โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则
暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล
นิยาย 7 เล่มจบ
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
____________________________________
บทที่ 98 โจร
พี่ใหญ่! หัวหน้าทีมของพวกนั้นกำลังพาคนบุกไปฆ่าพวกเราแล้ว!
หน่วยสร้างกำแพงเลิกสนใจชาวมุงด้านนอกกลุ่มนั้นแล้วตั้งใจทำงานกันอย่างขะมักเขม้น เพียงไม่นานผู้มีพลังพิเศษสองคนที่ไปช่วยงานที่โรงงานก็นั่งรถกลับมาทำงานสร้างกำแพงต่อ จนกระทั่งตอนพักกินข้าวเที่ยงทุกคนจึงมีเวลาว่างคุยเล่นกัน
“…ศูนย์การค้ากับธนาคารที่อยู่ติดกันถูกดัดแปลงเป็นโรงงานไปแล้ว แถมยังขนอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือมาเพียบเลย เห็นบอกว่าอีกไม่นานก็จะเปิดรับสมัครคนงานด้วย” เสี่ยวหลี่เล่าให้ทุกคนฟังพร้อมกับเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ
“ทำเป็นโรงงานอะไรเหรอ” อีกคนถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“ดูเหมือนจะมีเครื่องทอด้วยมั้ง”
“ฉันได้ยินว่ามีเครื่องจักรสำหรับทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วย!”
“ฉันใช้เครื่องทอผ้าเป็นนะ แต่ตอนนี้คงยังไม่รับสมัครคน…”
ทันใดนั้นหลัวซวินก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “เครื่องทอผ้า… ตอนนี้ในฐานที่มั่นมีวัตถุดิบสำหรับทอผ้าด้วยเหรอ”
ทุกคนเงียบกันไปพักหนึ่งแล้วหันมาสบตากัน ก่อนที่คนหนึ่งจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่มั่นใจ “บางทีอาจมีคนไปรวบรวมมาจากในเมืองละมั้ง”
ตอนนี้ตามเรือกสวนไร่นาล้วนปลูกแต่ธัญพืชเต็มไปหมด ต่อให้รอบนี้เก็บเกี่ยวได้แล้ว รอบหน้าก็คงยังปลูกพืชชนิดเดิมต่อ คงยังไม่คิดจะปลูกพืชที่กินไม่ได้อย่างพวกฝ้ายก่อนแน่ ทหารหลายคนเติบโตมาจากครอบครัวเกษตรกร ถ้านึกดูดีๆ ก็จะเข้าใจสิ่งที่หลัวซวินต้องการจะถาม
หลัวซวินรู้อยู่แล้วว่าอย่างน้อยๆ ต้องรอถึงปีที่สามนับจากวันสิ้นโลก ฐานที่มั่นจึงจะสามารถตั้งโรงงานสิ่งทอขึ้นมาได้ ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยได้ยินข่าวเรื่องนี้มาก่อน
“เฮ้อ คงจะขนอุปกรณ์กลับมาตั้งไว้ก่อน รอให้มีวัตถุดิบที่ใช้ทอผ้าได้แล้วค่อยทำ” หัวหน้ากัวพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมา “ก่อนหน้านี้พวกเขาขนข้าวของจากในเมืองมาหลายคันรถ ตอนนี้ในโกดังมีของกองอยู่เต็มไปหมด น่าจะยังไม่เริ่มผลิตหรอก เครื่องจักรนั่นก็คงเหมือนกัน ขนกลับมาเตรียมไว้เผื่อได้ใช้ในอนาคต ถ้าหากรอให้อยากใช้แล้วค่อยไปหา ใครจะรู้ล่ะว่าอุปกรณ์พวกนั้นจะไปหาเอาจากที่ไหนได้บ้าง ถึงหาเจอตอนนั้นก็ไม่รู้อีกว่าจะยังใช้ได้หรือเปล่า พังไปหรือยัง”
ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง แบบนี้ก็หมายความว่าโรงงานที่ยังไม่มีวัตถุดิบนี้ยังเปิดดำเนินงานไม่ได้ชั่วคราว…
โรงงานที่ขาดวัตถุดิบย่อมไม่มีทางเปิดกิจการได้ แต่เมื่อใดที่มีวัตถุดิบพร้อมก็จะสามารถเดินเครื่องได้ทันที
หลังจากโรงงานหลายแห่งในฐานที่มั่นก่อตั้งสำเร็จก็จะเริ่มประกาศรับสมัครคนงานอย่างเป็นทางการ นอกจากโรงงานแล้ว ทางฐานที่มั่นยังเริ่มรับสมัครคนงานด้านการเกษตรด้วย
