[ทดลองอ่าน] ท่านประมุขหลงลืมฟื้นรัก เล่ม 2 บทที่ 44

ท่านประมุขหลงลืมฟื้นรัก เล่ม 2

教主走失记

 

Yishihuashang 一世华裳 เขียน

RML แปล

 

โปรย

เย่โย่ว ฟื้นคืนความทรงจำแล้ว
ที่แท้หมากสีดำผู้วางแผนเปิดโปงหมากสีขาวก็คือตัวเขาเอง
แต่ที่ทุ่มเทเสี่ยงอันตรายถึงเพียงนี้
เขาต้องการทำเพื่อยุทธภพเท่านั้นหรือ
หรือเพราะอดีตอันดำมืดที่ผลักดันให้เขาทำทุกอย่าง

ไม่ว่าเย่โย่วจะวางแผนทั้งหมดเพื่อสิ่งใด
แต่ เหวินเหรินเหิง ซึ่งในที่สุดก็ได้คนรักกลับคืนมา
ขอสาบานว่าจะไม่ปล่อยให้ศิษย์น้องหนีหายไปอีกแล้ว
“ข้าจะคอยดูอยู่ข้างๆ เจ้าชนะ ข้าก็พลอยมีความสุขไปกับเจ้า
หากเจ้าแพ้ จะเป็นหรือตายข้าก็จะติดตามไปด้วย”

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 44

 

ชายหน้าบากร้อนใจประหนึ่งนั่งอยู่บนกองเพลิง

เขาตั้งใจฟังเสียงเคลื่อนไหวในรถม้าสักพัก ในที่สุดก็ทนไม่ไหว แหวกม่านเป็นช่องเล็กๆ แล้วลอบมองด้านใน พบว่ามือของนายน้อยเสี่ยวดูเหมือนจะสอดเข้าไปใต้เสื้อผ้าของอีกฝ่าย ชายหน้าบากพลันตกใจ คิดในใจว่า คงไม่ใช่นายน้อยเสี่ยวรู้ว่าฝูผิงต้องถูกขังเมื่อไปถึงวัดเส้าหลิน จึงถือโอกาสหาเศษหาเลยหรอกนะ

ไม่ใช่หรอก

นายน้อยเสี่ยวเป็นคนเช่นนั้นหรือ หรือถูกความรักครอบงำจนขาดสติ

เขาชำเลืองมองอีกสองสามครั้ง เห็นว่าทั้งสองอิงแอบแนบชิดกันยิ่งนัก คล้ายกำลังคลอเคลีย เมื่อเห็นคนบังคับรถม้าข้างๆ เหลือบมองแวบหนึ่ง จึงปิดม่านแล้วนั่งอย่างซึมกะทือ ในใจรู้สึกเศร้าระทมยิ่งนัก

หลายปีมานี้ ไม่ง่ายเลยกว่าเจ้าสำนักของพวกเขาจะมีคนโปรดเสียที ผู้ใดจะรู้ว่าบุปผาที่ร่วงหล่นลงมา จะจงใจไหลไปตามธาราอย่างโหดเหี้ยม ไม่มีใจให้เลยสักนิด ต่อให้คนผู้นี้ฟื้นคืนความทรงจำแล้วไม่ชอบเด็กหนุ่มผู้นี้ก็ตาม ทว่าก็ยังมีคุณหนูเถาหญิงงามคนสนิทอยู่ แล้วเจ้าสำนักของพวกเขาจะทำอย่างไร…เดี๋ยวก่อน ฝูผิงกับคุณหนูเถามีจุดที่เหมือนกันคือทั้งคู่เล่นพิณได้ดี หรือว่าประมุขเย่จะโปรดปรานผู้ที่เล่นพิณเป็น

จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าได้ค้นพบความจริงอย่างหนึ่ง จึงตัดสินใจว่าจะกลับไปบอกเจ้าสำนักให้หัดเล่าเรียนเพลงพิณเพิ่มเติม

 

*******

 

ยามนี้เย่โย่วดึงป้ายคำสั่งและป้ายหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากตัวฝูผิงแล้ว เขาเหลือบมองคร่าวๆ ปราดหนึ่ง แล้วคืนป้ายคำสั่งให้ ยึดเพียงป้ายหยกไว้เท่านั้น

