[ทดลองอ่าน] โอตาคุวันสิ้นโลก เล่ม 3 บทที่ 73 : เรื่องการโจรกรรม

โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则

 

暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล

 

นิยาย 7 เล่มจบ

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

____________________________________

 

บทที่ 73 เรื่องการโจรกรรม

 

หวังตั๋ว นายมีแววจะได้สวมหมวกเขียว[1]แล้วละ รู้ตัวหรือเปล่า

 

เหยียนเฟยลูบหลังให้หลัวซวิน จนเมื่อเห็นหลัวซวินหายไอแล้วจึงหันไปพูดกับคนอื่นๆ “มีผู้มีพลังพิเศษอยากดึงจางซู่ไปเป็นพวกก็เป็นเรื่องปกติ เพราะเขามีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งมาก” แข็งแกร่งถึงขั้นที่เหยียนเฟยคิดว่า การให้จางซู่ไปเป็นหมอทำงานอยู่ในโรงพยาบาลเฉยๆ ออกจะเสียของไปสักหน่อย น่าจะส่งไปสู้กับพวกซอมบี้ให้คุ้มค่ากับพลังพิเศษที่เขามี แต่น่าเสียดาย เพราะตัวเหยียนเฟยเองก็คร้านจะออกไปรวบรวมทรัพยากรหรือสู้กับซอมบี้อะไรพวกนี้ ดังนั้นใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจความรู้สึกอัดอั้นที่จางซู่เจอในโรงพยาบาล

ครั้นพูดถึงเรื่องนี้พวกหลี่เถี่ยต่างยิ้มกว้างหน้าบานพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เหอเฉียนคุนเงยหน้าขึ้นพูดอย่างภาคภูมิใจ “พี่จางบอกว่าชื่อทีมของพวกเราฟังดูไม่เลว แถมปณิธานก็ยังดีมาก พี่จางเขาชอบ อีกอย่าง ตอนนี้เขาเป็นสมาชิกทีมเราแล้วด้วย”

เหยียนเฟยนิ่งเงียบไปสักพัก พลันฉุกใจคิดถึงประเด็นเรื่อง ‘ทีมของพวกเรา’ ขึ้นมา ทีมอะไร เขาลืมเรื่องนี้ไปนานแล้วถึงขั้นต้องปัดฝุ่นความทรงจำ ก่อนนึกขึ้นมาได้ว่า ดูเหมือนพวกหลี่เถี่ยเหมารวมว่าเขากับหลัวซวินเป็นสมาชิกทีมนั่นจริงๆ…

“ใช่พี่ ทีมโอตาคุฟังดูเป็นกันเองดี”

ใช่…ทีมโอตาคุนี่แหละ

เหยียนเฟยครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง ที่จริงใช้ชื่อทีมว่าโอตาคุก็ไม่เลว ช่วงยุควันสิ้นโลกได้แต่ขลุกตัวอยู่ในฐานที่มั่น ช่วยเมียปลูกผักทาสีอยู่กับบ้าน แม้ดูเหมือนไม่ไขว่คว้าทะเยอทะยานอะไร แต่ก่อนวันสิ้นโลกเขาเคยไขว่คว้ามาหมดแล้ว พอมาตอนนี้ได้ใช้ชีวิตในยุควันสิ้นโลกอย่างสงบสุขแบบนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว หรือถ้าอัดอั้นขึ้นมาจริงๆ ก็สามารถขอออกไปกำจัดซอมบี้เก็บคริสตัลที่ประตูฐานที่มั่นระบายอารมณ์สักรอบก็ได้

หานลี่ขัดจังหวะความภูมิใจของหลี่เถี่ย เขาอธิบายให้เหยียนเฟยกับหลัวซวินฟังด้วยความร้อนใจ “คนพวกนั้นยังบอกอีกว่า พวกเขารู้วิธีเพิ่มขั้นพลัง ถ้าพวกเขาเอาเรื่องนี้มาหลอกล่อ…” อย่าว่าแต่จางซู่เลย ต่อให้เป็นเหยียนเฟยก็อาจสั่นคลอนหวั่นไหวได้เหมือนกัน

จริงสิ ยังมีเรื่องนี้อีกนี่ พวกเขาปรึกษากันว่าประเด็นสำคัญคือต้องบอกให้เหยียนเฟยรู้เรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ ในทีมพวกเขา มีเพียงเหยียนเฟยกับจางซู่เท่านั้นที่เป็นผู้มีพลังพิเศษ ถ้าสองคนนี้ถูกดึงตัวไปอยู่ทีมอื่นขึ้นมา พวกเขาที่เหลือจะเละเทะแค่ไหนกัน ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือ ต้องส่งข่าวให้สมาชิกในทีมของพวกตนรู้เรื่องนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้แก๊งอื่นมาหลอกล่อฉกตัวสองคนนี้ไปได้!

