โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则
暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล
นิยาย 7 เล่มจบ
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
____________________________________
บทที่ 48 ยั่วยวน
นี่คือสิ่งยั่วยวนโป๊ๆ ที่แสนเจิดจ้า!
เหยียนเฟยได้ยินคำถามของหานลี่ก็ยักไหล่ พลางตวัดตามองจางซู่แล้วเอ่ยว่า “ปิดทางเข้าออกแล้วจะไปข้างนอกไม่สะดวก ถ้านายมีธุระต้องลงไปข้างล่าง ไว้พวกฉันค่อยปิดทีหลังก็ได้” ปิดผนึกประตูเข้าออกในตอนเย็นของทุกวันก็ดีเหมือนกัน เพราะหลังจากเขาใช้พลังพิเศษมาได้สักพักก็ได้พบเรื่องน่าพอใจ ถึงเขาจะไม่มีคริสตัลช่วยฟื้นฟูพลัง แต่ทุกครั้งที่เขาใช้พลังพิเศษจนหมดเกลี้ยงและได้พักผ่อนเต็มที่แล้ว ก็รู้สึกเหมือนว่าพลังจิตของเขาจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งแม้จะเล็กน้อยมากๆ และช้ามากๆ แต่ก็เพิ่มขึ้นมาจริงๆ
เหยียนเฟยไม่อาจมั่นใจได้ว่าหลังใช้คริสตัลแล้วจะเพิ่มระดับขั้นของพลังพิเศษได้แน่ๆ แต่เขากลับรู้สึกได้รางๆ ว่าหากใช้วิธีค่อยๆ เพิ่มพลังช้าๆ อย่างที่เขาทำอยู่ตอนนี้ สะสมพลังจิตไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งก็จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดการ ‘เพิ่มระดับขั้น’ ดังนั้นทางที่ดีก็คือ เขาต้องพยายามใช้พลังพิเศษให้หมดเกลี้ยงก่อนนอนทุกวัน โชคดีที่มีโลหะเก็บไว้ในบ้านเยอะมาก เขาจึงนำมาเล่นแร่แปรธาตุได้เต็มที่
จางซู่ยักไหล่ผายมือพลางพูดยิ้มๆ “ทั้งของกินของใช้ฉันมีครบหมดแล้ว และฉันยังต้องพักรักษาตัว คงไม่ออกไปไหนชั่วคราว” ถ้าไม่ใช่เพราะชีวิตข้างนอกฐานที่มั่นอยู่ยาก เขาก็คงไม่ออกไปหาเสบียงจนถูกเพื่อนหักหลัง เพราะที่จริงนิสัยส่วนตัวเขาก็เป็นคนค่อนข้างติดบ้าน ถ้าไม่จำเป็นต้องออกไปไหน เขาก็ขี้เกียจออกไปข้างนอก โดยเฉพาะการซื้อของออนไลน์ในช่วงยุคก่อนวันสิ้นโลกนั้นรุ่งเรืองแบบสุดๆ แล้วใครจะอยากออกไปเดินช็อปปิ้งจนถูกผู้หญิงผู้ชายมากหน้าหลายตาแห่มาล้อมหน้าล้อมหลังเล่า
เหยียนเฟยพยักหน้าเล็กน้อยแล้วหันไปมองประตูทางเข้าออกทั้งสามจุด เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนพูดว่า “ฉันจะดัดแปลงเป็นลูกกรงเหล็กกั้นประตูดู ป้องกันไว้เผื่อว่าคราวหน้าคนมาเรียกแล้วพวกเราไม่ได้ยิน”
ขณะพูด แผ่นเหล็กหลายแผ่นที่วางอยู่ข้างกำแพงพลันลอยไปกั้นครึ่งล่างของประตู ส่วนครึ่งบนกลายเป็นลูกกรงเหล็ก ทำให้มองเห็นสถานการณ์ด้านนอกได้
หลัวซวินชี้ไปที่ลูกกรงอย่างเหวอๆ “พอทำแบบนี้แล้วเหมือนคุกยังไงก็ไม่รู้” ซึ่งคนที่อยู่ใน ‘คุก’ ก็คือพวกตนนั่นเอง แถมห้องเขายังหันหน้าไปทางซี่กรงคุกอีกต่างหาก เห็นแล้วรู้สึกทะแม่งๆ ชอบกล
หวังตั๋วปิดปากหัวเราะคิกคัก อู๋ซินยกแขนกอดไหล่เขาร่วมหัวเราะด้วย ทั้งสองหัวเราะขำแทบล้มกลิ้งไปกับพื้น
