[ทดลองอ่าน] โอตาคุวันสิ้นโลก เล่ม 6 บทที่ 220 : ธรรมชาติของโอตาคุ

โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则

 

暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล

 

— โปรย —

การย้ายบ้านออกมานอกเขตกำแพงแกร่งกร้าวของฐานที่มั่น
ตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้ทีมโอตาคุต้องผจญกับโลกกว้างใหญ่
ที่ถึงจะมีอิสรภาพ แต่ก็มีอุปสรรค และบททดสอบมากมายรออยู่
ไหนจะสัตว์กลายพันธุ์แปลกๆ ที่สื่อสารกันไม่เข้าใจ
ไหนจะกลุ่มคนที่จ้องจะหาประโยชน์เอารัดเอาเปรียบ
ไหนจะความหลงระเริงส่วนตัว พากันเล่นสนุกกันอย่างเมามัน…
เอ๋ มันเกิดอะไรกันขึ้นกับทีมโอตาคุกันล่ะเนี่ย!

ชาติที่แล้วหลัวซวินใช้เวลาร่วมสิบปี เก็บเกี่ยวประสบการณ์
ในยุควันสิ้นโลกมาพลิกชะตาชีวิตของชาตินี้ได้ใหม่
แต่ความเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อๆไป ทำให้หลายเหตุการณ์
ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แต่การฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกับทีมโอตาคุ
หลายต่อหลายครั้งได้พิสูจน์ให้เขามั่นใจแล้วว่า
อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร… ก็มาดิค้าบ~

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 220 ธรรมชาติของโอตาคุ

 

นี่แหละโอตาคุขนานแท้

 

แม้ในอาคารที่เหลือจะมีสินค้ากระจายเกลื่อนกลาด แต่กลับยังเจอของสภาพดีอยู่จำนวนไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังเจอโกดังหลังห้างนี้อีกด้วย พวกหลี่เถี่ยชอบเก็บตุนให้เยอะๆ ไว้ก่อนอยู่แล้ว เพราะคิดเสมอว่าถ้าเกิดวันหน้ามีอุปกรณ์ชิ้นไหนเสีย จะได้มีสำรองไว้เปลี่ยนได้ ดังนั้นจึงพยายามหอบทุกอย่างไปยัดขึ้นรถให้ได้มากที่สุด!

จวบจนพวกเขาขนกล้องวงจรปิดและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ไปได้เยอะพอสมควรแล้ว จึงรีบตรงไปยังชั้นใต้ดินชั้นหนึ่งของอาคารใหญ่อีกแห่งเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือมาอีกหลายเครื่อง รวมถึงเครื่องเล่นเกมต่างๆ หลากหลายรูปแบบกลับไปด้วย

คนทั้งกลุ่มเดินลงบันไดเลื่อนที่ไม่มีไฟฟ้าขับเคลื่อนแล้วไปทีละชั้นๆ ในมือแต่ละคนถือไฟฉาย บางคนก็สวมหมวกนิรภัยที่ดัดแปลงขึ้นมาเป็นพิเศษ คือใช้เทปกาวพันไฟฉายพลังงานแสงอาทิตย์ติดไว้ด้านบนหมวก พากันลงไปข้างล่างอย่างระมัดระวัง โดยมีเหยียนเฟยเดินนำหน้าสุด คอยกางโล่โลหะป้องกันไว้

ทว่าพวกเขายังไม่ทันจะลงไปถึงชั้นใต้ดินชั้นที่หนึ่ง จู่ๆ ในอากาศก็เกิดมวลคลื่นผันผวน จางซู่ไม่ได้พูดอะไร เพียงก่อม่านวายุหันไปทางทิศที่เกิดเสียงลม เหยียนเฟยรีบตั้งกำแพงโลหะขึ้นด้านหลังม่านวายุของเขาอีกที… ‘ฟิ้ว… ตึง’ เสียงปะทะดังสนั่น

ฟังจากเสียงแล้ววิเคราะห์ได้ว่า ของสิ่งนั้นคงฝ่าม่านวายุของจางซู่มากระแทกกับกำแพงโลหะของเหยียนเฟยที่อยู่ด้านหลัง