เหยียนเฟยเลิกคิ้วขึ้นสูง “เพิ่มขั้นพลังงั้นเหรอ ฉันรู้เรื่องนี้แล้ว”

“หา!” ทั้งสี่คนมองเหยียนเฟยด้วยความตกตะลึง เหยียนเฟยรู้ว่าต้องเพิ่มขั้นพลังอย่างไร หรือรู้ว่ามีแก๊งที่รู้วิธีเพิ่มขั้นพลังได้กัน

เหยียนเฟยขมวดคิ้วพลางลูบคางครุ่นคิดก่อนจะพูดว่า “ก่อนหน้านี้ฉันงานยุ่งมากไปหน่อย เลยลืมบอกให้จางซู่รู้เรื่องนี้ ไว้คราวหน้ามีเวลาว่างฉันจะบอกเขาเอง”

ตอนนี้เหยียนเฟยสามารถสรุปหลักได้บ้างแล้ว การเพิ่มขั้นพลังที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดมีสองวิธี วิธีแรกคือ พักผ่อนให้เต็มที่หลังจากใช้พลังพิเศษจนหมดเกลี้ยง แล้วพลังนั้นก็จะฟื้นคืนได้เอง วิธีที่สองคือ การดูดซับคริสตัลเพื่อเพิ่มพลัง

เขาสงสัยว่าวิธี ‘เพิ่มขั้นพลัง’ ที่หัวหน้าแก๊งเคออสคนนั้นพูดน่าจะหมายถึงการดูดซับคริสตัล แต่นี่ไม่ใช่ความลับเสียหน่อย ทางกองทัพก็ใช้วิธีนี้มานานแล้ว ไม่แน่ต่อให้เขาไม่บอก จางซู่ก็น่าจะเคยได้ยินคนอื่นพูดเรื่องนี้กันมาบ้าง ดังนั้นเขาถึงไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้มาตลอด…เพราะปกติเวลาพูดคุยกับพวกหลี่เถี่ยเรื่องพวกนี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ  ก็ใครใช้ให้บนชั้นนี้มีแค่เขากับจางซู่ที่เป็นผู้มีพลังพิเศษแค่สองคนเท่านั้นกันล่ะ

ส่วนจางซู่ จะมีสักกี่ครั้งที่หมอนั่นพูดคุยกับคนอื่นดีๆ แถมในหัวสมองเขาก็มีแต่ความคิดแปลกๆ เหยียนเฟยแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่อยากก้าวก่ายความคิดของจางซู่ และขี้เกียจเปลืองสมองคิดหาวิธีที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดของจางซู่ด้วย

หลังจากกลับมาที่ห้อง หลัวซวินกับเหยียนเฟยก็ลงมือทำงานกันต่อ งานทาสีผนังคืบหน้าเร็วมาก ตั้งแต่เริ่มลงมือทาสีหลังจากที่พวกเขากินข้าวเสร็จจนถึงตอนนี้เหลือแค่ห้องนอนสองห้องเท่านั้น

พอทาสีห้องสุดท้ายเสร็จสมบูรณ์แล้ว ทั้งสองถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอกพลางหันมาสบตากันด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เปิดประตูหน้าต่างทิ้งไว้เพื่อให้สี

เมื่อหน้าต่างมีรั้วเหล็กดัดพิเศษของเหยียนเฟย ต่อให้โจรอยากงัดเข้ามาก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ พวกเขาเลยกลับห้องพักผ่อนได้อย่างสบายใจ

“พรุ่งนี้ห้องพวกจางซู่จะขนวัสดุติดตั้งระบบทำความร้อนใต้พื้นมาแล้ว นายจะจัดการพื้นห้องให้พวกเขาเลยหรือเปล่า” หลังอาบน้ำแปรงฟันกลับขึ้นมาบนห้องนอน หลัวซวินยังนอนไม่หลับในทันที เขาพิงไหล่เหยียนเฟยมองดูอีกฝ่ายใช้พลังแปรสภาพลูกเหล็กขนาดยักษ์

“อืม ทำห้องให้พวกเขาก่อน คราวก่อนนายบอกว่ามีบางจุดที่ต้องปรับแก้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นไม่ใช่เหรอ อย่างนั้นก็ลองทดสอบกับห้องพวกเขาก่อนไปเลย” เหยียนเฟยพูดด้วยท่าทีสบายๆ ไร้ความอึดอัดกดดัน การไปช่วยทำห้องให้คนอื่นก็คือการฝึกฝนฝีมือเพื่อมาทำห้องของพวกเขาเอง ไม่ได้ทำไปอย่างสูญเปล่า ไว้รอให้ติดตั้งระบบทำความร้อนใต้พื้นในห้องหลี่เถี่ยและจางซู่เสร็จแล้วทั้งสองห้อง พวกหลัวซวินก็สามารถเลือกวิธีที่ดีที่สุดแล้วนำมาปรับใช้กับห้องของพวกตนได้

หลัวซวินอดหัวเราะคิกคักออกมาไม่ได้ หลังจากหัวเราะแล้วเขาก็พยักหน้าและพูดอย่างจริงจังว่า “ตามที่พวกหลี่เถี่ยบอกว่า ระบบทำความร้อนในห้องของพวกเขาร้อนช้าและกินไฟมาก คราวนี้หลังจากฉันลองปรับแก้กับห้องจางซู่แล้วค่อยมาดูกันว่าแผนการปรับปรุงแบบไหนน่าจะดีที่สุด” หลัวซวินยอมรับฟังคำแนะนำของคนรักและแสดงการสนับสนุนอย่างไร้แรงกดดันใดๆ

เย็นวันต่อมา จางซู่กลับบ้านเร็วกว่าปกติ โดยขับรถบรรทุกขนวัสดุโลหะหลายชนิดมาเต็มคันรถ