ฝูผิงจิตใจหม่นหมองลงเล็กน้อย

เขาอยู่ในตำแหน่งสูง เคยพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะถูกจับมาตั้งนานแล้ว จึงทำป้ายคำสั่งสำหรับถ่ายทอดเหตุร้ายขึ้นเป็นพิเศษ เพราะเมื่อคนทั่วไปเห็นของสองสิ่งนี้ มักจะรู้สึกว่าป้ายคำสั่งมีประโยชน์และจะไม่ใส่ใจป้ายหยกชิ้นหนึ่งที่ดูพื้นๆ ไม่มีสิ่งใดแปลกพิสดาร ดังนั้นหากเขาถูกจับได้จริงๆ แล้วคนที่จับเขานำป้ายคำสั่งไปหาคนของเขา ฝ่ายหลังก็จะรู้ได้ว่าเขาตกที่นั่งลำบากและจะไม่ถูกหลอกง่ายๆ

ทว่าคนผู้นี้กลับเลือกเอาป้ายหยกไป ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน

ฝูผิงถามโดยไม่รู้ตัว “เจ้าส่งคนเข้ามาแทรกซึมในกลุ่มของพวกเรางั้นหรือ ไม่ ไม่น่าจะใช่…”

เขาไม่รอให้เย่โย่วตอบ กลับชิงปฏิเสธตัดหน้าเสียเอง “ไม่น่าจะใช่ ไม่เช่นนั้นเจ้าควรจะมาหาข้าตั้งนานแล้ว…เจ้าเคยจับคนของพวกเราไว้ แล้วได้รู้บางสิ่งจากปากเขาใช่หรือไม่”

เย่โย่ววางฝูผิงลง แล้วจัดเสื้อผ้าอีกฝ่ายให้เรียบร้อยอย่างลวกๆ “หืม?”

ฝูผิงถาม “ครั้งที่แล้วเราพบว่ามีคนสะกดรอยตามหลีฮวา ใช่คนของเจ้าหรือไม่”

เย่โย่วถามด้วยรอยยิ้มกริ่ม “ใช่หรือว่าไม่ใช่ดีเล่า”

“ถึงอย่างไรข้าก็นับว่าเป็นคนของเจ้าแล้ว” ฝูผิงกล่าว

นับตั้งแต่คนผู้นี้เข้ามาพัวพัน เขายังไม่เคยโต้แย้งเลยว่าอีกฝ่ายจับคนผิด เพราะนั่นเป็นการกระทำที่โง่เขลาเกินไป ทว่าเขายังต้องการความชัดเจนบางอย่าง จึงถามว่า “ตกลงพวกเจ้าสาวมาถึงตัวข้าได้อย่างไร หลีฮวาบอกงั้นรึ”

“ไม่ใช่ เรื่องนี้ต้องขอบคุณบรรดานายน้อย” ครั้งนี้เย่โย่วใจกว้าง เล่าต้นสายปลายเหตุให้เขาฟังหนึ่งรอบ พอเห็นความเย็นชาที่วาบผ่านในสายตาของอีกฝ่ายก็ยิ้มแล้วถามว่า “หลีฮวาคิดซับซ้อนเกินไป คงไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับเจ้าใช่หรือไม่”

ฝูผิงไม่ตอบ แต่ถามกลับว่า “แล้วเหตุใดเจ้าจึงชี้ชัดมาที่ข้า”

เย่โย่วกล่าวด้วยน้ำเสียงละมุนชวนให้วาบหวาม “เพราะข้าตกหลุมรักเจ้าตั้งแต่แรกพบ แม้เจ้าจะคิดไม่เหมือนกัน ทว่าข้าก็ยังคิดจะไขว่คว้าเจ้ามาให้ได้”

ฝูผิงถูกแทะโลมหลายต่อหลายครั้งแล้ว จึงแสร้งกล่าวไปตามน้ำ “ไหนๆ เจ้าก็ชอบข้าแล้ว ขอให้ข้าได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าบ้างสิ บางทีข้าอาจจะผูกใจรักเจ้าเช่นกัน ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง แล้วเที่ยวพเนจรไปสุดขอบฟ้ากับเจ้า”

