[ทดลองอ่าน] โอตาคุวันสิ้นโลก เล่ม 4 บทที่ 99 : ปิดรูกุญแจ

โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则

 

暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล

 

นิยาย 7 เล่มจบ

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

____________________________________

 

บทที่ 99 ปิดรูกุญแจ

 

ผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะ คุณจะปิดรูกุญแจบ้านคนอื่นง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้

 

ในบ้านที่แทบจะว่างเปล่านี้ นอกจากกระจกหน้าต่างที่ถอดออกได้ไม่กี่บานแล้ว ก็มีแค่เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงได้อีกบางส่วน แต่ของเหล่านั้นไม่มีประโยชน์อะไรต่อทีมโอตาคุในเวลานี้ ตรงกันข้าม ถ้าต้องขึ้นๆ ลงๆ ขนข้าวของพวกนี้จะเป็นการเปลืองเวลาโดยใช่เหตุ ถ้าคนพวกนั้นไม่ได้หนีไปแล้วไปตามคนมาช่วย แบบนั้นก็ไม่คุ้มที่หลัวซวินกับเหยียนเฟยจะเสียเวลากับข้าวของไม่กี่ชิ้นพวกนี้

ทว่าตอนทั้งคู่ออกจากห้องนั้นมา เหยียนเฟยยัง ‘ใจดี’ แบบสุดๆ อุตส่าห์ช่วยปิดรูกุญแจประตูเข้าบ้านให้พวกนั้นด้วย… ผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะ คุณจะปิดรูกุญแจบ้านคนอื่นง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้

ที่จริงเหยียนเฟยคิดว่าจะปิดตายหน้าต่างให้หมดทุกบานเสียด้วยซ้ำ แต่พอลองคิดดูอีกที แม้การปิดผนึกประตูหน้าต่างบ้านของคนพวกนั้นจะช่วยระบายอารมณ์ได้มาก แต่สักวันก็อาจเปิดได้อยู่ดี ซึ่งเมื่อเปิดประตูได้แล้ว นอกจากการระบายอากาศที่ไม่ค่อยดีนัก การปิดตายหน้าต่างไว้อย่างมิดชิดนี้กลับจะกลายเป็นการช่วยรับประกันความปลอดภัยให้คนพวกนั้น เหยียนเฟยไม่ต้องการช่วยสร้างกระดองเต่าให้หัวขโมยพวกนั้นได้มีที่หลบซ่อน ฉะนั้นอย่างดีจึงแค่ปิดรูกุญแจประตูไว้ก็พอ

แรกเริ่มเดิมทีเขาคิดจะใช้โลหะขังคนพวกนั้นไว้ในบ้านจนตาย ส่วนคนที่กลับมาจากข้างนอกก็เข้าบ้านไม่ได้ แต่ถ้าทำแบบนั้นจะสิ้นเปลืองทรัพยากรของตัวเองมาก เขาจึงล้มเลิกไป

ทั้งสองกลับมาที่รถและติดโลหะกลับไปบนตัวรถตามเดิม หลัวซวินนำ ‘รางวัลจากชัยชนะ’ ที่ไม่ทันต้องออกแรงครั้งนี้ใส่ไว้ในรถ จากนั้นจึงขับกลับบ้าน

เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสิบห้า พวกหลี่เถี่ยก็รีบวิ่งกระหืดกระหอบมาต้อนรับด้วยสีหน้าเดือดดาล ชายหนุ่มทั้งห้าต่างถกแขนเสื้อทำท่าพร้อมลุย “พี่หลัว พี่เหยียน คนพวกนั้นอยู่ที่ไหน พวกผมจะไปอัดมันให้เละเลย”

กล้ามารังแกพวกผู้หญิงตอนที่ผู้ชายไม่อยู่บ้าน พวกมันคงไม่อยากมีชีวิตอยู่กันแล้วใช่ไหม

เหยียนเฟยกวาดตามองพวกเขาทีหนึ่ง “จะไปทำไม พวกนั้นหนีกันไปหมดแล้ว”

“หา?” ทั้งห้าคนมองหน้ากันไปมา

หลัวซวินชี้ไปทางด้านหลังแล้วบอกว่า “คนหนีไปแล้ว ตอนพวกฉันไปถึงก็ไม่มีใครอยู่ในบ้านเลยสักคน ข้าวของก็ขนไปเกลี้ยง…อ้อ ฉันถอดกระจกหน้าต่างในห้องพวกนั้นมาด้วย อยู่ในรถ เดี๋ยวช่วยกันตรวจดูหน่อยว่ามีกระจกแตกไปกี่บาน จะได้รีบเอากระจกพวกนั้นไปใส่แทน”

พวกศัตรู ใครที่ถูกจับก็ถูกจับไป ที่อาการร่อแร่ก็ร่อแร่ไป คนที่เผ่นหนีได้ก็เผ่นหนีไป ส่วนพวกหลี่เถี่ยได้แต่เดินคอตกยกกระจกหน้าต่างขึ้นมาที่ชั้นสิบห้าแล้วช่วยกันตรวจดูกระจกที่แตก

