โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则
暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล
นิยาย 7 เล่มจบ
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
____________________________________
บทที่ 8 ความเปลี่ยนแปลงภายในบ้านหลังเกิดเหตุวันสิ้นโลก
…ถึงตอนนี้ สัตว์น้ำในบ้านสกุลหลัวตายเรียบ
ในคืนเดียวกัน เหยียนเฟยกำลังนั่งฟังบรรดาลูกน้องหลายคนถกเถียงกันเรื่องโปรเจ็กต์ด้วยสีหน้าเย็นชาอยู่ในห้องประชุม ชายหนุ่มเบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่ตั้งใจ ครั้นเห็นจุดแสงสีเขียวจำนวนมากก็เลิกคิ้วขึ้น ดวงตายาวรีเหมือนกลีบดอกท้อฉายแววประหลาดใจวูบหนึ่ง
“เลิกประชุม”
“หา?”
“ทะ…ท่านประธานเหยียน?”
“มีเรื่องอะไรพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” ความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบายผุดขึ้นในใจ เหยียนเฟยรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ เป็นความรู้สึกอันตรายที่แฝงมาด้วย…การรอคอย?
เหมือนมีบางอย่างกำลังจะเปลี่ยนแปลงในไม่ช้า เปลี่ยนแปลงความฟอนเฟะและเสื่อมทรามนี้ แต่เขาเองก็ไม่มั่นใจว่ามันจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น…หรือจมดิ่งสู่ห้วงเหวที่หดหู่และไร้สิ้นหนทางยิ่งกว่าเดิม
แสงแดดยามเช้าสาดส่องกระทบใบหน้า ปลุกผู้ที่หลับใหลในห้วงนิทราให้ตื่นขึ้นอย่างไม่ปรานี
เปลือกตาหลัวซวินขยับไหวไปมาสองสามทีก่อนลืมตาขึ้น เขามองหน้าต่างขาวโพลนอย่างงงงวยเล็กน้อย ก่อนจะกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง
วันสิ้นโลก! วันสิ้นโลกมาถึงแล้ว!
ในชาติที่แล้วเขาไม่ได้เห็นท้องฟ้าในคืนวันสิ้นโลกเองกับตา แต่ได้ยินได้ฟังจากผู้ร่วมชะตากรรมคนอื่นๆ พูดถึงเรื่องนี้ตอนกำลังหนีภัย
จนถึงตอนนี้เขายังจำได้แม่น คนคนนั้นกล่าวโทษตัวเองพร้อมกับก่นด่า ‘ถ้ารู้ว่านั่นคือโลกาวินาศ ตอนนั้นฉันก็คงเตรียมตัวรับมือไปแล้ว! ตอนนั้นฉันมันโง่เง่า เวลาไหนแล้วยังมัวแต่นั่งจีบสาวในเกมอยู่อีก นี่ยังนึกว่าตัวเองตาลายเห็นจุดแสงสีเขียวบนท้องฟ้าเพราะจ้องหน้าจอนานเกินไปซะอีก แถมยังเอาเรื่องนี้ไปพูดหยอกล้อกับสาวสวยในเกมด้วย สรุปพอพูดไปสักพักคอมพิวเตอร์ก็เริ่มขยับไม่ไป คนในทีมต่างทยอยหยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อน โดนโจมตีตายกันยกทีม… คิดถึงตรงนี้ เวลานั้นพวกเขาคงกลายเป็นซอมบี้ไปแล้วมั้ง ยังจะมานั่งเล่นเกมได้ยังไงกันล่ะ’
ตอนนี้เขาได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว
หลัวซวินเริ่มตรวจดูมือทั้งสองข้าง เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด มือของเขายังเป็นมือคู่เดิม มือที่ทำงานหนักในช่วงหลายวันที่ผ่านมาจนมีแผลเพิ่มขึ้นหลายจุด ผิวพรรณก็หยาบกร้านขึ้นไม่น้อย
