โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则
暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล
นิยาย 7 เล่มจบ
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
____________________________________
บทที่ 46 รับผิดชอบ?
เดี๋ยวนะ เรื่องนี้ใครควรเป็นฝ่ายรับผิดชอบใครกันแน่
เหยียนเฟยยืนอยู่ข้างหลัวซวิน เขาเห็นในแววตาของหลัวซวินเต็มไปด้วยความสุขและความพึงพอใจขณะมองดูรังนกกระทาที่ถูกคลุมด้วยที่ครอบโลหะและผ้าสีดำ ของเล็กน้อยแค่นี้ก็ทำให้พอใจได้แล้วหรือ ต่อให้ชีวิตไม่ได้สงบสุขเหมือนกับตอนก่อนวันสิ้นโลกและไม่ได้มีพลังพิเศษ แต่หลัวซวินก็รู้สึกพึงพอใจกับชีวิตที่ง่วนอยู่กับงานซึ่งต้องลงมือทำเองทุกอย่างแบบนี้น่ะหรือ
แม้เหยียนเฟยจะรู้สึกว่าเป้าหมายชีวิตของหลัวซวินช่างน้อยนิดเสียเหลือเกิน แต่เขาก็รู้สึกได้ชัดเจนว่ามุมปากของตัวเองในเวลานี้กำลังยกยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่
ขนาดตัวเขาเองยังต้องยอมรับเลยว่า ไม่จำเป็นต้องมีคฤหาสน์หรูหราใหญ่โต ไม่จำเป็นต้องมีคู่ชีวิตที่สวยหยาดเยิ้ม ไม่จำเป็นต้องมีเงินฝากในธนาคารถึงขนาดที่ว่าใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด ไม่จำเป็นต้องใช้ของแบรนด์เนมไฮเอนด์ชื่อดังระดับโลก แค่มีบ้านหลังหนึ่งที่อบอุ่นและเลี้ยงดูตัวเองได้ สามารถจัดการดูแลทุกอย่างตามที่ใจตัวเองปรารถนา มีคนที่อยู่ด้วยแล้วผ่อนคลาย อบอุ่นใจ หวานชื่น คอยแบ่งปันความสุขและความสบายใจให้กันได้สักคน เวลาที่คนทั้งสองได้คบหาและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแบบนั้นก็คือสิ่งที่มีความสุขที่สุดแล้ว
เหยียนเฟยยกแขนโอบไหล่หลัวซวิน “เรียบร้อยแล้วใช่ไหม ขึ้นห้องไปพักได้แล้วนะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าอีก”
หลัวซวินตัวแข็งทื่อเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าแล้วเดินขึ้นไปยังชั้นลอยพร้อมกับเขา
แขนที่วางบนบ่าทำให้หลัวซวินเกิดความประหม่าจนไม่เป็นตัวของตัวเอง เขาตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าเมื่อขึ้นไปบนห้องนอนจะเปิดอกพูดกับอีกฝ่าย ไม่อย่างนั้นมัวแต่ประวิงเวลาไปเรื่อยๆ แบบนี้เขารับไม่ไหวแล้ว เพราะถ้าคืนนี้ฝันเพ้อเจ้ออีก พรุ่งนี้เช้าเขาต้องตื่นสายอีกแน่
“เอ่อ คือ…” หลัวซวินเดินมาถึงข้างเตียงฝั่งด้านใน เขาตื่นเต้นมากเกินไปจนไม่กล้านั่งลงบนเตียง แต่กลับจ้องเขม็งไปที่โต๊ะหัวเตียงฝั่งตัวเอง