เมื่อเดือนก่อนที่ทางการส่งเสริมให้ผู้คนเพาะปลูกพืชผักไว้กินในครัวเรือน ภายในฐานที่มั่นกลับประสบความล้มเหลวอย่างรุนแรงราวกับเจอยุทธการวอเตอร์ลู[1] ที่พืชกลายพันธุ์ไปเป็นจำนวนมาก ไม่ใช่แค่เพราะบางบ้านทดลองปลูกผักด้วยวิธีมักง่าย เช่น ใช้น้ำธรรมดาซึ่งไม่ผ่านการกลั่นหรือกรองมารดพืชผักเท่านั้น แต่ยังมีคนบางกลุ่มบางพวกที่พอรู้ว่าน้ำประปาสามารถทำให้พืชผลกลายพันธุ์ได้ ก็จงใจลอบกัดคู่อริที่แย่งที่ดินไป โดยหลังจากแก๊งฝ่ายตรงข้ามใช้ผู้มีพลังพิเศษธาตุน้ำผลิตน้ำมารดพืชผล แต่พอตกกลางคืนฝ่ายตนกลับแอบใช้น้ำประปาธรรมดามารดแปลงผักนั้น ทำให้พืชผลของอีกฝ่ายกลายพันธุ์…
เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งในเดือนที่ผ่านมา บางคนหลังถูกจับได้ว่าใช้วิธีลอบกัดคนอื่น สองฝ่ายก็ทะเลาะวิวาทกันตรงนั้นทันที ภายหลังการต่อสู้กันลักษณะนี้ก็ยกระดับเป็นความขัดแย้งกันภายในฐานที่มั่น สองฝ่ายต่อยตีกันจนกลายเป็นเรื่องสนุกของกองเชียร์ ครั้งก่อนที่พวกหลัวซวินเห็นคนซัดกันนัวเนียตั้งแต่ในเขตชุมชนจนกลิ้งไปบนถนน ก็เพราะสาเหตุจากเรื่องนี้
ด้วยเหตุนี้ทางฐานที่มั่นจึงต้องระงับการรณรงค์เรื่องการเพาะปลูกไปก่อนชั่วคราว แน่นอนว่าบางครอบครัวยังคงปลูกอะไรตามระเบียงบ้านของตัวเองได้ ขอเพียงแค่รับประกันได้ว่าพืชที่ปลูกจะไม่กลายพันธุ์เป็นมีเขี้ยวมีเล็บทำร้ายคนก็พอ ยังดีว่าพืชที่โจมตีทำร้ายผู้คนนั้นแค่ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกของพวกมันก็มองออกแล้ว… พืชเหล่านั้นมักมีไอหมอกสีเทาปกคลุมอยู่ด้านบน ส่วนลำต้นเป็นสีแดงสดหรือสีฟ้า จึงแยกออกได้ง่ายมาก
ดังนั้นทางกองทัพจึงเคลียร์พื้นที่เพื่อไว้ใช้ปลูกผักโดยเฉพาะ โดยใช้อาคารของศูนย์การค้าซึ่งมีขนาดค่อนข้างกว้างขวางเป็นพื้นที่เพาะปลูก ด้านในใช้วิธีการปลูกพืชระบบปิดมาจัดการแบบเดียวกับที่บ้านของหลัวซวิน และใช้น้ำที่ผ่านการกลั่นฆ่าเชื้อแล้ว หรือไม่ก็น้ำที่ผู้มีพลังพิเศษธาตุน้ำผลิตขึ้นมา
แม้ต้นทุนจะสูงขึ้นบ้าง แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย อีกอย่าง ถึงผักเหล่านี้จะมีปริมาณไม่มากพอต่อความต้องการของประชากรในฐานที่มั่น แต่ถ้าแค่สำหรับบุคลากรในกองทัพก็ย่อมไม่มีปัญหา
หลัวซวินหยิบใบปลิวประชาสัมพันธ์งานปลูกผักขึ้นมาอ่านดูคร่าวๆ ก่อนจะส่งให้เหยียนเฟยที่อยู่ข้างๆ …ชาติที่แล้วเขาเคยทำงานที่นี่มากว่าครึ่งปี หลัวซวินมองดูถนนเบื้องหน้าที่ยังคงแออัดก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมานิดหน่อยแล้ว “ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ วันนี้คงไม่มาทางนี้หรอก”
ในช่วงหลายวันมานี้มีผู้อพยพเข้ามาใหม่เพิ่มขึ้นมาก ฐานที่มั่นทั้งเขตชั้นในและชั้นนอกถูกคนเหล่านี้เข้ามาจับจองที่กันอย่างหนาแน่น ตึกรามบ้านช่องจากเดิมที่เคยว่างเวลานี้ก็เริ่มมีคนทยอยย้ายเข้ามาอยู่กันแล้ว ตอนนี้เองหลัวซวินถึงเพิ่งเข้าใจว่าเพราะเหตุใดเมื่อชาติที่แล้วตอนตนย้ายมาเมืองเอ ถ้าอยากอยู่คนเดียวก็จะเหลือแต่ห้องใต้ดินเท่านั้นที่ยังอยู่ได้…
“ถนนด้านนั้นอยู่ในความควบคุมดูแลของทหารแล้ว พวกเราผ่านไปไม่ได้หรอก” เหยียนเฟยยิ้มๆ พูดขัดความคิดหลัวซวิน จึงถูกคนรักค้อนใส่อย่างขัดใจ
ถนนอีกสายหนึ่งที่พูดถึงอยู่ใกล้กับพื้นที่การเกษตร พอช่วงนี้มีคนย้ายมาใหม่เยอะขึ้น ภายในฐานที่มั่นจึงเหมือนเป็นสระที่มีทั้งปลาทั้งมังกรผสมปนเปร้อยพ่อพันแม่ บางคนแอบย่องเข้าไปในพื้นที่การเกษตรช่วงกลางดึก หวังจะขโมยพืชผลและเมล็ดพันธุ์ต่างๆ ด้วยเหตุนี้ถนนสายนั้นจึงมีทหารดูแลอย่างเข้มงวดตลอดทั้งสาย
“วันนี้ต้องจัดการกับเห็ดอีกล็อตหนึ่ง ไม่รู้ว่าของเดือนที่แล้วพอไม่ได้เอาไปใช้จะยังใช้ได้อยู่หรือเปล่า” ตอนพวกเขาออกไปนอกฐานที่มั่นเมื่อสองเดือนก่อน กระสุนพิษเหล่านั้นมีอานุภาพรุนแรงอย่างเห็นได้ชัด สามารถทำลายล้างซอมบี้ขั้นสองได้อย่างง่ายดาย ขนาดพวกหลี่เถี่ยยังยิงกระสุนแค่ห้าถึงหกนัดก็จัดการซอมบี้ได้ตัวหนึ่งแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมือแม่นอย่างหลัวซวินเลย