ครั้นหลัวซวินลงไปรับจางซู่ที่ใต้ตึกเห็นแล้วถึงกับหางตากระตุก เขาถึงกับต้องขอคำชี้แนะจากอีกฝ่าย “ขอโทษนะ…นายไปหาเหล็กตั้งมากมายขนาดนี้มาได้ยังไงเหรอ” เหล็กพวกนี้เพียงพอให้เหยียนเฟยกับผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะอีกคนใช้สร้างกำแพงสูงเสียดฟ้าได้สบายเลย

จางซู่ยิ้มจนดวงตาดอกท้อหยักโค้งขึ้น รอยยิ้มแพรวพราวชวนให้คนมองต้องขนลุกซู่ เขายกนิ้วชี้ไปทางรถบรรทุกขนาดเล็กที่อยู่ข้างหลัง “มีคนไข้รายหนึ่งให้ฉันมา” พูดจบก็ยักคิ้วหลิ่วตาเป็นนัยๆ “นายคงเข้าใจได้นะว่า เป็นคน-ไข้-ผู้-หญิง”

“…ผู้หญิงคนไหนที่ตาบอดถึงขั้นยอมให้วัสดุที่หายากกับนายมาเต็มคันรถขนาดนี้” หลัวซวินรู้สึกได้ว่าหนังหน้าตัวเองกำลังกระตุก ผู้หญิงคนนั้นต้องตาบอดแน่ๆ เธอจะรู้ตัวไหมว่าได้มอบโลหะที่เป็นของขาดแคลนหายากมากให้กับเกย์คนหนึ่ง แถมเป็นเคะหน้าสวยอีกต่างหาก ต่อให้เธอนอนทอดกายให้เขาบนเตียง ส่วนนั้นของเคะราชินีคนนี้ก็ไม่มีทางแข็งขันตื่นตัวได้หรอก

จางซู่ผายมือยักไหล่ “ดูเหมือนพ่อของเธอจะรับผิดชอบเรื่องจัดสรรวัสดุที่เก็บรวบรวมกลับมาได้ แล้วเธอได้ข่าวว่าฉันกำลังตามหาวัสดุโลหะเพื่อมาทำห้อง ก็เลยให้เหล็กฉันมาคันรถหนึ่ง” หลังพูดจบเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “สาววายเนี่ยเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆเลย”

“หา สาววาย?” จะโทษหลัวซวินที่นึกว่าตัวเองฟังผิดไม่ได้หรอก ต่อให้บนโลกนี้มีสาววายใจป้ำสักแค่ไหน แต่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ จะมีแม่บุญทุ่มกล้าเอาวัสดุโลหะที่ปัจจุบันเป็นของหายากมากในฐานที่มั่นมายกให้คนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานแบบนี้ด้วยเหรอ

จางซู่ยักคิ้วและยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้งให้หลัวซวิน “นายได้ยินไม่ผิดหรอก ไม่ต้องปฏิเสธในสิ่งที่ตัวเองได้ยินด้วย” พูดจบก็หันหลังเดินไปข้างรถ แล้วใช้วงแหวนพายุไล่ตะเพิดคนที่มาแอบด้อมๆ มองๆ อยากรู้ว่าในรถบรรทุกขนของอะไรมา เพราะคิดอยากจะหาจังหวะฉกฉวยพวกนั้นปลิวไปไกลสามเมตร!

แม้หลัวซวินอยากซักถามจางซู่ต่อว่าเขาเสนอเงื่อนไขอะไรให้อีกฝ่ายกันแน่ จึงทำให้ผู้หญิงคนนั้นยอมยกของล้ำค่าให้เขาฟรีๆ แถมยังให้เยอะแบบนี้ ซึ่งตัวหลัวซวินเองก็ อะแฮ่ม ชอบผู้ชายเหมือนกัน…ไม่แน่บางทีเขาอาจหาประโยชน์จากข้อนี้ได้บ้าง แต่เมื่อลองนึกถึงสถานการณ์น่าสยองที่อาจเกิดขึ้น อาจต้องเปิดเผยความลับส่วนตัวหรือถึงขั้นจำต้องเอาตัวเข้าแลก เมื่อคิดได้แบบนี้หลัวซวินก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะดำเนินชีวิตตามเส้นทางแห่งความซื่อสัตย์ต่อไปดีกว่า

 

เหยียนเฟยเดินขึ้นลงตึกสิบหกชั้นรอบแล้วรอบเล่าด้วยสีหน้าอารมณ์ไม่สู้ดีนัก ช่วยไม่ได้ ใครให้บนชั้นสิบหกมีแค่เขาที่เป็นผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะเพียงคนเดียวกัน ถึงอย่างไรการให้เขาขนวัสดุโลหะทั้งกองย่อมง่ายและเร็วกว่าให้คนอื่นค่อยๆ ขนทีละชิ้นสองชิ้นเป็นไหนๆ

