[ทดลองอ่าน] โอตาคุวันสิ้นโลก เล่ม 3 บทที่ 74 : หัวขโมย

โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则

 

暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล

 

นิยาย 7 เล่มจบ

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

____________________________________

 

บทที่ 74 หัวขโมย

 

หมาบ้านฉันกินผักเป็น!

 

ทั้งสองยืนมองหน้ากันอยู่ตรงระเบียงสักพัก ทันใดนั้นหลัวซวินก็เดินไปทางบันได “ฉันจะไปเอาแล็ปท็อปมาก่อน ในบ้านมีกล้องยูเอสบีอยู่ตัวหนึ่ง พรุ่งนี้ฉันจะวางมันไว้ที่ชั้นปลูกผักตรงระเบียงให้มันจับภาพไว้ทั้งวันเลย” หลัวซวินอยากรู้มากว่าใบผักพวกนี้ของเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอยได้อย่างไร!

เจ้าตัวเล็กนอนหมอบอยู่ข้างตู้นกกระทาที่เป็นกระจกใส หลับตาพริ้มคล้ายกำลังหลับอยู่ แต่ปลายหูแหลมๆของมันกระดิกดิ๊กๆ ดูเหมือนว่ามันจะชอบเล่นกับพวกนกกระทามาก ดังนั้นหลัวซวินจึงเอาเบาะนุ่มมาวางไว้ให้มันข้างตู้นกกระทา เพื่อที่ระหว่างวันมันจะได้ไม่ต้องนอนหมอบกับพื้น

หลัวซวินกำลังเล็งหาตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับวางแล็ปท็อป เหยียนเฟยจึงเสนอขึ้นว่า เขาจะทำโต๊ะเหล็กตัวเล็กๆ ไว้ให้ใช้ชั่วคราว หลังจากนั้นหลัวซวินก็ลากสายไฟมาเสียบแล็ปท็อปเพื่อเชื่อมต่อกับกล้อง จากนั้นก็ปรับโหมดเป็นบันทึกวิดีโอ

หลัวซวินปัดไม้ปัดมือ ในตาฉายแววขุ่นเคือง “ฉันอยากเห็นว่า ‘ผี’ ตัวไหนมันแอบเข้ามาขโมยกินผักในบ้านเรา”

เขามั่นใจได้ว่านี่ไม่ใช่ฝีมือพวกหลี่เถี่ยแน่นอน อย่างแรกคือ เวลาไม่สอดคล้อง ส่วนอย่างที่สอง พวกหลี่เถี่ยก็ปลูกผักไว้ในบ้านเหมือนกัน ต่อให้ผักที่พวกเขาปลูกยังไม่โต แต่ถ้านึกอยากกินผักสดก็มาขอจากพวกตนโดยตรงได้ คงไม่ทำเรื่องผิดศีลธรรมแบบนี้หรอก

เหยียนเฟยก็พยักหน้าน้อยๆ เขาก็รู้สึกว่าใบผักพวกนี้เหมือนถูก ‘ขโมย’ แถมหัวขโมยมีความระวังตัวสูงมาก ในแต่ละวันขโมยใบผักไปแค่ไม่กี่ใบเหมือนกลัวว่าจะถูกเจ้าของจับได้ แต่ที่หลัวซวินคิดไม่ตกก็คือ ทำไมเจ้าหัวขโมยรายนี้ถึงเด็ดไปแต่ใบชั้นล่างสุด มิหนำซ้ำดูเหมือนว่าจะชอบกินผักกาดหอมเป็นพิเศษ ส่วนใบกุยช่ายเขียวชอุ่มที่อยู่ด้านข้างกลับไม่สนใจ

หากเป็นเหยียนเฟย ถ้าไม่อยากให้เจ้าของผักสังเกตเห็นความผิดปกติ เขาจะเด็ดแบบถัวเฉลี่ยต้นละใบให้ดูต้นผักมีขนาดไล่เลี่ยกัน ไม่ใช่เด็ดแค่แถวล่างสุด แบบนี้ช้าเร็วก็ต้องถูกคนอื่นจับสังเกตเข้าสักวัน อย่างนี้สรุปว่าเจ้าหัวขโมยรายนี้ฉลาดหรือโง่กันแน่

หลังกินข้าวเย็นเสร็จ เหยียนเฟยก็ไปตรวจสอบตำแหน่งวางระบบทำความร้อนใต้พื้นในห้องนอนอันว่างเปล่าของบ้านจางซู่ โดยที่เขาจะติดตั้งวาล์วควบคุมแยกออกมาต่างหาก นี่เป็นผลลัพธ์หลังจากปรับแก้แปลนใหม่ คือมีวาล์วและอุปกรณ์ปรับอุณหภูมิแยกไว้แต่ละห้องเพื่อปรับอุณหภูมิให้แตกต่างกันได้ หากห้องไหนไม่ต้องการใช้งานก็ปิดวาล์วห้องนั้น สะดวกกว่าทั้งบ้านติดวาล์วไว้ตัวเดียวแบบของพวกหลี่เถี่ยหลายเท่า แถมยังช่วยประหยัดพลังงานได้อีกด้วย

 