“ยังมีอีก…” ยังไม่ทันสิ้นเสียงจางซู่ก็มีเสียง ‘ตึงๆๆ’ ดังขึ้นติดๆ กัน ของบางอย่างกระแทกกับกำแพงโลหะที่เหยียนเฟยสร้างล้อมไว้เพื่อคุ้มกันความปลอดภัยให้ทุกคน เมื่อเห็นแบบนี้เหยียนเฟยจึงรีบผนึกด้านบนเป็นหลังคาป้องกันทุกด้านอย่างสมบูรณ์

“ค่อยๆ ถอยหลังไปช้าๆ กลับไปตรงทางขึ้นบันไดเลื่อน” หลัวซวินรีบสั่งการทันที เวลานี้ไม่มีแสงสว่างส่องเข้ามาในชั้นใต้ดินชั้นหนึ่ง พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่พุ่งเข้ามาคืออะไรกันแน่ แล้วจะป้องกันอย่างไร ฉะนั้นกลับขึ้นชั้นบนก่อนค่อยว่ากันอีกที

เกราะโลหะค่อยๆ เคลื่อนตามการเคลื่อนไหวของพวกเขา ด้านนอกเกราะมีเสียงกระทบ ‘ก๊องแก๊ง’ ดังเป็นจังหวะให้ได้ยินตลอดเวลา เนื่องจากพื้นที่ด้านในคับแคบมาก เสียงจึงก้องกังวานอยู่ข้างหูของทุกคน สั่นสะเทือนจนรู้สึกหูชานิดๆ

เหยียนเฟยขยับเกราะโลหะไปพร้อมกับตรวจสอบว่าตัวเกราะได้รับความเสียหายอะไรหรือไม่ สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่าโชคดีก็คือ ดูเหมือนว่าหลังจากเพิ่มขั้นพลังขึ้นเป็นขั้นห้า ตอนนี้เวลาที่เขาสกัดโลหะจึงไม่ต้องสิ้นเปลืองพลังมากมายนัก แถมได้เนื้อโลหะที่แข็งแกร่งมากพอจะคุ้มกันทุกคนให้ปลอดภัยได้

ขณะที่ค่อยๆ ขยับถอยไปถึงหน้าทางขึ้นบันไดเลื่อน จู่ๆ ก็มีเสียง ‘วี้ดๆ’ ดังขึ้นจากนอกเกราะโลหะ มีบางอย่างหมุนวนอยู่รอบนอกด้วยความเร็วรอบแล้วรอบเล่า และดูเหมือนว่าจะหมุนวนอยู่ในตำแหน่งเดียวกันทุกรอบ

“มีบางอย่างกำลังกรีดโลหะ แถมเร็วมากๆ ด้วย” เหยียนเฟยปฏิกิริยาตอบสนองฉับไว ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะกรีดเกราะเสียหายแค่ไหน เขาล้วนตามซ่อมได้ทันทุกจุด แต่สิ่งนั้นเคลื่อนไหวเร็วมาก เสียงกรีดดังขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่เว้นช่องว่าง ไม่ช้าก็เร็วเขาคงตามซ่อมไม่ทัน และไม่อาจขัดขวางการโจมตีของเจ้าสิ่งนั้นได้อีกด้วย

หลัวซวินหันไปสบตาเขา แม้สีหน้าหลัวซวินจะดูประหลาดใจเล็กน้อย แต่กลับล้วงตลับโลหะออกมาจากข้างเอว  ส่งให้เหยียนเฟยโดยไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย เหยียนเฟยไม่พูดอะไรให้มากความ แปะตลับโลหะใบนั้นลงไปบนผนังเกราะด้านใน ตลับนั้นก็แนบสนิทไปกับผนังทันที และเพียงชั่วพริบตาตลับโลหะก็เริ่มยืดยาวและขยายใหญ่ขึ้น หลังจากพวกเขาแปะตลับโลหะเพิ่มเข้าไปอีกสองใบแล้วเปลี่ยนรูปทรงเป็นแบบเดียวกัน คือมีลักษณะเป็นเส้นยาวๆนูนเข้ามาด้านในวนไปรอบผนัง ครั้นแล้วเสียง ‘วี้ด’ ก็เปลี่ยนเป็นเสียง ‘ซู่’ ในที่สุด เสียงแสบแก้วหูก็เงียบหายไป ตามมาด้วยเสียง ‘พึ่บพั่บๆ’ เหมือนอะไรบางอย่างกระพือปีก แล้วจึงเกิดเสียงลื่นไถลครูดไปกับผนังโลหะก่อนจะร่วงลงมา