กระจกหน้าต่างห้อง 1503 แตกไปหนึ่งบาน ส่วนห้องของพวกสวีเหมยสามคนก็ถูกทุบแตกไปสองบาน ยังดีที่พวกเขามีคนเยอะ เพียงไม่นานก็เปลี่ยนกระจกเสร็จเรียบร้อย ถึงขนาดจะไม่เท่ากันแต่ก็ยังพอใช้ไปก่อนชั่วคราวได้ และในบ้านมีกาวติดกระจกเก็บไว้พอดี… ขนาดจางซู่กลับมา แล้วไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องนี้ เขายังไม่ทันสังเกตเลยว่ากระจกหน้าต่างพวกนี้เพิ่งถูกเปลี่ยนไป

เมื่อหลัวซวินและเหยียนเฟยกลับเข้ามาในบ้านตัวเอง หลัวซวินนึกคำพูดก่อนหน้านี้ของหัวหน้ากัวขึ้นมาได้ เขาจึงรีบกำชับเหยียนเฟยว่า “ตอนพวกเราสร้างกำแพงค่าย พวกทหารพูดจาล้อเล่นทำนองว่าถ้ามีซอมบี้บินได้ ทางกองทัพจะสั่งให้สร้างฝาครอบเพิ่มขึ้นด้วยหรือเปล่า ฉันเองก็คิดนะ…ขนาดตอนนี้แม้แต่หนูยังกลายเป็นซอมบี้เลย ถ้ามีซอมบี้บินได้ขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไง ถึงจะดูเหมือนคิดมากเกินไป แต่เตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าก็คงดีกว่า”

เหยียนเฟยเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ครั้นเห็นว่าสีหน้าหลัวซวินเหมือนไม่ได้พูดเล่น จึงขบคิดเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าและกล่าวว่า “บวกกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้…พวกเราคงต้องเตรียมตัวให้พร้อม อย่างน้อยก็ต้องเสริมผนังด้านนอกให้แข็งแรงเพิ่มขึ้นอีกนิดน่าจะดีกว่า แต่โลหะที่ขนกลับมารอบนี้ใช้ไปหมดเกลี้ยงแล้ว ไว้รอออกไปนอกฐานที่มั่นคราวหน้าค่อยขนกลับมาอีกหน่อยแล้วกัน”

ตอนนี้หลัวซวินรู้สึกโล่งใจได้เสียที เขาพูดกับเหยียนเฟยยิ้มๆว่า “คงต้องเตรียมพร้อมทุกด้านแล้ว ยังไงการทำบ้านของพวกเราให้ปลอดภัยไว้ก่อนก็ไม่มีอะไรเสียหายอยู่แล้ว”

 

เรื่องโจรขึ้นบ้านสร้างความยุ่งยากให้พวกเขาไปสองวัน แต่ทางทหารส่งคนมาตรวจตราช่วงเวลากลางวัน ซึ่งปกติก็ไม่มีใครกล้าแหย็มกับสวีเหมยและซ่งหลิงหลิงสองสาวผู้เปรียบดั่งกุหลาบที่มีหนามอยู่แล้ว พวกเขาจึงแค่มาสอบปากคำและสอบถามสถานการณ์ทั่วไป ดังนั้นชีวิตความเป็นอยู่ของพวกหลัวซวินจึงยังคงสงบสุขเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา

งานสร้างกำแพงค่ายเพิ่มระดับความสูงและความหนาของกำแพงมากขึ้นๆ ทุกวัน อีกทั้งเขตทหารก็ยังคงขยายพื้นที่ในฐานที่มั่นกว้างออกไปเรื่อยๆ และมีการขนวัสดุโลหะจำนวนมากเข้ามาแบบไม่หยุดหย่อน หลังจากผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะเพิ่มขั้นพลังเป็นขั้นสองทุกคนแล้ว งานที่ไม่ต้องใช้เทคนิคฝีมืออะไรเป็นพิเศษเหล่านี้จึงเป็นเรื่องกล้วยๆ ที่ทำได้ง่ายมาก งานสร้างกำแพงค่ายจึงคืบหน้าไปได้ไวกว่าตอนสร้างกำแพงฐานที่มั่นชั้นนอกหลายเท่า

ขณะที่คนส่วนใหญ่คิดกันว่าชีวิตแต่ละวันในอนาคตก็คงดำเนินไปแบบนี้แล้วนั้น ก็มีข่าวหนึ่งส่งมายังฐานที่มั่นเขตตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเอ

พวกเหยียนเฟยมองรถทหารติดไซเรนสองสามคันขับผ่านไป เขาสังเกตเห็นว่าหลัวซวินที่วันนี้ทั้งวันดูจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูอีกครั้งแล้ว เหยียนเฟยจึงอดรู้สึกสงสัยไม่ได้ เช้าวันนี้พวกเขาเพิ่งไปส่งผักที่โรงอาหารหนึ่งมา พรุ่งนี้ไม่ต้องไป ช่วงนี้ที่บ้านก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แม้ผู้คนในเขตชุมชนจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อไม่นานมานี้ตึกที่พวกเขาอยู่เพิ่งมีเหตุโจรตกตึกไปสองราย ระยะนี้จึงไม่มีหัวขโมยคนไหนกล้าหาเรื่องใส่ตัวอีก

งานของพวกหลี่เถี่ยก็เป็นปกติดีทุกอย่าง ช่วงนี้จึงไม่มีปัญหาวุ่นวายอะไรให้ได้ยิน ด้านจางซู่…ต่อให้มีปัญหาความยุ่งยากเขาก็สามารถจัดการเองได้ ส่วนตัวเหยียนเฟยเอง แม้ก่อนหน้านี้หัวหน้ากัวจะเคยบอกว่าเบื้องบนต้องการพบผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะที่แสนพิเศษอย่างพวกเขา และต้องการประกาศเกียรติคุณให้พวกเขาด้วย แต่ในตอนนั้นเขากับหลัวซวินได้หาข้ออ้างปฏิเสธอีกฝ่ายไปแล้ว