เหยียนเฟยควบคุมโลหะให้ลอยกลางอากาศขึ้นไปถึงชั้นสิบหกได้ก็จริง ทว่าเรื่องที่น่าเศร้าคือ เพื่อนสนิทของจางซู่เจ๋งเกินไป วัสดุโลหะที่จางซู่ได้มามีปริมาณเยอะมาก เหยียนเฟยไม่สามารถขนขึ้นมากองบนโถงทางเดินได้หมดในรอบเดียว ดังนั้นเขาจึงต้องขนโลหะหลายรอบกว่าจะหมดทั้งคันรถ และทำให้งานของเขาเริ่มได้ช้ากว่าที่คิด

ทางด้านหลัวซวินกับจางซู่อยู่เฝ้ารถที่ใต้ตึก พร้อมกับคอยไล่ผู้คนที่อยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้านพวกนั้น สงสารก็แต่เหยียนเฟยที่ต้องควบคุมโลหะกองนี้ให้ค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนชั้นสิบหก

“นายจะเอารถกลับไปคืนเลยหรือเปล่า” หลัวซวินถามพลางชี้ไปยังโลหะที่เหลืออยู่เกือบครึ่งบนรถบรรทุกขนาดเล็กคันนั้น

จางซู่ส่ายหน้าพลางตอบ “ไว้ค่อยเอาไปคืนพรุ่งนี้เช้า”

หลัวซวินลูบอกอย่างโล่งใจ เขานึกว่าสาววายสายเปย์คนนั้นจะใจป้ำถึงขั้นยกรถคันนี้ให้จางซู่เสียแล้ว “โลหะพวกนี้ที่นายขนมาน่าจะใช้ไม่หมดหรอก” หลัวซวินเอ่ยขึ้นพลางมองไปยังโลหะที่เหลือบนรถบรรทุก ก่อนหน้านี้ตอนวางระบบท่อให้พวกหลี่เถี่ยใช้โลหะไปมากน้อยแค่ไหนนั้นหลัวซวินรู้ดี โลหะที่จางซู่ได้มารอบนี้มีเยอะมาก ใช้ทำห้องให้จางซู่ห้องเดียวคงใช้ไม่หมด

จางซู่โบกมือปัดๆ อย่างไม่ใส่ใจ “นอกจากใช้วางระบบทำความร้อนใต้พื้นแล้วยังต้องไว้ใช้ปูพื้นด้วย แถมเหยียนเฟยบอกว่ายังต้องใส่เหล็กเสริมความแข็งแรงให้กับผนังห้องอีกไม่ใช่เหรอ อีกอย่าง ถ้ามันยังเหลืออยู่ก็คงยกให้พวกนายนั่นแหละ ถึงยังไงฉันเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ แต่ก็ไม่แน่ เผื่ออนาคตจะไหว้วานเหยียนเฟยให้ใช้เหล็กทำเป็นโต๊ะเก้าอี้เหมือนเฟอร์นิเจอร์ในบ้านพวกนายแบบนั้นบ้าง”

ในห้อง 1603 ไม่มีเฟอร์นิเจอร์มาก่อน ถ้าต้องการอะไร เมื่อมีเวลาว่างเหยียนเฟยก็จะใช้โลหะหลอมขึ้นมา นั่นก็คือสิ่งที่จางซู่เอ่ยถึง แม้ว่ามันจะไม่ใช่สีดำ แต่เป็นสีเงินแบบสเตนเลส ทว่าเฟอร์นิเจอร์พวกนี้แข็งแรงคงทนมาก แถมจะสร้างออกมาแบบไหนก็ได้ตามใจชอบ ถ้าใช้จนเบื่อแล้วก็ให้เหยียนเฟยเปลี่ยนแปลงรูปร่างเหล็กพวกนั้นได้…หากอยากให้ของขวัญแก่เหยียนเฟยกับหลัวซวินก็ง่ายมาก แค่หาวัสดุโลหะมาให้พวกเขาเยอะๆ ก็พอ ไม่ต้องไปหาถึงขั้นโลหะมีค่าก็ได้

เหยียนเฟยผู้น่าสงสารลงมาชั้นล่างอีกรอบ แล้วชูนิ้วควบคุมสั่งการให้วัสดุที่เหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่งลอยขึ้นและหันเข้าสู่ทางเดิน ทำเอาชาวมุงรอบๆ ต่างส่งเสียงฮือฮาร้อง “โอ้โห” กันยกใหญ่

หลัวซวินตกใจจนต้องหันไปมองรอบๆ อย่างรวดเร็ว พระเจ้า มีคนมาล้อมวงเยอะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน

ไม่รู้ว่ารอบๆ มีคนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้ตั้งแต่ตอนไหน พวกเขาไม่ได้เข้ามามุงดูเพราะหวังหาโอกาสฉกชิงข้าวของในรถเหมือนอย่างคนกลุ่มแรกพวกนั้น แต่เพราะผู้คนเหล่านี้ว่างไม่มีงานการทำเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงแค่มาล้อมวงดูเรื่องสนุกกันเฉยๆ

“ทำไมคนเยอะขนาดนี้ ช่วงสองวันนี้มีคนย้ายออกจากชุมชนกันไปเยอะแล้วไม่ใช่เหรอ” ที่หลัวซวินถามแบบนี้ เป็นเพราะตั้งแต่หลังเกิดการระบาดของไวรัสซอมบี้ สองวันมานี้ชาวบ้านในเขตชุมชนต่างทยอยย้ายออกจากเขตฐานที่มั่นชั้นในไปไม่น้อย แล้วไปอาศัยอยู่ตามบ้านว่างๆ ที่เพิ่งสร้างใหม่ที่เขตฐานที่มั่นชั้นนอกแทน จะได้ไม่ต้องเบียดเสียดกับคนที่ไม่รู้จักอีกต่อไป

