[ทดลองอ่าน] โอตาคุวันสิ้นโลก เล่ม 6 บทที่ 163 : เด็กน้อย

โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则

 

暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล

 

— โปรย —
โทรศัพท์จากเบอร์ที่ไม่รู้จักนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงในชีวิตอีกครั้ง
ของเหยียนเฟยและหลัวซวิน…
ไม่สิ ของสมาชิกทุกคนในทีมโอตาคุเลยต่างหาก!
ในเมื่อล่มหัวจมท้ายกันมาขนาดนี้ เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกันมาตั้งเท่าไร
ถ้าคนใดคนหนึ่งต้องการความช่วยเหลือ มีหรือที่พวกเขาจะทอดทิ้งกัน
เพียงแต่… ทีมโอตาคุจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีกแล้วเรอะ คราวนี้ใครล่ะเนี่ย

เพื่อให้มีเสบียงอาหารเลี้ยงปากท้องทุกคนได้อย่างพอเพียง
ทีมโอตาคุตั้งใจแล้วว่าจะต้องหาทางขยายพื้นที่เพาะปลูกให้จงได้
แต่ดูเหมือนกฎระเบียบใหม่จะไม่เอื้อให้พวกเขาทำอะไรได้เลย
แถมยังมีประกาศว่า ทางการเตรียมจะมาสำรวจสำมะโนประชากร?!
ใครจะยอมให้คนบุกมาถึงบ้านกันเล่า… จะให้ใครมาเห็นสมบัติ
ในบ้านชั้นสิบห้าและสิบหกของพวกเขาไม่ได้เด็ดขาด!
หรือบางที ฐานที่มั่นแห่งนี้จะไม่ปลอดภัยสำหรับพวกเขาแล้ว?

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 163 เด็กน้อย

 

จากเด็กตัวแดงๆ กลายเป็นตัวม่วง

 

เตียงใหญ่ในห้องนอนและสิ่งของขนาดใหญ่ชิ้นอื่นๆ ไม่ได้ถูกขนไปด้วย หลัวซวินเดินเข้าไปในห้องแล้วสำรวจอย่างละเอียด จึงพบห่อผ้าเล็กๆ ห่อหนึ่งวางปะปนอยู่กับข้าวของจิปาถะในตู้เสื้อผ้า ห่อผ้านั้นเป็นผ้าคนละผืนกับที่พวกเขาเห็นเมื่อวานนี้ แต่เป็นกระโปรงและเสื้อเนื้อบางที่ไม่รู้ว่าหมอนั่นไปคุ้ยมาจากไหนในยุควันสิ้นโลกแล้วนำมาห่อพันร่างซูบเซียวผอมบางไว้ หากไม่มองดีๆ ก็คงนึกว่าเป็นกองผ้าขยุมๆ กองหนึ่งเฉยๆ

หลัวซวินเห็นภาพนี้แล้วถึงกับมือไม้สั่น เพลิงโทสะปะทุขึ้นมาในใจ…นี่มันเล่นเอาเด็กไปซ่อนไว้ในตู้เสื้อผ้า แถมยังใช้ผ้าสกปรกมาห่อตัวเด็กซุกไว้อีก…ถ้าเมื่อครู่พวกเขาสองคนไม่ได้ยินเสียงร้อง เด็กน้อยคนนี้จะมีลมหายใจต่อไปได้อย่างไร

เหยียนเฟยเดินตามมาที่ประตูตู้ พอเห็นสิ่งที่อยู่ในนั้นเขาก็ตะลึงงันไปเช่นกัน แม้จะเดาได้ตั้งแต่ได้ยินเสียงร้อง ว่าเด็กน้อยคงจะถูกเจ้าหมอนั่นทิ้งไว้ แต่นึกไม่ถึงว่าจะถูกซุกไว้ในตู้เสื้อผ้า…

หลัวซวินก้มลงไปอุ้มเด็กน้อยออกมาอย่างระมัดระวัง กระโปรงกับเสื้อเนื้อบางที่ห่อหุ้มตัวเด็กนั้นไม่ได้ช่วยเพิ่มความอบอุ่นอะไรเลยสักนิด เมื่ออุ้มตัวเด็กน้อยมาเจอแสงที่ส่องลอดเข้ามาจากข้างนอก ก็พบว่าเด็กทารกตัวแดงแจ๋เมื่อวาน เวลานี้กลับเต็มไปด้วยรอยจ้ำสีม่วงๆ ดูน่ากลัว

