โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则
暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล
— โปรย —
โทรศัพท์จากเบอร์ที่ไม่รู้จักนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงในชีวิตอีกครั้ง
ของเหยียนเฟยและหลัวซวิน…
ไม่สิ ของสมาชิกทุกคนในทีมโอตาคุเลยต่างหาก!
ในเมื่อล่มหัวจมท้ายกันมาขนาดนี้ เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกันมาตั้งเท่าไร
ถ้าคนใดคนหนึ่งต้องการความช่วยเหลือ มีหรือที่พวกเขาจะทอดทิ้งกัน
เพียงแต่… ทีมโอตาคุจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีกแล้วเรอะ คราวนี้ใครล่ะเนี่ย
เพื่อให้มีเสบียงอาหารเลี้ยงปากท้องทุกคนได้อย่างพอเพียง
ทีมโอตาคุตั้งใจแล้วว่าจะต้องหาทางขยายพื้นที่เพาะปลูกให้จงได้
แต่ดูเหมือนกฎระเบียบใหม่จะไม่เอื้อให้พวกเขาทำอะไรได้เลย
แถมยังมีประกาศว่า ทางการเตรียมจะมาสำรวจสำมะโนประชากร?!
ใครจะยอมให้คนบุกมาถึงบ้านกันเล่า… จะให้ใครมาเห็นสมบัติ
ในบ้านชั้นสิบห้าและสิบหกของพวกเขาไม่ได้เด็ดขาด!
หรือบางที ฐานที่มั่นแห่งนี้จะไม่ปลอดภัยสำหรับพวกเขาแล้ว?
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 165 ประกาศใหม่กับการตัดสินใจ
ฐานที่มั่นออกประกาศใหม่ มีทั้งคนชอบใจและคนทุกข์ใจ…
แน่นอนว่าฝ่ายที่ ‘ทุกข์ใจ’ นั้นมีมากกว่า
พวกหลัวซวินยังไม่ทันได้พาทารกน้อยไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล เช้าตรู่ของวันที่ 5 กุมภาพันธ์ เกือบทุกคนในฐานที่มั่นต่างได้รับข้อความที่มีเนื้อหาคล้ายคลึงกันอย่างน้อยคนละหนึ่งข้อความ
ข้อความแรกเป็นประกาศเกี่ยวกับงานช่วงหลังตรุษจีน คือการเก็บกวาดทำความสะอาดหิมะที่สะสมในฐานที่มั่น รวมทั้งเตรียมการไปทำความสะอาดหิมะที่รอบนอกกำแพงฐานที่มั่นในเดือนกุมภาพันธ์ การทำภารกิจนอกฐานของแต่ละทีมในช่วงเดือนมีนาคม ทั้งการค้นหาและรวบรวมทรัพยากรและการเตรียมขยายพื้นที่เพาะปลูกสำหรับกลางฤดูใบไม้ผลิ นอกเหนือจากนี้ ภายในปีนี้จะมีการสำรวจสำมะโนประชากรให้เรียบร้อย ประชาชนทุกคนต้องลงทะเบียนให้สอดคล้องตรงตามความเป็นจริง นอกจากนี้ยังรณรงค์ให้ทุกคนช่วยกันซ่อมแซมอาคารที่เสียหาย จัดการกับร่างคนที่ถูกฝังอยู่ในกองซากปรักหักพังต่างๆ เป็นต้น
เนื้อหาของข้อความที่สองถูกส่งให้แต่ละทีม รวมถึงผู้มีพลังพิเศษที่เคยลงทะเบียนไว้ตอนตรวจสอบพลัง ว่าจะมีการตรวจวัดระดับพลังพิเศษรอบสองให้ฟรี พร้อมกับเปลี่ยนบัตรประจำตัวผู้มีพลังพิเศษใหม่ รวมทั้งการลงทะเบียนผู้มีพลังพิเศษของแต่ละทีมด้วย