เสียง ‘ก๊องแก๊งๆ’ ที่ดังต่อเนื่องก่อนหน้านี้ก็กลายเป็นเสียงเหมือนดิ้นรนกระพือปีกดังมาจากตำแหน่งที่เป็นรอยเส้นนูนนั้นเช่นกัน และตามด้วยเสียงตกกระแทกพื้นไม่ต่างกัน

ตลับโลหะที่หลัวซวินส่งให้เหยียนเฟยเป็นตลับบรรจุพิษเห็ดที่ใช้พกติดตัว สิ่งนี้มีขนาดเล็กและค่อนข้างเบา พวกเขาจึงใช้เป็น ‘ระเบิดมือพิษเห็ด’ และในยามคับขันยังเอาไว้ใช้เติมปืนฉีดน้ำเป็นกระสุนสำรองได้ด้วย

เมื่อครู่เหยียนเฟยอาศัยจากที่ฟังเสียงกรีดผนังเกราะด้านนอก จึงนำตลับโลหะไปแปะตรงจุดที่ตรงกับรอยกรีดและเปลี่ยนรูปทรงให้แนวร่องลากยาวเป็น ‘เส้นรอบวง’ โดยกักเก็บพิษเห็ดไว้ในร่องที่นูนเข้ามาฝั่งด้านในนั้น เพียงแค่ผนังด้านนอกถูกกรีดเปิด พิษเห็ดก็จะกระเด็นใส่สิ่งที่โจมตีไปเองโดยปริยาย

“พวกมันมีขนาดไม่ใหญ่ คิดว่าน่าจะเป็นนก” หลัวซวินวิเคราะห์หลังจากได้ยินเสียงข้างนอก

เวลานี้เหยียนเฟยเปิดร่องบรรจุพิษเห็ดออกทั้งหมดแล้ว พิษเห็ดจึงไหลอาบผนังเกราะโลหะด้านนอก และบางสิ่งบางอย่างที่สัมผัสถูกพิษเห็ดก็ร่วงตกลงด้านล่าง

“พวกนี้นี่มันน่ารำคาญตรงที่ตัวไม่ใหญ่ แต่ดันไวชะมัด” จางซู่กระดิกนิ้วเรียกเหยียนเฟย “เปิดช่องให้หน่อยสิ”

เหยียนเฟยจึงเปิดช่องเล็กๆ บนผนังเกราะโลหะข้างๆ จางซู่ ฝ่ายจางซู่ก็รีบซัดพลังลมออกไป แล้วควบคุมลมด้านนอกให้กลายเป็นคมวายุถาโถมโจมตีใส่เจ้าตัวที่กองอยู่บนพื้น

เพียงครู่เดียวจางซู่ก็เลิกคิ้วด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ฉันว่านะ พลังพิเศษของพวกมันคือธาตุลมแหละ” ถึงได้รวดเร็วว่องไวขนาดนี้ไงเล่า

แม้ว่าสิ่งที่โจมตีทุกคนอยู่ข้างนอกนั้นจะมีพลังพิเศษธาตุลมซึ่งจางซู่รับมือได้ค่อนข้างยาก แต่ดีที่พวกมันส่วนใหญ่ล้วนสัมผัสถูกพิษเห็ด ประกอบกับมีขนาดตัวเล็ก แค่แตะโดนพิษเห็ดเพียงนิดเดียวแล้วกระพือปีกดิ้นรน พิษเห็ดก็ยิ่งกระเซ็นไปทั่วตัวพวกมัน ผลลัพธ์น่ะเหรอ… แค่คิดก็รู้แล้ว

