กลยุทธ์การเอาตัวรอดของตัวเบี้ยผู้กลับมาเกิดใหม่
炮灰重生自救攻略
ผูเถาหย่างเล่อตัว เขียน
葡萄养乐多
จิงจิง แปล
— โปรย —
ชาติก่อน เย่หนานถูกจับให้แต่งงานเป็นชายารองแทนพี่สาว สุดท้ายสามีสั่งขังและพระชายาเอกก็หยิบยื่นยาพิษให้จนเขาตายในคุก ชาตินี้เขาจึงตั้งใจจะแก้แค้น! เป้าหมายของเขาคือ ฉู่เซียวหรัน ผู้เป็นเซ่อเจิ้งอ๋อง!
ช่างเถอะๆ เขาคงฆ่าอีกฝ่ายไม่ได้หรอก งั้นต้องหนี! หนีไปให้ไกลจะได้ไม่ต้องพบคนใจทรามผู้นั้นอีก
แต่ยังไม่ทันจะเก็บผ้าผ่อน คนใจทรามที่ว่าก็มาสู่ขอเขาถึงจวนเสียแล้ว เดี๋ยวนะ มาสู่ขอเขา ไม่ใช่พี่สาวของเขาหรอกเหรอ!
เหตุใดชาตินี้เซ่อเจิ้งอ๋องผู้เคยเย็นชาจึงทำตัวแปลกนักเล่า เย่หนาน “ท่านป่วยหรือ”
ฉู่เซียวหรัน “เราป่วยหนัก ไม่เจอพระชายาเพียงหนึ่งเค่อ หัวใจก็เจ็บปวดราวถูกมีดจ้วงแทง พระชายาช่วยรักษาเราได้หรือไม่” เย่หนาน “ฉู่เซียวหรัน ท่านจะทำอะไร! นี่มันห้องหนังสือ หากผู้อื่นมาเห็นเข้าจะทำเช่นไร!”
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 1
เกิดใหม่
“คุณชาย คุณชายห้ารีบตื่นเร็วเข้าขอรับ” เย่หนานลืมตาสะลึมสะลือหลังจากถูกปลุกด้วยแรงเขย่าพร้อมกับเสียงเรียกที่ดังมาก
ไม่รู้ด้วยเหตุใดเขาถึงรู้สึกปวดร้าวประหนึ่งร่างกายถูกฉีกจนขาดวิ่น ในใจเต็มไปด้วยความคับแค้นเสมือนถูกศิลาก้อนใหญ่กดทับ
เย่หนานกุมศีรษะพลางลุกขึ้นนั่งด้วยความยากลำบาก
“เกิดอะไรขึ้น” เย่หนานงุนงงเล็กน้อย นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทั้งๆ ที่ตนตายไปแล้วเพราะดื่มเซียงซือต้วนฉางหง[1]ที่ฉินจื่อเหยามอบให้ แล้วเหตุใดถึงฟื้นขึ้นมาอีกเล่า
“ม่านคลุมเตียงนี้…นี่มันที่ไหนกัน อ๊ะ…” เย่หนานผู้ปวดศีรษะรุนแรง ยามจ้องมองภาพเบื้องหน้าก็ถึงกับสะดุ้งตัวโยนด้วยความตกใจ เขาพยายามขยี้ตาสุดแรงก่อนเอ่ยด้วยความสับสน “ข้ามองเห็นแล้วหรือ”
เขาจำได้แม่น ฉินจื่อเหยาทำลายดวงตาของเขาไปแล้วนี่
“คุณชาย ท่านกำลังพูดจาเพ้อเจ้ออะไรอยู่ขอรับ เร็วเข้าเถิด อย่ามัวชักช้าอยู่เลย นายท่านให้ท่านรีบไปยังโถงรับรอง หากไปสายเดี๋ยวจะถูกตำหนิอีกนะขอรับ” อาฉงร้อนใจ
เย่หนานลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้างงงวย เขาลูบคลำศีรษะพลางเอ่ยว่า “อาฉง ข้าไม่ได้ตายไปแล้วหรือ เหตุใดจึงยังอยู่ที่นี่”