“มีอะไรเหรอ” เหยียนเฟยเหลือบมองเขาทีหนึ่งขณะเปลี่ยนเสื้อผ้ามาใส่ชุดนอน การกระทำของเหยียนเฟยดูเป็นธรรมชาติเหลือเกิน
“ฉัน…มีเรื่องที่ไม่เคยได้บอกนาย…” ตอนพูดหลัวซวินรู้สึกในคอแห้งผาก ว่ากันตามตรง นี่เป็นครั้งแรกที่เขายอมรับเรื่องรสนิยมทางเพศของตัวเองต่อหน้าคนอื่น
ช่วงยุควันสิ้นโลกเมื่อชาติก่อนไม่จำเป็นต้องสารภาพอะไรกับใคร เพราะหลังจากเกิดวันสิ้นโลกได้สามปี ก็ไม่เคยเห็นหญิงสาวชาวบ้านคนไหนกล้าออกจากบ้านเพียงลำพังเลย ดังนั้นคนที่ต้องการปลดเปลื้องอารมณ์ความใคร่ แม้จะจ่ายเงินซื้อแล้วก็ยังหาได้แต่เพศเดียวกัน เลยไม่มีใครต้องพูดอะไรถึงเรื่องนี้ ถึงจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้เป็นเกย์ แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่เลือกไม่ได้ การมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่มีให้เห็นอยู่เป็นประจำ ทุกคนก็ได้แต่พูดว่า อยากได้ผู้หญิงสักคนมาเป็นเมียเพียงเท่านั้น
หลัวซวินคิดมาตลอดว่าขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่นานมนุษย์เราก็จะสูญสลาย เพราะอัตราส่วนระหว่างชายหญิงต่างกันสุดขีด อีกทั้งไม่มีทายาทมาสืบสกุล ไม่ช้าก็เร็วมนุษย์ก็จะสูญพันธุ์
แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่ โดยเฉพาะตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับเจ้าคน… ถ้าพูดออกไปแล้วเหยียนเฟยเกิดคิดว่าการที่เขาช่วยเหยียนเฟยไว้เป็นเพราะมีเจตนาแอบแฝงล่ะ?!
หลัวซวินเหลือบมองไปยังของที่เป็นโลหะทุกชิ้นในห้องนี้โดยไม่รู้ตัว แล้วพลันตระหนักได้ว่า หากเขาพูดออกไปพรุ่งนี้จะไม่มีโอกาสได้เห็นแสงตะวันอีกแล้วหรือเปล่านะ
“เรื่องอะไรเหรอ มานอนคุยกันเถอะ” เหยียนเฟยเลิกผ้าห่มฝั่งตัวเองแล้วลงไปนั่งพิงหัวเตียงด้วยท่าทางปกติ
หลัวซวินมองท่าทางเอนพิงหัวเตียงสบายๆ ของเหยียนเฟยแล้วก็แทบกระอักเลือดอยู่ในอก ทั้งที่การกระทำของอีกฝ่ายแสนจะเป็นธรรมชาติ แต่กลับดูยั่วยวนเหลือเกิน หรือว่า… อย่าเพิ่งพูดออกไปดี อย่างไรช่วงนี้ก็กำลังตกแต่งบ้านอยู่ อีกไม่นานพวกเขาก็จะแยกกันอยู่แล้ว
แต่เดี๋ยวนะ…ห้องนอนสองห้องของห้องนั้น เหมือนว่าตนเตรียมจะใช้เป็นห้องนอนสำรองหนึ่งห้อง ส่วนอีกห้องตัดสินใจจะทำเป็นห้องอเนกประสงค์นี่นา ถ้าเจ้าของห้องที่เขาอยู่กลับมา แล้วเขาต้องย้ายออกไป เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็ต้องไปนอนห้องรับแขกน่ะสิ