เขาหลับตาลง ทำสมาธิเหมือนที่พวกผู้มีพลังพิเศษพวกนั้นชอบทำ…แต่ไม่รู้สึกถึงอะไรเลย เขาจึงคว้าไม้เบสบอลเหล็กที่ถูกดัดแปลงเป็นกระบองเขี้ยวหมาป่าตรงข้างเตียงขึ้นมา…อื้ม…ยังหนักอึ้งเหมือนเดิม ดูท่าว่าเขาก็ยังเป็นคนธรรมดาตามเดิม
เขาถือกระบองเขี้ยวหมาป่าค่อยๆ เดินไปที่ประตูอย่างระมัดระวัง แล้วเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวด้านนอก…เงียบสงบมาก
หลัวซวินเปิดประตูห้องก่อนย่องไปที่เฉลียงดาดฟ้าแล้วเลื่อนเปิดประตูออกไป ตรงเฉลียงดาดฟ้าเงียบจนน่าใจหาย มีพืชบางส่วนเกิดการกลายพันธุ์ไปบ้างแล้ว
ชั้นรางปลูกผักสี่ชั้นมีต้นกล้าทั้งหมดสามสิบสามต้น ในจำนวนนั้นมีหกต้นเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง ส่งกลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมาจางๆ
พืชติดเชื้ออย่างที่คาดไว้จริงๆ
พืชที่ติดเชื้อจนเป็นสีน้ำตาลแดงเอามากินไม่ได้ ซ้ำยังมีพิษร้ายแรงมากอีกด้วย เมื่อกินเข้าไปมีโอกาสกลายเป็นซอมบี้สูงมาก
หลัวซวินรีบหยิบถุงมือยางขึ้นมาสวม แล้วจัดการถอนต้นกล้ากลายพันธุ์พวกนั้นใส่กระถางกระเบื้องแล้วเผาทิ้ง
นอกจากต้นกล้าหลายต้นนี้ที่ติดเชื้อแน่ๆ แล้ว ยังมีต้นกล้าอีกสี่ต้นที่ดูแปลกไปเล็กน้อย สองในสี่ต้นนั้นใบกลายเป็นสีเหลือง…สีเหลืองทอง หนึ่งต้นเป็นสีแดงสว่าง อีกหนึ่งต้นกลายเป็นสีบรอนซ์เทา
หลัวซวินย้ายต้นพวกนั้นออกมา ปลูกแยกไว้ในรางเดี่ยว
พืชกลายพันธุ์อาจจะไม่ออกลูกออกผลเลย หรือไม่ก็อาจจะมีลูกดกมากกว่าปกติ แต่ที่เป็นไปได้มากที่สุด…คือเปลี่ยนไปเป็นพืชชนิดอื่นอย่างสิ้นเชิง
ข้าวของทั่วไปบนชั้นลอยไม่มีปัญหาอะไร หลังจากตรวจดูสภาพต่างๆ ภายในห้องหลายรอบจนแน่ใจแล้ว หลัวซวินก็ถือกระบองเขี้ยวหมาป่าเดินลงมาที่ชั้นล่างทีละก้าว ๆ อย่างช้าๆ
ตึงๆ ตึงๆๆ …
โฮ่งๆ โฮ่งๆๆ!
หลัวซวินชะโงกตัวออกมาเล็กน้อย กวาดตามองลงไป แล้วถอนหายใจโล่งอกออกมาเฮือกใหญ่
กุ้งที่เหลือรอดมาสามตัวพากันหงายท้องหมดแล้ว คาดว่าออกซิเจนในขวดคงมีไม่พอ
ในจำนวนปลาสี่ตัว มีหนึ่งตัวกลายเป็นปลาซอมบี้ ตอนนี้กำลังดีดดิ้นอยู่ในลัง ปลาทั้งสี่ตัวนี้มีขนาดความยาวเท่านิ้วมือ หลังตักแยกใส่ขวด หลัวซวินก็ตัดความยุ่งยากโดยเอาทั้งสี่ขวดใส่ลงในลังพลาสติกแยกไว้สี่มุม
ตอนนี้ปลาตัวที่กลายเป็นซอมบี้กระแทกชนขวดแต่ละขวดจนล้มคว่ำระเนระนาด สองในสามตัวที่เหลือคงขาดอากาศหายใจตายไปตั้งแต่เมื่อคืนหรือไม่ก็เมื่อตอนรุ่งสาง ส่วนอีกตัวถูกกินจนเหลือแต่ก้าง
ส่วนเจ้าตัวเล็กส่งเสียงเห่าอยู่ในกรงด้วยอาการคึกคักมากเป็นพิเศษ
หลัวซวินก้าวยาวๆ เข้าไป ใช้กระบองเขี้ยวหมาป่าทุบปลาซอมบี้ตายคาที่ในครั้งเดียว…ถึงตอนนี้ สัตว์น้ำในบ้านสกุลหลัวตายเรียบ
“แกไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” หลัวซวินลูบหัวเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในกรงด้วยใบหน้าเกลื่อนรอยยิ้ม ทั้งกุ้งและปลาพวกนี้ตายแล้วก็ตายไป เขาไม่เสียใจหรอก แค่เจ้าตัวเล็กยังสบายดีก็ถือว่ากำไรมหาศาลแล้ว