เหยียนเฟยปรายตามองหลัวซวินทีหนึ่ง โบกมือเปลี่ยนลูกกรงให้เป็นแบบรั้วตาข่ายอย่างจนใจ อย่างน้อยเวลามองไปจะได้ไม่รู้สึกเหมือนติดคุก พอทำแบบนี้แล้วหากคนนอกขึ้นมาบนชั้นนี้ แค่ตะโกนเรียกไม่กี่ทีทุกคนก็จะได้ยินว่ามีคนมา ถึงตอนนั้นค่อยพิจารณาอีกทีว่าจะเปิดประตูให้ หรือปิดประตูไว้แล้วปล่อยสุนัขออกมาแทน
“ไว้อีกสองวันถ้าจำเป็นต้องเข้าออกบ่อยๆ ฉันค่อยเปลี่ยนเหล็กนี่ให้เป็นประตูแทน ตอนนี้เอาแบบนี้ไปก่อนแล้วกัน” เหยียนเฟยปัดมือพลางกวาดตามองคนอื่นๆ แล้วถามขึ้น “จะตกแต่งบ้านต่อหรือเปล่า”
“อืม จริงด้วยๆ” พวกหลี่เถี่ยรีบตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน
แม้วัสดุที่ใช้ปรับปรุงบ้านจะเหลืออีกเยอะจนพวกเขาแบ่งให้จางซู่ไว้ใช้ได้ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายยังบาดเจ็บอยู่ เพราะบาดแผลบนแขนสาหัสไม่เบา ดังนั้นจึงต้องพักฟื้นไปก่อนสักสองถึงสามวันแล้วค่อยว่ากันอีกที
เนื่องจากเขาเป็นผู้มีพลังพิเศษธาตุลมที่แข็งแกร่งกว่าผู้มีพลังพิเศษสายเดียวกันมาก แถมยังเป็นแพทย์ฝึกหัดตัวท็อปของโรงพยาบาลดังแห่งหนึ่งในเมืองเอ แม้ประสบการณ์การตรวจรักษาจะยังไม่มากนัก แต่จากความรู้เฉพาะทางที่เขามี ก็ประเมินได้ว่าเมื่อชายหนุ่มคนนี้พักฟื้นจนหายดีแล้วคงเข้าทำงานในโรงพยาบาลประจำฐานที่มั่นได้เลยทันที หากมองข้ามเรื่องอารมณ์ร้อนเกินเหตุไป จากคุณสมบัติด้านอื่นๆ ก็นับว่าเป็นบุคลากรที่ควรค่าจะฝากความหวังไว้ได้คนหนึ่ง ดังนั้นข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ทางกองทัพจัดสรรให้เขาจึงมีแต่ของดี
ผ้านวม ผ้าใบกันน้ำ ถุงนอน ถ่าน เตาใบเล็ก ภาชนะส่วนตัว และยังมีของกินจำพวกเส้นแป้ง อาหารแห้ง น้ำแร่ รวมถึงอุปกรณ์กรองน้ำแบบง่ายๆ เรียกได้ว่าสารพัดอย่างครบครัน
หลี่เถี่ยและเพื่อนๆ ช่วยเขาจัดของด้วยความหวังดี ครั้นเห็นว่าเขามีข้าวของพร้อมสรรพ ก็ช่วยบอกวิธีทำอาหารแบบรวดเร็วให้ แล้วจึงกลับบ้านไปทำงานต่อ
หลัวซวินกับเหยียนเฟยอยู่ต่อไม่นานก็แยกกับทุกคนเพื่อกลับบ้านมาทำผนังครัวต่อ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากข้างนอก “โอ๊ยยย ปูนกาวที่เพิ่งผสมไปดันแห้งแข็งหมดแล้ว”
หลัวซวินก้มหน้าจิ้มปูนแข็งเป๊กที่ก้นกระป๋อง ถอนหายใจเบาๆ “ยังดีที่พวกเราเพิ่งทำผนังเสร็จไปแถบหนึ่ง ยังไม่ได้ผสมปูนใหม่”
เหยียนเฟยยิ้มพลางยื่นหน้าไปหอมแก้มเขาหนึ่งฟอด ข้างห้องมีหนุ่มหล่อขวางหูขวางตาเพิ่งเข้ามาอยู่ใหม่ ยังดีที่ ‘ซวินซวิน’ ของเขาไม่หวั่นไหว ถ้าวันนี้หลัวซวินกล้ามองหมอนั่นไม่วางตา ไม่แน่ตนอาจไล่ตะเพิดหมอนั่นต่อหน้านายทหารพวกนั้นก็ได้
การตกแต่งห้องเป็นงานที่ต้องใช้ความชำนาญ หลัวซวินที่เคยผ่านงานสร้างกำแพงฐานที่มั่นมาแล้วจึงมีความคล่องแคล่วเป็นอย่างมาก เมื่อพวกหลี่เถี่ยทำห้องครัวกับห้องน้ำในบ้านตัวเองเสร็จก็รีบมาช่วยงานพวกเขา แต่กลับพบว่าพวกหลัวซวินไม่เพียงแค่ทำห้องครัวเสร็จ แต่ยังปูกระเบื้องห้องน้ำเสร็จไปเกือบครึ่ง!