ไม่…ไม่…ไม่ได้ นอนห้องรับแขกก็ดีมากแล้ว ถึงเวลานั้นแค่เหยียนเฟยยอมให้เขาเข้าห้องก็นับว่าเมตตามากแล้ว แต่ถ้าอีกฝ่ายคิดว่าที่ผ่านมาหลัวซวินแสร้งทำเป็นคนธรรมดาเพื่อล่อลวงและเอาเปรียบเขาขึ้นมา…ไม่รู้ว่าเมื่อถึงตอนนั้นพวกหลี่เถี่ยจะยอมแบ่งที่ให้ตนนอนหรือเปล่า
“ตกลงนายเป็นอะไรกันแน่”
ทันใดนั้นเสียงของเหยียนเฟยก็ดังขึ้น หลัวซวินสะดุ้งตกใจพลันได้สติ ก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาอยู่ด้านหน้าในระยะประชิด เขาเผลอจ้องไฝรองน้ำตาใต้ตาซ้ายของฝ่ายตรงข้ามอย่างห้ามไม่ได้ แล้วหลุดปากพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว “เอ่อ…ฉัน…ที่จริงฉันชอบผู้ชาย เอ่อ…แต่สบายใจได้ ฉันจะไม่เอาเปรียบนายหรอก ปกติก็มีมองบ้างนิดๆ หน่อยๆ…ฉะนั้นอย่า…แตะนั่นจับนี่…”
เสียงของหลัวซวินยิ่งพูดก็ยิ่งเบาลง จนสุดท้ายก็ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า ที่จริงหากไม่พูดอะไรออกไปก็คงไม่เกิดอะไรขึ้น และคงไม่ส่งผลกระทบอะไรไม่ดีกับชีวิตเขาด้วย ไม่เหมือนตอนนี้ที่พูดออกไปแล้ว
จิตใจของเขาคิดไปในแง่ร้ายอย่างห้ามไม่อยู่ เขากลัวว่าการสัมผัสแนบชิดกันของคนสองคน หากว่ามากเกินไปจะทำให้ตนเกิดความเคยชินกระทั่งแอบคาดหวังอะไรจนทำให้เรื่องราวอาจจบไม่สวย ดังนั้นเขาเลยอยากเคลียร์ปัญหานี้กับอีกฝ่ายให้กระจ่าง แต่พอคิดว่าถ้าตนเปิดเผยความจริงไปแล้วอาจนำพามาซึ่งผลกระทบในทางลบ จากที่ร่วมงานกันอย่างราบรื่นมีความสุขดี จะกลับกลายเป็นปัญหายุ่งยากน่าปวดหัวอย่างไม่รู้จบ พอคิดแบบนี้แล้ว ดูเหมือนว่าไม่พูดออกไปจะดีกว่า
ทว่าหากวันใดวันหนึ่งในอนาคตตนไม่อยากใช้ชีวิตโสดอยู่คนเดียวแล้วจริงๆ และหาคนที่เหมาะสมจะใช้ชีวิตร่วมกันเจอ เมื่อถึงตอนนั้นเหยียนเฟยก็ต้องรู้อยู่ดีไม่ใช่หรือ หลังจากที่อีกฝ่ายรู้ความจริงแล้วจะหวนนึกถึงช่วงเวลาที่เคยใช้ชีวิตอยู่กับเขาตอนนี้ว่าอย่างไร
เหยียนเฟยมองหลัวซวินด้วยความประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าหลัวซวินจะกล้ายอมรับออกมาตรงๆ แบบนี้
แม้เหยียนเฟยจะพอมองออกจากปฏิกิริยาท่าทางต่างๆ อยู่บ้าง แต่ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายไม่ได้ยืนยันกับเขา มันจึงเป็นแค่ความสงสัยเท่านั้น ส่วนสถานการณ์ตอนนี้… ดูเหมือนจะมีต้นเหตุมาจากการที่เขาคอยหยอดอีกฝ่ายในช่วงหลายวันมานี้สินะ
เหยียนเฟยมองข้ามต้นเหตุที่ว่านี้ไปแบบไร้จิตสำนึก กลับโพล่งถามทันควัน “แตะนั่นจับนี่งั้นเหรอ”
หลัวซวินผงะไป ไม่คิดเลยว่าสมองของเหยียนเฟยจะข้ามประเด็นต่างๆ ไปมากมาย แต่กลับมาติดใจเอาคำพูดสุดท้าย