ทว่าทำไมตอนนี้เขาถึงไม่สบายใจเท่าไรเลยล่ะ

เหยียนเฟยเกิดความสงสัยติดค้างในใจมาตลอด กระทั่งกลับถึงบ้านก็ยังไม่ได้คำตอบ ใช่ว่าเขาไม่อยากถาม เมื่อตอนกลางวันก็เปรยถามไปแล้วสองรอบ แต่เห็นได้ชัดว่าวันนี้สมองของหลัวซวินไม่ค่อยแล่นสักเท่าไร เหยียนเฟยถามอะไรไป อีกฝ่ายก็หันมาตอบเขาแค่คำว่า ‘หา?’ ด้วยท่าทางเหมือนยังไม่หลุดออกจากภวังค์ ถามไปใหม่ก็ไม่ได้คำตอบอะไรอยู่ดี…

ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้ ระหว่างทั้งสองนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่นในบ้านของพวกสวีเหมย พวกเขาได้ยินเสียงอวี๋ซินหรันร้องเพลง กุหลาบเหล็ก[1] ที่เพิ่งหัดร้องมาจากสองสาวนั่นเอง…

ก็ดีนะ เนื้อร้องความหมายจับใจดี ทำนองเพลงก็ไพเราะน่าฟังมาก แต่การนำเพลงที่ร้องยากขนาดนี้มาสอนเด็กที่อายุยังไม่ถึงสิบขวบจะไม่เป็นอะไรจริงๆ เหรอ

หลัวซวินมุมปากกระตุกฟังเด็กน้อยร้องเพลงแบบหายใจไม่ทันจนจบ จากนั้นก็ปรบมือให้กำลังใจ…แต่ถ้ารอยยิ้มบนใบหน้าเขาดูจริงใจเหมือนอย่างเหยียนเฟยอีกนิดได้จะยิ่งดีมาก

เมื่อทั้งคู่บอกลาพวกสวีเหมยและกำลังจะพาเจ้าตัวเล็กกลับขึ้นชั้นบนด้วยกัน ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่พวกหลี่เถี่ยเดินขึ้นบันไดลิ้นห้อยมาพอดี ยังไม่ทันได้เปิดประตูเหล็กบานใหญ่ หานลี่ที่อยู่ข้างหน้าสุดก็โพล่งขึ้นมา “พี่หลัว พวกพี่ได้ยินข่าววันนี้หรือยัง”

“ข่าวอะไร”

“เกิดเรื่องขึ้นในฐานที่มั่นของหลายๆ เมือง พวกเขาส่งจดหมายขอความช่วยเหลือมายังฐานที่มั่นของพวกเรา ได้ยินว่ามีฐานที่มั่นอย่างน้อยสองแห่งถูกทำลายจนย่อยยับไปแล้ว”

ทั่วบริเวณโถงทางเดินตกอยู่ในความเงียบทันที สวีเหมยกับซ่งหลิงหลิงหันมามองหน้ากัน ส่วนเหยียนเฟยหันไปมองหลัวซวินที่ยืนอยู่ข้างๆ แววตาของหลัวซวินวูบไหว แต่ไม่ถึงขั้นตระหนกตกใจเหมือนอย่างคนอื่น แต่กลับเป็นแววตาที่สลดหดหู่และเศร้าหมอง

แม้บางเรื่องจะรู้ล่วงหน้าแต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้ หลัวซวินอาจใช้วิธีเตือนสติบอกให้คนในกองทัพรู้ว่าถ้าใช้น้ำไม่สะอาดจะเป็นต้นเหตุให้มนุษย์กลายเป็นซอมบี้ได้ แต่ถ้าผู้ดูแลด้านสุขอนามัยในอาหารแอบเกียจคร้าน ก็ย่อมสร้างปัญหาเหมือนเมื่อตอนผู้รอดชีวิตในฐานที่มั่นจู่ๆ กลายเป็นซอมบี้ขึ้นมาได้อยู่ดี

เขาสามารถบอกกับนักวิทยาศาสตร์ในสถาบันวิจัยได้ว่า เห็ดช่วยลดอัตราการเกิดพืชกลายพันธุ์ได้ แต่พืชผลที่ปลูกในพื้นที่การเกษตรก็ยังเกิดการกลายพันธุ์เป็นวงกว้างได้อยู่ดี

เขาสามารถบอกคนอื่นได้ว่า…วันนี้ฐานที่มั่นของเมืองเอ็มจะถูกซอมบี้บุกถล่ม แต่ต่อให้เขาพูดออกไป จะมีใครเชื่อกันล่ะ แถมเมืองทั้งสองก็อยู่ห่างไกลกันมาก ต่อให้พูดออกไปจริงๆ ก็เปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรไม่ได้ทั้งนั้น

ยิ่งไปกว่านั้น แม้เขาจะรู้ว่าเมื่อชาติที่แล้วเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นกับฐานที่มั่นอื่นๆ ในช่วงวันประมาณนี้ แต่กลับไม่รู้ชัดว่าแต่ละที่แทบจะเกิดขึ้นพร้อมกันในวันเดียวกันเลยด้วยซ้ำ