“พี่หลัว พี่เหยียน พวกพี่ทำกันเร็วชะมัด” อู๋ซินเพิ่งเข้ามาถึงก็พูดชื่นชมทันที
“ไม่หรอก แค่ทำจนคุ้นมือก็เลยเร็วน่ะ” หลัวซวินยักไหล่แล้วลุกขึ้นขยับแข้งขยับขา “พวกนายทำเสร็จหมดแล้วเหรอ”
“ครับ เสร็จแล้ว เหลือแค่รอปูนแห้งก็เรียบร้อย” อู๋ซินนั่งลงสานงานต่อจากหลัวซวิน ปาดปูนกาวพร้อมเอ่ยปากชวนคุย “คนอื่นๆ ไปห้องพี่จาง ไปช่วยเขาฉาบผนังครับ” ส่วนเรื่องพื้นต้องดูว่าสุดท้ายแล้วพวกเขามีวัสดุเหลือแบ่งให้จางซู่ได้เท่าไร
หลัวซวินยืดเส้นยืดสายเสร็จก็นั่งยองลงข้างเหยียนเฟย ช่วยอีกฝ่ายปูกระเบื้องต่อ “พวกนายจะไม่ฉาบอีกรอบแล้วเหรอ”
“ไม่ละครับ ตอนนี้ฉาบไปชั้นเดียว เผลอๆ ยังต้องรอเป็นเดือนกว่าจะแห้งสนิท” อู๋ซินส่ายหน้า “อีกสองสามวันพวกเราอาจต้องไปช่วยวางเครือข่ายในห้องคอมพิวเตอร์ของฐานที่มั่น ถึงตอนนั้นคงยุ่งจนไม่มีเวลา เลยทำแค่พออยู่ได้ไปก่อนก็พอ”
หลัวซวินเหลือบมองเหยียนเฟย เขาคิดว่าการฉาบโป๊สามรอบยังไงก็ปลอดภัยกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เวลาเปิดระบบทำความร้อนใต้พื้นแล้วอุณหภูมิห้องสูงขึ้นจนอาจทำให้สีหลุดลอกได้ แบบนั้นคงไม่ดีแน่ ถึงอย่างไรเขาก็เตรียมไว้แล้วว่าหากจะอยู่ติดบ้านก็ไปอยู่ห้องข้างๆ ได้ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอะไรเลย
เหยียนเฟยเห็นหลัวซวินมองมาทางตนจึงส่งยิ้มให้ แล้วเอื้อมมือที่เปื้อนปูนไปบิดแก้มหลัวซวิน
การกระทำนี้ของเหยียนเฟยทำเอาหลัวซวินตัวแข็งทื่อ ก่อนยกมือเช็ดแก้ม แต่กลับไม่รู้เลยว่าหลังมือตัวเองก็มีคราบปูนติดอยู่ ยิ่งถูหน้าก็ยิ่งเปื้อน หลังถูหน้าตัวเองเสร็จก็ยกมือเปื้อนๆ ของตนไปถูจมูกเหยียนเฟย ทว่าอีกฝ่ายไม่เบือนหน้าหนีหรือรังเกียจว่าสกปรก กลับยิ้มตาหยีปล่อยให้หลัวซวินแต่งแต้มหน้าเขาไป
งานปูกระเบื้องห้องพักสองห้องใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ จากนั้นก็รอให้แห้งอีกหนึ่งวันแล้วจึงติดตั้งฝ้าเพดานห้องครัวกับห้องน้ำ
ห้อง 1602 เองก็ทำงานง่วนอย่างขะมักเขม้นเช่นกัน พวกหลี่เถี่ยมีน้ำใจไปช่วยจางซู่ฉาบโป๊ผนัง แม้ว่าเจ้าตัวไม่อยากให้พวกเขายุ่งยากเปลืองแรง แต่ก็ยากจะเอ่ยปากปฏิเสธ