“ก็แตะเนื้อต้องตัวกันไงเล่า” เขาเป็นเกย์นะ เข้าใจไหม ผู้ชายกับผู้ชายไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกัน การที่เหยียนเฟยทำตัวรุ่มร่ามใส่เขามากเกินไป มันทำให้เขาอาจคิดเข้าข้างตัวเองยังไงเล่า
“ทำไมนายชอบผู้ชายแล้วฉันจะแตะเนื้อต้องตัวนายไม่ได้ล่ะ” เหยียนเฟยเลิกคิ้ว เอ่ยถามราวกับข้องใจเสียเต็มประดา
หลัวซวินฮึดฮัด “ผู้ชายกับผู้ชายไม่ควรแตะต้องตัวกันอยู่แล้ว นายมาถูกตัวฉันบ่อยๆ ถ้าเกิดฉันทึกทักว่านายมีใจให้ฉันขึ้นมาจะทำยังไง?!” ทันทีที่คำพูดนี้หลุดปากออกไป หลัวซวินก็แทบอยากแทรกแผ่นดินหนี แบบนี้ไม่เท่ากับเป็นการบอกว่าตนคิดเกินเลยกับอีกฝ่ายไปแล้วหรอกหรือ อ๊ากกก ซื่อบื้อชะมัด
จู่ๆ เหยียนเฟยก็ระบายยิ้มลึกซึ้งมีเลศนัย ในขณะที่หลัวซวินไม่ทันได้ตั้งตัวเพราะมัวแต่ตำหนิตัวเองที่พลั้งปากพูดประโยคนั้นออกไป เหยียนเฟยก็เอื้อมมือไปคว้าตัวหลัวซวินลงมานอนบนเตียง
หลัวซวินตะลึงงัน เขารู้สึกเหมือนบ้านพลิกหมุนก่อนจะล้มลงบนเตียง ครั้นแล้วเหยียนเฟยที่อยู่ข้างๆ ก็พลิกตัวขึ้นคร่อมตัวเขา พร้อมประชิดใบหน้าเข้ามาใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งริมฝีปากสัมผัสกับความอุ่นร้อน ร่างกายหลัวซวินถูกเขารวบกอดไว้แนบแน่น ตามด้วยลิ้นนุ่มค่อยๆ แทรกล่วงล้ำเข้ามาสำรวจไปทั่วโพรงปาก
เสียงระเบิดดังขึ้นในหัว หลัวซวินรู้สึกเพียงสมองว่างเปล่าขาวโพลนพาให้เขาหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว อีกฝ่ายกอดกระชับเขาไว้ ฝ่ามืออบอุ่นที่นำพาความรู้สึกสบายใจคู่นั้นค่อยๆ ลูบไล้แผ่นหลังและลาดไหล่ของเขา ความรู้สึกของการถูกกอดแบบนี้มันช่างวิเศษและสุขใจเหลือเกิน…
ดูเหมือนการพูดความจริงออกไปจะเป็นเรื่องที่ดีมากจริงๆ
ทว่าหลัวซวินต้องรีบดึงมือเหยียนเฟยออกจากใต้เสื้อตัวเองเป็นพัลวันด้วยความรู้สึกเหวอ เรื่องที่ถูกนายคนนี้จู่โจมขโมยจูบยังไม่ทันได้พูดถึง หลังจากที่เขาเรียกสติซึ่งล่องลอยไปไกลกลับมาแล้ว ก็พบว่าเหยียนเฟยสอดมือเข้ามาใต้เสื้อเขาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
ถึงแม้บรรยากาศเมื่อครู่นี้…จะดีมากก็จริง แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาตอนนี้ถือว่าเป็นอะไรกัน อีกอย่าง ต่อให้เป็นคนรักกัน ก็ไม่ควรไวไฟถึงขั้นจูบฟัดแล้วขึ้นเตียงกันตั้งแต่วันแรกมั้ง แถมเขาเองก็ไม่ใช่พวกที่ใช้ชีวิตที่เหลือไปหมกมุ่นกับเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย
ยังเคลียร์กันไม่จบก็คิดจะกินฉันแล้วเรอะ?!