ระหว่างทางที่เขาอพยพมาเมืองเอ เขาบังเอิญเจอคนจากฐานที่มั่นอื่น แต่ด้วยความที่สถานการณ์ในตอนนั้นโกลาหลวุ่นวายเกินไป ทุกคนจึงไม่มีเวลามาคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ได้แต่เค้นสมองคิดหาหนทางหนีเข้าเมืองเอ คิดหาวิธีเอาชีวิตรอดจากฝูงซอมบี้ระหว่างทาง จนเมื่อเข้ามาในเมืองเอแล้ว คนที่เคยใช้ชีวิตสับสนวุ่นวายมานานจะมีสักกี่คนที่จดจำวันเวลาในช่วงนั้นได้อย่างชัดเจน

…ฐานที่มั่นของเมืองเอ็ม เมืองเอกซ์ และฐานที่มั่นที่สองของเมืองซี ถูกถล่มรวมทั้งหมดสามแห่ง ส่วนฐานอื่นๆ ที่เหลือต่างส่งจดหมายมาขอความช่วยเหลือ ลมหายใจของคนในฐานที่มั่นตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเอพลันเปลี่ยนเป็นอึดอัดตึงเครียดขึ้นในทันที แม้ว่าทางฐานที่มั่นจะอนุญาตให้ทุกคนออกไปปฏิบัติภารกิจนอกฐานได้เหมือนปกติแล้วก็ตาม

ต่อให้ผู้คนอยากจะออกไปนอกฐานที่มั่น แต่สถานที่ต่างๆ ซึ่งถูกทิ้งระเบิดช่วงก่อนหน้านี้ไม่ได้กินพื้นที่แค่วงเล็กๆ หากทุกคนคิดจะออกไปรวบรวมทรัพยากรละแวกใกล้ๆ นี้ขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไร ถ้าเป็นเมื่อก่อนยังพอไปหาตามอาคารที่อยู่อาศัยหรือห้างร้านบริเวณนั้นได้บ้าง แต่ตอนนี้เหรอ ขอโทษนะ คุณคงได้แต่ต้องเข้าไปในเขตตัวเมืองลึกมากขึ้นอีก หรือไม่ก็ไปหาเสบียงทางแถบทิศเหนือที่ยังไม่ถูกระเบิดถล่มแทน

ยิ่งเป็นทีมเล็ก ถ้าคิดออกไปรวบรวมทรัพยากรยิ่งไม่เป็นผลดี หากเข้าไปในเขตตัวเมืองลึกๆ อาจเจอซอมบี้ฝูงใหญ่โจมตีเข้าก็ได้ ครั้นจะไปตามซากปรักหักพังที่เพิ่งถูกระเบิดก็อาจต้องกลับมามือเปล่า… เมื่อเป็นแบบนี้ ทีมขนาดเล็กที่มีสมาชิกรวมกันแค่สิบคนจึงเคลื่อนไหวทำอะไรค่อนข้างยาก

ยังดีที่เป็นเวลาเดียวกับที่ทางฐานที่มั่นเริ่มรับสมัครคนงานแล้ว แต่ต่อให้เปิดรับสมัครงาน คนแก่และผู้ที่ร่างกายอ่อนแอได้แต่รออยู่ในฐานที่มั่นเหล่านั้นก็แย่งโอกาสเก็บสะสมคูปองอะไรกับใครเขาไม่ได้ หากต้องกรำงานหนักทั้งวัน แต่ผลตอบแทนต่ำจนบางคนแม้กระทั่งจะเลี้ยงตัวเองก็ยังทำไม่ได้เลย ส่วนวัยรุ่นคนหนุ่มสาวที่ไม่มีกำลังความสามารถในการสู้รบบางส่วน บรรดาทีมย่อยที่ต้องออกไปรวบรวมทรัพยากรนอกฐานที่มั่นเหล่านั้นแทบไม่เห็นหัวพวกเขาเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องไปทำงานก่อสร้างตามจุดต่างๆ ในฐานที่มั่น

ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้หลายทีมรับสมัครเฉพาะผู้มีพลังพิเศษเข้าร่วมทีมเท่านั้น ไม่ชายตาแลคนธรรมดาเลยสักนิด

นอกจากนี้ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นเรื่องโชคดีและน่ายินดีสำหรับหลัวซวินกับเหยียนเฟยก็คือ…ในฐานที่มั่นมีคู่รักชายรักชายที่คบหากันอย่างเปิดเผยเพิ่มมากขึ้น

ช่วยไม่ได้ บางทีช่วงแรกอาจยังมีสาวโสดเหลืออยู่บ้าง แต่หลังจากมีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมายทั้งในและนอกฐานที่มั่น ปัจจุบันผู้หญิงที่กล้าออกมาเดินข้างนอกอย่างเปิดเผยดูเหมือนจะเหลือเพียงสาวแกร่งกร้าวห้าวหาญอย่างพวกสวีเหมยกับซ่งหลิงหลิงเท่านั้น ต่อให้หญิงสาวพวกนั้นไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาสะสวยเลิศเลอ หรือถึงขั้นเทียบเท่าเน็ตไอดอลได้ แต่เวลานี้ส่วนใหญ่ก็คงมีคู่ครองกันหมดแล้ว

ตามข้อมูลที่พวกหลี่เถี่ยได้รวบรวมสถิติเก็บไว้ ปัจจุบันอัตราส่วนระหว่างหญิงกับชายในฐานที่มั่นอยู่ที่หนึ่งต่อสี่จุดห้า ความหมายคือ มีผู้หญิงสองคนต่อผู้ชายจำนวนเก้าคน!