มีบางคนบอกว่าบ้านที่เขตชั้นนอกขนาดใหญ่มาก บางเขตชุมชนมีคนอาศัยอยู่แค่ครัวเรือนเดียวต่อหนึ่งชั้น หากไม่ใช่เพราะทางกองทัพรับมือได้ไว คงมีคนไม่น้อยที่ทำแบบเดียวกับหลัวซวิน คือครอบครัวสองคนเข้าจับจองอยู่กันคนละห้องไปเลย

ทว่าต่อให้ในฐานที่มั่นมีบ้านว่างอยู่เยอะสักแค่ไหนก็ต้องจ่ายค่าเช่าทั้งนั้น แม้กระทั่งเมื่อก่อนที่อยู่กันอย่างแออัดห้าหกคนต่อห้องก็ยังต้องจ่ายเงินเยอะมาก แต่ตอนนี้อยู่กันสามคนต่อห้องทว่ายังจ่ายค่าห้องเท่าเดิม ดังนั้นแบบไหนคุ้มกว่ากันแค่คิดปราดเดียวก็รู้แล้ว

หลัวซวินยืนคุยกับจางซู่ไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งพอเหยียนเฟยขึ้นตึกไปรอบนี้ ไม่นานก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากโถงทางเดิน

หลัวซวินและจางซู่สบตากับคนกลุ่มนั้น ต่างฝ่ายต่างอึ้งกันไปชั่วขณะ ในกลุ่มนั้นมีสองนักศึกษาสาวที่หลังจากถูกล่วงละเมิดแล้วขึ้นไปร้องไห้คร่ำครวญขอความช่วยเหลือบนชั้นสิบหก และถูกเหยียนเฟยใช้เข็มเหล็กแทงมือไปคราวก่อนอยู่ด้วย

ทั้งสองสาวมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะผู้หญิงคนนั้นที่มือยังบาดเจ็บไม่หาย ใบหน้าเธอขาวซีด เหงื่อแตกพลั่ก ดูเหมือนว่าตอนที่พวกเธอกำลังลงมาชั้นล่างจะเจอกับเหยียนเฟยที่กำลังจะขึ้นตึกโดยบังเอิญ ครั้นเห็นเหยียนเฟยควบคุมเหล็กขึ้นตึกเข้าก็เลยตกใจซ้ำสอง

หญิงสาวสองคนนั้นต่างอิงแอบอยู่ข้างกายชายคนละคน โดยถูกผู้ชายพวกนั้นโอบไว้ในอ้อมกอด ผู้ชายที่อยู่ข้างนักศึกษาสาวคนที่ไม่ได้บาดเจ็บล้วงมือเข้าไปในคอเสื้อของเธออย่างโจ่งครึ่ม ครั้นเห็นว่ารอบๆ มีผู้คนมากมายก็บีบขยำหน้าอกเธอเต็มแรงอย่างได้ใจ

ครั้นนักศึกษาสาวทั้งสองเห็นหลัวซวินและจางซู่ยืนอยู่ข้างรถบรรทุกหน้าตึกก็ตกใจ รีบก้มหน้างุดไม่กล้ามองหน้าพวกเขาแม้แต่แวบเดียว ทว่าผู้ชายที่อยู่ข้างกายพวกเธอกลับไม่สังเกตเห็นเลยสักนิด พวกเขาโอบกอดหญิงสาวทั้งสองเดินจากไปด้วยใบหน้าเกลื่อนรอยยิ้มด้วยความลำพองใจ

ส่วนพวกลูกสมุนที่เดินตามหลังมีสองคนต่างถือมุ้งลวดที่เหมือนเพิ่งถูกถอดออกจากหน้าต่างหมาดๆ…

หลัวซวินลูบคางมองผู้ชายกลุ่มนี้ ไม่ใช่พวกเพื่อนนักศึกษาชายที่เคยอยู่กับพวกเธอ แล้วก็ไม่ใช่กลุ่มคนที่ล่วงละเมิดพวกเธอคราวก่อน

จางซู่ยังคงมีสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม กวาดตามองคนกลุ่มนั้นแล้วพูดกลั้วหัวเราะ “ดูเหมือนว่าพวกเธอหาที่พึ่งได้แล้วเลยย้ายออกจากตึกนี้สินะ”

คาดว่าหลังจากที่พวกเธอถูกคนกลุ่มนั้นขโมยของไปคราวก่อน ในห้องคงไม่มีอะไรเหลือแล้ว ดังนั้นตอนย้ายออกพวกเธอสองคนจึงมีแต่ตัว ไม่มีของมีค่าอื่นใดให้พกติดตัวไปด้วย นอกจากมุ้งลวดสองบานนั้น…

หลัวซวินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดพึมพำ “มุ้งลวด?…ทำไมถึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท” ก่อนวันสิ้นโลกเขาลืมจัดเตรียมของสิ่งนี้เก็บไว้ได้อย่างไร อาจเป็นเพราะเมื่อชาติก่อนตอนอยู่ห้องใต้ดินไม่มีหน้าต่าง เขาเลยลืมนึกถึงมุ้งลวดไป