เมื่อเห็นหลี่เถี่ยเอาบันทึกมาตรการการเอาตัวรอดในยุควันสิ้นโลกของโอตาคุจอมห่วยที่สอนเรื่องปลูกผัก วางระบบท่อ กลั่นน้ำกินน้ำใช้ และวิธีการเอาตัวรอดอื่นๆ ในยุควันสิ้นโลกมาให้จางซู่ดูด้วยสีหน้าเลื่อมใส หมายมั่นให้จางซู่มาเป็นสาวกโอตาคุจอมห่วยเหมือนกับตน หลัวซวินที่แวะไปทักทายเพื่อขอบคุณและให้กำลังใจพอดีก็ถึงกับยกมือขึ้นปิดหน้าและเบือนหน้าไปทางอื่น ความคลั่งไคล้ที่ออกมาทางแววตาและการกระทำนี้ของหลี่เถี่ยทำให้เขาทนดูไม่ได้จริงๆ
เหยียนเฟยตบบ่าเขา ถึงแม้เขาจะไม่ได้คิดว่าหลัวซวินเป็นเจ้าของกระทู้ที่หลี่เถี่ยอ่านมาจากในอินเทอร์เน็ตจริงๆ แต่พฤติกรรมน่าขายหน้าของหลี่เถี่ยในเวลานี้ก็ทำให้พวกหวังตั๋วเองยังคร้านจะใส่ใจ ถึงขั้นทำเหมือนไม่รู้จักหลี่เถี่ยมาก่อน ดังนั้นท่าทางของหลัวซวินจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้อย่างยิ่ง
เมื่อทักทายกันแล้วจึงได้รู้ว่าทั้งสี่คนมาช่วยจางซู่ตกแต่งภายใน ทำไปทำมาพวกเขาก็ชักเสพติดงานช่างไปเสียแล้ว
เหอเฉียนคุนโบกเกรียงอย่างฮึกเหิม “พวกเราทำงานเร็วขึ้นเยอะเลย อีกเดี๋ยวก็จะฉาบผนังห้องนี้เสร็จแล้ว”
“ใช่ๆ ฉันคิดว่าต่อให้อนาคตในฐานที่มั่นไม่มีงานให้ทำแล้ว พวกเราก็ไปช่วยคนอื่นปรับปรุงบ้านแลกเสบียงอาหารได้สบาย” หานลี่สนับสนุนอีกเสียง
หลังจากทำงานตกแต่งห้องมาทั้งวัน ครั้นกลับเข้าบ้านหลัวซวินเห็นสภาพตัวเองเปื้อนคราบปูนไปทั้งเนื้อทั้งตัวก็อดกระตุกมุมปากไม่ได้
“นายอยากขึ้นไปแช่น้ำร้อนข้างบนไหม” เหยียนเฟยถอดเสื้อตัวนอกที่เลอะออกแล้วเอ่ยขึ้น
“แช่น้ำร้อนเหรอ” หลัวซวินรู้สึกสนใจอยู่นิดๆ แต่อีกใจก็กลัวจะเปลืองน้ำเกินไป
“อืม แช่น้ำด้วยกันไหม” จู่ๆ เหยียนเฟยก็เดินเข้ามาแนบชิดแล้วกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู
หลัวซวินสะดุ้งโหยง กระโดดหนีไปด้านข้าง แล้วถลึงตาใส่อีกฝ่าย “ไม่แช่!”
สัญชาตญาณบอกเขาว่า ขืนเขายอมลงอ่างกับเหยียนเฟย ไม่แน่พรุ่งนี้แค่จะลุกจากเตียงก็คงลุกไม่ขึ้น แม้ใครบางคนจะเอ่ยชวนด้วยสีหน้าบริสุทธิ์จริงใจ แต่หลังจากนั้นก็คงจะล่อลวงจับเขากลืนลงท้อง ความรู้สึกถึงอันตรายนี้ทำให้หลัวซวินคิดว่าหากพวกเขาสองคนจะทำเรื่องอย่างว่าแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ ละก็… ไม่ใช่แค่เพราะหลงใบหน้าสวยๆ ของใครคนนั้นหรอก ถึงเวลานั้นคงเป็นเพราะความต้องการลึกๆ ของตัวเองด้วยนี่แหละ
ยังไงเขาก็เป็นผู้ชาย ห้าวหาญมากด้วย! เมื่อเห็นคนหล่อคนสวยหน้าตาดีแบบนี้ก็ต้องอยากจับกดไม่ใช่เหรอ ทว่าภายใต้สถานการณ์ที่เขายังไม่ได้เตรียมตัวพร้อมที่จะจับอีกฝ่ายกด เขาไม่มีวันยอมเพลี่ยงพล้ำถูกอีกฝ่ายพลิกมาจับกดเสียเองเด็ดขาด!