ในสถานการณ์ซึ่งอุปสงค์และอุปทานขาดความสมดุลเช่นนี้ นอกจากพวกที่ชิงลงมือหาภรรยามาเลี้ยงดูอยู่ที่บ้านก่อนแล้ว คนอื่นๆ ทั่วไปจึงไม่ได้เห็นแม้แต่ใบหน้าของผู้หญิงเลยด้วยซ้ำ ฉะนั้นการที่ชายกับชายคบหากันจึงมีให้เห็นเพิ่มมากขึ้นทุกวัน

ท่ามกลางบรรยากาศที่น่าอึดอัดและกดดันเหล่านี้ พวกหลัวซวินกำลังเฝ้ารอวันที่จะได้ออกไปทำภารกิจนอกฐานที่มั่นในช่วงปลายเดือนมิถุนายน

 

พวกหลี่เถี่ยไปต่อรองขอวันหยุดเพิ่มมาเป็นสามวันได้สำเร็จ ดังนั้นหลังจากหารือกันอยู่นาน ในที่สุดทุกคนก็ตัดสินใจว่า…จะออกไปนอกฐานวันที่ 27 และกลับมาในวันที่ 28 แบบนี้พวกหลี่เถี่ยก็จะได้หยุดพักผ่อนหนึ่งวัน ส่วนพวกหลัวซวินก็ได้หยุดติดต่อกันสองวัน

จำเป็นต้องบอกไว้อย่างหนึ่งว่า สาเหตุที่พวกหลัวซวินไม่เลือกออกไปสองวันสุดท้ายของเดือน นั่นเป็นเพราะเรื่องที่มีโจรบุกมาถึงบ้านพวกเขาเมื่อคราวก่อน แม้จะปรับเปลี่ยนเวลาอะไรไม่ได้มาก แต่ก็ไม่ควรกำหนดวันที่ดูเหมือนๆ กับคนทั่วไป เพื่อไม่ให้ถูกจับทางได้ง่ายๆ นี่จึงเป็นสาเหตุที่เขาเลือกออกไปนอกฐานที่มั่นในวันดังกล่าว

เย็นของวันที่ 26 ทุกคนนั่งอยู่ในห้องของพวกหลี่เถี่ยและเริ่มประชุมหารือกัน พวกเขาเตรียมของที่จำเป็นต้องพกออกไปนอกฐานที่มั่นด้วยไว้เรียบร้อยแล้ว ด้านสองสาวก็ได้จัดเตรียมเสบียงสำหรับสมาชิกทุกคนในทีมพร้อมแล้วเช่นกัน ส่วนพิษเห็ด หลัวซวินก็ทยอยเตรียมไว้ตั้งแต่ช่วงบ่ายของเมื่อวานและเมื่อวานซืนแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงเรื่องสุดท้ายก็คือ…กำหนดเส้นทาง

“ได้ข่าวว่าอาคารสำคัญๆ ทางตอนใต้ของตัวเมืองถูกปฏิบัติการทางทหารระเบิดทิ้งไปหมดแล้ว เกรงว่าแนวป้องกันก่อนหน้านี้ของพวกเราคงจะ…” หลี่เถี่ยพูดค้างพลางชำเลืองมองไปทางเหยียนเฟย

เหยียนเฟยกลับพูดด้วยสีหน้าสบายๆ “ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ขอแค่ระหว่างทางมีโลหะก็พอแล้ว พวกเราสร้างแนวป้องกันขึ้นมาใหม่ชั่วคราวก่อนก็ได้”

“พวกเราไปดูสถานการณ์กันก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะปักหลักล่าซอมบี้กันที่ไหนดี” หลัวซวินอธิบายให้ทุกคนฟังว่า “การทิ้งระเบิดคราวก่อนทำให้ซอมบี้แถวนี้มีจำนวนน้อยลงก็จริง แต่ในเมื่อตอนนี้ทุกคนต่างพุ่งเป้าไปที่ทางตอนเหนือของเขตตัวเมือง ฉันคิดว่าพวกเราควรสวนทางไปล่าซอมบี้ทางตอนใต้แทนน่าจะดีกว่า ยังไงเป้าหมายของเราก็ต่างจากคนอื่น…พวกเราไม่จำเป็นต้องหาทรัพยากรมาให้ฐานที่มั่น…สิ่งที่พวกเราต้องการไม่จำเป็นต้องเข้าไปในเขตตัวเมืองลึกๆก็สามารถหาเจอได้ แบบนี้ไปหาทางตอนใต้ของเขตตัวเมืองกลับจะมีประโยชน์ต่อพวกเรามากกว่า …ถึงแม้จะมีซอมบี้ไม่เยอะเท่า แต่อย่างน้อยก็มากพอให้พวกเราล่าเอาคริสตัลและจะได้ถือโอกาสรวบรวมวัสดุโลหะกลับมาด้วยทีเดียวเลย”

หลังจากหลัวซวินพูดจบ ทุกคนก็รีบพยักหน้าหงึกๆ เป้าหมายสำคัญที่สุดที่พวกเขาออกไปนอกฐานที่มั่น อย่างแรกคือรวบรวมวัสดุโลหะ อย่างที่สองก็คือล่าซอมบี้เก็บคริสตัล