อาฉงกล่าวขณะหยิบเครื่องแต่งกายของเย่หนานออกมา “คุณชายขอรับ นี่ท่านคงนอนจนปีศาจสิงแล้วกระมัง เฮ้อ ตื่นขึ้นมาเช้าตรู่ก็เอ่ยถึงเรื่องความตายอะไรกัน ช่างไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย”
เย่หนานชันตัวลุกจากเตียง อาฉงทำหน้าที่ปรนนิบัติสวมเสื้อผ้าให้ ชุดนี้เป็นชุดสำหรับใส่ไปเรือนรับรองเพียงชุดเดียวของเย่หนาน ซึ่งโดยทั่วไปจะสวมใส่ก็ต่อเมื่อนายท่านเรียกรวมสมาชิกน้อยใหญ่ในตระกูลให้มากินอาหารร่วมกันในวันที่สิบห้าของทุกเดือน หลังจากนั้นก็จะวางมันเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าเช่นเดิม
“อาฉง วันนี้วันที่สิบห้าใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่ขอรับ นายท่านกำชับให้คุณชายสวมชุดที่ดูเรียบร้อยออกไปเป็นการเฉพาะ คงเพราะต้องไปพบบุคคลสำคัญอะไรทำนองนั้นกระมัง”
“อาฉง ตอนนี้เป็นช่วงเวลาใดหรือ” เย่หนานล้างหน้าพร้อมเอ่ยถาม
อาฉงยื่นผ้าขนหนูให้เขาแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้หรือขอรับ ตอนนี้เป็นยามซื่อ[2]เกือบยามอู่[3]แล้วขอรับ คุณชายเร็วหน่อยเถิด อีกประเดี๋ยวหากนายท่านออกกลอุบายใดขึ้นมาอีก คุณชายจะโดนลงโทษ แล้วข้าก็คงพลอยติดร่างแหไปด้วย ข้าน้อยติดตามคุณชายมานานหลายปีเพียงนี้แล้ว ไม่คิดจะเห็นใจข้าน้อยสักหน่อยหรือขอรับ” อาฉงทำหน้าเศร้าโศก
“ข้าหมายถึงว่าตอนนี้ปีอะไร หรือไม่ก็ตอนนี้ข้าอายุเท่าใด” เย่หนานเริ่มร้อนใจเล็กน้อย
“อ้อ ที่ท่านกล่าวหมายถึงเรื่องนี้เองหรือขอรับ ปีนี้ท่านอายุสิบแปดปีอย่างไรเล่า ทำไมหรือขอรับ เหตุใดท่านจึงถามถึงเรื่องนี้”
‘สิบแปด คือวัยที่ข้าได้ออกเรือนไปกับเซ่อเจิ้งอ๋อง[4]อย่างฉู่เซียวหรันไม่ใช่หรือ หรือว่าสวรรค์เห็นตัวข้าน่าสงสาร จึงส่งมาเกิดใหม่อีกครั้ง ข้าคงต้องรีบเก็บข้าวของมีค่าแล้วเผ่นหนีโดยเร็ว ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่อยากแต่งงานกับฉู่เซียวหรันอีกแล้ว’
“ไม่มีอะไร ข้าแค่นอนจนมึนงงแล้วจำบางเรื่องไม่ค่อยได้ จึงถามไถ่ไปเรื่อยเปื่อยก็เท่านั้น” เย่หนานดึงแขนเสื้อพลางบอกกล่าว “รีบไปเถิด ข้าจะพยายามไม่ให้เจ้าติดร่างแหไปด้วยแล้วกัน”
**********
เมื่อเย่หนานมาถึงโถงรับรอง สิ่งที่สะท้อนอยู่ในม่านตาคือกล่องของขวัญสีแดงเต็มห้อง และฉู่เซียวหรันผู้เป็นเซ่อเจิ้งอ๋องก็กำลังนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่!!!