“อีกสองสามวันก็คงได้รู้แล้วละ แต่อย่างน้อยตอนเปิดตู้แช่ดูเมื่อสองวันก่อนก็ยังไม่เห็นมีปัญหาอะไรนะ” เหยียนเฟยพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก ของพวกนั้นแช่แข็งเก็บไว้ไม่น่าจะเสื่อมสภาพง่ายๆ อีกอย่าง ต่อให้ของล็อตเก่าใช้การไม่ได้แล้ว แต่ในช่วงหนึ่งเดือนนี้ที่บ้านก็มีเห็ดงอกใหม่อีกตั้งไม่รู้เท่าไร ยังไงก็พอให้พวกเขาใช้กราดยิงอยู่แล้ว
ทั้งสองคุยกันระหว่างทางขับรถกลับบ้าน ซึ่งปกติจะใช้เวลาแค่สิบนาทีก็ถึงแล้ว แต่วันนี้เสียเวลาไปครึ่งค่อนชั่วโมงเลยทีเดียว เมื่อมาถึงตึกที่พักก็พบว่า…คนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนมุงดู… เหอะๆ ศึกดวล PK[2] ในชีวิตจริง
หลัวซวินลงจากรถแล้วมองขึ้นไปด้านบนก็ถึงกับเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เขายกหน้าไม้ที่พกติดตัวไว้ตลอดทางขึ้นมาโดยอัตโนมัติ…ในยุควันสิ้นโลกแบบนี้ ต่อให้เดินทางอยู่ในฐานที่มั่นก็ควรพกอาวุธป้องกันตัวตลอดเวลาถึงจะดีที่สุด และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เขาจะต้องใช้อาวุธแล้ว
“พี่สวี เกิดอะไรขึ้น!” หลัวซวินตะโกนถาม ทำให้ผู้คนที่ยืนมุงดูอยู่หน้าตึกต่างอึ้งกันไปเล็กน้อย ก่อนหันขวับมาทางรถคันที่เพิ่งจอดนี้
มีผู้ชายสองคนกำลังโหนตัวอยู่กลางอากาศตรงชั้นสิบหกซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกหลัวซวิน เห็นได้ชัดว่าหนึ่งในนั้นเป็นผู้มีพลังพิเศษธาตุลม ขณะที่อีกคนอยู่ห่างออกไปไม่ได้ใช้พลังพิเศษ ตอนนี้จึงยังมองไม่ออก ส่วนสวีเหมยก็เปิดหน้าต่างออกมาปล่อยลูกไฟใส่ผู้ชายสองคนนั้น
เมื่อซ่งหลิงหลิงได้ยินเสียงของหลัวซวินก็รีบตะโกนลงไปทันที “ขโมยค่ะ! พวกเขาจะเลื่อยเหล็กดัดหน้าต่างของพวกเรา”
ดูเหมือนเจ้าพวกนี้จะคิดว่าช่วงกลางวันชั้นสิบห้าและชั้นสิบหกไม่มีคนอยู่บ้าน ถึงได้กล้ามาขโมยอย่างอุกอาจ บ้านของพวกหลัวซวินติดแผงพลังงานแสงอาทิตย์ไว้นอกหน้าต่าง แม้จะไม่สะดุดตานัก แต่ถ้าสังเกตดีๆ หรือใช้กล้องส่องทางไกลก็มองออกได้ไม่ยาก…โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ทางฐานที่มั่นเริ่มประชาสัมพันธ์ให้ผู้คนใช้พลังงานแสงอาทิตย์กันแล้ว
ไม่เห็นหรือว่าแม้แต่ไฟทางแบบพลังงานแสงอาทิตย์ที่เพิ่งเปลี่ยนมาติดตั้งบนถนนสายหลักหลายสายยังถูกขโมยไปจนเกลี้ยง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกหลัวซวินที่แขวนแผงพลังงานแสงอาทิตย์ไว้นอกหน้าต่างเลย
หลัวซวินเห็นชัดว่าชายผู้มีพลังพิเศษธาตุลมคนนั้นมีพลังถึงขั้นสองแล้ว สามารถใช้พลังลมปัดป่ายย้ายของและหลบหลีกการโจมตีของสวีเหมยอยู่กลางอากาศได้ และเมื่อผู้ชายอีกคนพบว่าพรรคพวกของคนที่อาศัยอยู่บนชั้นนี้กลับกันมาแล้ว ก็เริ่มใช้มีดน้ำแข็งโจมตีใส่สองสาวด้วยความตกใจ ที่แท้ผู้ชายอีกคนก็เป็นผู้มีพลังพิเศษธาตุน้ำแข็งนี่เอง
“พี่สวี ไม่ต้องเกรงใจนะ ฆ่าให้ตายไปเลย สมควรแล้ว!” หลัวซวินตะโกนบอกขึ้นไป
ยังไม่ทันสิ้นเสียง หลัวซวินก็ยกหน้าไม้ในมือยิงใส่ฝ่ายตรงข้ามขึ้นไปด้านบนทันที ทั้งที่ศัตรูอยู่ไกลถึงชั้นสิบหกแท้ๆ แต่ลูกธนูหน้าไม้ของเขากลับพุ่งฉิวแรงเร็วไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนกำลังลงเลยสักนิด ลูกธนูโลหะปักร่างผู้มีพลังพิเศษธาตุน้ำแข็งที่ซัดมีดน้ำแข็งใส่หน้าต่างห้อง 1503 จนกระจกหน้าต่างแตกเป็นเสี่ยงๆ!
