกเขาหลายคนคอยช่วยย่อมดีกว่าหมอนั่นต้องจัดการทุกอย่างเองคนเดียวเป็นไหนๆ

ชายคนนั้นถอยห่างไปครึ่งก้าวก่อนสั่นหัวแล้วพูดว่า “ฉันเห็นจากทางหน้าต่าง คิดว่าคงเป็นเขานั่นแหละ แต่ก็ไม่กล้ายืนยันนะ” พูดจบก็รีบเดินอ้อมชายหนุ่มทั้งสองขึ้นบันไดไป

ทั้งสองมองหน้ากันอีกครั้ง หลัวซวินชี้ไปที่ประตูบานนั้นพลางถามว่า “เอาไงดี เปิดเข้าไปเองเลยดีไหม”

ในฐานะผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะ เวลาจะสะเดาะกุญแจไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์อะไรเลยสักอย่าง เหยียนเฟยใช้พลังเปิดประตูบานนั้นอย่างง่ายดาย

เมื่อวานตอนพวกเขามาที่ห้องนี้ยังมีของวางรกระเกะระกะอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับโล่งมาก ใช่แล้ว แต่เพียงแค่ดูโล่งเท่านั้น ใช่ว่าว่างเปล่าแบบไม่มีอะไรเลย อย่างน้อยยังมีของชิ้นใหญ่ๆ ที่ขนย้ายลำบากเหลืออยู่บ้าง แต่นอกจากของพวกนี้แล้วก็ไม่มีข้าวของอย่างอื่นหลงเหลืออยู่ ทั้งเสบียงอาหาร ถ่านฟืน และผ้านวมให้ความอบอุ่นซึ่งม้วนซุกอยู่ตรงมุมห้อง เวลานี้ได้อันตรธานหายไปหมดแล้ว

“ย้ายไป… จริงเหรอเนี่ย?!” หลัวซวินเบิกตาโตหันไปมองเหยียนเฟยด้วยความประหลาดใจ

เหยียนเฟยขมวดคิ้วมุ่นอย่างงงๆ เช่นกัน “ทำไมจู่ๆ เขาถึงย้ายไปล่ะ”

ตึกนี้มีระบบรักษาความปลอดภัยที่สูงมาก ก่อนหน้านี้หมอนั่นก็อุตส่าห์หาเสบียงและขนย้ายสิ่งของต่างๆ มาอย่างยากลำบาก ตามหลักแล้วไม่น่ามีเหตุจำเป็นอะไรให้ต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นนี่นา หรือว่ามีปัจจัยอะไรอย่างอื่นข่มขู่คุกคามเขา?

หลัวซวินกับเหยียนเฟยหันมองหน้ากันอีกครั้ง… ท่าทางของพวกเขาเหมือนพวกคนเลวนักหรือไง หรือว่า

“เขากลัวว่านายจะมาขอแบ่งมรดกของแม่หรือเปล่า” หลัวซวินพยายามเก็บสีหน้าอาการกลั้นขำแล้วหันไปถามเหยียนเฟยด้วยความจริงใจอย่างที่สุด

เหยียนเฟย “…” เขาดูเป็นคนเลวที่หวังแย่งสมบัติคนอื่นงั้นเหรอ

หากผู้ชายคนนั้นคิดหลบหน้าพวกเขาสองคนจริง เถ้ากระดูกของหลิวเซียงอวี่ก็ยังไม่ได้ฝังเลย ถ้ามีพวกเขาน่าจะช่วยแบ่งเบาภาระเรื่องงานฝังศพได้บ้างไม่ใช่เหรอ มีพวกเขาช่วยจัดการเรื่องหลิวเซียงอวี่ เขาก็ไม่ต้องไปติดต่อทหารทำเรื่องฝังอะไรเลยด้วยซ้ำ แค่รอหลังหิมะละลาย พวกเขาก็จะออกไปฝังเถ้ากระดูกลงสุสานให้เอง แล้วผู้ชายคนนั้นจะหนีไปทำไม

“บางทีเขาอาจแค่อยากย้ายไปก่อน อาจมีเหตุผลอะไรถึงต้องรีบร้อนขนาดนั้น แต่วันหลังก็คงกลับมาอีกละมั้ง” หลัวซวินคิดในแง่บวกพลางเดินตรวจตราดูรอบห้อง จากนั้น… เขาก็เหลือบเห็นกล่องโลหะที่ดูคุ้นตาอยู่ตรงช่องระหว่างเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ “เหยียนเฟย นายดูสิ นี่ใช่กล่องที่นายทำขึ้นมาเมื่อวานหรือเปล่า…” กล่องใส่เถ้ากระดูกแม่เหยียนเฟย?!

เหยียนเฟยเดินขึ้นหน้าไปสองก้าว เมื่อเห็นกล่องโลหะที่จงใจซุกไว้ตรงช่องว่างก็มีสีหน้าเครียดขึ้งขึ้นทันที

ทั้งสองต่างเงียบงันกันไปครู่หนึ่ง ถ้าของในบ้านหายไปแค่ไม่กี่อย่างยังพอเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะกลับมาขนของอย่างอื่นอีก แต่นี่… คนก็หนีไปแล้ว สัมภาระต่างๆ ก็ขนไปจนหมด แต่กลับทิ้งเถ้ากระดูกไว้…หมายความว่าผู้ชายคนนั้นไม่คิดจะข้องเกี่ยวใดๆ กับเรื่องของหลิวเซียงอวี่อีกต่อไปแล้ว ถึงได้ทิ้งเถ้ากระดูกของเธอไว้ให้เหยียนเฟยจัดการสินะ

เหยียนเฟยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนก้าวไปหยิบกล่องใบนั้นออกมา เขาใช้พลังเปิดฝาโลหะออก…ในนั้นคือเถ้ากระดูกสีขาวๆ เทาๆ ที่เมื่อวานเขาเป็นคนใส่ลงไปเองกับมือ

ในขณะที่สองหนุ่มกำลังอึ้งพูดอะไรไม่ออกกันอยู่นั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเล็กๆ และแผ่วเบาแว่วมาจากจุดที่ลึกที่สุดในบ้าน… เสียงเด็กร้อง ถ้าไม่ใช่เพราะในห้องเงียบมากละก็ พวกเขาสองคนไม่มีทางได้ยินเสียงนี้แน่

หลัวซวินมีสีหน้าบึ้งตึงขึ้นทันตา เขารีบสาวเท้าเดินลิ่วเข้าไปในห้องนอน

 

[1] สำนวนจากวรรณกรรมเรื่องความฝันในหอแดง หมายถึง คนรวยแม้จะตกอับยากจนก็ยังสบายกว่าคนที่จนอยู่แล้ว

[2] สำนวน หมายถึง เมื่อรักใครก็ต้องสนใจให้ความสำคัญต่อสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคนคนนั้นด้วยเช่นกัน

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า