ฉู่เซียวหรันนั่งบนเก้าอี้หลักของห้องโถง ทอดสายตามองเย่หนานที่อยู่นอกประตูด้วยแววตาเย็นชาและเคร่งขรึม ให้ความรู้สึกยากจะเข้าถึงยิ่งนัก
นี่มันเรื่องอะไรกัน โชคร้ายเพียงนี้เชียว เพิ่งเกิดใหม่ก็พบพานอริเลยหรือ
เย่หนานกัดฟันมองคนบนเก้าอี้ผู้นั้นด้วยความชิงชัง แต่ก็ทำได้เพียงฝืนใจย่างก้าวเข้าไป ผู้ใดใช้ให้เขาเป็นถึงเซ่อเจิ้งอ๋องกันเล่า
“ถวายบังคมท่านอ๋อง” เย่หนานทำความเคารพอย่างไม่เต็มใจนัก
“คุณชายเย่ไม่ต้องเกรงใจไป” ฉู่เซียวหรันยกถ้วยชาขึ้นดื่มหนึ่งอึกก่อนจะวางลง
“ไม่ทราบว่าท่านพ่อเรียกข้ามาด้วยเรื่องใดหรือ” เย่หนานกลับหลังหันไปเอ่ยถามเย่อวิ๋นข่าย
“อ้อ ที่ท่านอ๋องนำสินสอดมาให้ในวันนี้ก็เพื่อมาสู่ขอเจ้า ในฐานะบิดาจึงอยากเอ่ยถามความคิดเห็นของเจ้าเสียหน่อย” ใบหน้าเย่อวิ๋นข่ายเต็มไปด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
ยอดเยี่ยม เพิ่งพูดไปหยกๆ ว่าในชีวิตนี้จะไม่มีวันแต่งงานด้วยอีกแล้ว อีกฝ่ายก็ส่งสินสอดมาให้ถึงหน้าประตูเสียเลย จะว่าไปในชาติก่อนผู้ที่ฉู่เซียวหรันต้องการตบแต่งด้วยไม่ใช่พี่สาวลำดับที่สี่ของเขาหรอกหรือ จากนั้นเขาถึงเป็นฝ่ายแต่งเข้าจวนอ๋องแทนนาง แล้วเหตุใดชาตินี้ถึงมาสู่ขอเขาโดยตรงเสียได้
“ข้าไม่ยินยอม” เย่หนานปฏิเสธทันควัน
หลังแต่งงานกับฉู่เซียวหรันในชาติที่แล้ว เขาต้องเสียทั้งดวงตา สูญสิ้นทั้งชีวิต และสุดท้ายยังต้องกล้ำกลืนฝืนรับโทษกบฏอย่างอยุติธรรม เช่นนี้ไม่ว่าใครหน้าไหนก็คงปฏิเสธลูกเดียวเช่นกัน
ฉู่เซียวหรันที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลักแค่นเสียงหึฟังดูเย็นชา แล้วจ้องมองไปยังเย่อวิ๋นข่าย “ท่านอัครมหาเสนาบดีคงเข้าใจความหมายของเราเป็นอย่างดี เรื่องที่เหลือฝากให้ท่านจัดการให้เรียบร้อยด้วยแล้วกัน เราขอตัวก่อน” ฉู่เซียวหรันกล่าวแล้วลุกขึ้นเดินจากไป
หมายความว่าอะไรน่ะหรือ ก็หมายความว่าถึงอย่างไรเย่หนานก็ต้องแต่งงาน แม้จะไม่อยากแต่งก็จำเป็นต้องแต่งอยู่ดีน่ะสิ!
ฉู่เซียวหรันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเย่หนานก่อนยกยิ้มมุมปาก แล้วเอ่ยคำพูดเพียงสองคำ “เราให้” จากนั้นก็ยัดถังหูลู่[5]ใส่มือเย่หนาน ก่อนจะเดินตรงออกไปโดยไม่รอให้เย่หนานตั้งสติได้
นี่มันบ้าบออะไรกัน ถังหูลู่? แล้วไหนจะรอยยิ้มที่แฝงแววไม่ประสงค์ดีนั่นอีก ทำเอาเย่หนานเสียวสันหลังวาบไปชั่วขณะ
ฉู่เซียวหรันผู้นี้ช่างทำตามอำเภอใจเฉกเช่นอดีตที่ผ่านมาไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ เขาถ่อมาสู่ขอถึงจวนอัครมหาเสนาบดีด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ น่ะหรือ
ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ หากตนปฏิเสธตามตรงว่าไม่แต่งงาน คงเป็นไปไม่ได้ จึงทำได้เพียงรับปากไปก่อนแล้วค่อยหาโอกาสหนีงานแต่งในภายหลัง
เย่อวิ๋นข่ายมองเย่หนาน ต้องการจะเอ่ยบางอย่าง แต่เย่หนานตัดบทเสียก่อน