จางซู่หันไปเลิกคิ้วมองเขา ทำไม คิดจะไปถอดมุ้งลวดจากห้องคนอื่นมาติดห้องตัวเองหรือไง

“นายก็ให้สามีนายใช้โลหะมาทำเป็นมุ้งลวดให้ก็สิ้นเรื่อง ทำให้เส้นเล็กๆ ตาถี่ๆ หน่อยก็เหมือนมุ้งลวดทั่วไปแล้ว ถึงยังไงเขาก็ว่างอยู่แล้วนี่”

หลัวซวินสองตาเป็นประกาย “จริงด้วย ทำแบบนี้ก็ได้นี่” แถมอย่างนี้ก็ประหยัดเงินค่ามุ้งลวดได้ด้วย

เหยียนเฟยผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวเดินลงมาข้างล่างอีกครั้ง พลันเห็นคนรักหันมามองตนด้วยสีหน้าตื่นเต้นพร้อมกับดวงตาเป็นประกาย เหยียนเฟยจึงก้มหน้ากวาดตามองสำรวจตัวเอง…เสื้อผ้าก็เรียบร้อยปกติดีนี่นา หรือว่ามีอะไรติดหน้างั้นเหรอ

ครั้นวัสดุโลหะชุดสุดท้ายลอยขึ้นกลางอากาศ จางซู่ก็ขับรถไปจอดไว้ในลานจอดรถ พอล็อกรถเสร็จแล้วก็เดินกลับมาเพื่อขึ้นตึกไปบนชั้นสิบหกพร้อมกันสามคน

เมื่อขึ้นไปถึงชั้นบนสุด หลัวซวินจึงเห็นว่าตรงโถงทางเดินมี ‘พื้นโลหะ’ เพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่ง ส่วนประตูห้องจางซู่ถูกหลอมละลายเปิดเป็นช่องโพรงขนาดใหญ่ไปจนสุดกรอบวงกบ เผยให้เห็นว่าด้านในมีวัสดุโลหะวางกองไว้จำนวนมาก

จางซู่เห็นแล้วถึงกับต้องยกมือนวดขมับที่ปวดจี๊ดของตัวเอง “แบบนี้ประตูบ้านฉันล็อกไปก็เสียเปล่าสินะ”

เหยียนเฟยอยู่ด้านหน้าสุด ต้องคอยควบคุมโลหะจึงไม่ว่างมาต่อปากต่อคำกับจางซู่ แต่หลัวซวินที่อยู่ตรงกลางกลับเป็นฝ่ายพูดกลั้วหัวเราะว่า “ไม่งั้นขนไปไว้ห้องฉันเลยก็ได้นะ พวกฉันไม่ถือ”

จางซู่ผายมือยักไหล่ “ไม่ว่าจะขนไปเก็บไว้ไหน ยังไงก็บอกสามีนายทำประตูบ้านฉันให้กลับมาปลอดภัยก็พอ”

หลัวซวินเงยหน้าพูดอย่างภาคภูมิใจ “แหงอยู่แล้ว”

เหยียนเฟยที่อยู่ข้างหน้ายกยิ้มมุมปากจางๆ รู้สึกถูกใจในคำพูดจางซู่ที่พูดว่า ‘สามีนาย’ อย่างมาก จึงตัดสินใจว่าจะช่วยทำพื้นบ้านจางซู่ให้แข็งแรงคงทนขึ้นอีกหน่อย ส่วนหลัวซวินผู้น่าสงสารลืมไปนานแล้วว่าเคยอยากเป็นฝ่ายอยู่บนบ้าง จนกระทั่งตอนนี้เขายอมรับว่าเหยียนเฟยเป็นสามีไปโดยปริยายแล้ว

เมื่อขนวัสดุโลหะมาวางหมดแล้ว เหยียนเฟยซึ่งตัดสินใจว่าจะให้รางวัลจางซู่ที่พูดจาถูกหูเขาจึงเดินเข้าไปในห้อง 1602 แล้วพูดว่า “อ้อ จริงสิ มีเรื่องหนึ่งที่ฉันลืมบอกให้นายรู้ แต่นายอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว ผู้มีพลังพิเศษสามารถดูดซับคริสตัลเพื่อใช้เพิ่มขั้นพลังได้ ฉันเคยลองใช้พลังพิเศษจนหมดเกลี้ยงแล้วค่อยดูดซับคริสตัล ดูเหมือนว่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่าการดูดซับคริสตัลเพื่อฟื้นคืนพลังทันที”

จางซู่เลิกคิ้วสูง “ฉันก็เคยได้ยินมาว่าสามารถดูดซับพลังจากคริสตัลได้ และอาจจะช่วยเพิ่มขั้นพลังด้วย เหมือนว่าผู้มีพลังพิเศษของกองทัพก็ใช้กันอยู่ แล้วยังไง ตอนพวกนายสร้างกำแพงก็ใช้คริสตัลช่วยเพิ่มพลังด้วยใช่ไหม”

เหยียนเฟยพยักหน้า แล้วล้วงวัตถุใสราวกับเศษแก้วชิ้นเล็กๆ ที่ยังไม่ผ่านการเจียระไนออกมาจากในกระเป๋าโยนให้จางซู่หนึ่งก้อน “คือเจ้าสิ่งนี้แหละ ที่โรงพยาบาลไม่อนุญาตให้ผู้มีพลังพิเศษใช้มันงั้นเหรอ”