“ย่อมได้” เย่โย่วเอ่ยคำไหนคำนั้น เขาถอดหน้ากากที่ใช้อำพรางออกทันที ฝูผิงไม่คาดคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะตอบตกลงอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้ และยิ่งนึกไม่ถึงว่าใบหน้าใต้ผิวหนังปลอมนั้นจะน่าหลงใหลเย้ายวนเช่นนี้ได้ จึงตะลึงงันไปในบัดดล

เย่โย่วเชยคางฝูผิงแล้วโน้มตัวเข้าไปใกล้ “เป็นอย่างไร พอจะเข้าตาเจ้าบ้างหรือไม่”

ฝูผิงกลับมามีสติอย่างรวดเร็ว เขาระงับความตกใจเอาไว้ แล้วกล่าวอย่างจริงใจ “งามยิ่ง”

เย่โย่วถาม “แล้วเจ้ายินดีจะติดตามข้าหรือไม่”

ฝูผิงตอบ “ข้าจะพิจารณา”

“ดี ไม่ว่านานแค่ไหนข้าก็จะรอ” เย่โย่วเอ่ยอย่างรักใคร่ แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งลง ก่อนจะโพล่งถาม “บ้านเจ้าอยู่ที่ใด ยังมีญาติพี่น้องอยู่หรือไม่ หากกองกำลังของเจ้าถูกกวาดล้างจนสิ้นซาก ข้าจะดูแลพวกเขาแทนเจ้าในอนาคต”

ฝูผิงตอบ “ไม่รบกวนเจ้าให้ลำบากหรอก”

เย่โย่วกล่าว “เจ้าไม่อยากบอกข้า จำไม่ได้ หรือไม่เคยกลับไปเยี่ยมบ้านกันแน่”

ฝูผิงฟังแล้วตกใจจนเสียขวัญ คนผู้นี้จะทดสอบว่าตอนเด็กๆ เขาเคยกินยาเปลี่ยนความทรงจำพวกนั้นหรือไม่ เป็นไปได้หรือ ไฉนเขาจึงรู้กระทั่งเรื่องนี้

เย่โย่วสบตาเขา รู้ทันทีว่าฝูผิงก็รู้ว่ามียาชนิดนี้อยู่ คนฉลาดอย่างฝูผิงย่อมพยายามตรวจสอบทุกวิถีทางว่าความทรงจําของตนเองเป็นความจริงหรือไม่ เย่โย่วจึงตรองว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะเคยกินยามาก่อน

เขาถอนหายใจด้วยความเสียดายอยู่ในใจ แล้วกล่าว “ข้าสงสัยเจ้า เพราะได้ยินว่ามีคนมากมายมาคุ้มกันอยู่รอบตัวเจ้า ฉะนั้นจึงเดาได้ว่าสถานะย่อมไม่ธรรมดา”

ฝูผิงนิ่งงันไปชั่วขณะก่อนจะตระหนักได้ว่าเขาตอบคำถามก่อนหน้านี้ของตัวเอง ทว่าผู้คุ้มกันเหล่านั้นล้วนเป็นยอดฝีมือที่เคยกินยา หากคนผู้นี้ได้ยินทั้งหมดจริง วิทยายุทธ์จะล้ำเลิศมากเพียงใด

เขาถึงกับจำต้องคำนวณความแข็งแกร่งของชายผู้นี้ใหม่อีกครา

เย่โย่วปล่อยให้อีกฝ่ายพินิจพิเคราะห์อย่างใจเย็น แล้วหยิบหนังปลอมข้างๆ ขึ้นมาเตรียมจะสวมใส่ พลันได้ยินเสียงเกือกม้าแว่วมาจากด้านหลังอย่างกระชั้นชิด เสียงเกือกม้าค่อยๆ มารวมจนเป็นกลุ่มก้อน เห็นได้ชัดว่ามีคนจำนวนมาก

ชายหน้าบากเลิกม่านของรถม้าขึ้น “นายน้อยเสี่ยว มีคนตามมาขอรับ…”

เขาเผชิญหน้ากับเย่โย่วโดยตรง เมื่อเห็นนายน้อยเสี่ยวถึงขั้นปลดหน้ากากปลอมตัวออก ความคิดแรกที่แวบเข้ามาคือนายน้อยเสี่ยวทำเพื่อให้ฝูผิงชื่นชอบ ถึงขั้นนำกลหญิงงาม[1]มาใช้เชียวหรือ!