เรื่องกินกันพรรค์นี้ แน่นอนว่าหลัวซวินเองก็ตั้งตารอเช่นกัน การใช้ชีวิตหนุ่มโสดบริสุทธิ์มาสองชาตินั้นไม่ใช่เรื่องคุ้มค่าน่าภูมิใจอะไร แต่หากยังไม่ทันได้กินกลับถูกอีกฝ่ายจับกินแทนเสียเอง เขาก็จะยืนหยัดค้านหัวชนฝาแน่นอน ดังนั้นเขาต้องวางแผนให้รอบคอบ หาโอกาสเหมาะๆ ทำให้หนุ่มหล่อรูปงามคนนั้นพร้อมใจนอนทอดกายบนเตียงให้เขาจับฟัดกลืนกินถึงจะได้
ไหนๆ ก็รอมาแล้วถึงสองชาติ ทำไมจะรออีกหน่อยไม่ได้
หลัวซวินชำเลืองมองเอวสอบได้รูปของเหยียนเฟยด้วยสายตามีเลศนัยลึกซึ้ง ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะพิสูจน์ให้อีกฝ่ายประจักษ์ว่าตนเป็นฝ่ายรุกผู้แข็งแกร่งในบ้านหลังนี้
เหยียนเฟยเลิกคิ้ว เห็นหลัวซวินมองมาด้วยสายตาเร่าร้อนแบบสุดๆ แสดงว่าต้องคิดอะไรไม่ซื่ออยู่แน่ๆ เขาหรี่ตาลงพลางลูบคางครุ่นคิด เมื่อมีอาหารเลิศรสวางอยู่ตรงหน้า เขาไม่มีปัญหาหากจะได้กินช้าไปบ้าง แต่จะไม่ยินดีแน่ถ้าฝ่ายถูกล่ากลับกลายเป็นฝ่ายล่าแทน
ก่อนวันสิ้นโลกใช่ว่าไม่เคยมีคนหวังเคลมเขา พอเข้ายุควันสิ้นโลกตัวเขาเกิดถูกใจชายหนุ่มคนนี้เข้าแล้ว ก็ไม่มีทางยอมให้เป้าหมายได้เป็นฝ่าย ‘อยู่บน’ เด็ดขาด แต่ถ้าอยากอยู่บนตัวเขาจริงๆ ก็ไม่มีปัญหา ขอเพียงหลัวซวินต้องยอมเป็นฝ่ายรับ ไม่ว่าท่าไหนเขาก็ล้วนยินดีทั้งนั้น
ทั้งสองต่างฝ่ายต่างคิดไม่ดี แต่กลับกลบเกลื่อนแสร้งทำเหมือนไม่ได้คิดวางแผนร้ายอะไรในใจ สองคนส่งยิ้มประหลาดๆ ขณะถอดเสื้อผ้าและรองเท้าที่เปรอะเปื้อนออก เจ้าตัวเล็กนอนหมอบส่ายหางอยู่ข้างรังนกกระทา เมื่อมันเห็นคนทั้งสองเดินเข้ามาก็หันไปมองแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมามองนกกระทาต่อแบบไม่รู้เบื่อ
พวกเขากลับเข้าห้องตอนเกือบพลบค่ำ จึงนำที่ครอบโลหะไปปิดรังนกกระทา จากนั้นค่อยเปิดไฟ ทว่ายังไม่ได้คลุมผ้าดำ เจ้าตัวเล็กจึงได้โอกาสดูภูมิทัศน์ขนาดจิ๋วข้างในนั้นจากแสงไฟ
หลัวซวินรีบให้เหยียนเฟยไปอาบน้ำก่อน ส่วนตัวเขาเองหลังจากล้างมือสะอาดแล้วก็ไปตรวจดูการเติบโตของพืชผลตรงระเบียง
“แปลกชะมัด ทำไมใบผักแถวล่างถึงดูโตได้ไม่ดีล่ะ” หลัวซวินยอบกายลงนั่งมองข้างชั้นปลูกผักด้วยความสงสัย ไม่รู้ทำไมผักแถวล่างสุดถึงไม่ยอมโต หรือพูดอีกอย่างก็คือ ไม่เยอะเหมือนผักแถวบน?