ในเมื่อพวกเขามีเหยียนเฟยผู้เปรียบดั่งมนุษย์แม่เหล็กอยู่ทั้งคน จึงไม่ต้องกังวลว่าจะหาโลหะกลับมาไม่ได้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องคริสตัลซอมบี้นั่นน่ะเหรอ แม้ซอมบี้ทางใต้จะถูกฆ่าตายไปบางส่วน แต่เสียงระเบิดที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นั้นก็ดึงดูดซอมบี้ให้ยกโขยงกันมามากขึ้นด้วยเหมือนกัน มันจึงเป็นประโยชน์สำหรับทีมพวกเขาที่ต้องการล่าซอมบี้โดยเฉพาะ

เมื่อกำหนดเป้าหมายเสร็จแล้วทุกคนจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อนแต่หัววัน เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นพวกเขาก็ขับรถไปที่ประตูฐานที่มั่นเพื่อเตรียมตัวออกไปทำภารกิจ

ทีมของพวกเขายังคงใช้รถสี่คันเหมือนเดิม… อ๊ะ ไม่สิ ห้าคันต่างหาก…เพราะรถของหลัวซวินเป็นรถสองคันมาเชื่อมพ่วงต่อกันเป็นคันเดียว

แต่มองดูขบวนรถของทีมอื่นที่จอดรออยู่ตรงปากประตูแล้ว…โดยทั่วไปมีไม่ต่ำกว่าสิบคัน

ทีมเล็กทีมน้อยที่เดิมอยู่กันอย่างกระจัดกระจายบ้างถูกควบรวม บ้างเข้าเป็นพันธมิตรกันชั่วคราว ทีมที่เป็นกลุ่มย่อยเล็กๆ มีสมาชิกไม่กี่คนอย่างของพวกหลัวซวินเห็นได้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

แน่นอนว่ายังมีบางทีมที่หาพันธมิตรรวมกลุ่มไม่ได้ เวลานี้พวกเขาจึงกำลังรออยู่หน้าประตูฐานที่มั่นพร้อมกับชูป้ายขอร่วมทีม บ้างก็ขอร่วมมือ ไม่ก็เปิดรับสมาชิกเพิ่ม ทีมเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นทีมเล็กที่มีสมาชิกประมาณสิบกว่าคนเท่านั้น ตอนนี้อยากออกไปข้างนอกแต่กลับไม่กล้าไปไกลมากนัก จึงได้แต่พยายามมองหาว่าพอจะมีใครร่วมมือกับพวกตนออกไปที่ทางเหนือของตัวเมืองด้วยกันได้บ้าง

ทีมโอตาคุไม่ได้ตั้งใจมารวมกับทีมอื่นอยู่แล้ว พวกเขาจึงขับตรงเข้าไปต่อแถวเพื่อเตรียมออกจากฐาน ไม่นานก็ได้ถูกปล่อยไปพร้อมกับทีมใหญ่ซึ่งมีรถอย่างน้อยยี่สิบคันเลยทีเดียว

การทิ้งระเบิดในเขตตัวเมืองครั้งก่อนดึงดูดซอมบี้จำนวนมากให้ออกไปห่างจากบริเวณนี้ ประกอบกับทางฐานที่มั่นได้ส่งคนออกมากำจัดซอมบี้ที่ล้อมอยู่นอกกำแพงครั้งใหญ่ ดังนั้นจึงกวาดล้างพื้นที่โดยรอบฐานที่มั่นจนเรียบในเวลาอันรวดเร็ว

พวกหลัวซวินเลี้ยวไปทางถนนที่ไม่มีรถราสัญจรผ่านมาครู่หนึ่ง แล้วขับมุ่งหน้าไปทางฝั่งใต้ของตัวเมือง เพื่อไปยังจุดล่าซอมบี้เดิมของพวกเขาก่อน

ตลอดทางไม่มีทีมอื่นมาทางเดียวกับพวกเขา แต่กลับบังเอิญเจอขบวนรถขับสวนมาจากทางนั้นผ่านไปสองสามครั้ง ขบวนรถเหล่านี้ล้วนเป็นผู้หนีตายมาจากฐานที่มั่นอื่นที่ถูกถล่มไป

พวกหลัวซวินขับรถมาถึงธนาคารที่เคยใช้เป็นฐานทัพล่าซอมบี้มาแล้วหลายครั้ง แต่ตอนนี้…ธนาคารเหลือเพียงซากปรักหักพังเสียแล้ว

เมื่อหลัวซวินมองออกไปนอกรถ เห็นเศษซากอาคารที่ไม่เหลือเค้าเดิมก็ได้แต่ทอดถอนใจเบาๆ จากนั้นก็หันไปถามเหยียนเฟยว่า “เอาออกมาได้หรือเปล่า”

เหยียนเฟยพยักหน้าแล้วเลื่อนกระจกหน้าต่างฝั่งตัวเองลง ก่อนจะเริ่มใช้พลังควบคุมโลหะที่คราวก่อนเขาซ่อนไว้ที่นี่ออกมา

ธนาคารยังคงเหลือซากกำแพงไว้ให้เห็น ไม่ใช่เพราะโครงสร้างเดิมของอาคารแข็งแกร่งทนทานอะไร แต่เพราะด้านในนั้นมีโลหะที่เหยียนเฟยเก็บซ่อนไว้ตามผนังอาคารตั้งแต่คราวก่อน