“โอ๊ย…” ฝ่ายตรงข้ามร้องลั่น ทำให้ผู้มีพลังพิเศษธาตุลมที่อยู่ข้างๆ พลอยสะดุ้งตกใจจนลืมควบคุมพลังพิเศษ ทำให้เชือกที่สองคนใช้โรยตัวเหวี่ยงกลับคืนไปทางตำแหน่งที่สวีเหมยอยู่
‘ฟู่ ฟู่’ ลูกไฟยักษ์สองลูกโจมตีออกไป ก่อนหน้านี้สวีเหมยออมมือเอาไว้จริงๆ เนื่องจากตอนนี้เป็นช่วงที่ผู้คนกำลังพลุกพล่าน เธอจึงกังวลว่าถ้าเล่นงานฝ่ายตรงข้ามจนถึงแก่ชีวิตอาจทำให้สมาชิกในทีมเดือดร้อนไปด้วย แต่ในเมื่อตอนนี้หลัวซวินบอกแล้วว่าไม่เป็นไร ฆ่าตายไปก็สมควรแล้ว อย่างนั้นเธอจะยั้งมืออีกทำไม
‘ฟิ้ว ฟิ้ว’ เสียงลูกธนูถูกยิงออกไปอีกสองดอกในจังหวะที่แทบจะพร้อมกัน หลัวซวินยิงถูกเชือกที่สองคนนั้นใช้โรยตัวอย่างแม่นยำ ไฟลุกท่วมร่างของทั้งสอง เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นขณะที่สองร่างดิ่งลงสู่พื้นพสุธา
เหยียนเฟยกดต่อสายโทรศัพท์ออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยอยู่ข้างหลัวซวิน “ผู้หมวดติงใช่ไหมครับ ตอนนี้พวกผมกลับบ้านมาเจอโจรสองคน…ใช่ครับ ในเขตชุมชนหงจิ่ง พวกนั้นยิงกระจกหน้าต่างบ้านของทีมผม คิดจะเข้าไปขโมยของ ทำให้ผู้หญิงสองคนในนั้นตกใจจนเสียขวัญ… ก็ถือว่าจับตัวไว้ได้แล้วมั้งครับ พวกนั้นโรยตัวลงมาอยู่นอกหน้าต่าง แล้วเชือกคงรับน้ำหนักไม่ไหวก็เลยขาด ใช่ครับ ตกลงมาแล้ว…เอ่อ น่าจะยังไม่ตายครับ รบกวนผู้หมวดติงส่งคนมาจัดการทีนะครับ”
ชาวมุงหลายคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากพวกเขาแอบได้ยินบทสนทนาเรียบๆ ง่ายๆ ของเหยียนเฟยแล้วก็ถอยห่างไปสองก้าวแบบไม่ต้องคิด ฆ่าผู้มีพลังพิเศษไปสองคนยังพอว่า เพราะปัจจุบันการฆ่าคนตายในฐานที่มั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่หลังจากปลิดชีพคนไปแล้วยังโทรศัพท์ไปแจ้งความให้ทางการ ‘ส่งคนมาจัดการที’ ได้อย่างสุดแสนจะใจเย็นนั้น…นี่ไม่ใช่ปฏิกิริยาปกติที่คนทั่วไปเขาทำกัน
ความโกรธเกรี้ยวฉายชัดอยู่บนใบหน้าหลัวซวิน เมื่อเห็นว่าผู้มีพลังพิเศษธาตุลมคนนั้นไม่ได้ตกลงมาตายคาที่ แล้วยังคิดจะใช้พลังพิเศษเฮือกสุดท้ายอยู่ เขาจึงก้าวไปยืนตรงหน้าคนคนนั้นพลางยกหน้าไม้ขึ้นเล็งแล้วถามว่า “มาจากแก๊งไหน แล้วพรรคพวกอยู่ที่ไหน”
ไฟบนตัวผู้มีพลังพิเศษธาตุลมดับมอดลงไปแล้ว ถึงเขาจะมีปฏิกิริยาว่องไวพอจะเซฟตัวเองไม่ให้ตกลงมาคอหักตาย แต่ตอนนี้ร่างกายครึ่งท่อนล่างกลับไร้ความรู้สึกแล้ว ไม่แน่อาจถึงขั้นใช้การไม่ได้ ทางด้านคู่หูของเขาในเวลานี้นอนแน่นิ่งหมดสติไป ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ส่วนเขาในตอนนี้กำลังเผชิญกับปลายลูกธนูหน้าไม้ที่จ่ออยู่ตรงหน้า ชายคนนี้ทำตาเหลือกไปมาสองสามที คิดว่าอีกเดี๋ยวจะทำหมดสติไป แบบนี้อาจช่วยให้เขารับโทษน้อยลงอีกนิดก็ได้
เหยียนเฟยกดวางสายแล้วขยับก้าวขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ก่อนจะตวัดมือเรียกโลหะที่ปกติมีติดรถไว้เวลาไปไหนมาไหนอยู่แล้ว โลหะแปรสภาพเป็นลูกศรดอกแล้วดอกเล่าอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็… พุ่งไปปักแขนขาทั้งสองข้างของผู้ชายคนนั้น