เย่โย่วสวมหน้ากากหนังปลอมแล้วกล่าว “ผู้มาเยือนมิได้มาดี”

ชายหน้าบากใจสั่นระรัว ไม่คิดถึงสิ่งต่างๆ อีก รีบอารักขาพวกเขาอย่างว่องไว ทั้งยังสกัดจุดชีพจรของฝูผิงป้องกันไว้ก่อนอีกด้วย เมื่อเห็นว่าเขาไม่หลบไม่หนี ทั้งยังให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีก็อดแปลกใจเล็กน้อยไม่ได้

“…” ยามนี้แม้กระทั่งส่งเสียงฝูผิงยังทำไม่ได้ จึงไม่อาจบอกเขาว่าตนถูกสกัดจุดอยู่ก่อนแล้ว ทำได้เพียงเบนสายตาไปอีกด้านอย่างเงียบๆ

 

*******

 

ขณะนี้คนของกลุ่มเงาจันทราและกลุ่มเวหาได้ประมือต่อสู้กับกลุ่มคนชุดดำแล้ว

พวกเขาแทบจะรู้ในทันทีว่าพละกำลังของอีกฝ่ายไม่อ่อนด้อย สีหน้าท่าทางจึงเคร่งเครียดขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม และรีบฉวยจังหวะแบ่งคนบางส่วนออกไปสกัดคนเหล่านั้นไว้ในฉับพลัน ส่วนคนที่เหลือคุ้มกันคุณชายสำนักต่างๆ ให้หนีห่างออกไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาออกมาได้หนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ทางวัดเส้าหลินน่าจะส่งคนมาตามหา หากได้พบกันเมื่อใดก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล

ขณะที่เว่ยเจียงเย่ว์คว้ากระบี่จะออกไปข้างนอก กลับถูกคนของกลุ่มเวหาที่มีสายตาเฉียบคมและเคลื่อนกายว่องไวเข้ามาห้ามไว้ เขาจึงเอ่ยเสียงเยียบเย็นว่า “ข้าจะอยู่ที่นี่เอง พวกเจ้าคุ้มกันคนออกไป”

คนของกลุ่มเวหากล่าว “ไม่ได้ขอรับ นายน้อยรอง คนพวกนั้นล้วนเป็นยอดฝีมือนะขอรับ”

ติงสี่ไหลที่อยู่ข้างๆ พยักหน้าตาม

พอเขารู้สึกวิตกกังวล ก็ยิ่งเอ่ยวาจามากขึ้นตาม “เชื่อฟังเขาเถิด เจ้าอยู่เฉยๆ อย่าตามไปก่อความวุ่นวาย”

เว่ยเจียงเย่ว์กล่าว “เจ้าคิดว่าข้าเป็นเหมือนพวกเจ้าหรือ”

ติงสี่ไหลไม่พอใจ “พูดเช่นนี้ได้อย่างไร หากไม่มีพวกเรา เจ้าจะรู้จักเมืองเสี่ยงซิ่งรึ”

เว่ยเจียงเย่ว์ไม่ต้องการโต้เถียงกับเขา จึงเปิดผ้าม่านดูสถานการณ์อีกครั้ง เมื่อเห็นกลุ่มคนชุดดำนี้ดูเหมือนจะหารถม้าของฝูผิงเจอแล้ว หลังจากฝ่าวงล้อมไปได้จึงมีสองคนพุ่งตรงไปที่รถม้าคันนั้นทันที เขาอดชักสีหน้าไม่ได้ “ให้ข้าลงไป!”

บุตรชายผู้นำสหพันธ์และติงสี่ไหลกล่าวพร้อมเพรียงกัน “อย่ารนหาที่ตาย!”