โลหะต่างๆ รวมถึง ‘กล่องเหล็ก’ ในหลุมกับดักถูกเหยียนเฟยดึงออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วหลอมรวมกลายเป็นลูกโลหะใหญ่ยักษ์กลิ้งตามหลังขบวนรถของพวกเขา แล้วขบวนรถของพวกหลัวซวินก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ ทิ้งให้ธนาคารซึ่งเดิมยังพอหลงเหลือเศษซากอยู่บ้างพังครืนลงมาอยู่ด้านหลัง

 

เนื่องจากอาคารส่วนใหญ่ถูกระเบิดจนไม่เหลือเค้าเดิม ดังนั้นครั้งนี้พวกเขาจึงไม่คิดมองหาอาคารเพื่อทำเป็นฐานทัพอีก ถึงอย่างไรก็มีเหยียนเฟยอยู่ทั้งคน ขอแค่มีคริสตัลให้ดูดซับเพิ่มพลังอย่างต่อเนื่อง พวกเขาก็สามารถใช้โลหะสร้างเป็นฐานทัพชั่วคราวขึ้นมาได้

หลัวซวินเลือกสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งสามารถมองเห็นซอมบี้เดินเตร่อยู่เป็นจำนวนมากได้จากไกลๆ เขาให้เหยียนเฟยสร้างกำแพงโลหะเพื่อปิดกั้นทิศทางที่ซอมบี้จะมารวมตัวกันไว้ก่อน หลังจากที่ทุกคนจอดรถแล้วก็เริ่มลงมือระดมยิงกวาดล้างซอมบี้ผ่านช่องกำแพงที่เหยียนเฟยตั้งใจเว้นไว้ให้โดยเฉพาะ ส่วนเหยียนเฟยสาละวนอยู่กับวัสดุโลหะที่พากลิ้งมา เริ่มนำมาสร้างเป็นแนวป้องกัน

เหยียนเฟยมีประสบการณ์การลงเสาเข็มทำฐานรากกำแพงสูงสิบเมตรมาแล้ว งานสร้างแนวป้องกันครั้งนี้จึงเป็นงานง่ายสำหรับเขามาก หลังจากพลังพิเศษธาตุทรายของอวี๋ซินหรันเพิ่มเป็นขั้นสองก็พลอยมีความสามารถด้านอื่นติดมาด้วย เช่น เธอสามารถควบคุมเม็ดทรายทั้งหลายให้เคลื่อนที่ได้ จึงสั่งให้พวกมันไปพันขาศัตรูและดึงให้ตกลงไปในหลุมทรายราวกับพวกมันมีความนึกคิดเป็นของตัวเอง หลัวซวินได้บอกให้สองสาวช่วยกันฝึกฝนการควบคุมพลังพิเศษให้เด็กน้อยก็จริง แต่คิดไม่ถึงว่าเด็กน้อยจะใช้พลังพิเศษที่เธอมีอยู่ช่วยเก็บคริสตัลมาให้ในตอนที่ทุกคนยังไม่สะดวกแบบนี้ ด้วยการ ‘จัดส่ง’ หัวซอมบี้มาให้ถึงข้างตัว!

วิธีนี้ดีกว่าเสี่ยงออกไปเก็บเสียอีก

พลังพิเศษธาตุน้ำของซ่งหลิงหลิงก็ไม่ได้อ่อนแอไร้พิษสงเหมือนแต่ก่อนแล้ว ปัจจุบันเธอสามารถร่วมมือกับพวกหลี่เถี่ยได้เป็นอย่างดี เมื่อพวกหนุ่มๆ ยิงหน้าไม้เจาะหัวซอมบี้ได้แล้ว ซ่งหลิงหลิงก็จะควบคุมส่วนประกอบที่เป็นน้ำจากบริเวณปากแผล ถ้าบาดแผลอยู่ใกล้กับตำแหน่งของคริสตัล เธอก็สามารถควบคุมของเหลวให้นำคริสตัลออกมาพร้อมกันได้เลยโดยที่ซอมบี้ตัวนั้นอาจจะยังไม่ตาย เรียกว่าเป็นอาวุธสังหารที่ทรงอานุภาพอย่างยิ่ง

หลังจากเธอเอาคริสตัลออกจากบาดแผลนั่นได้แล้ว อวี๋ซินหรันที่ยืนอยู่ข้างเธอก็จะรีบควบคุมทรายไป ‘เก็บ’ คริสตัลกลับมาอย่างรวดเร็ว แถมวิธีนี้ยังลดการเข้าใกล้ซอมบี้ได้มากด้วย และไม่ต้องกังวลว่าขณะที่ยื่นมือออกไปเก็บคริสตัลจะเสี่ยงถูกพวกซอมบี้ที่ยังไม่ตายเล่นงานกลับหรือเปล่า

เมื่อใช้วิธีนี้ทุกคนจึงยืนระยะในการต่อสู้ได้ยาวนานขึ้น หลังจากกำจัดซอมบี้ละแวกนี้เรียบร้อยแล้ว เหยียนเฟยก็สร้างแนวป้องกันโลหะเสร็จพอดี

แนวป้องกันรูปชามมีฐานรากลึกลงไปใต้ดินสองเมตร แถมยังห่อหุ้มทุกคนให้อยู่ในนั้นได้อย่างมิดชิด มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณยี่สิบเมตร หลังจากสร้างแนวป้องกันเสร็จแล้ว เหยียนเฟยก็เริ่มดูดซับคริสตัลเพื่อเสริมพลัง อวี๋ซินหรันจัดการเปลี่ยนพื้นดินด้านนอกรอบ ‘ชามโลหะ’ ให้กลายเป็นทรายผ่านร่องที่เหยียนเฟยเว้นช่องไว้ให้เธอโดยเฉพาะ