หลัวซวินพบว่าตัวเองดึงอยู่นานก็ยังดึงมือปลาหมึกของเหยียนเฟยไม่ออก จึงตระหนักได้ว่าตนสู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้เลย เขารีบตะปบมือที่กำลังเลื่อนขึ้นมาลูบไล้หน้าอกจากนอกเสื้อ พลางถลึงตาใส่เหยียนเฟย
เหยียนเฟยเลิกคิ้วมองเขาด้วยใบหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ชอบให้ฉันลูบตรงนี้ของนายสินะ” เอ่ยถามพลางขยับมือเคล้นคลึงเบาๆ
หลัวซวินหน้าแดงแปร๊ดขึ้นมาทันตา จังหวะนี้เองเขาถึงรู้สึกตัวว่าตำแหน่งที่ตนห้ามไม่ให้อีกฝ่ายสัมผัสดูจะไม่ค่อยถูกต้องนัก เขาไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย ถูกจับหน้าอกแล้วจะเป็นไรไป
“นะ…นายมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนสิแล้วค่อยป่วน”
“อ้อ” เหยียนเฟยพยักหน้า แบบนี้ถ้าคุยกันเสร็จแล้วก็จับกินได้เลยสินะ
หลัวซวินไม่รู้ตัวเลยว่าพูดอะไรพลาดไป เขายังคงถลึงตาใส่อีกฝ่าย แถมไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตอนนี้ริมฝีปากตัวเองแดงเจ่อ สองตาวาวคลอน้ำตาจากจุมพิตเร่าร้อนแทบขาดอากาศหายใจเมื่อครู่ เหยียนเฟยเห็นตั้งแต่แรกก็คิดไม่ซื่อทันที ส่วนนั้นจึงพลันตื่นตัว ตั้งท่าพร้อมเชือดได้ทุกเมื่อ
คนที่ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกก็ควรเป็นฝ่ายรับอย่างหลัวซวินถึงกับต้องกระแอมกลบเกลื่อน พลางเบนสายตาไปทางอื่นเล็กน้อย
“เอ่อ…คือ…ฉัน…นาย…” หลังจากเปิดปากพูดออกไปแล้ว จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า เดิมทีตนต้องการขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์ให้ต่างฝ่ายต่างรักษาระยะห่าง อย่าแนบชิดกันมากเกินไป แต่…เมื่อครู่ดูเหมือนเหยียนเฟยเป็นฝ่ายเข้ามาจูบเขาเองไม่ใช่เหรอ ถ้าตอนนี้เขาเอ่ยปากว่าจะรับผิดชอบในสิ่งที่ปิดบังเหยียนเฟยอะไรทำนองนี้ ดูท่าสถานการณ์จะแปลกประหลาดไปสักหน่อย
ดวงตาของเหยียนเฟยโค้งขึ้น เขาค่อยๆ เลื่อนเข้าแนบชิดใบหน้าหลัวซวินช้าๆ มือที่วางอยู่บนหน้าอกในตอนแรกเลื่อนออกมาโผล่ทางคอเสื้อ แล้วเชยคางอีกฝ่ายให้หันหน้ามา จากนั้นจึงก้มลงประทับจูบ “อยู่กับฉันนะ”
หลัวซวินตะลึงงันอยู่นาน รู้สึกเพียงใบหน้าตัวเองเห่อร้อนจนแทบไหม้ ทว่าในใจกลับยังคลางแคลง “นาย… ไม่ได้เป็นเกย์ไม่ใช่เหรอ”
หลัวซวินรู้สึกว่าไม่เหมือน แม้จะบอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร แต่จากที่เขาได้สัมผัสอีกฝ่าย ก็รู้สึกว่าเหยียนเฟยไม่ได้เป็นเหมือนตนแน่ๆ เขาน่าจะชอบผู้หญิงมากกว่า
มันเป็นเซ้นส์อย่างหนึ่ง เขาเองก็บอกได้ไม่ชัดเจน ทั้งยังไม่รู้ว่านี่จะเป็นเซ้นส์ที่มองพวกเดียวกันออกแบบ ‘ผีเห็นผี’ จริงๆ หรือเปล่า เพราะช่วงก่อนยุควันสิ้นโลกก็มีเกย์หลายคนที่มองออกว่าใครเป็นพวกเดียวกัน หรือใครที่ไม่ใช่
“ไม่ได้เป็น” เหยียนเฟยพยักหน้ายืนยัน จนถึงตอนนี้ ถ้าให้เขานึกภาพว่าตัวเองกำลังจับมือ กอดจูบลูบคลำใครสักคนในห้อง 1601 เขาคงรู้สึกอยากอาละวาดฆ่าคนมากกว่า
“แล้ว…” ทำไมชายแท้หน้าตาดีคนหนึ่งถึงมาจูบตนแบบนี้ เพราะด้วยรูปร่างหน้าตาและพลังพิเศษที่เหยียนเฟยมี ยังต้องกลัวว่าจะหาผู้หญิงไม่ได้ด้วยเหรอ
จู่ๆ เหยียนเฟยก็ขยับเอว ส่วนนั้นที่ผงาดตื่นตัวดุนดันต้นขาของหลัวซวิน ทำเอาหลัวซวินใบหน้าแดงซ่านจนแทบกลายเป็นสีม่วง “แต่ฉันมีอารมณ์กับนาย เพราะงั้นนายต้องรับผิดชอบ”
“…” หลัวซวินพลันหมดคำจะโต้ตอบเหยียนเฟย เขาเบือนหน้าไปอีกด้านอย่างเงียบๆ คร้านที่จะสนใจอีกฝ่าย
ก่อนหน้านี้หลัวซวินยังคิดจะบอกเหยียนเฟยอยู่เลยว่า ถ้าไม่รังเกียจ ตนจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง แต่ตอนนี้พอคำพูดนั้นออกจากปากของเหยียนเฟยแล้ว ทำไมถึงรู้สึกเหมือนอันธพาลชั่วช้ากำลังขู่ขวัญสาวบริสุทธิ์ขึ้นมาเสียได้ ถึงตนจะไม่ใช่ผู้หญิงก็เถอะ แต่ว่าเรื่องนี้ใครควรเป็นฝ่ายรับผิดชอบใครกันแน่
มือใหญ่อยู่ไม่สุขไต่เลื้อยใต้เสื้อหลัวซวินต่อ ทำเอาหลัวซวินต้องรีบตะครุบไว้อีกครั้ง “มะ…ไม่ได้ แบบนี้ไม่ได้… ยังไม่ทันคบหารักกันก็จะขึ้นเตียงแบบนี้ นายไม่รู้สึกว่าเป็นการบังคับขืนใจเหรอ?!”
เหยียนเฟยเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ฉันนึกว่าก่อนหน้านี้พวกเรารักกันแล้วซะอีก”
หลัวซวินชะงักงันไปชั่วขณะ ก่อนกัดฟันถามตาเขียวปั้ด “เมื่อเช้าตอนอยู่ข้างนอก นายตั้งใจจูงแขนฉันใช่ไหม”
เหยียนเฟยพยักหน้า
“แล้วที่ช่วงนี้ทุกเช้าตอนตื่นขึ้นมา…พวกเรา…นอนกอดกัน…นั่นนายก็จงใจใช่หรือเปล่า”
เหยียนเฟยเลิกคิ้วเล็กน้อย อมยิ้มแต่ไม่ตอบ ถือเป็นการยอมรับกลายๆ
“ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บ้านนายชอบเอามือมาพาดบ่า แตะหลังฉัน แถมบางครั้งยังจงใจเข้ามาพูดใกล้ๆ อยู่ด้านหลังฉัน ทั้งหมดนี่นายก็ตั้งใจด้วยใช่ไหม”
เหยียนเฟยยิ้มกว้างขึ้น ดวงตาฉายแววลึกล้ำ
“คนเจ้าเล่ห์!” ถ้าพวกเขาเป็นเกย์ด้วยกันทั้งคู่ ทุกอย่างที่อีกฝ่ายทำกับตนก่อนหน้านี้ล้วนเรียกว่าเป็นการคุกคามทางเพศได้เลย เพียงแต่เพราะตอนแรกตนมองว่าเหยียนเฟยเป็นชายแท้ จึงวางตัวอย่างชายแท้สองคนอยู่ด้วยกันตามปกติ เลยไม่ทันได้ฉุกคิด แต่นี่… “นายไม่พูดอะไรเลยสักคำ แต่มาทำตัวรุ่มร่าม แล้วจะมาพูดว่าเรารักกันเนี่ยนะ?!” นี่มันเป็นวิธีการของคนเจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัดชัดๆ
เหยียนเฟยเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ทำหน้าเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “นายรู้ไหม คนที่เจ้าเล่ห์ที่สุดเป็นแบบไหน”
หลัวซวินเงียบพลางส่ายหน้า
“คนเจ้าเล่ห์ที่ทำเป็นวางตัวดีไงล่ะ”
หลัวซวินยกแขนกระทุ้งท้องเหยียนเฟยแรงๆ ไปทีหนึ่ง แล้วฉวยจังหวะที่อีกฝ่ายเบี่ยงตัวหลบกลิ้งขลุกๆ กลับไปนอนยังที่ของตัวเอง ดึงผ้าห่มที่หลายวันมานี้ไม่ค่อยได้ห่มดีๆ ขึ้นมาห่อตัวแน่นอย่างกับดักแด้ ทำไมรู้สึกว่าหลังจากเขาสารภาพออกไปแล้ว รูปแบบการอยู่ร่วมกันของทั้งสองถึงได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เหยียนเฟยไม่ได้เซ้าซี้ต่อ เพียงขยับลุกขึ้นปิดไฟหัวเตียง จากนั้นทิ้งตัวนอนกอดก้อนดักแด้ยักษ์ ซุกหน้าเข้าหาท้ายทอยหลัวซวิน สูดกลิ่นหอมอ่อนๆ ของแชมพูอย่างเต็มปอด
ทั้งสองเงียบอยู่นาน แต่พวกเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่หลับ
จู่ๆ หลัวซวินก็เอ่ยถามท่ามกลางความมืด “แล้วนายคิดจะเอายังไงต่อไป”
ในเมื่อเหยียนเฟยจงใจหาเศษหาเลยกับเขาอย่างโจ่งแจ้งมานาน ดูเหมือนคิดอะไรกับเขา แต่เขาไม่รู้ว่าเหยียนเฟยแค่อยากลองคบหากับผู้ชายหรือว่าก็มีใจให้เขาจริงๆ กันแน่