เว่ยเจียงเย่ว์ทำหูทวนลมแล้วรีบออกไปด้านนอก

กลุ่มเงาจันทราและกลุ่มเวหามีจำนวนจำกัด กลุ่มชายชุดดำมีเยอะกว่ามาก ทว่ากลุ่มหลังไม่ได้มีเจตนาต่อสู้ เพราะในไม่ช้าคนชุดดำหลายคนก็รีบตีฝ่าออกจากวงล้อมเพื่อไล่ล่ารถม้าของฝูผิงไปอย่างรวดเร็ว แม้คนของสำนักซวงจี๋จะแบ่งกันสกัดกั้นได้เป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากคนของอีกฝ่ายมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ สถานการณ์จึงทวีความโกลาหลมากขึ้นตามไปด้วย

ชายหน้าบากขบคิดในใจอย่างรวดเร็ว

ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ในเมื่อฝูผิงตกลงจะติดตามพวกเขา คนในเมืองเสี่ยงซิ่งก็ไม่ควรไล่กวดตามมา แม้จะเป็นคนของหมากสีดำ ก็ไม่ควรอยากเอาชีวิตของฝูผิงสิถึงจะถูก ดังนั้นนี่ต้องเป็นเพราะทางเมืองเสี่ยงซิ่งเปลี่ยนใจ คิดจะชิงตัวคนกลับไป หรือว่าหมากสีดำต้องการจับมัดคนด้วยมือตัวเองแล้วส่งให้วัดเส้าหลิน หรือเป็นคนมาจากกลุ่มอื่นกันแน่

สีหน้าเขาเคร่งเครียดเล็กน้อย คิดจะวางเดิมพันสักตั้ง ต้องการใช้ดาบบีบบังคับฝูผิงไว้เพื่อข่มขู่คนเหล่านั้นให้ล่าถอย ทว่าทันใดนั้นชายชุดดำสองคนก็กระโดดออกมาจากป่าข้างทาง นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จะซัดอาวุธลับเข้าใส่เป็นแถบ ปักแทงเข้าหลังม้า ม้าทั้งสองตัวพลันคำรามแล้วเริ่มห้อตะบึงอย่างดุดัน

คนบังคับรถม้าไม่ทันจับเอาไว้ให้มั่น ไม่นานจึงถูกโยนลงจากรถม้าโดยไม่ได้ตั้งตัว

ครั้นกลัวว่าม้าสองตัวนี้จะวิ่งไปหาที่ตาย ชายหน้าบากจึงรีบกระชับบังเหียน ละทิ้งความคิดที่จะจับตัวประกันไว้เพื่อเผชิญหน้ากับพวกเขาเป็นการชั่วคราว

 

*******

 

ฝูผิงได้ยินเสียงเคลื่อนไหวข้างนอก เมื่อประเมินคนข้างๆ ก็เห็นว่าเขายังคงสงบตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่ เย่โย่วสังเกตเห็นสายตาของอีกฝ่าย จึงแก้จุดชีพจรให้เขาหนึ่งที่ ฝูผิงสามารถพูดคุยได้แล้ว จึงถามว่า “เจ้าไม่กังวลหรือ”

“กังวล” เย่โย่วกล่าว “เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้าไม่ได้ปริปากมาพักใหญ่แล้ว ข้ากำลังคิดหาวิธีรับมืออยู่”

ฝูผิงไม่ค่อยเชื่อ พอจะพูดอะไรบางอย่างอีกครั้ง พลันได้ยินเสียงคมดาบคมกระบี่กระทบกันดังสนั่น เห็นได้ชัดว่าชายหน้าบากเข้าต่อกรกับคนพวกนั้นแล้ว

ชายชุดดำช่ำชองวิชาตัวเบา ขณะที่ชายหน้าบากควบคุมรถม้าได้ไม่ทันไรก็ถูกพวกเขาไล่ตามทัน จึงทำได้เพียงรับมืออย่างฉุกละหุกเท่านั้น เขาเหลือบเห็นชายชุดดำคนหนึ่งเคลื่อนเข้ามาใกล้รถม้า สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย กัดฟันกรอด หยิบกริชออกมาสะบัดออกไปพุ่งปักสะโพกม้าเต็มแรง จากนั้นเฝ้าดูรถม้าวิ่งห้อไปอย่างบ้าระห่ำ ภาวนาให้มันวิ่งไปยังที่ปลอดภัย