ถัดมาเป็นข้อความที่ส่งให้หัวหน้าทีมโดยเฉพาะ เนื้อหาของข้อความนี้เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนภารกิจที่ทุกทีมต้องปฏิบัติทุกเดือนเมื่อปลายปีที่แล้ว และเกณฑ์การส่งมอบทรัพยากรกับคริสตัลต่างๆ โดยระบุจำนวนสิ่งที่ต้องส่งมอบและภารกิจที่ต้องรับไปทำไว้ในข้อความที่หัวหน้าทีมได้รับไว้เลย
ทุกคนล้อมวงมุงดู บ้างหากระดาษมาจดข้อมูลที่ได้รับแจ้งออกมาเป็นข้อๆ จากนั้นก็หารือกัน สุดท้ายสรุปกันว่า…
“งานที่จำเป็นเร่งด่วนที่สุด ต้องรีบทำก่อนอย่างอื่นเลยก็คือข้อนี้… ไปรับภารกิจประจำเดือนกุมภาพันธ์ก่อน” หลัวซวินชี้ไปที่รายการหนึ่งบนกระดาษจด “ภารกิจของทีมเราที่ระบุมาในข้อความยังคงเป็นงานเก็บกวาดทำความสะอาดหิมะสะสมในฐานที่มั่น คราวนี้เจาะจงมาว่าเป็นฐานที่มั่นชั้นนอก ซึ่งขอบเขตพื้นที่ไม่ใหญ่มาก แต่พวกเราต้องไปรับภารกิจที่หอภารกิจก่อน”
จากนั้นหลัวซวินก็ชี้ไปที่อีกรายการหนึ่ง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “ข้อนี้ก็น่าจะต้องทำให้เรียบร้อยภายในเดือนนี้เหมือนกัน… ลงทะเบียนสมาชิกทีมและผู้มีพลังพิเศษภายในทีม” เขาพูดพลางเงยหน้ามองเหยียนเฟยกับจางซู่ก่อนถามว่า “พวกนายคิดเห็นว่าไง”
เหยียนเฟยไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร กลับเป็นจางซู่ที่เลิกคิ้วแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา “รวบรวมรายชื่อสมาชิกของแต่ละทีม จำนวนผู้มีพลังพิเศษ ลักษณะการรวมกลุ่มของประเภทพลังต่างๆ สุดท้ายยังเก็บข้อมูลสำมะโนประชากรอีก…ฉันว่านะหัวหน้า นายยังไม่ต้องไปห่วงเรื่องว่าทีมเราจะถูกใครเพ่งเล็งหรือหาเรื่องเดือดร้อนมาให้หรอกนะ คอยคิดเถอะว่าตอนเจ้าหน้าที่มาสำรวจสำมะโนประชากร นายจะทำยังไงกับข้าวของในบ้านพวกนี้ดีกว่า”
หลัวซวินขมวดคิ้วมุ่น ก้มหน้าอ่านข้อความในมือถืออีกครั้ง ‘สำรวจสำมะโนประชากร’
เหยียนเฟยพูดปลอบว่า “เรื่องนี้อย่างน้อยๆ คงต้องรอให้พวกเขาจัดการเรื่องการเก็บกวาดหิมะในฐานที่มั่นทุกจุดเรียบร้อยก่อน ต้องลงทะเบียนสมาชิกทีมผู้มีพลังพิเศษ และจัดการอาคารกับซากปรักหักพังต่างๆอีก กว่าจะส่งคนออกมาทำเรื่องนี้ได้ อย่าลืมสิว่าพวกเขายังคิดจะขยายพื้นที่เพาะปลูกด้วย ถึงตอนนั้นจริงคงยุ่งมาก ต่อให้อาจใช้เวลาไม่ถึงปีครึ่งปีก็จริง แต่อย่างน้อยภายในสามสี่เดือนนี้พวกเขาคงยังไม่ว่างหรอก เพียงแต่พวกเราต้องหาวิธีซ่อนพืชผักในบ้านให้ได้ก่อนถึงเดือนมิถุนายนก็พอ”