“…นี่คงเป็นรอยจากการถูกดึงออกมาตอนคลอด” เด็กน้อยในอ้อมแขนหลัวซวินไม่มีแม้แต่แรงจะดิ้น มีเพียงหนังตาขยับไหวไปมาเบาๆ ไม่กี่ที ปากเล็กอ้าหวอ ส่งเสียงแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน

หลัวซวินวางเด็กน้อยลงบนเตียงแล้วรีบปลดกระเป๋าเป้บนหลังตัวเองลงมา เขาปลดกระโปรงและเสื้อที่พันตัวเด็กทารกออก จากนั้นก็นำผ้าฝ้ายที่เตรียมไว้เมื่อคืนออกมาห่อตัวเด็กน้อยทีละชั้นๆ เสร็จเขาจึงเงยหน้าขึ้นมามองเหยียนเฟย ฝ่ายเหยียนเฟยเองก็มองเขาอยู่ด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย

 

“เดือดหรือยัง”

“เคี่ยวโจ๊กอย่างเดียวพอเหรอ ตุ๋นน้ำแกงอีกสักหม้อดีไหม” ซ่งหลิงหลิงเสนอขึ้นด้วยความหวังดี

สวีเหมยได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วตอบว่า “อืม… ลองดูก็ได้”

“พวกเธอสองคนไม่เคยคลอดลูกเลี้ยงเด็กอ่อน ไปยืนดูอยู่ข้างๆ ดีกว่านะ ออกไอเดียมั่วซั่ว ซี้ซั้วเอาอะไรไปป้อน เดี๋ยวลูกชาวบ้านก็ตายกันพอดี” จางซู่กอดอกมองสองสาวด้วยสายตาเหยียดหยัน แต่กลับไม่ให้คำแนะนำที่มีประโยชน์แก่พวกเธอทั้งสองเลยสักอย่าง

สวีเหมยและซ่งหลิงหลิงหันไปถลึงตาจ้องจางซู่แล้วก็ประสานเสียงพร้อมกันว่า “พวกฉันไม่เคยคลอดลูก แล้วคุณเคยคลอดลูกเลี้ยงลูกมาก่อนหรือไง”

จางซู่เลิกคิ้วด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน ยกยิ้มมุมปากอย่างภาคภูมิใจ “ฉันไม่เคยคลอดลูกก็จริง แต่ฉันทำงานที่โรงพยาบาล”

ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกจากปากจางซู่ ทุกคนที่เหลือต่างหมดคำพูด หันขวับกลับมาทำงานของตัวเองต่อ

“กลับมาแล้วๆ! พวกเขามาถึงใต้ตึกแล้ว” พวกหลี่เถี่ยยืนสังเกตการณ์อยู่ตรงระเบียง ตอนนี้เองเสียงร้องตะโกนก็ดังขึ้น

หลัวซวินและเหยียนเฟยรีบวิ่งขึ้นมาชั้นบน แค่อึดใจเดียวก็ขึ้นมาถึงชั้นสิบห้า พวกสวีเหมยออกมายืนรอชายหนุ่มทั้งสองอยู่ตรงโถงทางเดิน ครั้นเห็นเหยียนเฟยถือกล่องที่มีผ้าห่อหุ้มอยู่…เดาว่าน่าจะเป็นเถ้ากระดูก ส่วนที่หลัวซวินอุ้มมา…น่าจะเป็นเด็กทารก

ทั้งสองต่างมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก หลัวซวินเดินเข้าไปในห้อง รับน้ำข้าวที่พวกสวีเหมยต้มและพักไว้จนอุณหภูมิพอเหมาะมา ก่อนพรูลมหายใจยาว “ต้อง ‘รักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็น’[1] เลยนะ”

เสียงร้องไห้และการดิ้นรนของเด็กทารกในเวลานี้อ่อนแรงลงยิ่งกว่าเดิม ข้างนอกอากาศหนาวจัด แถมเด็กน้อยเพิ่งเกิดมาได้แค่สองวัน ก่อนหน้านี้เด็กน้อยนอนอยู่ในห้องโล่ง ไม่มีอุปกรณ์ให้ความร้อนอะไรเลย มิหนำซ้ำไม่รู้ว่าถูกทิ้งไว้แบบนั้นมานานแค่ไหนแล้ว ไม่รู้ด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าจะช่วยให้มีชีวิตรอดได้หรือไม่