เจ้าตัวเล็กที่นอนหมอบอยู่ข้างๆ กระดิกหูพลางเหลือบมองหลัวซวินที่นั่งยองๆ อยู่ข้างชั้นสีขาว หางที่แกว่งไปมาพลันหยุดกึก สองขาหน้ายังวางอยู่ท่าเดิม แต่สองขาหลังกระถดหมุนจนก้นหันไปทางด้านหลังหลัวซวิน แล้วจึงมองนกกระทาต่อ
หลัวซวินตรวจดูอย่างละเอียดสักพักก็พบว่าช่วงโคนของต้นไม้แถวล่างมีรอยหัก เหมือนถูกใครมาเด็ดไป “หรือเหยียนเฟยมาเด็ดไปกิน?”
ชั้นล่างสุดเป็นผักกาดหอม จะกินสดๆ หรือเอาไปห่อเนื้อจิ้มซอสกินก็ได้ แต่ใครจะว่างถึงขั้นเดินผ่านมาเด็ดผักกาดหอมกิน ทั้งที่เมื่อสองสามวันก่อนตอนจะลวกผักกินก็เด็ดไปแค่นิดเดียว ส่วนที่เหลือก็ปล่อยให้โตขึ้นเรื่อยๆ แถมต้นที่เขาเด็ดก็ไม่ใช่ผักแถวล่างนี่นา
เหยียนเฟยกำลังอาบน้ำอยู่จึงยังไม่ได้ถาม หลัวซวินคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อตรวจดูจนมั่นใจว่าไม่มีแมลงมากินใบผักจึงวางไว้ด้านหนึ่งก่อนชั่วคราว
เพียงไม่นานเหยียนเฟยก็อาบน้ำเสร็จแล้วเดินออกมา หลัวซวินเงยหน้าก็ถึงกับโกรธจัดก่อนโยนผ้าเช็ดตัวใส่หน้าเขา “นายเป็นพวกชอบโชว์เรอะ” เปลือยล่อนจ้อนก็ยังจะเดินออกมา
เหยียนเฟยใช้ผ้าขนหนูเช็ดผม “ลืมหยิบเสื้อผ้าเข้าไปน่ะ”
หลัวซวินสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออก แล้วก็สูดเข้าไปอีกรอบ เขานึกถึงภาพเมื่อไม่กี่วันก่อนที่เหยียนเฟยพันผ้าขนหนูผืนเล็กๆ เดินร่อนไปร่อนมาอยู่ในห้อง ตอนนี้หลัวซวินเลยมั่นใจแล้วว่าหมอนี่จงใจทำแน่ๆ นี่คือสิ่งยั่วยวนโป๊ๆ ที่แสนเจิดจ้า!
หลัวซวินคร้านจะใส่ใจ หันหลังเดินเข้าห้องน้ำที่เต็มไปด้วยไอน้ำลอยอวลอยู่ในอากาศ เขาถอดเสื้อผ้าแล้วอาบน้ำอย่างขุ่นเคือง
หลังจากตัดสินใจเปิดอกคุยกันแล้ว หมอนี่ก็ชอบทำตัวเจ้าเล่ห์ คล้ายแผ่ออร่าประหนึ่งว่า ‘มากดฉันสิ’ ไปทั่วร่างตลอดเวลา เห็นแล้วน่าโมโห เดี๋ยวขึ้นไปชั้นบนก็จับขย้ำเสียเลยนี่
หลัวซวินหน้าแดงแสร้งวางมาดนิ่ง เปิดประตูเดินออกจากห้องน้ำ พยายามข่มอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของตัวเองไว้
เดินออกมารอบนี้โชคดีที่เหยียนเฟยใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ทำให้หลัวซวินถอนหายใจอย่างโล่งอก ส่วนเจ้าตัวเล็กกำลังนอนหมอบอยู่ใต้โต๊ะ เกยคางหนุนนอนอยู่บนรองเท้าสลิปเปอร์ของเหยียนเฟยพลางกระดิกหางเป็นพักๆ ครั้นได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิดออกมันก็ผงกหัวขึ้น หันตัวไปทางหลัวซวินแล้วกระดิกหางให้
หลัวซวินผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำเกาะพราวหลังจากเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ดึงดูดความสนใจของหมาป่าตัวหนึ่งที่ชื่อว่าเหยียนเฟยให้จับจ้องไม่วางตา ครั้นเห็นหลัวซวินเดินมาทางโซฟาก็อ้าปากงับแก้มเขาไปคำหนึ่ง “คืนนี้ต้มบะหมี่กินนะ” ในบ้านยังมีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเหลืออยู่อีกเพียบ ถึงคราวก่อนจะขนออกไปแลกแผ่นเหล็กกลับมาเป็นกอง ทว่าก็ยังเหลืออีกเป็นกะตั้ก