“อ๊าก! อย่า! ฉันยอมแล้ว” ชายคนนั้นสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำ ตอนที่ดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดก็บังเอิญหันไปเห็นคู่หูที่ตกลงมาพร้อมกันถูกไฟคลอกจนแทบจะมองไม่เห็นเค้าเดิมนอนแน่นิ่งอยู่ข้างๆ เขาจึงละล่ำละลักบอกที่อยู่และจำนวนสมาชิกของพวกตน แถมยังระบุอีกว่าเป็นผู้มีพลังพิเศษกี่คน
หลัวซวินได้ยินก็ถึงกับคิ้วกระตุกเบาๆ เมื่อครู่เขายังจำไม่ได้ แต่ตอนนี้พอลองมองดีๆ แล้วดูเหมือนว่าเมื่อชาติก่อนเขาเคยเจอคนคนนี้มาแล้วหลายครั้ง เพียงแต่หลังจากเขาเข้ามาอยู่ในฐานที่มั่นนี้ได้ไม่นาน ผู้มีพลังพิเศษพวกนี้ก็ทยอยย้ายออกไปพึ่งพากองกำลังของผู้มีพลังพิเศษที่ก่อตั้งขึ้นละแวกใกล้ๆ นี้ และรับเฉพาะผู้มีพลังพิเศษเท่านั้น
หลัวซวินไม่ได้มีภาพความทรงจำอะไรเกี่ยวกับคนคนนี้มากนัก จำได้แค่ว่าในชาติก่อนช่วงที่ตนย้ายมา ดูเหมือนเขาจะเป็นหัวหน้าแก๊งเรียกเก็บค่าคุ้มครองตามท้องถนน ตอนหลังถึงไปขอเข้าร่วมกองกำลังของผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งกว่า ทว่าตอนนี้…
“เกิดอะไรขึ้น” ผู้หมวดติงจอดรถอยู่ด้านหลังไม่ไกลนัก เขาพาทหารสองสามนายที่ปกติดูแลรับผิดชอบความสงบเรียบร้อยในแถบนี้รีบบึ่งมาด้วย เมื่อเห็นกองเลือดนองพื้นกับร่างของคนสองคนถูกไฟคลอก สภาพเหมือนจะตายมิตายแหล่ ก็ถึงกับมุมปากกระตุกไปหลายที
เหยียนเฟยชี้ไปยังผู้ชายที่ยังตอบสนองได้อยู่คนนั้นแล้วบอกว่า “พวกเขาสองคนใช้เชือกโรยตัวลงมาเลื่อยเหล็กดัดหน้าต่างห้องพวกผม ตอนกลับมาถึงก็เห็นพวกเขาตกลงมาพอดีครับ”
“…เอ่อ แล้วใครเป็นคนเผาพวกเขาล่ะ” ผู้หมวดติงพยายามบังคับไม่ให้มุมปากกระตุก เขามองผู้ชายสองคนบนพื้นด้วยสีหน้าจนใจ…แค่มีจางซู่อยู่ที่นี่ก็รับมือกันไม่ไหวแล้ว อย่าบอกนะว่าตอนนี้มีผู้มีพลังพิเศษธาตุไฟโผล่มาอีกคน
เวลานี้สวีเหมยกับซ่งหลิงหลิงก็เดินลงมาจากตึกพอดี สองสาวไม่ได้พาเด็กน้อยลงมาด้วย กลัวว่าเด็กน้อยมาเห็นภาพน่าสยดสยองพวกนี้เข้าจะเสียขวัญเอาได้
“ฉันเผาเองค่ะ!” สวีเหมยก้าวไปข้างหน้า เครื่องหน้าที่สวยบาดใจฉายรังสีอำมหิตออกมาอย่างรุนแรง ดวงตาสองข้างที่ราวกับมีไฟลุกโชนจ้องผู้หมวดติงเขม็ง “ฉันกับหลิงหลิงกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้ากันอยู่ในบ้าน! พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นพวกเลวสองคนนี่ห้อยอยู่นอกหน้าต่าง ทำไมคะ มีคนมาถ้ำมองแล้วฉันเผาพวกมันไม่ได้เหรอ”
ผู้หมวดติงผงะถอยหลังไปครึ่งก้าว รอยยิ้มเจื่อนปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ผะ…เผาได้…” ว่าแล้วก็รีบหันไปสั่งการทหารติดอาวุธสองสามนาย “เข้าไปดูซิ ค้นหาเชือกกับอุปกรณ์ที่พวกเขาใช้มาด้วย”
สั่งงานเสร็จ ผู้หมวดติงก็รีบหันมาปลอบหญิงสาวทั้งสองคนที่ ‘ตกใจจนเสียขวัญ’
พูดตามตรงว่านับตั้งแต่เกิดเหตุวันสิ้นโลกจนมีการสร้างเขตปลอดภัยขึ้นนั้น ก็ไม่มีวันไหนเลยที่ผู้รับผิดชอบด้านความปลอดภัยอย่างพวกเขาจะไม่พบศพในฐานที่มั่น การต่อสู้ตะลุมบอนกันในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไป โดยเฉพาะในยุคที่มีผู้มีพลังพิเศษเดินกันให้ควั่กแบบนี้ แทบจะทุกครั้งที่ได้ยินว่าตรงไหนมีผู้มีพลังพิเศษต่อสู้กัน กว่าเหล่าเจ้าหน้าที่จะเข้าไปควบคุมสถานการณ์และระงับเหตุลงได้อย่างลำบากยากเย็น ก็มักพบคนกลายเป็นศพกองอยู่บนพื้นแล้ว