อย่างน้อยให้กินน้ำข้าวลงไปได้บ้างก็ยังดี เพราะทารกคนนี้ดูเหมือนไม่มีแม้แต่แรงจะดูดนม หลัวซวินใช้ช้อนตักน้ำข้าวค่อยๆ หยอดลงไปบนริมฝีปากที่แห้งผากน้อยๆ นั่น จากนั้นเด็กน้อยก็เม้มริมฝีปากแน่นราวกับหลับสนิทไปแล้ว

เมื่อลองวัดอุณหภูมิดู และจับชีพจรที่พอจะสัมผัสได้อย่างแผ่วเบา ทุกคนถึงค่อยถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” กระทั่งดูแล้วว่าเด็กน่าจะหลับไปจริงๆ ทุกคนจึงกระซิบถามเบาๆ

หลัวซวินเงยหน้ามองไปทางหน้าต่างแล้วอธิบายด้วยความระอาใจว่า “พ่อของเด็กย้ายบ้านไปแล้ว ตอนที่พวกฉันไปถึง ก็เจอแต่เด็กคนนี้กับเถ้ากระดูกของแม่เหยียนเฟย กับเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ไม่กี่ชิ้น นอกนั้นข้าวของอย่างอื่นที่ขนไปได้หมอนั่นก็ขนไปจนเกลี้ยงเลย”

ทุกคนต่างเบิกตาโตและหันมองหน้ากัน พวกเขาพูดอะไรไม่ออกไปนานพักใหญ่

ผ่านไปสักพักเหอเฉียนคุนจึงลูบหัวตัวเองแล้วพูดว่า “มะ…เมื่อวานผู้ชายคนนั้นยังดูเหมือนเชื่อถือได้อยู่เลย ทำไม…” ทำไมทำเรื่องแบบนี้ได้ลงคอ

จางซู่เปิดห่อผ้าที่หุ้มตัวเด็กน้อยออก แล้วลองแตะดูรอยจ้ำตามเนื้อตัวของเด็กน้อย เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “คงเคยหยุดหายใจไปก่อนแล้ว แต่กลับฟื้นขึ้นมาใหม่ ลองเลี้ยงไปก่อนละกัน”

พอได้ยินคำพูดนี้จากปากจางซู่ ทุกสายตาก็จับจ้องไปที่ร่างเด็กน้อยด้วยความตกใจอีกครั้ง เด็กคนนี้บอบบางเหมือนกับตุ๊กตาโคมกระดาษที่ถูกกระแสลมเป่าขาดได้ทุกเมื่อ

เหยียนเฟยนำเถ้ากระดูกของแม่ขึ้นไปเก็บในบ้านระหว่างที่หลัวซวินเข้ามาในบ้านพวกสวีเหมย สักพักเหยียนเฟยก็ตามลงมาและทันได้ยินคำพูดนั้นของจางซู่เข้าพอดี แต่เขาก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรเป็นพิเศษ ทุกคนต่างรู้ดีว่าสถานการณ์ของเด็กคนนี้ไม่สู้ดีตั้งแต่วันแรกที่เขาลืมตาดูโลกแล้ว ทีแรกก็คลอดก่อนกำหนด พอมาตอนนี้ก็ถูกพ่อแท้ๆ ทอดทิ้งอีก…

แต่ว่า…

เหยียนเฟยกวาดสายตาไปเห็นหลัวซวินกำลังอุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขน เขาพลันรู้สึกใจกระตุกวูบ เดิมทีเขากะว่าพาเด็กกลับมาบ้าน แล้วพยายามยื้อชีวิตให้ได้ก่อน หลังจากนั้นค่อยคิดวิธีตามหาพ่อผู้ให้กำเนิดเด็ก ถ้าหาเจอก็จะคืนให้พ่อเด็กไปเลี้ยงดูกันเอง แต่หลัวซวินนี่สิ แม้ปากจะไม่พูดออกมาตรงๆ ทว่าตั้งแต่อุ้มเด็กคนนี้มา ท่าทางหลัวซวินดูจะห่วงใยเด็กคนนี้มากจริงๆ

แม้ปากเขาจะพูดเหมือนไม่อยากเลี้ยง และไม่ได้เตรียมที่จะรับเด็กมาดูแล แต่บางทีหลัวซวินเองอาจจะไม่รู้ตัวว่า ท่าทางตอนเขาอุ้มเด็กน้อยนั้นดูทะนุถนอมอ่อนโยนมากแค่ไหน ตอนดูแลก็แสนระมัดระวังเอาใจใส่เป็นพิเศษ