ค่ำคืนผ่านพ้นไปอีกคืน เวลานี้ท้องฟ้าด้านนอกยังมืดอยู่ ระหว่างที่เหยียนเฟยกำลังอุ่นอาหารเช้า หลัวซวินก็รีบไปตรวจดูหน้าจอแล็ปท็อป เมื่อเช็กจนแน่ใจว่าเมื่อคืนบริเวณระเบียงเป็นปกติดีทุกอย่าง เขาก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะไปเปิดที่ครอบโลหะตรงรังนกกระทาออกแล้วจึงหันหลังเดินเข้าไปกินมื้อเช้าในห้องรับแขก

เช้านี้ทั้งคู่กินซาลาเปามังสวิรัติไส้แครอต ซึ่งเป็นแครอตที่หลัวซวินเก็บไว้ก่อนหน้านี้นานมากแล้ว จึงนำมาทำเป็นไส้ซาลาเปาแล้วห่อแช่แข็งไว้ก่อนที่มันจะเน่าเสีย หลายวันมานี้พวกเขาได้แต่กินมื้อเที่ยงที่กองทัพจัดสันมาให้ที่กำแพงฐานที่มั่นชั้นนอก จึงไม่สะดวกที่จะตักอาหารกลับมากินที่บ้านเหมือนอย่างเมื่อก่อน ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงชินกับการทำกับข้าวมื้อเช้าและมื้อเย็นกินเองที่บ้าน

ยังดีที่ช่วงหลายวันมานี้พวกเขาได้คูปองสะสมเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ต่อให้เอาคูปองพวกนี้ไปแลกอาหารที่บู๊ธขายข้าวในฐานที่มั่นกลับมากินก็ไม่มีปัญหา เสียดายก็แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งเกิดการระบาดของไวรัสซอมบี้ ซึ่งสันนิษฐานว่ามีสาเหตุมาจากสุขอนามัยด้านอาหาร ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าไปซื้อของนอกบ้านมากินซี้ซั้ว ถ้าพอมีเวลาว่าง ตอนเย็นก็อาจไปซื้ออาหารในค่ายทหารมากินก็ได้ ทำแบบนี้แล้วประหยัดกว่าด้วย

เพียงแต่ที่บ้านเขาปลูกผักสดไว้มากมาย ใครจะไปทนกินแกงหม้อใหญ่อย่างนั้นทุกวันได้ ดังนั้นเขาจึงเอาผักสดมากินแกล้มด้วยแบบนี้ก็ให้รสชาติที่ไม่เลวเลย

หลังมื้อเช้า ทั้งคู่ไปรวมตัวกับพวกหลี่เถี่ยแล้วขับรถมุ่งหน้าไปที่ค่ายทหารด้วยกัน

ขณะอยู่บนรถพวกหลี่เถี่ยพูดถึงพื้นโลหะตรงโถงทางเดินด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะว่า “พี่เหยียน พี่ใช้กองวัสดุโลหะพวกนั้นสร้างบ้านได้เลย เผลอๆ สะดวกสบายกว่าตึกที่เราอาศัยอยู่ตอนนี้ด้วยซ้ำ”

เหยียนเฟยพูดยิ้มๆ “ช่วงหน้าหนาวยังพอได้ เพราะมีอุปกรณ์ช่วยให้ห้องอุ่นขึ้น แต่ไว้ถึงหน้าร้อนถูกแดดส่องทั้งวัน มีหวังได้ร้อนตับแตกเหมือนอยู่ในเตาอบแน่”

เมื่อได้ยินแบบนั้นทุกคนต่างอึ้งกันไปเล็กน้อย ก่อนตามด้วยเสียงหัวเราะขบขัน จริงด้วยสิ ห่อหุ้มด้วยโลหะขนาดนั้น ถ้าไม่มีมาตรการรับมือ มีหวังร้อนไม่ต่างจากอยู่ในเตาอบแน่นอน! พวกเขายังมองการณ์ไกลไม่มากพอ

หลังจากทำงานมาครึ่งค่อนวัน เมื่อเหยียนเฟยกลับมาถึงบ้าน เขาก็ใช้พลังที่ยังเหลืออยู่ไปจัดการทำบ้านให้จางซู่ต่อ เพียงไม่นานก็วางระบบทำความร้อนใต้พื้นในบ้านจางซู่เสร็จ

หลัวซวินมองท่อที่วางเรียงเต็มพื้น ก่อนจะเริ่มเชื่อมต่อระบบน้ำและไฟฟ้าจนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็เริ่มทดสอบการใช้งาน… แผงพลังงานแสงอาทิตย์ในห้องจางซู่นี้หวังตั๋วย้ายมาจากห้อง 1601 เป็นของที่ตอนออกไปรวบรวมทรัพยากรนอกฐานที่มั่นคราวนั้นหวังตั๋วได้รับส่วนแบ่งของตัวเองมา นอกเหนือจากนี้ยังมีแบตเตอรี่อีกสองลูกที่ไม่รู้ว่าจางซู่ไปหามาจากไหนตั้งแต่เมื่อไร

ทันทีที่ระบบน้ำและไฟฟ้าเริ่มทำงาน หลัวซวินก็เดินตรวจสอบความเรียบร้อยแต่ละห้องในบ้าน ส่วนเหยียนเฟยใช้ช่วงเวลานี้นั่งดูดซับคริสตัลฟื้นฟูพลังจิตอยู่ใกล้ๆ อย่างไรเขาก็มีคริสตัลเหลือทุกวันอยู่แล้ว พอกลับมาถึงบ้านก็จะดูดซับและใช้คริสตัลให้มากที่สุดก่อนนอน ดังนั้นตอนนี้จึงไม่นับว่าสิ้นเปลืองอะไร