ถ้าคนของฐานที่มั่นเคาะประตูตามบ้านเข้ามาสำรวจสำมะโนประชากรอย่างเข้มงวด ถึงขั้นตรวจสอบภายในบ้านอย่างละเอียดละก็ ต้องมีคนไม่เห็นด้วยแน่ ดังนั้นถ้าพวกเขาสามารถทำได้จริงเมื่อไร นั่นก็จะเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าคนที่ออกคำสั่งเหล่านี้กุมอำนาจทางการทหารในฐานที่มั่นได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้พวกตนมีผู้มีพลังพิเศษมากกว่านี้ มีพลังขั้นสูงที่แข็งแกร่งมากแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์
หลัวซวินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แววตาวาวประกายประหลาดวูบหนึ่ง เขากวาดตามองทุกคนที่อยู่ในห้องแล้วบอกว่า “พรุ่งนี้เราไปหอภารกิจกัน ไปรับภารกิจของเดือนนี้มาทำให้เสร็จก่อน ถ้าเอาเสบียง คริสตัล หรือคูปองสะสมของทีมไปจ่ายแทนค่าภารกิจจะไม่คุ้ม อีกอย่าง ภารกิจของพวกเราก็ไม่ได้ลำบากอะไร ทำสำเร็จได้ไม่ยาก อย่างมากใช้เวลาแค่สองวันก็เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นฉันจะพาเด็กไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล ถ้าไม่มีปัญหาอะไร เดือนนี้เราจะ…ออกไปล่าซอมบี้ที่นอกฐานกันสักรอบ”
พวกหลี่เถี่ยต่างทำตาลุกวาว “หัวหน้าหมายความว่า…”
หลัวซวินพยักหน้าเล็กน้อย เดิมทีเขาไม่ได้วางแผนที่จะออกนอกฐานเร็วขนาดนี้ แต่ในเมื่อสถานการณ์ในฐานที่มั่นตอนนี้สร้างความกังวลใจให้เขา สิ่งต่างๆ ในปัจจุบันแตกต่างจากความทรงจำในชาติก่อน ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ล้วนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแทบทั้งนั้น
เขาไม่รู้ว่าตัวเองกับเหยียนเฟยจะต้องเจอกับอะไรบ้างในอนาคต แต่ที่เขารู้แน่ๆ ก็คือ…ถ้าขืนยังยึดติดกับความทรงจำเก่าๆ ในชาติก่อนและใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ อยู่ละก็ เกรงว่าไม่ต้องรอให้พวกซอมบี้แห่มาบุกโจมตีฐานที่มั่นแตกหรอก พวกเขาคงจะถูกลูกหลงจากการแก่งแย่งชิงอำนาจในฐานที่มั่นเล่นงานเสียก่อน การเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้อาจน่ากลัวกว่าการเผชิญหน้ากับพวกซอมบี้ด้วยซ้ำ