พวกเขาไม่มีทางมีลูกของตัวเองได้อยู่แล้ว เด็กรุ่นถัดไปในทีมโอตาคุคงมีแค่อวี๋ซินหรันคนเดียวเท่านั้น แถมได้รับการเลี้ยงดูจากสวีเหมยและซ่งหลิงหลิงอีก ในเมื่อหลัวซวินชอบจริงๆ และตอนนี้พวกเขามีปัญญาเลี้ยงไหว ถ้าเด็กคนนี้สามารถมีชีวิตอยู่รอดและเติบโตได้อย่างราบรื่น ตนก็ไม่ติดขัด… เพียงแต่ต้องรับประกันได้ว่า เด็กคนนี้จะว่าง่าย ไม่งอแงเสียงดัง

คิดมาถึงตรงนี้เหยียนเฟยก็เดินมาหาจางซู่และตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนบอกกับคนอื่นที่เหลือว่า “เราจะรับเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้ก่อน รอให้อาการเขาดีขึ้นหน่อยค่อยพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจดูว่ามีอะไรผิดปกติบ้างหรือเปล่า”

ตอนนี้ข้างนอกอากาศหนาวเกินไป บ้านพวกเขาก็อยู่ห่างจากโรงพยาบาลมาก ตอนพาเด็กคนนี้มาก็ถูกลมหนาวไปเยอะแล้ว ถ้าขืนยังพาเด็กน้อยออกไปข้างนอกตอนนี้อีกละก็ คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

จางซู่ได้ยินเหยียนเฟยเอ่ยถึงโรงพยาบาล เขาก็ยักไหล่แล้วบอกว่า “ไว้อีกสองวันฉันจะไปเป็นเพื่อนพวกนายเอง”

ในความเป็นจริงสมาชิกในทีมของพวกเขาจัดได้ว่าอยู่ในหมวดของ ‘คนดี’ แม้ปกติจะไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของชาวบ้าน และยิ่งไม่ยอมหงายไพ่ใบสุดท้ายให้คนอื่นเห็นเพื่อป้องกันภัยและรักษาชีวิตรอด แต่กับพวกพ้อง ทุกคนล้วนปฏิบัติต่อกันอย่างอ่อนโยน แม้แต่จางซู่ก็เป็นแบบนั้นด้วยเหมือนกัน

 

เด็กทารกคนนี้เลี้ยงง่ายมาก ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล หนูน้อยกินแค่นิดเดียว เวลาร้องไห้ก็เบาแสนเบา ไม่ต้องกลัวว่าจะส่งเสียงดังรบกวนคนอื่น ปกติเขาจะนิ่งๆ เงียบๆ มีแค่ตอนหิวกับตอนขับถ่ายถึงส่งเสียงร้องแอะสองแอะ นอกนั้นแทบไม่กระดุกกระดิกอะไรเลย

แต่เด็กแบบนี้ก็มีจุดที่เลี้ยงยากอยู่เหมือนกัน ถึงแม้เขาจะไม่ส่งเสียงหนวกหู แต่ถ้าคนเลี้ยงสะเพร่า ไม่ค่อยใส่ใจ  กว่าจะมาดูอีกทีก็อาจจะฉี่รดผ้าอ้อมจนเปียกแฉะไปเกือบทั้งตัวแล้ว

โชคดีที่หลัวซวินเป็นคนละเอียดรอบคอบมาก บวกกับมีอวี๋ซินหรันและเจ้าตัวเล็กคอยป้วนเปี้ยนมุงดูของเล่นใหม่ที่น่ามหัศจรรย์ หนึ่งคนหนึ่งสุนัขมักสุมหัวอยู่ด้วยกัน เท้าคางกับเตียงจ้องมองเด็กทารกที่นอนอยู่ในห่อผ้ากันตาแป๋ว พอเด็กน้อยขยับ ทั้งสองก็ตื่นเต้นดีใจรีบวิ่งไปบอกผู้ใหญ่ สิ่งนี้ดูน่าสนุกกว่าของเล่นอื่นๆ ที่หามาให้คู่หูคู่นี้เสียอีก

ดังนั้นหลังจากพาทารกน้อยมาอยู่ในบ้านได้สองวัน หลัวซวินกับเหยียนเฟยช่วยกันเลี้ยงดูอย่างดี แม้เด็กจะยังกินน้อยมาก แถมพวกเขาต้องคอยตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อตรวจดูว่าเด็กเป็นอันตรายอะไรหรือไม่ ฉี่รดผ้าอ้อมเปียกจนนอนไม่ได้หรือเปล่า