ถ้าต้องการจับกุมตัว คาดว่าคุกในฐานที่มั่นของพวกเขาคงแน่นเอี้ยดไปด้วยนักโทษตัวฉกาจพวกนี้ไปนานแล้ว ดังนั้นจึงมีหลายคดีที่ถ้าไม่มีใครขุดคุ้ยตามสืบความว่าผู้ตายตายไปอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็มักถูกปล่อยเลยตามเลย แต่ในทางกลับกัน กรณีที่มีพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุครบถ้วนแล้ว ก็พร้อมปิดคดีโดยไม่สืบหาเงื่อนงำความเป็นไปได้อย่างอื่นอีก… นี่แหละกฎหมายในยุควันสิ้นโลก
เพียงไม่นานทหารที่เข้าไปดูที่เกิดเหตุก็ลงมาพร้อมกับเชือกที่ชายสองคนนั้นใช้โรยตัวลงมา ส่วนพรรคพวกร่วมแก๊งนั้น… ต่อให้ก่อนหน้านี้อาจจะอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยจริง แต่เดาว่าก็คงเผ่นหนีไปนานแล้ว
หลังจากผู้หมวดติงให้ลูกน้องช่วยกันย้ายร่างชายทั้งสองที่ไม่รู้ว่าสุดท้ายเป็นหรือตายขึ้นไปบนรถเฉพาะกิจเรียบร้อยแล้ว หลัวซวินก็ขยิบตาให้สวีเหมยกับซ่งหลิงหลิง ก่อนตัวเองจะหันกลับขึ้นรถไปพร้อมกับเหยียนเฟย
ซ่งหลิงหลิงเดินตามสวีเหมยกลับเข้าไปในตึกและขึ้นบันไดไปพร้อมกัน เธอกระซิบถามสวีเหมยเสียงเบาด้วยความสงสัย “พวกพี่หลัวไปไหนกันเหรอ”
“หน้าต่างห้อง 1503 ถูกคนพวกนั้นทำแตก” สวีเหมยเดาความตั้งใจของหลัวซวินและเหยียนเฟยออก เธอจึงกระซิบบอกซ่งหลิงหลิง
“พวกเขาไปหากระจกใหม่หรือคะ”
สวีเหมยปรายตามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเอือมระอา ก่อนจะเอานิ้วจิ้มหน้าผากซ่งหลิงหลิงแล้วบอกว่า “ไปเก็บค่าทำขวัญต่างหากเล่า!” ถ้าเป็นเธอก็คงตามไปเอาเรื่องถึงรังกบดานของพวกนั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะยืนยันไม่ได้ว่าที่นั่นมีคนมากน้อยแค่ไหน มีผู้มีพลังพิเศษทั้งหมดกี่คน แต่ถ้าบ้านตัวเองถูกคนบุกมาปล้นครั้งหนึ่งแล้วยังไม่หาตัวการกลับมาให้ถึงที่สุด ไม่แน่อนาคตพวกมันอาจย้อนกลับมาอีกก็ได้… ของแบบนี้แค่ระมัดระวังให้มากอีกหน่อย ขอแค่ไม่ถูกจับได้คาหนังคาเขาก็พอแล้วไม่ใช่หรือ โดยเฉพาะพวกที่มีคนคอยหนุนหลังก็ยิ่งไม่มีอะไรเสียหายอยู่แล้วด้วย
เหยียนเฟยนั่งอยู่ข้างคนขับ มองผู้คนสัญจรนอกหน้าต่างรถแล้วพูดขึ้นว่า “คนพวกนั้นคงเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในฐานที่มั่นได้ไม่นาน”
หลัวซวินพยักหน้าเล็กน้อย “แต่ก็ไม่ต้องกังวลไปหรอก ถึงสองคนเมื่อกี้จะเป็นผู้มีพลังพิเศษ แต่ถ้าฝ่ายนั้นมีคนใหญ่คนโตคอยหนุนหลังอยู่จริง ก็คงไม่ทนดูสองคนนั้นค้างเติ่งอยู่กลางอากาศแล้วไม่ยื่นมือเข้าช่วยหรอก”
นี่ก็เป็นเหตุผลที่หลัวซวินกับเหยียนเฟยกล้าตามไปเอาเรื่องคนพวกนั้นถึงที่ ประการแรกคือ หลัวซวินเคยเจอผู้มีพลังพิเศษธาตุลมคนเมื่อกี้มาก่อน ส่วนพรรคพวกและสถานที่ที่ชายคนนั้นเปิดเผยออกมา หลัวซวินก็รู้สึกคุ้นอยู่นิดหน่อย จึงพอจำได้เลาๆ ว่าเมื่อชาติก่อนมีใครบ้างที่เป็นพวกเดียวกับผู้มีพลังพิเศษธาตุลม… ถึงยังไงในชาติที่แล้วหลัวซวินก็เคยถูกพวกนั้นเก็บค่าคุ้มครองมาเหมือนกัน เลยพอจะรู้จักอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