“เดี๋ยวฉันเอาอาหารมาให้ รอก่อนนะ” หลัวซวินบอกเจ้าตัวเล็กด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทำเอาเจ้าตัวเล็กเอียงคอมองเจ้านายอย่างงงๆ แล้วหันไปมองลังพลาสติกซึ่งก่อนหน้านี้มีเสียงดังตึงตังไม่หยุด
สิ่งที่ทำให้หลัวซวินคาดไม่ถึงก็คือ เจ้านกกระทาทั้งแปดตัวยังอยู่ในสุ่มขวดอย่างปลอดภัยไร้รอยแผล ไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่ตัวเดียว
พวกหนอนนกก็ยังเหมือนเดิม ไต่ยุ่บยั่บอยู่เงียบๆ ไม่มีร่องรอยการกลายพันธุ์เลยแม้แต่น้อย พวกไส้เดือนยังคงขดพันกันเป็นก้อน ประท้วงพฤติกรรมอันไร้มนุษยธรรมของหลัวซวินที่ไปขุดพวกมันขึ้นมาจากดินแล้วเอามาขังไว้ในนี้ตั้งแต่เมื่อคืน
“พลังชีวิต…แข็งแกร่งจังนะ”
หลัวซวินพูดอย่างดีใจพร้อมกับย้ายพวกมันไปไว้ที่เดิม
สุดท้ายก็มาตรวจดูที่ระเบียง ต้นกล้าแอ๊ปเปิ้ลต้นหนึ่งเกิดการติดเชื้อ ต้นกล้าส้มกลายพันธุ์ไปหนึ่งต้น
ส่วนพริกหอมสามต้นกับโป๊ยกั้กตายไปอย่างละหนึ่งต้น หลัวซวินมองดูต้นไม้ที่เหลือรอดปลอดภัยดีก็รู้สึกพอใจมากแล้ว
หลัวซวินนำต้นไม้ที่ติดเชื้อมาเผาที่เดียวกับซากปลาซอมบี้ตรงเฉลียงดาดฟ้า สุดท้ายเขาเข้าไปตรวจเช็กห้องเพาะต้นกล้า… สิ่งที่น่าเศร้าคือ เห็ดในห้องเพาะต้นกล้ากลายพันธุ์ไปกว่าครึ่ง เขามองเห็ดสีแดงสดเป็นเงามันวาววับขึ้นกว่าเดิม มีชีวิตชีวามากขึ้นหลายเท่า ตีให้ตายหลัวซวินก็ไม่กล้ากิน ได้แต่รีบกำจัดทิ้งโดยเร็วที่สุด
โชคดีที่เขารู้อยู่แล้วว่าเห็ดเพาะยาก ชาติก่อนตอนที่ขลุกอยู่ในห้องใต้ดิน เขางมอยู่กับพวกมันแทบตาย ดีที่ปัจจุบันไม่ต้องฝากความหวังไว้ที่พวกมันอีกต่อไปแล้ว
หลังเผาของอันตรายทิ้งจนหมด หลัวซวินยังคงยืนอยู่ตรงเฉลียงดาดฟ้า ในมือถือกล้องส่องทางไกลตรวจดูสถานการณ์ความเป็นไปด้านล่าง
เจ้าตัวเล็กถูกเขาปล่อยออกมาจากกรงแล้ว เวลานี้มันกำลังกระโดดหย็องแหย็งพลางเอาหัวซุกไซ้ออดอ้อนให้เขาอุ้ม แล้วก็เปลี่ยนมางับขากางเกงเขาเป็นบางครั้ง เขาไม่คิดจะเปลี่ยนชื่อให้มัน ตัดสินใจเรียกมันว่าเจ้าตัวเล็กแบบนี้แหละ แถมดูใกล้ชิดเป็นกันเองและน่ารักดี… ที่สำคัญที่สุดก็คือ ‘ชื่อไม่ดีช่วยแก้เคล็ดให้เลี้ยงง่าย’
“ดูเหมือนสถานการณ์ข้างนอกไม่ค่อยดีเลย” หลัวซวินพึมพำ เพราะตอนเกิดเหตุการณ์วันสิ้นโลกเป็นช่วงกลางคืน ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงกลายพันธุ์ขณะอยู่ในบ้าน เมื่อมองผ่านกล้องส่องทางไกลจะเห็นว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ในบ้านเรือนของเขตชุมชนแห่งนี้จำนวนไม่น้อยต่างกลายเป็นซอมบี้ ใส่ชุดนอนเดินโซซัดโซเซผ่านหน้าต่าง ด้วยความที่บ้านพวกเขาปิดล็อกประตู ดังนั้นจึงออกมาข้างนอกไม่ได้ชั่วคราว
ตามถนนหนทางมีซอมบี้ออกมาเดินสะเปะสะปะเที่ยวหาอาหารไปทั่ว เวลานี้ดูเหมือนพวกมันจะยังมีกันไม่มาก
หลัวซวินลองประเมินดูแล้วจึงตัดสินใจว่าจะฉวยจังหวะตอนที่ข้างนอกยังมีซอมบี้ไม่เยอะมากนี้ออกไปรวบรวมทรัพยากรเพิ่ม!