จางซู่ตรวจดูสถานการณ์ภายนอกซ้ำหลายครั้งจนแน่ใจว่าข้างนอกไม่มีอะไรแล้ว นอกจากพวกที่ยังนอนดิ้นกระแด่วอยู่บนพื้นเพียงไม่กี่ตัว เหยียนเฟยจึงเก็บเกราะโลหะบางส่วนออก จากนั้นทุกคนก็ยกไฟฉายขึ้นส่องทาง พากันเดินลงบันไดเลื่อนช้าๆ ในที่สุดก็มาถึงชั้นใต้ดินชั้นหนึ่งอย่างปลอดภัยสักที

เมื่อมาถึงชั้นใต้ดินชั้นหนึ่ง คนทั้งกลุ่มก็ส่องไฟฉายสำรวจดูรอบๆ อย่างละเอียดจนทั่ว พบว่าสิ่งที่โจมตีพวกเขาเมื่อครู่ แท้จริงแล้วก็คือ…ค้างคาว แต่ไม่ใช่ค้างคาวซอมบี้แต่อย่างใด พวกมันเป็นค้างคาวกลายพันธุ์ที่มีขนาดพอๆ กับค้างคาวปกติ

มีค้างคาวบางตัวยังตายไม่สนิท ดิ้นกระแด่วๆ อยู่บนพื้น ทุกคนมองหน้ากันไปมาเหมือนจะถามกันว่า ‘เจ้าพวกนี้มันมาจากไหนกันเนี่ย’

ในยุคก่อนวันสิ้นโลก พวกเด็กรุ่นใหม่ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่บางคนคงไม่เคยเห็นค้างคาวตัวเป็นๆ สินะ แต่หลัวซวินจำได้ว่าสมัยที่เขายังเป็นเด็ก ตอนที่ยังไม่ย้ายออกจากบ้านเก่า เย็นวันหนึ่งเขาเคยเห็นค้างคาวออกมากินยุงอยู่ในตรอกของชุมชน แต่หลังจากที่ย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง หลายที่เริ่มมีการปรับปรุงพัฒนา ก็ไม่เคยเห็นค้างคาวอีกเลย อย่าว่าแต่ค้างคาวเลย ใจกลางเมืองใหญ่บางแห่งแม้แต่นกนางแอ่นกับแมลงปอก็ยังหายาก

ดังนั้นเมื่อได้เห็นค้างคาวกลายพันธุ์ ทุกคนจึงรู้สึกสนใจไม่น้อย ไม่รู้ว่าค้างคาวกลายพันธุ์พวกนี้บินมาจากไหน พวกมันเกิดและอยู่แถวนี้มาตั้งแต่ก่อนวันสิ้นโลกแล้ว หรือว่าเพิ่งอพยพมาที่นี่หลังจากเข้าสู่ยุควันสิ้นโลกกันแน่

ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม พวกเขารีบจัดการเก็บคริสตัลกลับมาอย่างรวดเร็ว

เป็นอย่างที่จางซู่บอกจริงๆ ค้างคาวพวกนี้มีพลังพิเศษธาตุลม เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนแปลกใจก็คือ ในบรรดาค้างคาวที่บินวนเวียนอยู่รอบเกราะโลหะ บางตัวมีพลังถึงขั้นห้าซึ่งพลังทำลายล้างน่าจะสูงมาก น่าเสียดายที่ตอนทุกคนเจอพวกมันก็เห็นเพียงคริสตัลกับเศษซากบางส่วนแล้ว ไม่สามารถศึกษารูปลักษณ์ภายนอกได้ว่าต่างจากค้างคาวทั่วไปอย่างไรบ้าง

จางซู่หยิบคริสตัลขั้นห้าของค้างคาวขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยอยากเชื่อ ถึงแม้จะเป็นคริสตัลขั้นห้าก็จริง แต่จะทำให้เขามีพลังเพิ่มขึ้นเป็นขั้นห้าได้จริงเหรอ ไม่ต้องใช้คริสตัลที่มีขนาดใหญ่กว่านี้อีกหน่อยจริงๆ เหรอ