เหยียนเฟยขำเบาๆ ทีหนึ่งก่อนพ่นลมใส่ท้ายทอยหลัวซวินให้จั๊กจี้เล่น “พวกเรามาคบกันเถอะ”
หลัวซวินเงียบไปครู่หนึ่ง “ฉันชอบผู้ชาย และจากนี้ไปก็ไม่คิดเรื่องแต่งงานหรือมีลูก แต่นายไม่เหมือนกัน…ฉันไม่อยากทำให้ใครเสียเวลาในชีวิต”
เหยียนเฟยแตกต่างจากเขามาก ทั้งหน้าตาดีขนาดนี้ มีพลังพิเศษสุดร้ายกาจ แถมดูจากบุคลิกท่าทาง เห็นได้ชัดว่าได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี คงเป็นคนจากครอบครัวฐานะร่ำรวยมากแน่ๆ ถึงได้เลี้ยงดูลูกออกมาแบบนี้ได้ อีกอย่าง เหยียนเฟยเคยไปเรียนต่างประเทศ ถ้าเป็นครอบครัวธรรมดาสามัญไม่มีทางส่งลูกไปแบบนั้นได้ ลำพังคุณสมบัติเหล่านี้พวกผู้หญิงข้างนอกต่างก็อยากเข้าหาเขากันแล้ว กระทั่งคนที่ยอมเป็นหมายเลขสอง หมายเลขสามของเขาก็คงมีนับไม่ถ้วน
เหยียนเฟยหัวเราะอีกครั้ง “ตอนนี้โลกภายนอกเป็นแบบนี้ จะแต่งงานหรือไม่แต่งต่างกันตรงไหน” เขาพูดพลางโอบกระชับก้อนดักแด้ในวงแขนแน่นขึ้น “ฉันแค่อยากอยู่กับนาย พวกเราจะใช้ชีวิตปลูกผัก เลี้ยงหมา เลี้ยงนกกระทาอย่างสงบสุข”
หัวใจหลัวซวินพลันหวั่นไหว อดไม่ได้ที่จะพลิกตัวกลับมา ในความมืดเขามองเห็นเครื่องหน้าอีกฝ่ายได้ไม่ชัด แต่กลับรู้สึกได้ถึงดวงตากระจ่างใสเป็นประกายของเหยียนเฟยว่ากำลังจ้องเขาอยู่เช่นกัน “เพราะอะไร”
“…ความรู้สึกน่ะ ฉันอยู่กับนายมานานขนาดนี้ เลยรู้สึกว่านายคือ ‘บ้าน’ ที่แท้จริง” เหยียนเฟยเงียบเสียงไปชั่วครู่ ก่อนพูดสิ่งที่อยู่ในก้นบึ้งของจิตใจออกมา “อยู่กับนายแล้วฉันสบายใจ”
หลัวซวินเลียริมฝีปากอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนพูดขึ้นอย่างประหม่าเล็กน้อย
“ฉัน…เอ่อ ถึงจะไม่เหมือนกับสามีภรรยาทั่วไป แต่ถ้าฉันอยากหาใครสักคนมาใช้ชีวิตร่วมกัน ก็อยากเป็นอย่างสามีภรรยาทั่วไปที่อยู่ดูแลกันไปตลอดชีวิต ต่อให้มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง มีเรื่องไม่พอใจกันบ้าง แต่ก็จะไม่เลิกรากันเพราะใช้อารมณ์…จะไม่เป็นคู่รักที่นิดๆ หน่อยๆ ก็บอกเลิกกันเหมือนเด็กเล่นขายของ ฉะนั้นนายเก็บไปคิดให้ดีก่อนแล้วค่อยมาคุยกันเถอะ”
การมีหนุ่มหล่อเพียบพร้อมอย่างเหยียนเฟยมาบอกว่ารู้สึกดีกับตน หลัวซวินย่อมรู้สึกว่าการกลับชาติมาเกิดใหม่ครั้งนี้ไม่สูญเปล่า เรียกว่าได้กำไรก้อนโตเลยด้วยซ้ำ แต่ความรู้สึกนี้กลับทำให้เขากังวลใจ ไม่กล้าที่จะเชื่อตั้งแต่ทีแรก