อย่างน้อยจุดประสงค์ของซอมบี้ก็แค่กัดกินคน แต่ถ้าพวกผู้มีอำนาจในฐานที่มั่นรู้ว่าในบ้านพวกเขามีเสบียงอาหารและสิ่งของต่างๆ เก็บซุกซ่อนไว้มากมายขนาดนี้ เมื่อถึงตอนนั้นนอกจากเขาจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้แล้ว ยังต้องสูญเสียทุกสิ่งที่พยายามเก็บสะสมมาตั้งแต่ก่อนวันสิ้นโลก ข้าวของที่พวกเขาช่วยกันรวบรวมมาอย่างยากลำบากในยุควันสิ้นโลก รวมถึงพืชผลที่ทุกคนเหน็ดเหนื่อยทุ่มเทกายใจช่วยกันปลูกขึ้นมาจนสำเร็จไปต่อหน้าต่อตาด้วย
หลัวซวินเองก็ไม่แน่ใจหรอกว่า หลังจากออกไปคราวนี้จะหาทางช่วยให้พวกเขาผ่านเรื่องยุ่งยากพวกนี้ไปได้หรือไม่ แต่ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่านั่งรอความตายอยู่ที่บ้าน อย่างน้อยชิงออกไปเก็บเกี่ยวช่วงนี้ก็ได้อาศัยโอกาสที่ยังมีหิมะปกคลุม และที่บ้านพวกเขาก็มีรถเลื่อนหิมะให้ใช้อยู่ด้วย ผิดกับคนอื่นๆ ที่อยากออกไป แต่ไม่มีรถหรือล้อรถที่ใช้ขับลุยหิมะได้โดยเฉพาะ ย่อมขับไปได้ไม่ไกลนัก
ส่วนด้านนอกฐานที่มั่นซึ่งอาจยังมีฝูงซอมบี้หลงเหลืออยู่… หลัวซวินเคร่งขรึมลงเล็กน้อย เขาเหลือบไปมองจางซู่ทีหนึ่ง…หมอนี่เป็นผู้มีพลังพิเศษธาตุลม บางทีอาจมีวิธีไปสำรวจสถานการณ์รอบๆ หรือเป็นหน่วยกล้าตายสำรวจเส้นทางให้ทุกคนก่อนได้
หลังจากหารือเกี่ยวกับสิ่งที่ทุกคนต้องทำ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่มีต่อเรื่องบางเรื่องแล้ว พวกหลัวซวินก็แยกย้ายกลับไปทำงานบ้านใครบ้านมัน
หลัวซวินกับเหยียนเฟยกลับมาตรวจดูพืชผลต่างๆ ที่ปลูกไว้ในบ้านตัวเองตามปกติจนทั่ว ก่อนบ่นออกมาด้วยเสียงหงุดหงิดหน่อยๆ ว่า “ในบ้านมีพืชที่ไม่กลายพันธุ์เยอะเกินไปแล้ว…”
สาเหตุที่พวกเขาวิตกกังวลเรื่อง ‘การสำรวจสำมะโนประชากร’ ไม่ใช่เพียงเพราะพวกเขาปลูกผักไว้เต็มบ้าน แล้วกลัวว่าถ้าคนอื่นมาเห็นเข้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหรอก แต่เพราะ… พวกเขาปลูกพืชผักที่ไม่กลายพันธุ์ออกมาได้เยอะผิดสังเกตต่างหาก!
ช่วงก่อนปีใหม่พวกเขาพอรู้มาบ้างแล้วว่า ทางกองทัพเองก็ใช้การปลูกเห็ดเพื่อช่วยดูดซับเชื้อปนเปื้อนในอากาศ เพื่อลดอัตราการกลายพันธุ์ของพืชด้วยเหมือนกัน แต่กลับได้ผลผลิตไม่ค่อยมาก และพืชผักปกติที่ปลูกได้เหล่านั้นล้วนถูกส่งไปให้แต่บรรดาผู้นำเท่านั้น ส่วนอาหารที่ทหารทั่วๆ ไปได้กิน หรืออาหารที่ขายให้กับชาวบ้านตามบู๊ธในฐานที่มั่นล้วนทำจากพืชกลายพันธุ์ทั้งนั้น
ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ผักกลายพันธุ์ให้ผลผลิตมากมายขนาดนั้นกันล่ะ ต่อให้พืชผักปกติจะรสชาติดีแค่ไหน แต่ถ้าปลูกยากก็ไม่มีประโยชน์ เพราะปัจจุบันในฐานขาดแคลนพื้นที่เพาะปลูก ทุกคนจึงต้องคำนึงถึงการเพิ่มจำนวนผลผลิตให้เพียงพอก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนเรื่องรสชาติ… ขอแค่กินแล้วไม่อ้วกออกมาก็ดีมากแล้ว
คนที่ปลูกผักในบ้านได้ กระทั่งปลูกได้ปริมาณมากๆ นั้นไม่ได้มีแค่พวกเขากลุ่มเดียวเท่านั้น ก่อนหน้านี้ที่หลัวซวินขายผักให้กับทีมอื่นก็เคยได้ยินว่า คนพวกนั้นติดต่อซื้อผักจากคนที่ปลูกผักในบ้านรายอื่นด้วยเหมือนกัน ในฐานที่มั่นมีคนปลูกผักเก่งๆ อยู่ไม่น้อยเลย เพียงแต่ในบ้านอาจมีพื้นที่ไม่มาก แสงสว่างส่องไม่ทั่วถึง จึงได้ผลผลิตไม่เยอะ แถมผักที่ปลูกได้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผักกลายพันธุ์
แต่พวกหลัวซวินมีพื้นที่เพาะปลูกเยอะ มีอุปกรณ์ครบครัน ปริมาณผลผลิตสูง และผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ส่วนใหญ่เป็นผักปกติ ไม่ใช่ผักกลายพันธุ์… หากมีคนพบเข้าแล้วไม่ถูกเพ่งเล็งก็แปลกแล้ว ต่อให้ทางฐานที่มั่นไม่สนใจของพวกนี้ ก็คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าคนที่มาสำรวจบ้านพวกเขาจะเป็นพวกปากสว่างหรือไม่ ถ้าหมอนั่นเที่ยวปากโป้งพูดไปเรื่อย อนาคตพวกเขาจะอยู่อย่างสงบสุขได้อีกหรือ
เมื่อเหยียนเฟยเห็นสีหน้าหม่นหมองของหลัวซวิน จึงเดินไปข้างๆ แล้วตบบ่าปลอบใจเขาว่า “มันต้องมีวิธีสิ อีกอย่าง พวกเขาใช้ท่าทีวางอำนาจบีบบังคับกันแบบนี้ คนที่ไม่ยอมร่วมมือด้วยคงไม่ได้มีแค่รายสองรายหรอก พวกเขาต้องเคลียร์ปัญหาอื่นให้เรียบร้อยก่อนถึงค่อยเข้ามาสำรวจสำมะโนประชากรอยู่แล้ว กว่าจะถึงตอนนั้นอาจมีอะไรเกิดขึ้นอีกบ้างก็ไม่รู้”
หลัวซวินหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยักหน้าน้อยๆ หลังจากเดินตรวจดูชั้นล่างจนทั่วแล้วก็ขึ้นไปที่ชั้นลอยของบ้าน พอตรวจดูพืชผลที่ชั้นเพาะปลูกบนผนังเสร็จ ก็ไปยังเฉลียงดาดฟ้า
เวลานี้พืชกลายพันธุ์หน้าตาประหลาดบางชนิดเริ่มผลิดอกสีสันแปลกๆ ออกมาแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่หลัวซวินเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน…ในอดีตเขาเคยเห็นแต่ผักใบเขียว ข้าวและพืชไร่กลายพันธุ์ แต่ไม่เคยเห็นผลไม้หลากหลายชนิดกลายพันธุ์แบบนี้มาก่อน