“คืนนี้นายลองใช้ร่วมกับคริสตัลขั้นสี่ดูสิ ถ้าเพิ่มขั้นขึ้นได้จริงๆ ก็ดี เพราะพลังพิเศษของนายก็ติดแหง็กอยู่ขั้นสี่มาระยะหนึ่งแล้ว” หลัวซวินช่วยพูดปลอบอีกฝ่าย

ที่จริงจางซู่ก็ตกที่นั่งลำบากเช่นกัน พวกเขาเจอคริสตัลในดงเถาปีศาจเยอะมาก แต่กลับเจอคริสตัลพลังลมน้อยที่สุด แถมยังเป็นคริสตัลขั้นสามลงไป ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้พวกซอมบี้ธาตุลมที่ระดับสูงกว่าขั้นสามส่วนใหญ่ล้วนฝึกบินกันได้แล้วล่ะ ถ้าไม่บังเอิญเจอซอมบี้ธาตุลมโจมตีเข้าละก็ มีหรือที่พวกเขาจะโชคดีล่าได้คริสตัลพลังลมขั้นสูงแบบนั้น

โชคดีที่มีคริสตัลธรรมดาเก็บไว้ในบ้านเยอะมาก ปกติจางซู่สามารถใช้คริสตัลเหล่านั้นเสริมพลังได้ ตอนนี้มีคริสตัลขั้นห้าอยู่ในกำมือแล้ว อย่างน้อยย่อมดีกว่าไม่มีอะไรเลย

ที่ชั้นใต้ดินชั้นหนึ่งน่าจะไม่อันตรายแล้ว เวลานี้ทุกคนต่างกระตือรือร้นกันสุดๆ…โดยเฉพาะพวกหลี่เถี่ย พวกเขาตรงดิ่งไปยังโซนขายโทรศัพท์มือถือ เลือกเคาน์เตอร์ที่ขายแบรนด์ดังสองสามแบรนด์ซึ่งเพิ่งวางตลาดก่อนเกิดวันสิ้นโลกไม่นานก่อน แล้วเตรียมขนกลับไปทั้งหมดเพื่อสำรองไว้ใช้ในอนาคต โดยไม่สนว่าจะเป็นของใหม่หรือเคยเปลี่ยนไส้อะไหล่มาแล้วบ้าง

หลังจากได้ของเหล่านี้แล้ว พวกเด็กหนุ่มก็ไปหาเคาน์เตอร์ขายอุปกรณ์และเครื่องเล่นเกมต่อโดยไม่สนใจสายตาของคนอื่นๆ แล้วเจออย่างน้อยสามร้าน มีทั้งที่ขายอุปกรณ์สำหรับเล่นกับเครื่องพีซีโดยเฉพาะและที่ขายเครื่องเล่นแบบพกพา เวลานี้เครื่องเล่นเกมแบรนด์ดังในยุคก่อนวันสิ้นโลกตั้งเรียงรายพร้อมสรรพอยู่ที่นี่ รอให้พวกเขามาเลือกหยิบกลับบ้านไปฟรีๆ

“เราเอาไปไว้ทุกห้องอย่างละเครื่องเลยดีไหม หรือวันหลังเราค่อยทำห้องสำหรับเล่นเกมโดยเฉพาะเลยก็ยังได้…เดี๋ยวเราไปดูร้านขายทีวีที่อยู่ใกล้ๆ หาจอใหญ่สุดขนกลับไปด้วยหลายๆจอเลย”

“พี่หลัว บนรถยังมีที่ว่างเหลือไหมครับ”

“ยูเอสบีฮับล่ะ ต้องเอาไปต่อเชื่อมด้วยนะ…”