ประการที่สอง สาเหตุที่สองคนนั้นกล้าไปงัดแงะขโมยของชาวบ้านขณะที่ผู้คนเดินกันขวักไขว่ ด้านหนึ่งเป็นเพราะตำแหน่งห้องของพวกหลัวซวินอยู่ฝั่งที่ค่อนข้างเปลี่ยว… ตึกบ้านเขาอยู่ด้านในสุดของเขตชุมชน และทางฝั่งทิศใต้ของตึกไม่มีอาคารอื่นตั้งอยู่เลย อีกด้านหนึ่งก็เป็นเพราะในเวลานี้ผู้คนส่วนใหญ่อยู่ข้างนอกตึกกัน ถ้าถูกจับได้ก็ง่ายต่อการหลบหนี อีกทั้งในช่วงเวลากลางวันเสียงภายนอกตึกจ้อกแจ้กจอแจมาก เมื่อพวกนั้นแน่ใจว่าห้องเป้าหมายไม่มีคนอยู่ ต่อให้พวกตนเลื่อยเหล็กดัดหน้าต่างก็จะไม่เป็นที่สนใจของผู้คน
คนเรามักจะเป็นแบบนี้ ถ้ามีโจรมางัดแงะขโมยของในยามวิกาล ความเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อยล้วนเรียกความสนใจของผู้คนรอบข้างได้ง่าย ตรงกันข้าม ถ้าเหตุการณ์แบบเดียวกันเกิดขึ้นช่วงกลางวัน ในปัจจุบันที่ไม่มีสายตรวจคอยลาดตระเวนในเขตชุมชน ต่อให้มีคนอยู่ในบ้านก็ไม่มีใครให้ความสนใจมากนัก
คนกลุ่มนี้เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในฐานที่มั่นได้ไม่นานก็จริง แต่ระยะเวลาเพียงสั้นๆ ก็ขโมยของคนอื่นไปหลายบ้านแล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาชำนาญงานด้านนี้เป็นอย่างมาก
คนกลุ่มหนึ่งแฝงตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชน เมื่อเห็นว่าผู้มีพลังพิเศษสองคนที่ตกลงมามีสภาพเจียนตาย แถมผู้มีพลังพิเศษธาตุลมยังแย้มพรายที่ตั้งรังของพวกตน สองคนในนั้นจึงรีบหันหลังขึ้นรถขับออกมาจากเขตชุมชนทันที ส่วนอีกคนวิ่งตาลีตาเหลือกไปยังมุมกำแพงแล้วกดโทรศัพท์ต่อสายไป “พะ…พี่ใหญ่…ใช่ครับ เจ้าหกยังไม่ตาย แต่เจ้าเด็กใหม่ที่ใช้พลังน้ำแข็งได้นั่น คิดว่าคงไม่รอด… เอ่อ ไม่ใช่นะ น่าจะเพราะตกลงมาตายหลังจากถูกเผามากกว่า ตอนนี้ดูเหมือนหัวหน้าทีมของพวกนั้นกำลังพาคนบุกไปฆ่าพวกเราแล้ว!”
พวกหลัวซวินขับรถมาถึงเขตชุมชนเป้าหมาย พอจอดรถก็เดินตรงดิ่งขึ้นไปทันที
พวกเขาขึ้นบันไดมาถึงชั้นสาม มองเห็นประตูห้องทำจากไม้ หลัวซวินก็หันไปยักคิ้วและยิ้มให้เหยียนเฟยอย่างได้ใจ ล้วงหยิบเส้นลวดออกมาจากกระเป๋า ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ใช้วิชาสะเดาะกุญแจ เขาไขเพียงไม่กี่ทีก็เปิดประตูออกได้อย่างง่ายดาย
เหยียนเฟยอมยิ้มมองหลัวซวิน ก่อนจะเดินนำขบวนโลหะซึ่งลอยตามหลังเขามาเข้าไปในบ้านของคนพวกนั้น ที่จริงเหยียนเฟยเองก็เปิดประตูบานนี้ได้เหมือนกัน แต่ในเมื่อคนรักอยากโชว์ฝีมือ ก็อย่าขัดศรัทธาเลยจะดีกว่า
ตึกนี้อยู่ในเขตชุมชนเก่า เป็นอาคารสูงหกชั้น ซึ่งในตอนนี้มีคนอยู่เยอะทั้งชั้นบนและชั้นล่าง เมื่อพวกเขาเห็นชายหนุ่มสองคนเข้ามาในโถงทางเดินพร้อมกับโลหะกองโตที่ลอยอยู่ในอากาศก็พากันตกใจจนหน้าขาวซีด และคิดจะกลับเข้าไปแอบในห้องของตัวเองทันที…พวกเขาไม่เคยเห็นสองคนนี้มาก่อน อีกทั้งชายหนุ่มทั้งสองยังเข้าไปในห้องนั้น… ผู้คนในตึกนี้ต่างรู้ดีว่าคนประเภทไหนพักอยู่แถวนี้บ้าง ด้วยเหตุนี้จึงยิ่งไม่มีคนกล้าเข้าไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน
ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเห็นสภาพห้องรกเละเทะ…ใช่แล้ว มันเละเทะมากจริงๆ เก้าอี้และม้านั่งหลายตัวที่ดูเหมือนจะเคลื่อนย้ายไม่สำเร็จล้มกองระเนระนาด ถุงใส่ของจำนวนมากถูกโยนทิ้งไว้เรี่ยราดเต็มพื้น นอกจากเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ที่มีน้ำหนักมากสองสามชิ้นซึ่งยังตั้งประจำที่แล้ว ข้าวของอื่นๆ ล้วนล้มคว่ำเกลื่อนกลาดไปทั่ว
หลัวซวินหุบปากที่อ้าค้างเพราะความอึ้งลง แล้วหันไปมองเหยียนเฟยที่อยู่ข้างๆ อย่างหมดคำจะพูด “เอ่อ…พวกเรามากันแค่สองคนเองนะ”
เหยียนเฟยเหลือบมองไปด้านหลังแวบหนึ่ง… เอ่อ เขาขนโลหะมาเยอะมากจริงๆ ถึงขนาดปิดทางอยู่ตรงประตู ทำให้พวกเขามองไม่เห็นการเคลื่อนไหวด้านนอก และยิ่งแยกไม่ออกเลยว่าคนพวกนั้นแค่ย้ายไปอยู่ห้องอื่นชั่วคราวหรือเผ่นแน่บไปแล้วจริงๆ กันแน่
“ลองหาดูว่ายังมีอะไรที่ใช้ประโยชน์ได้บ้าง” เหยียนเฟยลูบหัวหลัวซวินพลางบอกอย่างจนใจ ระหว่างทางขามาพวกเขาอุตส่าห์เตรียมใจกะมาเปิดศึก PK แบบให้รู้ดำรู้แดงกันไปข้างแล้วเชียว แต่พอมาถึงกลับเห็นเพียงห้องที่ว่างเปล่า ความรู้สึกนี้มันยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้จริงๆ
แม้พวกเขาจะเดาได้ว่าตอนเกิดเรื่องยังมีพรรคพวกของสองคนนั้นอยู่ในเหตุการณ์ด้วย แต่ทั้งที่หลัวซวินกับเหยียนเฟยมากันแค่สองคนแท้ๆ ตามหลักแล้วฝ่ายตรงข้ามน่าจะมีคนรออยู่ที่นี่มากกว่าพวกเขาสองคนสิ แถมผู้มีพลังพิเศษธาตุลมคนนั้นก็บอกว่าพวกตนยังมีผู้มีพลังพิเศษอยู่ในแก๊งอีกหลายคน แล้วทำไมพวกนั้นถึงต้องหนีด้วย
หลัวซวินกับเหยียนเฟยอาจไม่รู้ แม้ว่าแก๊งนี้จะมีผู้มีพลังพิเศษคนอื่นอีก แต่หัวขโมยสองคนนั้นกลับเป็นผู้ที่มีพลังพิเศษระดับสูงสุดในแก๊งแล้ว อีกอย่าง คนที่โทรศัพท์มารายงานข่าวก่อนหน้านี้ก็พูดไม่ชัดเจน เขาบอกเพียงว่า ‘หัวหน้าทีมของพวกนั้นกำลังพาคนบุกไปฆ่าพวกเราแล้ว!’ แต่กลับไม่ได้บอกว่าหัวหน้าทีมนั้นพาคนมาด้วยแค่คนเดียว… แบบนี้ไม่ให้รีบหนีแล้วจะให้อยู่รออะไร
หลัวซวินสูดหายใจเข้าลึกๆ แต่ยังคงไม่ลดหน้าไม้ในมือลง เขาค่อยๆ เดินไปเปิดห้องนอน… ไม่มีคนอยู่จริงๆ
ประมาณสิบนาทีต่อมา เหยียนเฟยยังคงควบคุมโลหะกองนั้นให้ลอยตามหลังเขามา ทางด้านหลัวซวินยกกระจกหน้าต่างที่เขาเพิ่งถอดออกมาสองสามบาน…ก็คนพวกนั้นทำกระจกหน้าต่างห้อง 1503 ของพวกเขาแตก ซึ่งไม่มีให้เปลี่ยนแล้วเสียด้วย คราวนี้จึงต้องถอดจากห้องนี้ไปใช้แทน
หลัวซวินแบกกระจกหน้าต่างเหล่านั้นพลางบ่นอุบอย่างไม่สบอารมณ์ “กระจกในห้องพวกเขาคนละขนาดกับของพวกเราเลย”
เหยียนเฟยปลอบให้คนรักสบายใจ “ไม่เป็นไรหรอก เอากลับไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าขนาดไม่ได้จริงๆ ค่อยเอามาเชื่อมต่อกันก็ได้ ฉันจำได้ว่าที่บ้านยังมีกาวติดกระจกอยู่”
[1] The Battle of Waterloo เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1815 เป็นการต่อสู้ระหว่างฝรั่งเศสกับกองทัพสหสัมพันธมิตร กองทัพฝรั่งเศสภายใต้การนำของจักรพรรดินโปเลียนพ่ายแพ้ราบคาบ เป็นเหตุให้จักรพรรดินโปเลียนสละราชบัลลังก์ และนับเป็นจุดสิ้นสุดของจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 1
[2] Player Kill (PK) ศัพท์วงการเกม หมายถึง การฆ่าตัวละครในเกม พบในเกมที่เน้นการต่อสู้ล่าของรางวัล