แม้พวกเขาจะมีผักสดและอาหารอื่นๆ ให้กิน แต่เวลาเหนื่อยมากๆ หรือบางทีที่ขี้เกียจ ก็อยากทำอะไรง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก ยิ่งไปกว่านั้นบางครั้งพวกเขาก็รู้สึกคิดถึงรสชาติของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่เหมือนกัน
“อืม เอามาต้มตรงนี้สิ” พูดพลางชี้ไปที่เตาไฟฟ้าบนโต๊ะ ตอนนี้ไม่มีแก๊สให้ใช้ และไม่รู้ว่าฐานที่มั่นหาถ่านพวกนั้นมาจากที่ไหน แต่คนที่มีคูปองสะสมก็ไปแลกซื้อได้ ส่วนแผงพลังงานแสงอาทิตย์ตอนนี้ยังไม่ได้รับการสนับสนุนให้ใช้ชั่วคราว จึงมีบ้านที่ใช้ไฟฟ้าได้ค่อนข้างน้อย เลยมีผู้คนจำนวนมากนำเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้มาใช้เป็นเชื้อเพลิง
ไข่ไก่ในบ้านหมดแล้ว แต่พวกเขาเติมไส้กรอกใส่ลงไปในบะหมี่ได้ ซึ่งยังเหลืออยู่อีกลังเบ้อเริ่ม นี่เป็นของที่หลัวซวินสั่งซื้อออนไลน์ไว้ตั้งแต่ก่อนยุควันสิ้นโลก ไส้กรอกหนึ่งลังน้ำหนักค่อนข้างมาก ยังดีที่คนขายคิดราคาแบบรวมค่าส่ง ไม่อย่างนั้นลำพังแค่ค่าขนส่งก็คงสิบกว่าหยวนแล้ว
เหยียนเฟยลุกขึ้นไปเด็ดผักสดตรงระเบียง แล้วเอาไปล้างน้ำในครัวก่อนใส่จานเตรียมไว้ใช้ จากนั้นก็นำไส้กรอกสองอันมาแกะพลาสติกออกแล้ววางไว้ข้างๆ ปกติปริมาณการกินสำหรับผู้ชายตัวโตอย่างพวกเขาจัดว่าไม่น้อยเลย แต่ก่อนนอนหลัวซวินไม่อยากกินเยอะเกินไปจึงต้มบะหมี่แค่สามซอง
“กว่ากระเบื้องที่ปูไว้จะแห้งสนิทก็น่าจะบ่ายวันพรุ่งนี้เลยใช่ไหม” เหยียนเฟยเห็นบะหมี่ได้ที่แล้ว เมื่อกลิ่นหอมของอาหารที่แสนคุ้นเคยโชยเตะจมูก เขาจึงหยิบผักใส่ลงไป
หลัวซวินคนบะหมี่ด้วยตะเกียบแล้วปิดไฟ “ในคู่มือบอกว่าต้องทิ้งไว้ให้แห้งอย่างน้อยยี่สิบสี่ชั่วโมง เพราะงั้นวันมะรืนพวกเราถึงจะติดฝ้าเพดานได้”
“ผนังห้องข้างๆ คงต้องรออีกเดือน” เหยียนเฟยคิดคำนวณเล็กน้อยก่อนจะเสนอว่า “พรุ่งนี้หาเวลาว่างสร้างประตูใหม่กันดีไหม”
“หือ? ประตูบานไหน ทำไมต้องสร้างใหม่ด้วยล่ะ” หลัวซวินเอ่ยถามอย่างงุนงงขณะตักแบ่งบะหมี่เป็นสองชาม
“ประตูข้างๆ ห้องเราไง” เหยียนเฟยชี้ไปที่ประตูพร้อมกับหั่นไส้กรอกใส่ลงในซุปบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
“ประตูนั้นเหรอ” หลัวซวินยังคงไม่เข้าใจ นั่นมันประตูบ้านเขาไม่ใช่เหรอ
“นายเปลี่ยนช่องตาแมวของห้องนี้แล้วใช่หรือเปล่า” เหยียนเฟยเห็นเขายังงงอยู่จึงอธิบายต่อ “ช่องตาแมวมันเห็นแค่โถงทางเดิน มองแนวทแยงไปจะไม่เห็นตอนประตูลิฟต์เปิด”