หลังทดสอบดูแล้วหลัวซวินก็ยืนพยักหน้าเท้าเอวอยู่ตรงประตู พลางชี้ไปบนพื้นในห้องแล้วพูดว่า “ประสิทธิภาพเป็นไปตามที่คิดไว้เลย แถมทั้งหมดนี้ก็ดูสะดวกกว่าก่อนหน้านี้มาก สามารถปรับและควบคุมอุณหภูมิของแต่ละห้องแยกกันได้ตามใจเลย ฉันยังมีความคิดใหม่ขึ้นมาด้วยว่า เราเอาหลักการนี้ไปประยุกต์ใช้กับห้องควบคุมความร้อนทำให้มันควบคุมอุณหภูมิได้ เดี๋ยวฉันจะไปออกแบบแปลนใหม่ก่อน แล้วเอาไว้ปรับใช้ในห้องของเรา” เมื่อมีพื้นฐานจากเพื่อนบ้านทั้งสองห้องแล้ว ตอนนี้หลัวซวินจึงมีวิธีการที่ดียิ่งขึ้น

แน่นอนว่าสิ่งที่เขาคิดยังต้องหาอุปกรณ์เสริมมาเพิ่มอีก จึงกะว่าพรุ่งนี้ตอนบ่ายจะไปลองหาดูตามแผงลอยริมทาง เผื่อจะหาแลกอุปกรณ์เสริมที่นำกลับมาใช้งานได้บ้าง

เหยียนเฟยมองคนรักที่รีบกลับไปปรับปรุงแบบแปลนด้วยรอยยิ้ม หลังจากเขาดูดซับคริสตัลเสร็จก็ลุกไปปูพื้นห้องให้พวกจางซู่ต่อ เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ เช่นการขยายตัวจากความร้อนและการหดตัวจากความเย็น แต่เวลานี้พวกเขาไม่มีวัสดุนำความร้อนที่ดีกว่านี้ เหยียนเฟยจึงใช้ตาข่ายโลหะแบบพิเศษมาเสริมระหว่างท่อนำความร้อนเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับพื้นก่อนปูทับด้วยพื้นโลหะ

งานนี้ต้องใช้พลังจิตเยอะมาก กระทั่งหลัวซวินวาดแปลนใหม่เสร็จ รวมถึงพวกจางซู่กลับมากันแล้ว เหยียนเฟยก็เพิ่งจะปูเสร็จแค่บริเวณทางเดินกับห้องนอนใหญ่

ตอนหวังตั๋วกับจางซู่เห็นผลงานของเหยียนเฟยแล้วก็รู้สึกพอใจมาก ถึงอย่างไรพวกเขากลับมาบ้านก็ไม่มีกิจกรรมอื่นให้ทำในตอนนี้ ส่วนที่จะใช้งานจริงๆ ก็มีแค่ทางเดินกับห้องนอนใหญ่นี้เท่านั้น

จางซู่กอดอกพลางย่ำลงไปบนพื้นโลหะแรงๆ ก่อนพยักหน้าด้วยความพอใจมาก “ไม่เลวเลย นี่นายทำยังไงเวลาเหยียบลงไปบนพื้นมันถึงไม่มีเสียงเลยสักนิด” ฉนวนกันเสียงนี่ให้ผลลัพธ์ที่ดีจริงๆ

เหยียนเฟยรู้สึกพอใจในผลงานชิ้นเอกของตัวเองและการออกแบบของหลัวซวิน “ฉันจัดการกับโลหะที่คั่นอยู่ตรงกลางไม่ให้มันส่งเสียงน่ะ อ้อ จริงสิ นายไปถามเรื่องนั้นมาหรือยัง”

หากพูดถึงเรื่องความฉลาดแล้ว จางซู่ไม่น้อยหน้าเหยียนเฟยเลย ดังนั้นบทสนทนาของคนฉลาด คนทั่วไปจึงอาจตามไม่ทัน แต่จางซู่กลับเข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายถามถึงเรื่องคริสตัล “พอจะหาคนขอแลกได้ แต่ฉันคิดว่าไม่คุ้มเท่าไร ดังนั้นวันนี้ฉันเลยขอลาออกกับหัวหน้าที่โรงพยาบาล แต่เขาไม่เห็นด้วย” จางซู่พูดพลางเอียงคอยกมือลูบคางตัวเองแล้วกล่าวว่า “ยังดีที่เขายอมให้วันหยุดฉันมาบ้าง เลยว่าจะใช้เวลาช่วงนั้นออกไปหาเอาเอง”

จะไปหาเอาเอง?… นี่จางซู่คิดว่าพวกซอมบี้นอกฐานเป็นหัวมันฝรั่งเรอะ

หลัวซวินที่เพิ่งวาดแปลนใหม่เสร็จแอบแขวะในใจเงียบๆ แต่สำหรับผู้มีพลังพิเศษอย่างจางซู่ ซอมบี้ระดับล่างๆ ก็ไม่ต่างจากการไปขุดมันฝรั่งจริงๆ