จางซู่ยักไหล่ “พวกเราไม่ได้ใช้พลังพิเศษในการรักษาคนสักหน่อย แล้วพวกเขาจะแจกให้ฉันทำไม ว่าแต่เราจะดูดซับสิ่งนี้เข้าร่างกายด้วยวิธีไหน”

“ดูดซับด้วยพลังจิตผ่านทางฝ่ามือ…” เหยียนเฟยพูดยังไม่ทันจบ ก็เห็นแสงสีครามจางๆ ส่องประกายออกมาจากในมือจางซู่ ก่อนจะค่อยๆ ซึมซาบเข้าไปในร่างกายเขา…

คริสตัลก้อนนั้นถูกจางซู่ใช้ไปแล้ว?! ทั้งที่เหยียนเฟยแค่ส่งให้จางซู่ดูเฉยๆ เท่านั้น!

สีหน้าจางซู่ดูกระอักกระอ่วนแบบยากที่จะได้เห็น เขาโบกมือปัดๆ อย่างกระดากใจ “ไว้ฉันคืนให้นายคราวหน้าแล้วกัน” ถึงอย่างไรเขาก็ต้องหามาคืนให้ได้ แม้เวลานี้จะมีคนยอมนำของแบบนี้มาแลกเปลี่ยนกันเองส่วนตัวจะน้อยมาก ขนาดในกองทัพเองยังต้องควบคุมการแบ่งสันให้ จางซู่ไม่รู้ด้วยว่าจะไปหาซื้อได้จากที่ไหน แต่เขากลับใช้มันไปแล้ว ให้ตายสิ แค็กๆ…ขายหน้าชะมัด สงสัยพรุ่งนี้ต้องไปล่าซอมบี้นอกฐานที่มั่นซะแล้ว แบบนี้ถึงจะหาคริสตัลมาคืนเหยียนเฟยได้

เหยียนเฟยตวัดตามองเขาด้วยสายตาเหยียดหยัน “ไว้นายหามันมาได้ค่อยคืนก็แล้วกัน” เขาไม่ใช่คนใจแคบขนาดนั้น แค่คริสตัลก้อนเดียวจะให้เขาถือสาหาความอะไรกับจางซู่ “สรุปคือ ถ้านายไม่ออกไปนอกฐานที่มั่น ก็คิดหาวิธีซะว่าจะเอาคริสตัลพวกนี้มาได้ยังไง”

จางซู่ลูบคางพลางเอียงคอครุ่นคิดเล็กน้อย “พรุ่งนี้ตอนเอารถไปคืนฉันจะลองถามดู ไม่แน่อาจมีวิธี ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ฉันค่อยหาโอกาสออกไปนอกฐานที่มั่น” สาววายสายเปย์คนนั้นมีลู่ทางเยอะ จะลองไปถามเธอดูก่อน หรือไม่อย่างมากก็เอาคูปองของตัวเองไปแลก แต่ถ้าหาไม่ได้จริงๆ พรุ่งนี้จะลางานออกไปนอกฐานเพื่อตามหาคริสตัลเสียเลย

สำหรับจางซู่เวลานี้เขากลัวว่าตัวเองจะว่างเกินไป ดังนั้นไม่ว่าจะไปผ่าตัดลงมีดหรือเย็บแผลให้คนไข้ที่โรงพยาบาล หรือจะออกไปใช้พลังพิเศษฟันสมองของซอมบี้นอกฐานที่มั่น ต่างก็เป็นวิธีระบายความกดดันที่ดีมากทั้งสิ้น และเมื่อลองคิดทบทวนแล้วเขาก็พบว่า ดูเหมือนการออกไปล่าซอมบี้น่าจะเป็นงานที่คุ้มค่ากว่า เพราะถ้าเกิดเจอพวกไม่ดูตาม้าตาเรือมาหาเรื่องเข้า เขาก็สามารถใช้พลังพิเศษฟันทิ้งได้เลย อืม…แบบนี้นับว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการหาเรื่องสนุกๆ ทำคลายเครียด

แม้ก่อนที่จางซู่จะมาถึงฐานที่มั่นเขาเคยอยู่ข้างนอกมาระยะหนึ่ง แต่ช่วงนั้นเขาแสร้งทำตัวเป็นคนธรรมดา จึงแทบไม่ได้ใช้พลังพิเศษฆ่าซอมบี้เลย เขาแค่เคยใช้พลังธาตุลมช่วยโจมตีหรือระเบิดพลังเมื่อเจออุปสรรคบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่เคยมีประสบการณ์ในการใช้พลังพิเศษล่าซอมบี้จริงๆ จังๆ มาก่อน เขาเลยตั้งตารอเรื่องแบบนี้มาก

เมื่อเห็นแววตาเหม่อลอยของจางซู่ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเหมือนคนโรคจิตเข้าไปทุกที หลัวซวินไม่รู้ว่าในหัวของจางซู่เตลิดไปไกลถึงไหนแล้ว จึงส่งเสียงกระแอมทีหนึ่ง กระทั่งจางซู่กับเหยียนเฟยเลื่อนสายตามาทางตน จึงชี้ไปที่กองวัสดุโลหะบนพื้น “ของพวกนี้จะทำวันนี้ทีเดียวเลยหรือเปล่า”