เครื่องอุปโภคบริโภคไม่ว่าใครก็ต้องตุนให้เยอะๆ ไว้ก่อน โดยเฉพาะหลัวซวินในตอนนี้มีฐานที่มั่นอันปลอดภัยใช้เป็นคลังเก็บของได้สบาย แต่เพราะติดปัญหาเรื่องราคา เขาจึงยังขาดแคลนของจำพวกแผงพลังงานแสงอาทิตย์อยู่มาก ส่วนพวกอาหาร ในอนาคตอันแสนยาวไกลจะกลายเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนเสมือนเงินที่ใช้กันอย่างกว้างขวางไปในที่สุด แม้พวกมันจะหมดอายุแล้วก็ตาม!
การมองโลกภายนอกผ่านช่องตาแมวคือสิ่งที่ทุกคนที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยต่างทำกันในสังคมยุคนี้ โดยเฉพาะในวันสิ้นโลกแบบนี้
ช่องตาแมวบนประตูใหญ่ของห้องหลัวซวินถูกเขาเปลี่ยนใหม่ตั้งแต่แรกแล้ว เขาใช้ช่องตาแมวแบบดิจิทัล มองจากภายนอกไม่เห็นความแตกต่าง แต่ด้านในกลับเป็นหน้าจอแอลซีดี [1] มีฟังก์ชันที่มีประสิทธิภาพมากมาย ทั้งมองเห็นในที่มืด พร้อมกล้องบันทึกภาพตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง มีสัญญาณเตือนว่ามีผู้บุกรุก อัดเสียงได้ มีข้อความแจ้งเตือน สามารถควบคุมได้จากระยะไกล และเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ภายในบ้าน
ฟังก์ชันที่หลัวซวินให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือสามารถมองเห็นในที่มืดและบันทึกภาพได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เช่นนี้ต่อให้ทางเดินจะมืดตึ๊ดตื๋อสักแค่ไหน เขาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทางเดินข้างนอกมีคนหรือไม่ และรู้ได้ว่ามีคนเดินผ่านหน้าประตูห้องเขาตอนไหนบ้าง ส่วนฟังก์ชันข้อความแจ้งเตือนอะไรพวกนี้…เกรงว่าหลังจากนี้เขาคงไม่ได้ใช้มันอีกนานเลย
หลัวซวินยืนอยู่หลังประตูด้านในห้อง กดย้อนดูภาพความเคลื่อนไหวตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ สิ่งที่ทำให้หลัวซวินโล่งใจก็คือ…บนชั้นสิบหกไม่มีซอมบี้ปรากฏตัวเลยแม้แต่เงา
ณ เวลานี้ บนชั้นสิบหกของอาคารเจ็ดที่มีสี่ห้อง มีเพียงหลัวซวินอาศัยอยู่เพียงห้องเดียว ห้อง 1602 เจ้าของห้องทำเรื่องส่งมอบห้องแล้ว นอกจากนี้อีกสองครอบครัวดูเหมือนยังทำเรื่องส่งมอบห้องไม่เสร็จ บนประตูสองบานนั้นยังไม่ติดตาแมวเลยด้วยซ้ำ
ส่วนชั้นสิบห้าดูเหมือนมีห้องหนึ่งตกแต่งเสร็จแล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่มีคนย้ายเข้ามาอาศัย ชั้นที่สิบสี่มีห้องหนึ่งกำลังตกแต่ง…