“ไง พวกนายสนใจหรือเปล่า” อยู่ๆ จางซู่ก็มองเหยียนเฟยกับหลัวซวินด้วยรอยยิ้มกริ่มจนตาหยี

เหยียนเฟยเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ “นายจะตั้งทีมอออกไปข้างนอกเหรอ”

จางซู่ผายมือยักไหล่อย่างจนใจ “จนถึงตอนนี้กฎของฐานที่มั่นก็ยังเหมือนเดิม ถ้าอยากออกไปนอกฐานต้องจับกลุ่มตั้งทีมและรับภารกิจ แล้วก็ต้องมีสมาชิกทีมไม่ต่ำกว่าสิบคนด้วย ลำพังตัวฉันออกไปข้างนอกคนเดียวก็ไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าเกิดตกอยู่ในวงล้อมของซอมบี้แล้วไม่มีคนช่วยควักคริสตัลให้ ฉันอาจฟื้นฟูพลังพิเศษได้ไม่ทัน” ทีแรกเขากะจะตั้งทีมแบบขอไปทีแค่ให้ออกไปข้างนอกได้ก็พอ หลังออกไปนอกฐานได้แล้วค่อยแยกตัวไปฆ่าซอมบี้เอง แบบนี้จะช่วยตัดปัญหาความยุ่งยากไปได้ไม่น้อย แต่พอลองคิดทบทวนดูแล้ว ถ้าเขาบังเอิญไปเจอซอมบี้ฝูงใหญ่ แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปเก็บคริสตัลได้ทัน แล้วถ้าไม่มีคริสตัลจะฟื้นฟูพลังจิตของตัวเองได้อย่างไร ต่อให้เขามีพลังพิเศษแข็งแกร่งแค่ไหนมันก็ต้องมีหมดพลังกันได้อยู่แล้ว

ดังนั้นเขาจึงนึกถึงเหยียนเฟยกับหลัวซวินและพวกหลี่เถี่ย

“อะไรเหรอๆ กำลังคุยเรื่องออกไปหาคริสตัลกันอยู่ใช่หรือเปล่า” ดูเหมือนระหว่างทางกลับที่พักพวกเขาจะคุยเรื่องนี้กันมาแล้ว พวกหลี่เถี่ยจึงเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้นอย่างมาก

ตั้งแต่คราวก่อนที่เกิดเรื่องขึ้นบนชั้นสิบห้า พอพวกหลี่เถี่ยกลับมาถึงบ้านก็มักหยิบท่อเหล็กของใครของมันมายกขึ้นยกลงเป็นร้อยทีเพื่อฝึกร่างกายทุกวัน ดังนั้นพอได้ยินว่าจางซู่จะออกไปตามล่าหาคริสตัลนอกฐานที่มั่น จึงแสดงออกอย่างชัดเจนว่าพวกเขาก็อยากมีส่วนร่วมด้วยเหมือนกัน

จุดประสงค์ของพวกเขาไม่ได้อยู่ที่คริสตัลเหล่านั้น แต่เป้าหมายหลักของทุกคนคือต้องการฝึกฝนตัวเองให้มีทักษะการต่อสู้ในยุควันสิ้นโลก หากวันใดฐานที่มั่นแตกขึ้นมา พวกเขาจะได้ไม่กลายเป็นโอตาคุจอมห่วยขนานแท้ที่แสนอ่อนแอไร้กำลัง

เหอเฉียนคุนยกมือและเอ่ยขึ้น “หัวหน้าผมบอกว่า พวกผมหยุดงานได้เดือนละสองวัน ซึ่งเดือนนี้พวกผมยังไม่ได้ใช้โควตานั้นเลย”

หลัวซวินคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงหันไปมองเหยียนเฟย “พวกเราก็มีวันหยุดนี่ แต่ต้องรอให้สร้างกำแพงชั้นนอกรอบนี้เสร็จก่อน แล้วค่อยเริ่มงานรอบใหม่อีกทีตอนต้นเดือนมีนาคม”

จางซู่เชิดคางขึ้นพลางระบายยิ้มตรงมุมปากจางๆ “ฉันขอเปลี่ยนวันหยุดไปเป็นสองวันนั้นได้”

“พวกผมก็ด้วย” หวังตั๋วรีบยกมือพูดแทนพวกหลี่เถี่ย

“ถ้างั้นแบบนี้พวกเราก็มีสมาชิกแปดคนแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยหาใครมาเพิ่มอีกสองคนก็พอ” หลัวซวินเอ่ยยิ้มๆ ปัจจุบันเขาฆ่าซอมบี้อยู่บนกำแพงเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว ดังนั้นฝีมือการยิงหน้าไม้ของเขาจึงพัฒนาขึ้นจนยิงได้แม่นยิ่งกว่าจับวาง แม้ว่าตอนปะทะกับซอมบี้ขั้นสองที่มีพลังพิเศษจะรับมือยากขึ้นอีกนิดหน่อย แต่ถ้าไม่ได้อยู่ไกลเกินวิถีการยิงของหน้าไม้ การสู้กับซอมบี้นอกฐานที่มั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร

เหยียนเฟยไม่มีความเห็นใดต่อเรื่องนี้ ถึงเขาจะมีคริสตัลที่ใช้ไม่หมดในแต่ละวันเก็บไว้ได้ส่วนหนึ่ง แต่เขาก็ไม่เคยใช้พลังพิเศษในการต่อสู้เลย ดังนั้นสัญชาตญาณในการระวังภัยของเขาจึงค่อยๆ ลดน้อยถอยลง เหมือนอย่างตอนเจอซอมบี้ธาตุไฟคราวก่อน ถ้าเขายังรักษาสัญชาตญาณแห่งการระวังภัยไว้ได้อยู่ เรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นเด็ดขาด

พวกเขาไม่ได้อยากเป็นเหมือนทีมที่ต้องการออกไปตระเวนรวบรวมทรัพยากรและเสบียงนอกฐานไปทั่วพวกนั้น แค่ต้องการออกไปล่าคริสตัลเพื่อฝึกสัญชาตญาณแห่งการต่อสู้ของตัวเอง

“อย่างนั้นก็ตกลงตามนี้ หนนี้พวกเราออกไปดูลาดเลาก่อน ถ้าทุกอย่างราบรื่นก็อาจจะออกไปเดือนละครั้ง แต่ถ้ามันอันตราย…” เหยียนเฟยหันไปมองพวกหลี่เถี่ย “แบบนั้นต่อไปถ้าฉันกับจางซู่จำเป็นต้องออกไปหาคริสตัลนอกฐาน คนธรรมดาก็อยู่ในฐานที่มั่นแล้วกัน” คนธรรมดาที่เหยียนเฟยพูดหมายรวมถึงหลัวซวินด้วย แม้หลัวซวินจะยิงหน้าไม้แม่นมาก แต่ถ้าสถานการณ์ข้างนอกเลวร้าย เขาจะยอมให้หลัวซวินออกไปเสี่ยงชีวิตได้อย่างไร ให้ปลูกผักเลี้ยงนกกระทาอยู่บ้านเฉยๆ จะดีกว่า

“ไม่มีปัญหา” หลัวซวินขานตอบด้วยรอยยิ้มสดใสก่อนเป็นคนแรก เขารู้ฝีมือของตัวเองดี แล้วก็รู้ความสามารถของซอมบี้นอกฐานในเวลานี้ดี รวมถึงรู้ด้วยว่าฝีมือของตนตอนนี้รับมือได้สบาย จึงหันไปพูดกับพวกหลี่เถี่ย “ในบ้านฉันยังมีหน้าไม้กับลูกธนูเก็บไว้ ออกไปข้างนอกรอบนี้จะให้พวกนายยืมไปใช้ก่อน ถ้าพวกนายใช้คล่อง ตอนออกไปก็ถือโอกาสหาเหล็กกลับมาเอาไว้สร้างเป็นอาวุธให้พวกนายด้วยเลย เพราะถ้าพวกนายใช้หน้าไม้ไม่ถนัดจะได้ไม่ต้องทำใหม่ให้เสียของ”

“ได้เลยครับ ไม่มีปัญหา!”

“รับทราบครับ พี่เหยียน พี่หลัว” เด็กหนุ่มทั้งห้าคนรีบพยักหน้าหงึกๆ พวกเขาอยากลองออกไปหาประสบการณ์ ทว่าไม่ได้คิดจะทำตัวเป็นวีรบุรุษผู้กล้าอะไรทั้งนั้น

หลัวซวินเห็นด้วยกับเหยียนเฟยที่จะออกไปนอกฐานกับพวกหลี่เถี่ย ไม่ใช่เพียงเพราะว่าทุกคนควรเพิ่มทักษะการระวังภัยให้มากขึ้น แต่เพื่อจะได้ฝึกฝนปฏิกิริยาตอบสนองและรู้จักรับมือกับความตึงเครียดในการสู้กับซอมบี้ด้วย โดยเฉพาะเวลานี้มีซอมบี้ข้างนอกบางตัวกลายเป็นซอมบี้ขั้นสองไปแล้ว ถึงจะยังมีจำนวนไม่มากก็ตาม

อย่างน้อยในช่วงสองวันนี้ตอนที่หลัวซวินกับเหยียนเฟยกำลังสร้างกำแพงชั้นนอก ก็ไม่เจอซอมบี้ที่ใช้พลังพิเศษได้โผล่มาให้เห็นอีก

เมื่อกลับเข้าบ้านตัวเอง หลัวซวินไปตรวจดูความเรียบร้อยตรงระเบียงก่อนตามปกติ พลันเหลือบเห็นแล็ปท็อปวางอยู่ตรงนั้น จึงนึกขึ้นมาได้ว่าตนเอาแล็ปท็อปมาตั้งไว้ตรงนี้เพราะใบผักในบ้านเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ครั้นเห็นหลัวซวินสาละวนอยู่กับคอมพิวเตอร์ เหยียนเฟยก็ยื่นหน้าเข้ามาดูด้วย แม้จะรู้สึกอ่อนเพลียมาก แต่ทั้งสองก็สงสัยสุดๆ ว่าผักที่บ้านของพวกเขาถูกใครขโมยไปกันแน่

เพื่อจะได้ชำระหนี้แค้นถูกตัว ต่อให้ความจริงแล้วผักบ้านพวกเขาอาจจะใบเหี่ยวแห้งปลิวไปกับลมเองก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องสืบหาความจริงให้กระจ่าง