หลัวซวินได้ยินแล้วถึงกับกลอกตามองบน “มี บนรถยังมีล้อสำรองด้วย ถ้าที่ไม่พอ เดี๋ยวให้เหยียนเฟยสร้างตู้คอนเทนเนอร์พ่วงท้ายเพิ่มก็ได้” ก่อนที่พวกเขาจะออกนอกฐานได้คำนวณไว้แล้วว่ามีสิ่งของที่ต้องขนกลับไปเยอะมาก อาจต้องสร้างตู้พ่วงท้ายเสริมขึ้นมา… เหยียนเฟยศึกษาโครงสร้างรถพ่วงตู้คอนเทนเนอร์จนกระจ่างแจ้งแล้ว จึงได้เตรียมโลหะและล้อสำหรับพ่วงตู้คอนเทนเนอร์ทั้งสองคันไว้ เพื่อพร้อมขยายพื้นที่บรรทุกของได้ทุกเมื่อ

หลังได้ยินคำพูดนี้ก็มีเสียงร้องเฮดังลั่นขึ้นอีกระลอก ห้าหนุ่มโอตาคุแปลงร่างเป็น ‘โอตาคุโลกสองมิติ[1]’ ในชั่วพริบตา พวกเขาหอบกล่องหอบลังมาใส่ในรถเข็นที่เหยียนเฟยสร้างขึ้นมาสำหรับใช้ขนของจนตอนนี้เต็มเอี้ยดแล้ว…

เครื่องเล่นเกมต่อทีวีประเภทต่างๆ ตั้งใจติดตั้งไว้ห้องละเครื่อง… จำนวนที่ต้องขนกลับไปจึงชวนให้ตกตะลึงมาก ไหนจะแผ่นเกมต่างๆ ที่พวกเขาอยากได้อีก นอกจากนี้ยังมีเครื่องเล่นเกมพกพาอีกอย่างน้อยคนละเครื่อง…

หลัวซวินมองสิ่งของบนรถเข็นที่กองสูงขึ้นเรื่อยๆ เหล่านั้นแล้วถึงกับพูดไม่ออก เขารู้สึกเหมือนตนกำลังลากเครื่องเล่นเกมกองนี้กลับฐานเพื่อเอาไปเปิดร้านค้าส่งยังไงก็ไม่รู้

แต่ช่างเถอะ ถึงอย่างไรในอนาคตก็มีเวลาเหลือเฟืออยู่แล้ว และพวกเขาก็ไม่อยากออกมานอกฐานบ่อยๆ ด้วย ดังนั้นถือเสียว่าช่วยหากิจกรรมนันทนาการให้สมาชิกทีมโอตาคุได้เล่นสนุกก็แล้วกัน

หลังจากโกยอุปกรณ์จากร้านขายเครื่องเล่นเกมเหล่านี้เสร็จ ทุกคนก็ไปกวาดแผ่นเกมต่างๆ จากอีกร้านกันต่อ พวกเขาไม่สนว่าเกมจะซ้ำกันหรือไม่ ถึงอย่างไรก็ต้องพยายามขนกลับให้ได้มากที่สุดก่อน หลังจากกวาดแผ่นเกมมากองไว้ด้วยกัน ทุกคนก็เข็นรถล้อมตะแกรงที่ใส่ของเหล่านี้เตรียมไปเก็บที่รถ (ใช่แล้ว เนื่องจากมีของกล่องเล็กกล่องน้อยเยอะเกินไป เหยียนเฟยจึงเปลี่ยนรถเข็นแบบกระบะทรงเตี้ยเป็นแบบล้อมตะแกรงทรงสูง) พวกเขาวิ่งไปวิ่งกลับหกเจ็ดรอบกว่าจะขนขึ้นไปบนชั้นหนึ่งได้หมด…ใครใช้ให้ตอนนี้ลิฟต์ในห้างนี้ใช้งานไม่ได้กันล่ะ

 

[1] หรือโอตาคุขนานแท้ เป็นคำที่ชาวจีนใช้เรียกคนที่หลงใหลหมกมุ่นกับสื่อภาพสองมิติ หรือ ACGN ซึ่งย่อมาจาก Animation (การ์ตูนแอนิเมชั่น)  Comic (การ์ตูนคอมิค) Game (วิดีโอเกมและเกมคอมพิวเตอร์) และ Novel (ในที่นี้หมายถึงไลท์โนเวลที่มีภาพประกอบโดยเฉพาะ)

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า