ทว่าเด็กน้อยกินได้แต่น้ำข้าว แถมปริมาณที่กินเข้าไปแต่ละวันก็น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ทำให้พวกเขาสองคนรู้สึกกังวลเกี่ยวกับสารอาหารที่เด็กน้อยควรได้รับ พาให้ปวดหัวกันเป็นแถว ส่วนเรื่องไปโรงพยาบาล จางซู่แนะนำว่า ในเมื่อตอนนี้เด็กน้อยยังปกติดี ไม่มีปัญหาอะไร ก็ควรรอให้พ้นสัปดาห์หนึ่งไปก่อน ให้สภาพร่างกายพร้อมกว่านี้ และอากาศข้างนอกไม่หนาวจัดอย่างตอนนี้ค่อยไปจะดีกว่า

เจ้าหนูน้อยปลอดภัยดีแล้ว ขณะที่พ่อของเขายังไม่มีข่าวคราวอะไรเลยแม้แต่น้อย แม้เหยียนเฟยกะว่าจะไม่คืนเด็กให้ชายคนนั้นแล้วก็ตาม แต่อย่างน้อยก็อยากจะมั่นใจว่าตอนนี้เจ้าหมอนั่นอยู่ที่ไหน และจะไม่สร้างปัญหาให้พวกเขาในภายหลังแน่ๆ… ถึงแม้ชายคนนั้นอาจคิดว่าลูกตัวเองตายแล้วถึงได้จับร่างเด็กห่อผ้าไว้แบบลวกๆ และทิ้งไว้ในตู้แบบนั้นก็เถอะ แต่ก็ยากจะรับประกันได้ว่าจะมีเรื่องไม่คาดฝันอะไรเกิดขึ้นหรือไม่

เพียงแต่หมอนั่นปิดโทรศัพท์มือถือตลอด ติดต่อไม่ได้เลย… เวลานี้แม้แต่การสำรวจสำมะโนประชากรแบบพื้นฐานที่สุดทางฐานที่มั่นยังทำได้ไม่ดี ถ้าคิดจะตามหาใครสักคน ต่อให้อีกฝ่ายอยู่ในฐานที่มั่นก็ยากจะหาเจอ

 

วันนี้หลัวซวินตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อเปลี่ยนผ้าอ้อมผืนใหม่ให้เด็กน้อย หลังจากป้อนน้ำข้าวเสร็จก็อุ้มไปวางลงในรถเข็นเด็กที่เหยียนเฟยสร้างขึ้นจากโลหะบริสุทธิ์ และมีเบาะรองทำจากผ้าฝ้ายบุด้วยนุ่นนุ่มสบาย เขาพาเด็กน้อยลงไปที่ห้องรับแขกชั้นล่างเพื่อเตรียมจะทำอาหารเช้าก่อน จากนั้นค่อยเริ่มงานดูแลพืชผักในบ้านตามกิจวัตรประจำวัน

แต่หลัวซวินยังไม่ทันจะเดินเข้าครัวก็ได้ยินเสียงคนมาตบประตูห้องเขารัวๆ

“มีอะไร เกิดอะไรขึ้น” เหยียนเฟยลุกไปเปิดประตู หลัวซวินก็เดินตามมาด้วย ทันทีที่ประตูเปิดออก ก็เห็นหลี่เถี่ยละล่ำละลักด้วยความตื่นเต้น หน้าตาแดงก่ำ “เจอแล้วครับ หาเจอแล้ว!”

“หาอะไรเจอ”

“ข้อมูล! ข้อมูลแผงพลังงานแสงอาทิตย์! ข้อมูลของนอกฐานที่มั่น!” หลี่เถี่ยดึงเหยียนเฟยไปที่บ้านพวกเขาอย่างลิงโลด หลัวซวินก็รีบเข็นรถเข็นเด็กตามไปด้วยทันที

ระหว่างที่เดินไปหลี่เถี่ยก็เล่าข้อมูลให้พวกเขาทั้งสองฟังเพิ่ม “ไม่ใช่แค่ข้อมูลแผงพลังงานแสงอาทิตย์นะพี่ เจ้าอ้วนมันยังเจอของอีกอย่าง ไม่แน่อาจเป็นของที่เราใช้ประโยชน์ได้”

 

 

[1] สำนวน หมายถึง พยายามให้ถึงที่สุดแม้ว่าจะหมดทางเยียวยา หรือเป็นปัญหาที่ไม่อาจแก้ไขได้

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า