 

*******

 

ม้าที่กำลังคลั่งพลันตื่นตระหนก วิ่งสะเปะสะปะตรงเข้าไปในป่าทึบ ทันใดนั้นรถม้าก็สั่นโคลงเคลง เย่โย่วช่วยประคองฝูผิงไว้ครู่หนึ่ง ทั้งสองคนแทบจะนั่งไม่ติดที่ ฝูผิงเอ่ยถาม “ตอนนี้ควรทำอย่างไรดี”

เย่โย่วแหวกม่านออกมองไปข้างหน้าแวบหนึ่ง จากนั้นมองชายชุดดำที่ไล่กวดตามอยู่ข้างหลังอย่างไม่ลดละ แล้วถอนหายใจเบาๆ “ข้าสูญเสียวรยุทธ์ทั้งหมด ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา ทว่าคนต้องมีศักดิ์ศรี หากถูกจับได้ก็ต้องตายอยู่ดี มิสู้ลากคนรักกระโดดลงหน้าผาไปด้วยกันจะดีกว่า ถ้าได้ตายพร้อมกันเช่นนี้ ถือว่าตายโดยไม่เสียชาติเกิดแล้ว”

ฝูผิงหัวใจกระตุกวูบ กว่าจะแยกแยะได้ว่าเขาพูดจริงหรือเท็จ ก็ถูกเย่โย่วคว้าคอเสื้อไว้แล้วถูกพาตัวออกไป ครั้นเงยหน้าขึ้น ถึงได้เห็นแจ่มแจ้งว่ามีหน้าผาสูงชันอยู่ตรงหน้าจริงๆ

แม้ม้าทั้งสองตัวจะได้รับบาดเจ็บ แต่สัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดยังคงอยู่ พวกมันแผดร้องลากเสียงยาวดังระงมถึงขีดสุดแล้วค่อยๆ หยุดนิ่ง ทว่าเย่โย่วไม่หยุด เขาดึงคนข้างกายกระโดดลงไป เงาหลังเหยียดตรงจนเกือบจะเรียกได้ว่าไร้ความลังเลใดๆ ทั้งสิ้น

ฝูผิง “…!”

 

*******

 

ชายชุดดำที่ไล่ติดตามมาถึงก่อน รวมทั้งชายหน้าบากและเว่ยเจียงเย่ว์ที่เข้ามาสมทบจากระยะไกลสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าพร้อมกัน จู่ๆ สมองพลันว่างเปล่า พวกเขาคว้าขอบหน้าผา ยามเห็นความสูงระดับนี้ หัวใจก็ตกลงไปที่ตาตุ่ม

สถานการณ์วุ่นวายสงบลงอย่างรวดเร็ว

ทั้งสองฝ่ายไม่มีใจจะสู้รบ จึงต่อสู้กันอีกเพียงครู่เดียวก็รีบไปช่วยชีวิตคน

ในเวลานี้คนจากฝั่งของวัดเส้าหลินได้ทำการค้นหาจนมาถึงละแวกใกล้เคียงพอดี เหวินเหรินเหิงเป็นห่วงความปลอดภัยของศิษย์น้องจึงตามมาด้วย เมื่อได้ยินความคืบหน้าของเรื่องนี้ ฝีเท้าพลันหยุดกึกและมองไปทางลูกน้องอย่างเนิบช้าที่สุด น้ำเสียงราวกับจมดิ่งอยู่ในภวังค์ถ้ำน้ำแข็ง “เจ้าพูดอีกทีสิ”

[1] หรืออุบายสาวงาม เป็นหนึ่งในสามสิบหกกลยุทธ์ ซึ่งเป็นตำรายุทธพิชัยเล่มสำคัญของจีน โดยกลยุทธ์นี้จะส่งสาวงามเข้าไปสร้างความหวาดระแวงกันเองหรือมอมเมาฝ่ายศัตรู

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า