“โลหะพอใช้หรือเปล่า” เมื่อการโจมตีจากซอมบี้ด้านนอกสงบลงชั่วคราว หลัวซวินจึงฉวยจังหวะนี้ให้ทุกคนสับเปลี่ยนกันไปพัก ส่วนเขาเดินมาข้างๆ เหยียนเฟย พวกเขาจอดรถของตัวเองไว้ภายใน ‘ชามโลหะ’ ด้วยอยู่แล้ว ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากจุดที่พวกเขาอยู่นัก เสบียงต่างๆ ล้วนอยู่บนรถเหล่านี้ ตกกลางคืนก็สามารถนอนในรถได้… ดีกว่านอนในซากปรักหักพังเป็นไหนๆ

เหยียนเฟยพยักหน้า “แถวนี้ยังมีโลหะอยู่อีกเยอะ แถมที่พวกเราขนมาก็ยังเหลืออยู่อีกเพียบ” เขาพูดพลางมองผ่านช่องสำหรับโจมตีออกไปไกลๆ เพื่อให้แน่ใจว่าตนรับรู้ถึงการมีอยู่ของโลหะจริงๆ

หลัวซวินถอนหายใจอย่างโล่งอก เขายิ้มให้เหยียนเฟยแล้วลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย เนื่องจากยิงโจมตีซอมบี้เยอะเกินไปจึงทำให้รู้สึกปวดไหล่ “ถ้ามีโลหะเหลือ ก็เอามาเก็บไว้รอบตัวพวกเราเยอะๆ หน่อยนะ แนวกำแพงครั้งนี้ของพวกเราไม่ค่อยสูงนัก ถ้ามีซอมบี้กระโดดเข้ามาอาจรับมือได้ยาก”

เหยียนเฟยพยักหน้าเล็กน้อย เขาเองก็คิดว่าถ้าทำหลังคาเสริมเข้าไปด้วยน่าจะดีกว่า แม้ถึงตอนนั้นอากาศจะไม่ค่อยปลอดโปร่ง แต่ว่า… “ถ้าอากาศข้างในนี้หมุนเวียนได้ไม่ดีก็ให้จางซู่ใช้พลังพิเศษช่วยก็ได้”

ทางด้านจางซู่กำลังใช้พลังพิเศษกวาดเศษกรวด เศษอิฐ และเศษกระจกนอกแนวป้องกันทั้งหลายโจมตีใส่ซอมบี้ พอเขาได้ยินคำพูดนี้ก็เหลียวหน้ากลับมาส่งสายตาใส่เหยียนเฟย สายตาคู่นั้นสวยเย้ายวนจนแทบทำให้คนเคลิบเคลิ้มได้ น่าเสียดาย มุกนี้นอกจากใช้กับเหยียนเฟยไม่ได้ผลแล้วยังให้ผลตรงกันข้ามอีกด้วย

อวี๋ซินหรันกำลังสนุกสนานกับการเปลี่ยนซากปรักหักพังรอบๆ ให้กลายเป็นทรายภายในเวลาอันรวดเร็วเหมือนกำลังเล่นเกม หลังจากหลัวซวินเห็นว่าทุกอย่างน่าจะพร้อมแล้ว จึงให้เหยียนเฟยวางถุงเลือดถุงหนึ่งไว้บนเสา จากนั้นก็ยืดเสาต้นนี้ให้ยื่นออกมาจากแนวป้องกัน แล้วเจาะถุงให้เลือดไหลลงใน ‘ชาม’ เล็กๆ ที่ทำจากโลหะ แต่เลือดไม่ได้ไหลล้นออกมา เพียงครู่หนึ่งเหยียนเฟยก็รีบปิดผนึกชามใบนี้ ไม่ให้กลิ่นคาวเลือดเล็ดลอดออกมาจนพวกซอมบี้แห่กันมาเยอะเกินไป กลิ่นเลือดโชยมาจางๆ ทำให้ซอมบี้ที่เดินเพ่นพ่านอยู่ด้านนอกแต่ไม่ทันสังเกตเห็นพวกหลัวซวินมาก่อนพุ่งมาทางนี้อย่างบ้าคลั่ง

“เตรียมตัว… โจมตี!” ในละแวกนี้ไม่มีอาคารช่วยเป็นเกราะกำบัง หลัวซวินจึงปล่อยให้ถุงเลือดส่งกลิ่นกระจายไปในอากาศเพียงครู่เดียวเท่านั้น แล้วให้เหยียนเฟยปิดผนึกชามนั่นให้สนิท รอให้พวกซอมบี้ระลอกแรกบุกมา พลังวายุของจางซู่ผสานกับเม็ดทรายที่ถูกพลังจากธาตุไฟแผดเผาจนร้อนระอุพร้อมกับลูกไฟก็ปลิวว่อนไปทั่วทุกสารทิศ

 

[1] เป็นชื่อเรียกย่อๆ ของเพลง กุหลาบเหล็กก้องกังวานแม้ผ่านลมฝนหรือสายรุ้ง เนื้อหาเพลงสื่อถึงผู้หญิงที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และยังยืนหยัดก้าวต่ออย่างสง่างาม

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า