ทั้งสองเปิดไล่ดูภาพวิดีโอที่บันทึกไว้ตลอดทั้งวัน ขณะที่ดูกันไปเรื่อยๆ บนจอภาพที่แทบเหมือนหยุดนิ่งปราศจากความเคลื่อนไหวมาตลอดก็มีร่างเจ้าตัวเล็กโผล่เข้ามาในกล้อง เพราะปกติเจ้าตัวเล็กชอบวิ่งเพ่นพ่านไปทั่วทุกมุมบ้าน ด้วยเหตุนี้พอเห็นมันเดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวชั้นปลูกผักสักพัก ทั้งสองจึงไม่ได้ใส่ใจ กระทั่งใกล้เวลาที่พวกเขาสองคนจะกลับบ้านก็ยังไม่พบว่าจะมีอะไรมาขโมยใบผักของพวกเขาเลย

“…นี่มันอะไรกัน” หลัวซวินและเหยียนเฟยหันมามองหน้ากัน ทั้งสองดูภาพวิดีโอที่บันทึกไว้ตั้งแต่เวลาเช้ายันค่ำ แต่กลับไม่เจอสิ่งผิดปกติเลยสักนิด ทว่าเมื่อเทียบกับรูปที่หลัวซวินถ่ายเก็บไว้เมื่อวาน ใบผักบ้านเขามันน้อยลงจริงๆ หรือพวกเขาจะถูกผีหลอกเข้าให้แล้ว

“ยกแล็ปท็อปขึ้นไปค่อยๆ ไล่ดูบนห้องนอนอีกที” เหยียนเฟยเห็นว่าผ่านไปพักใหญ่แล้วยังไม่เจอสิ่งผิดปกติ จึงยกแล็ปท็อปขึ้นไปบนห้องนอนชั้นลอย เมื่อทั้งคู่อาบน้ำเสร็จก็มานั่งจับตาดูหน้าจออยู่บนเตียงด้วยกัน

พวกเขาปรับระดับความเร็วของภาพให้ช้าลง แล้วสังเกตการเปลี่ยนแปลงของใบผักอีกที โดยการเปรียบเทียบผักกาดหอมต้นที่สามนับจากฝั่งซ้ายเพื่อดูว่าใบผักหายไปช่วงเวลาไหน และแล้ว…

“เอ๋ เดี๋ยวนะ! ย้อนกลับไปตรงเมื่อกี้ใหม่อีกที” หลัวซวินชี้ไปที่หน้าจอและหยุดภาพไว้ ทั้งสองเห็นใบผักที่อยู่ด้านนอกสุดหายไปตอนนี้ แต่เมื่อครู่…

“จะ…เจ้าตัวเล็ก!” หลัวซวินและเหยียนเฟยมองภาพหน้าจอแบบแทบไม่อยากจะเชื่อ พวกเขาย้อนภาพกลับไปตอนที่เจ้าตัวเล็กเข้ามาในมุมกล้อง แล้วเปรียบเทียบดูอย่างละเอียดอีกที…ก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะโผล่มา ใบผักมันยังอยู่ แต่หลังจากเจ้าตัวเล็กเดินออกไป ใบผักก็หายไป แบบนี้…ยังต้องถามอะไรอีก

ทั้งสองใส่เสื้อคลุมเรียบร้อยก็วิ่งลงมาที่ชั้นหนึ่ง ส่วนเจ้าตัวเล็กที่ได้ยินเสียงฝีเท้าเจ้านายก็กระดิกหางชูคอมองอยู่บนเบาะเล็กๆ ของมัน ต่างฝ่ายต่างจ้องตากันไปมาอยู่นาน

ครั้นเห็นเจ้าตัวเล็กกระดิกหางแหงนคอมองพวกตนด้วยสีหน้าไม่รู้อีโหน่อีเหน่ หลัวซวินกับเหยียนเฟยก็รู้สึกเหมือนมวนท้องขึ้นมานิดๆ ตอนนี้จะให้พวกเขาทำอย่างไร ให้ถามมันเหรอ แล้วเจ้าตัวเล็กจะตอบอะไรพวกเขาได้

หรือไม่ถาม แต่ถ้าไม่ถาม พวกเขาจะแน่ใจได้อย่างไร

ทันใดนั้นเหยียนเฟยก็เดินไปที่ระเบียง เพียงไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมกับถือใบผักกาดหอมสีเขียวชอุ่มติดมือมาใบหนึ่ง จากนั้นก็ยื่นใบผักไปตรงหน้าเจ้าตัวเล็ก

เจ้าตัวเล็กมองเหยียนเฟยแล้วเลื่อนสายตาไปมองใบผักกาดหอม จากนั้นก็เหลือบไปมองหลัวซวิน ทำตาปริบๆ ราวกับเป็นผู้บริสุทธิ์ไร้มลทิน

หลัวซวินกระตุกมุมปากเล็กน้อยพลางรับใบผักไป เขาฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วยื่นส่งไปที่ปากของเจ้าตัวเล็ก “เอ้า กินสิ” สุนัขจะกินอาหารตอนที่ไม่หิวไหม ยิ่งกว่านั้นคือมันจะกินผักหรือเปล่า หลัวซวินกับเหยียนเฟยก็ไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้พวกเขาสองคนร้อนใจจนทนรอให้ถึงเวลากินอาหารมื้อถัดไปของเจ้าตัวเล็กไม่ไหวแล้ว

เจ้าตัวเล็กมองหลัวซวินแล้วมองไปที่ผักกาดหอมชิ้นเล็กนั่น เล็กนิดเดียวเอง กินไปก็คงไม่อะไรหรอก หนำซ้ำเจ้านายทั้งสองยังป้อนให้ถึงปากเชียวนะ ดังนั้นเจ้าตัวเล็กจึงอ้าปากงับแล้วเคี้ยวหยับๆ…

กินเข้าไปจริงๆ ด้วย!! สุนัขบ้านเขากินผัก!! พวกเขาเลี้ยงสุนัขที่กินผักเป็นด้วย!!