หลัวซวินยอบตัวลงไปข้างชั้นปลูกผัก เขาขมวดคิ้วมองดูสิ่งที่อยู่ในกระถางเล็กๆ แถวหนึ่งตรงหน้า พวกมันเป็นสตรอว์เบอร์รี่กลายพันธุ์ที่เริ่มติดผลแล้ว…ผลของพวกมันมีเปลือกแข็งสีน้ำตาลหุ้มอยู่ชั้นหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่รู้สึกแปลกใจยิ่งกว่าก็คือ… บนเปลือกแข็งๆ นั้นกลับมีอะไรบางอย่างเป็นจุดเล็กๆ สีขาวอมเทาจำนวนมาก คล้ายกับเมล็ดสตรอว์เบอร์รี่
ถ้าจะให้อธิบายแบบเป็นรูปธรรมอีกหน่อยก็คือ ผลไม้สีน้ำตาลนี้มีลักษณะเป็นลูกกลมๆ ลูกใหญ่สุดมีขนาดเกือบเท่าลูกปิงปอง แต่ทั้งที่ผิวด้านนอกเป็นเปลือกแข็ง ทว่ากลับมีเมล็ดโผล่ออกมานอกเปลือกเต็มไปหมด เลยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วข้างในนั้นเป็นอย่างไร
“เจ้านี่คืออะไรกันแน่” หลัวซวินสวมถุงมือยางก่อนจะจิ้มๆ ไปบนเจ้าสิ่งนั้น… แข็งๆแฮะ
“ลองแกะดูสักลูกไหม” เหยียนเฟยก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน เจ้าสิ่งนี้ดูคล้ายขนมงาทอดที่เขาเคยเห็นตอนก่อนวันสิ้นโลก แน่นอนว่ามันไม่ได้ดูน่ากินเลยสักนิด และยิ่งไม่ทำให้คนเห็นแล้วเกิดความคิดอยากลองชิมเลยแม้แต่น้อย “มันต้องโตแค่ไหนถึงจะถือว่าสุกแล้ว”
หลัวซวินหยิบ ‘ขนมงาทอด’ ที่ตนลองจิ้มดูแล้ว ออกแรงเด็ดดึง “ฉันว่าก็น่าจะลูกใหญ่ประมาณนี้ละมั้ง ปกติถ้าลูกใหญ่เท่านี้ก็ไม่โตไปกว่านี้แล้ว อีกอย่าง นายจำได้ไหม ตอนแรกที่ ‘เมล็ดงา’ บนผลไม้นี่เพิ่งออกมาเป็นสีขาว ตอนนี้กลายเป็นสีขาวอมเทาแล้ว” เขาพูดพลางลองเด็ดผลที่เมล็ดยังเป็นสีขาวอยู่ออกมาลูกหนึ่งเพื่อเทียบความแตกต่าง
ทั้งสองนำผลไม้ประหลาดกลับมาที่ชั้นล่าง เคลียร์โต๊ะให้โล่งเผื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไรขึ้น เช่น พอผ่าผลไม้นั่นแล้วมันปล่อยแก๊สพิษอะไรออกมา ครั้นแล้วทั้งสองก็ยกไปหาที่ตรงมุมระเบียงเพื่อจัดการกับวัตถุประหลาดนี่โดยเฉพาะ แถมยังเปิดพัดลมดูดอากาศระบายอากาศออกไปข้างนอก
พวกเขาขังเจ้าตัวเล็กไว้ในห้องรับแขก โดยให้มันช่วยนั่งเฝ้าเด็กทารกที่นอนอยู่ในเปล (ทำจากโลหะ) จากนั้นทั้งคู่ก็คาดหน้ากากผ้า สวมถุงมือ และใส่แว่นป้องกัน ท่าทางพร้อมรับมือกับพิษกัดกร่อนและเชื้อไวรัสเต็มที่ หลัวซวินถือมีดเล็กที่เหยียนเฟยเพิ่งทำขึ้นไว้ในมือ แล้วกรีดเจ้าผลไม้ที่เมล็ดกลายเป็นสีขาวอมเทาแล้วลูกนี้อย่างระมัดระวัง…
“นี่… นี่มันอะไรเนี่ย?!” หลัวซวินมอง ‘ขนมงาทอด’ ที่ตนกรีดผ่าถึงข้างในอย่างอึ้งๆ
เหยียนเฟยก็เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ มองสิ่งที่อยู่มือหลัวซวินด้วยความประหลาดใจเช่นกัน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหลัวซวินด้วยความฉงน