ได้ยินมาว่าเพราะใกล้สิ้นปี ดังนั้นอัตราผู้ย้ายเข้ามาอาศัยจึงไม่สูงมาก อีกทั้งหลายห้องยังตกแต่งไม่เสร็จ สำหรับหลัวซวินแล้ว ตึกใหม่แบบนี้ปลอดภัยกว่าตึกเก่าที่มีคนอาศัยอยู่อย่างแออัดไปหมด อย่างน้อยในตึกก็มีกันอยู่แค่ไม่กี่คน จำนวนคนที่กลายเป็นซอมบี้ก็ย่อมน้อยตามไปด้วย
มือหนึ่งถือกระบองเขี้ยวหมาป่า บนหลังสะพายเป้ใบหนึ่ง บนหัวสวมหมวกกันน็อก ที่เอวคาดกระบอกลูกธนูพร้อมสะพายหน้าไม้กลไกที่ประดิษฐ์ขึ้นเองพาดเฉียงบนบ่า หลังหลัวซวินเตรียมตัวจนพร้อมสรรพก็หันกลับมากำชับเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในห้องรับแขกว่า “เฝ้าบ้านดีๆ นะ”
ตอนนี้เจ้าตัวเล็กยังเด็กเกินไป ยังใช้งานอะไรไม่ได้ หรือต่อให้มันเป็นหมาตัวใหญ่แล้ว หลัวซวินก็ตัดใจให้เจ้าตัวเล็กตามเขาออกไปข้างนอกด้วยไม่ได้อยู่ดี…เพราะสัตว์ที่ยังไม่ผ่านการกลายพันธุ์ระลอกสอง หากไปกัดซอมบี้เข้า มันก็ต้องกลายเป็นซอมบี้ไปด้วย!
ไฟฟ้าในตึกนี้ยังไม่ถูกตัด เสียงปิดประตูทำให้หลอดไฟดวงหนึ่งกะพริบติดๆ ดับๆ หลอดไฟตรงทางเดินที่มีสองดวง ตอนนี้เหลืออยู่เพียงดวงเดียว ส่วนอีกดวงเสียไปตั้งแต่เมื่อสามวันก่อน ชวนให้คนอดรู้สึกละเหี่ยใจไม่ได้… พวกนายทุนนี่ประหยัดงบเก่งเหลือเกิน ขนาดหลอดไฟชั่วคราวยังเลือกที่ราคาถูกที่สุดมาใช้ ไม่เอาแบบใช้ทนทานมาเด็ดขาด
เมื่อเห็นว่าลิฟต์ยังใช้งานได้ หลัวซวินก็กดปุ่มลิฟต์อย่างโล่งใจ ลิฟต์มีทั้งหมดสองตัว ก่อนที่จะมีฝ่ายนิติบุคคลเข้ามาบริหาร ผู้ดูแลอาคารเปิดให้ใช้ลิฟต์เพียงตัวเดียว ช่างตระหนี่ถี่เหนียวเสียจริง…
เสียง ‘ติ๊ง’ ดังขึ้นหนึ่งที ประตูลิฟต์ค่อยๆ เปิดออก ครั้นเห็นว่าในลิฟต์ว่างเปล่าไร้สิ่่งใด หลัวซวินจึงค่อยลดกระบองเขี้ยวหมาป่าจากที่ถือในท่าเตรียมพร้อมลง จากนั้นก็ก้าวเท้าเข้าลิฟต์
ราวกับว่า ‘พวกนั้น’ ได้ยินเสียงการทำงานของลิฟต์ เสียงร้องคำรามจึงดังแว่วมาจากด้านนอก ฟังจากเสียง หลัวซวินเดาว่าน่าจะเป็นพวกคนงานที่กำลังตกแต่งห้องหลายห้องในชั้นสิบสี่ ตอนนี้พวกเขาคงกลายเป็นซอมบี้ไปแล้ว แต่เพราะว่าประตูห้องถูกล็อก ออกมาหาอาหารไม่ได้ ดังนั้นจึงได้แต่มาออกันอยู่ที่ประตูสินะ
ภายในพื้นที่แคบ เขาได้ยินแต่เสียง ‘ปึงปัง’ เป็นจังหวะซึ่งไม่รู้ว่าดังมาจากห้องไหน ปนมากับเสียงคำรามทุ้มต่ำ สร้างความกดดันให้แก่ผู้ที่ได้ยิน
[1] จอภาพผลึกเหลว หรือ Liquid Crystal Display: LCD