“อืม เพราะประตูห้องนี้อยู่ตรงข้ามห้อง 1601 พอดี” หลัวซวินพยักหน้า หลังนั่งลงเขาก็ยกชามบะหมี่ขนาดใหญ่ของตัวเองขึ้น
“ถ้าเปลี่ยนประตูสองบานให้กลายเป็นประตูบานเดียว แล้วมองออกไปข้างนอกในมุมทแยงได้ แบบนี้ก็จะมองเห็นสถานการณ์ตอนประตูลิฟต์เปิดออก นั่นเท่ากับเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้ทั้งสองห้องด้วย” เหยียนเฟยวาดรูปตรงทางเดินลงบนโต๊ะแบบคร่าวๆ “ประตูห้อง 1603 และ 1604 อยู่ติดกัน ตรงกลางก็จะเป็นมุมฉาก ถ้าตรงมุมนั้นเพิ่มแผ่นเหล็กเป็นประตู แล้วติดกล้องตาแมวดิจิทัลกับกริ่งประตู แบบนี้จากสองห้องก็จะกลายเป็นห้องเดียวแล้ว
หลัวซวินคิดตามอยู่พักหนึ่งก็พยักหน้าด้วยสองตาเป็นประกาย “ก็ได้นะ แบบนี้เวลาปกติเราทำอะไรที่ห้องไหนก็ได้ทั้งนั้นเลยสิ”
พวกเขามีห้องอยู่สองห้อง ถึงต่อให้เขาตกแต่งอีกห้องเสร็จสมบูรณ์ แต่ห้องที่ใช้อยู่อาศัยทำกิจกรรมก็น่าจะเป็นห้อง 1604 เป็นหลัก เพราะของในห้องนี้เยอะมากแล้วก็กระจุกกระจิกเกินไป และมีหลายอย่างที่ให้คนนอกเห็นไม่ได้ ถ้ามีคนมาที่บ้าน หลัวซวินกะจะใช้ห้องข้างๆ เป็นห้องรับแขก ขณะเดียวกันก็จะใช้เป็นที่เพาะชำด้วย จึงวางเฟอร์นิเจอร์ได้ไม่กี่อย่าง ตอนนี้ถ้าเหยียนเฟยทำอย่างที่คุยกัน เปลี่ยนประตูสองบานให้เหลือเพียงบานเดียว แต่เมื่อมีคนมาที่บ้านก็ให้เข้ามาแค่ห้องข้างๆ เท่านั้น
ถึงอย่างไรพรุ่งนี้ก็ยังไม่มีแผนจะทำอะไร ดังนั้นพวกเขาสามารถใช้เวลาวันพรุ่งนี้ทั้งวันเปลี่ยนประตูใหม่เสียเลย
ทั้งสองรีบกินบะหมี่ที่ถ้าวางทิ้งไว้อีกเดี๋ยวจะอืดหมดอย่างรวดเร็ว หลังล้างชามและตะเกียบเสร็จก็ไปแปรงฟันบ้วนปากอีกรอบ เมื่อตรวจสอบความเรียบร้อยชั้นล่างของบ้านแล้วจึงเดินขึ้นไปยังชั้นลอย
ในช่วงยุควันสิ้นโลกไม่มีความบันเทิงอะไรจึงทำให้ผู้คนรู้สึกเบื่อหน่ายมาก แม้ก่อนยุควันสิ้นโลกหลัวซวินได้เข้าอินเทอร์เน็ตดาวน์โหลดนู่นนี่เก็บไว้ไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่เป็นนิยาย ข้อมูล และรูปภาพอ้างอิง ทว่าเขากลับลืมเซฟภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์เก็บไว้ ดังนั้นปกติเขาจึงอ่านนิยายประเภทต่างๆ ที่โหลดเก็บไว้เป็นกะตั้กเพื่อฆ่าเวลา
ถ้าเป็นเมื่อก่อนพวกเขาสองคนจะอ่านนิยายจากแล็ปท็อปหรือโทรศัพท์มือถือช่วงก่อนนอน แต่ตอนนี้…
“ขยับออกไป!”
“ไม่ออก”
“นายทำตัวให้มันดีๆ หน่อย” หลัวซวินออกแรงผลักนายคนนั้นที่มากอดเขาไว้แน่นอยู่นานสองนาน แต่กลับไม่เขยื้อนเลยสักนิด จึงได้แต่กลอกตามองบน
ทั้งที่ก่อนหน้านี้หมอนี่ดูออกจะสุภาพสุขุม แต่ทำไมพอตกลงเปลี่ยนสถานะความสัมพันธ์แล้วถึงกลายร่างเป็นจอมหื่นได้ในพริบตากัน วันทั้งวันดีแต่จะมือไม้เลื้อยไปทั่วไม่เคยอยู่สุข!