เหยียนเฟยหัวเราะเบาๆ ก่อนโน้มหน้าเข้าไปประทับจูบแผ่วเบาลงบนริมฝีปากอีกฝ่าย ปลายจมูกแนบปลายจมูก “ฉันรู้ ฉันก็ไม่คิดจะมีความสัมพันธ์แบบชั่วข้ามคืนเหมือนกัน ฉันบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่า เวลาอยู่กับนาย ให้ความรู้สึกถึงคำว่าบ้าน ฉันอยากปกป้องรักษาบ้านหลังนี้ร่วมกับนายจนกว่าเราจะแก่หรือตายจากกัน”
ความคิดนี้อยู่ในใจของเหยียนเฟยมานานมากแล้ว ก็เหมือนอย่างที่มีคนเคยกล่าวไว้ว่า บางคนเหมาะที่จะเป็นได้แค่คู่รัก แต่บางคน แม้ไม่ได้มีรูปลักษณ์ภายนอกโดดเด่น ไม่ได้มีรูปร่างเซ็กซี่เย้ายวน แต่พอได้อยู่ด้วยกลับสัมผัสได้ถึงความสุขที่แท้จริงของชีวิต นี่ต่างหากคือคนที่เหมาะจะเป็นคู่ชีวิตตัวจริง
ทีแรกเหยียนเฟยก็ไม่เข้าใจ จนเกิดเหตุการณ์วันสิ้นโลกและได้พบกับหลัวซวิน เขาก็พลันเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เขาตามหามาทั้งชีวิตคืออะไร สิ่งที่เขาต้องการก็คือบ้านที่แท้จริง
คำรักท่ามกลางบรรยากาศในยามค่ำคืนฟังแล้วชวนเคลิบเคลิ้ม ทำให้หลัวซวินมองข้ามเรื่องใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์ดวงนี้ที่อาจนำพาความยุ่งยากมาสู่ตนได้ เมื่อเหยียนเฟยดึงผ้าห่มเบาๆ เขาก็ปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในผืนผ้าห่มเดียวกัน
ทั้งสองกอดกันแน่น แต่ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยมากไปกว่านั้น แค่กอดก่ายแบ่งปันไออุ่นแก่กันและกัน หลัวซวินไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่เมื่อไร ตื่นมาอีกทีก็เห็นแสงอาทิตย์ฉายฉานอยู่ตรงขอบฟ้า
หน้าหนาวสว่างช้า ตอนเขาตื่นขึ้นมาก็เจ็ดโมงกว่าเกือบแปดโมงแล้ว
หลัวซวินเงยหน้าสบตากับเหยียนเฟยที่เพิ่งตื่นเช่นเดียวกัน ก่อนจะหลบสายตาอย่างทำอะไรไม่ถูก ผิดกับเหยียนเฟยผู้หล่อเหลากระชากใจ เขาโน้มหน้ามอบจูบทักทายยามเช้าลงบนริมฝีปากหลัวซวินหนึ่งทีพลางเอ่ย “ตื่นแล้วเหรอ นอนต่ออีกหน่อยไหม”
หลัวซวินรีบส่ายหน้าหวือ “ต้องตื่นแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะขึ้นมาบนตึกกันกี่โมง”
วันนี้ทางกองทัพจะส่งผู้รอดชีวิตมาอยู่ที่ชั้นนี้ ทั้งสองต้องไปเอาแผ่นเหล็กออกก่อน ไม่เช่นนั้นผู้มาเยือนจะเข้ามาไม่ได้