เหยียนเฟยได้ยินคำถามนั้นก็ส่ายหน้าแล้วตอบว่า “วันนี้ใช้พลังไปเยอะแล้ว กินข้าวเสร็จคงวางท่อกับปูพื้นห้องนอนให้ก่อน ที่เหลือเอาไว้พรุ่งนี้พวกฉันเลิกงานแล้วค่อยทำต่อ”

จางซู่โบกมือปัดๆ แล้วพูดว่า “แค่ไม่กี่วันฉันรอได้ ไม่ได้รีบร้อนให้ทำเสร็จภายในวันสองวันนี้หรอก ถึงยังไงสำหรับพวกนายแล้วประตูบ้านจะมีหรือไม่ก็ไม่ต่างกัน เอาไว้ถ้าพรุ่งนี้พวกนายกลับมาแล้วยังมีพลังเหลือค่อยเข้ามาทำก็ได้ ทำเสร็จเมื่อไรก็เมื่อนั้น”

หลัวซวินบอกเขาด้วยความหวังดี “นายเก็บของสำคัญให้เรียบร้อยว่าจะเอาไปไว้ไหนดี” เขาไม่อยากเจอเหตุการณ์ข้าวของเพื่อนบ้านหายแล้วมาโทษเขา

รอยยิ้มบนใบหน้าจางซู่ฉายชัดลึกซึ้งยิ่งขึ้น พลางส่งสายตาให้หลัวซวิน “บ้านฉันนอกจากถุงยางแล้วก็ไม่มีของมีค่าอย่างอื่นแล้วละ อะไรที่ฉันมีพวกนายก็มีหมด ไม่จำเป็นต้องเอาไปเก็บซ่อนให้ยุ่งยากหรอก ส่วนถุงยาง…” เขาพูดพลางตบกระเป๋าตัวเองปุๆ “ฉันพกติดตัวตลอด”

นายจะพกของแบบนี้ติดตัวไว้ตลอดทำไมกัน อย่าบอกนะว่าเตรียมสำรองไว้ พอได้โอกาสเหมาะก็พร้อมเสมอทุกที่ทุกเวลา…แค็กๆ หวังตั๋ว นายมีแววจะได้สวมหมวกเขียวแล้วละ รู้ตัวหรือเปล่า

เมื่อกลับมาถึงบ้านหลัวซวินก็เริ่มเตรียมทำมื้อเย็น เนื่องจากเมนูหมูตากแห้งผัดผักดองของเมื่อวานรสชาติจัดจ้านไปหน่อยจึงเหลือเยอะ

หลัวซวินนำไข่นกกระทาที่เก็บไว้ออกมาวาง แล้วหันหลังเดินออกไปที่ระเบียง ดูเหมือนว่าใบผักกาดหอมพวกนั้นจะร่อยหรอลงอีกแล้ว หลัวซวินตบหน้าผากตัวเองแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือที่เขาตั้งใจวางไว้ที่ชั้นหนึ่งออกมา กดเปิดรูปที่ถ่ายไว้เมื่อคืนแล้วมาลองเทียบดู “เหยียนเฟย มาดูนี่สิ”

เมื่อได้ยินว่าเสียงของหลัวซวินฟังดูต่างไปจากปกติเล็กน้อย เหยียนเฟยที่กำลังศึกษาแบบแปลนการวางระบบทำความร้อนใต้พื้นที่หลัวซวินแก้ไขปรับปรุงไปเมื่อไม่กี่วันก่อนจึงรีบวางมันลง แล้วลุกขึ้นเดินไปหาคนรักของตน

“อะไร ทำไมเหรอ”

“นายดูนี่สิ ฉันถ่ายรูปใบผักนี่ไว้เมื่อคืน แล้วดูสภาพของมันตอนนี้สิ” หลัวซวินพูดพลางขยายรูปในโทรศัพท์มือถือให้ใหญ่ขึ้น จากนั้นก็ชี้ไปยังผักกาดหอมที่อยู่ชั้นล่างสุด

“…ใบน้อยลง” เห็นได้อย่างชัดเจนว่าใบผักกาดหอมชั้นนอกสุดที่เคยปรากฏในรูปถ่ายหายไป แม้ว่าจะหายไปเพียงต้นละใบ แต่ก็ยังเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนอยู่ดี

“ในบ้านก็ไม่มีแมลงนี่นา หรือต่อให้มีแมลง ก็ไม่มีทางที่มันจะกินทีเป็นใบๆ ขนาดนี้ แถมบนพื้นกับในร่องต่างๆ ก็ไม่มีเศษผักด้วย เมื่อวานใบพวกนี้ก็ไม่ได้เหลืองหรือเหี่ยวเฉาสักหน่อย…” หลัวซวินหน้าตาเคร่งเครียด เกิดความกังวลในใจ

เหยียนเฟยขมวดคิ้วพลางเงยหน้ามองไปทางหน้าต่าง “ก่อนพวกเราออกไปข้างนอกก็ปิดประตูหน้าต่างไว้อย่างมิดชิด คงไม่มีตัวอะไรบินเข้ามากินมันจากข้างนอกได้…”

 

[1] หมายถึง ถูกสวมเขา

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า