ทั้งสองตกตะลึงอ้าปากหวอมองตาค้างราวกับถูกฟ้าผ่าเมื่อได้เห็นฉากที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นนี้ ผ่านไปนานมากกว่าพวกเขาจะดึงสติกลับมาได้ ทั้งคู่หันมามองหน้ากัน

สุดท้ายเหยียนเฟยเป็นคนได้สติก่อน จึงตบบ่าหลัวซวินปุๆ “มันกินผักแบบนี้น่าจะเลี้ยงง่ายกว่ากินเนื้อสัตว์เยอะเลย ถึงอาหารหมาที่บ้านมีเก็บไว้เยอะแค่ไหน อย่างมากก็พอให้มันกินได้ปีเดียว” แม้หลัวซวินจะซื้ออาหารสุนัขเก็บไว้เยอะมาก แต่ของพวกนี้มีวันหมดอายุ ในตอนนั้นต่อให้เขาเตรียมการป้องกันไว้ดีอย่างไรก็ไม่มีทางซื้ออาหารสุนัขเก็บไว้ให้เจ้าตัวเล็กกินได้ตลอดอายุขัยของมัน ด้วยเหตุนี้ถ้าสุนัขบ้านเขาสามารถปรับตัวกินผักได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับหลัวซวินและเหยียนเฟย

แต่…

“หมาของฉัน… กินมังสวิรัติ…” หลัวซวินพิงศีรษะซบไหล่เหยียนเฟย พลางคิดว่าโลกใบนี้ไม่ปกติแล้ว

เหยียนเฟยตบบ่าปลอบคนรัก “ก็ดีกว่านายกลับมาบ้านแล้วเจอมันกินนกกระทาพวกนั้นลงท้องไปนะ”

พูดอีกก็ถูกอีก หลัวซวินคล้อยตามแล้วปลอบตัวเองให้สบายใจ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปทางบันไดพร้อมกับเหยียนเฟย ส่วนผักพวกนี้… ยังต้องป้องกันไม่ให้เจ้าตัวเล็กไปขโมยกินอีกหรือเปล่านะ

จะป้องกันไปทำไม! ในเมื่อเจ้าตัวเล็กก็เป็นสมาชิกในครอบครัวของเขา เขาเลี้ยงมันเหมือนเป็นลูกชาย กับแค่ผักไม่กี่ใบ อยากกินก็กินไปเถอะ ยังไงเขาก็เลี้ยงไหวอยู่แล้ว

 

เย็นวันก่อนเหยียนเฟยช่วยวางระบบทำความร้อนใต้พื้นให้บ้านจางซู่เสร็จแล้ว พอวันต่อมาเมื่อทั้งสองเลิกงาน เหยียนเฟยก็มาช่วยปูพื้นบ้านให้ต่อ ส่วนเฟอร์นิเจอร์และการเสริมผนังให้แข็งแรงยิ่งขึ้นไว้ค่อยทยอยทำทีหลัง จางซู่หากระดาษมาลิสต์รายการเฟอร์นิเจอร์ที่ตนต้องการทั้งหมดส่งให้พวกเหยียนเฟยด้วย หลัวซวินจึงนึกอยากออกแบบเพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองเพิ่มขึ้นมาอีกขั้นโดยอิงจากวัสดุที่จางซู่หามาได้เหล่านั้น เขาวาดโต๊ะเก้าอี้และม้านั่งรูปทรงแปลกๆ ที่มีฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลายออกมา เตรียมไว้ให้เหยียนเฟยดัดแปลงประยุกต์ใช้กับเฟอร์นิเจอร์ในบ้านตัวเอง

หลังจากทาสีห้อง 1603 รอบสุดท้ายเสร็จ ครั้งนี้ผนังแห้งไวกว่ารอบก่อนๆ มาก ไม่กี่วันต่อมาพวกเขาจึงเตรียมจัดการวางระบบทำความร้อนใต้พื้นและปูพื้นบ้านตัวเอง แน่นอนว่าเขาเลือกใช้ระบบตามที่เคยทำให้ห้องของจางซู่มาก่อน ถ้าการปูพื้นด้วยโลหะให้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ พวกเขาทั้งสองก็จะพิจารณาว่าจะปูพื้นด้วยโลหะเช่นกัน ส่วนพื้นไม้เดิมพวกนั้นก็จะเอาออกไปขายแทน ในฐานที่มั่นมีคนแย่งกันซื้อไม้เพื่อนำกลับไปใช้ทำฟืนสำหรับหุงต้มอาหารกันให้เกลื่อน แม้ตอนเผาไฟมันจะมีกลิ่นฉุนมาก แต่พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจ

แต่หลัวซวินแนะนำให้เก็บไว้จนถึงฤดูใบไม้ร่วงหรือประมาณฤดูหนาวของปีนี้ก่อนแล้วค่อยนำไปขาย เมื่อถึงตอนนั้นย่อมต้องได้ราคาดีกว่าแน่นอน ส่วนเรื่องที่ว่าของเยอะแยะขนาดนี้จะไปกองไว้ที่ไหนนั้น เขาทำชั้นวางของมาตั้งตรงโถงทางเดินไว้ใช้เก็บของจิปาถะก็ได้นี่ นอกจากโถงทางเดินหน้าห้องแล้ว ก็อย่าลืมว่าพวกเขาอยู่ชั้นบนสุดของตึก จากชั้นลอยของห้องหลัวซวินสามารถขึ้นไปบนหลังคาได้โดยตรง ปัจจุบันยังไม่มีใครคิดสนใจพื้นที่บนหลังคา ดังนั้นพวกเขาจะเป็นผู้นำในการใช้มันให้เกิดประโยชน์เป็นรายแรกเอง

เวลาผ่านไปไวมาก ในแต่ละวันพวกเขาอยู่บ้าน ออกไปค่ายทหาร ไปสร้างกำแพง กลับมาที่ค่ายทหาร แล้วก็กลับบ้าน วงจรชีวิตหมุนเวียนอยู่แค่สถานที่สามแห่งแบบนี้ไปเรื่อยๆ ด้วยความมานะพยายามของเหยียนเฟยและผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะอีกสามคน งานสร้างกำแพงจึงรุดหน้าไปไกล ขณะเดียวกันหลัวซวินและเหยียนเฟยก็ช่วยกันสร้างสิ่งต่างๆ ภายในบ้านด้วยความขยันขันแข็ง อีกสามวันก็จะถึงเดือนมีนาคมแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็สะสางงานทุกอย่างเสร็จสิ้นไปอีกขั้น

กำแพงฐานที่มั่นชั้นนอกในตอนนี้พวกเขาหุ้มโลหะชั้นนอกสุดสูงไปถึงหกเมตรแล้ว จึงส่งงานให้กับพวกผู้มีพลังพิเศษธาตุดินจัดการต่อได้

สำหรับตึกที่พวกเขาอยู่ ห้องจางซู่ก็ปูพื้นเรียบร้อยไปนานแล้ว ซึ่งตอนนี้เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดในบ้านล้วนทำจากโลหะหลากหลายสีสัน รวมถึงเตียงเหล็กคิงไซส์ที่วางไว้ในห้องนอนใหญ่ของพวกเขาด้วย หวังตั๋วพอใจกับเจ้าสิ่งนี้มาก (เพราะเวลาทำกิจกรรมเข้าจังหวะมันแข็งแรงสุดๆ ไปเลย)

ผนังห้องที่กรรมสิทธิ์เป็นชื่อของเหยียนเฟยเองก็แห้งสนิทดีตั้งนานแล้วเช่นกัน เขาวางระบบทำความร้อนใต้พื้นตามการออกแบบใหม่ล่าสุดของหลัวซวินจนเสร็จเรียบร้อย หลังจากที่ทั้งสองได้ลองเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำงานของระบบทำความร้อนระหว่างห้องพวกหลี่เถี่ยกับห้องของจางซู่แล้ว ก็ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดว่าจะยอมทิ้งพื้นไม้และเปลี่ยนมาใช้โลหะปูพื้นแทน

ประการแรกคือ ประสิทธิภาพของฉนวนกันเสียงใต้พื้นโลหะนั้นดีมากจริงๆ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงตั้งใจลงมาลองฟังผลลัพธ์การเก็บเสียงที่ชั้นสิบห้าที่ห้อง 1502 ของสวีเหมยอยู่นานพักใหญ่ โดยให้หวังตั๋วกับเหอเฉียนคุนจอมอ้วนที่ตัวหนักสุดกระโดดตึงตังอยู่ชั้นบน พวกเขาที่อยู่ชั้นสิบห้ากลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยสักแอะ แน่นอนว่าการที่ทั้งหมดเข้ามาฟังเสียงในห้อง1502 ต้องได้รับการอนุญาตจากสวีเหมยผู้เป็นเจ้าของห้องอยู่แล้ว ปัจจุบันทั้งชั้นสิบห้ามีเพียงสวีเหมยซึ่งเป็นผู้หญิงอาศัยอยู่เพียงคนเดียว และไม่มีคนใหม่ย้ายเข้ามา ช่วงนี้เธอออกไปปฏิบัติภารกิจข้างนอกตลอด เพราะเธอรู้ว่าขอเพียงหาวัสดุโลหะกลับมาได้มากพอ เหยียนเฟยก็ยินดีที่จะช่วยใช้โลหะดัดแปลงทำสิ่งต่างๆให้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงออกไปเสาะหาโลหะต่างๆ มาเก็บสะสมไว้เป็นจำนวนมาก หลังขนโลหะกลับมา เธอขอให้พวกเขาทำประตูเหล็กบานใหญ่ล็อกชั้นสิบห้าแบบเดียวกับบนชั้นสิบหก

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า