“ท่านพ่อ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าแต่งก็ได้ขอรับ”
เย่อวิ๋นข่ายเหมือนยกภูเขาออกจากอก ใบหน้าฝืนยิ้มกล่าว “วันอภิเษกกำหนดไว้ในวันที่ห้าเดือนห้า เจ้าออกไปได้”
วันที่ห้าเดือนห้าคือวันที่เขาอภิเษกสมรสกับฉู่เซียวหรันเมื่อภพชาติที่แล้วไม่ใช่หรือ คนผู้นี้คงชื่นชอบวันนี้จริงๆ สินะ เย่หนานเดินกลับห้องไปด้วยฝีเท้าฉับไว แล้วโยนถังหูลู่ที่ฉู่เซียวหรันให้ลงบนโต๊ะ
“คุณชายจะแต่งงานกับเซ่อเจิ้งอ๋องจริงๆ หรือขอรับ” เพิ่งก้าวพ้นประตูไม่ทันไร อาฉงก็ปรี่เข้ามาซักถาม
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” เย่หนานสงสัย เมื่อครู่ไม่ได้พาอีกฝ่ายไปด้วยไม่ใช่หรือ
“ข้าแอบได้ยินมาจากหญิงข้ารับใช้ที่ทำความสะอาดอยู่ในโถงใหญ่เมื่อครู่นี้ขอรับ คาดว่ายามนี้คงรู้กันทั่วทั้งจวนแล้ว ว่าแต่คุณชายรับปากจะแต่งงานกับเซ่อเจิ้งอ๋องจริงๆ หรือขอรับ” อาฉงกระวนกระวายใจเล็กน้อย
เย่หนานพยักหน้าตอบรับอย่างไม่ใส่ใจนัก แล้วกวาดสายตามองไปโดยรอบก่อนเอ่ยถาม “อาฉง เสี่ยวเถาเล่า”
“เสี่ยวเถาคือผู้ใดกันขอรับ วันนี้คุณชายเป็นอะไรไปถึงได้พูดจาเลอะเลือนไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย!”
“วันนี้คือวันที่เท่าไหร่เดือนอะไร ห่างจากวันตวนอู่[6]เท่าใด”
“วันนี้คือวันที่ห้าเดือนสี่ อีกประมาณหนึ่งเดือนจะถึงวันตวนอู่ขอรับ วันนี้คุณชายเป็นอะไรไป ป่วยใช่หรือไม่ ท่านอย่าทำข้าตกใจสิขอรับ!” อาฉงกอบกุมใบหน้าเย่หนานพลางนวดคลึงอยู่ครู่หนึ่ง
เย่หนานปัดมืออาฉงออก วันที่ห้าเดือนห้าคือวันที่เขาจะแต่งงานกับฉู่เซียวหรัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือน เสี่ยวเถาได้รับการช่วยเหลือจากในเมืองก่อนงานอภิเษกครึ่งเดือน ดูท่าคงยังหนีไปตอนนี้ไม่ได้ ทำได้เพียงอยู่ที่นี่ไปก่อน ชาติที่แล้วอาเถาสละชีวิตเพื่อเขา ชาตินี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปกป้องนางให้จงได้
**********
ยามราตรี เย่หนานเข้านอนแต่หัวค่ำ
ในความฝันปรากฏภาพฉากก่อนตายต่อหน้าต่อตาชัดเจน
ร่างเย่หนานสวมชุดนักโทษ ถูกมัดติดกับแท่นลงทัณฑ์พร้อมบาดแผลเต็มกาย เบื้องหน้ามีเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยสองคนกำลังดื่มสุราอยู่ “นี่ เจ้าได้ยินมาบ้างหรือไม่ เซ่อเจิ้งอ๋องจับตัวผู้บงการกบฏได้แล้วละ!”
คนถือแส้วางชามลงก่อนชะโงกศีรษะไปเอ่ยถาม “ผู้ใดหรือ”
อีกฝ่ายยกชามขึ้นดื่มอึกใหญ่ เจตนาทำท่าให้ดูลึกลับซับซ้อนเพื่ออวดภูมิ “แม่ทัพใหญ่…ฉินหมิงอวี่อย่างไรเล่า”
ใบหน้าคนถือแส้เต็มไปด้วยความตกตะลึง “รู้หน้าไม่รู้ใจแท้ๆ ปกติท่าทางแม่ทัพผู้นี้ก็ดูจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง แต่เบื้องหลังกลับพยายามคิดแย่งชิงบัลลังก์ไปเสียได้ โทษถึงตัดหัวเชียวนะ!”
“ใช่แล้ว ยามอู่ของวันนี้เซ่อเจิ้งอ๋องจะเป็นผู้ควบคุมการลงโทษประหารที่นอกประตูเมืองด้วยตัวท่านเอง คาดว่ายามนี้หัวคงหลุดจากบ่าไปเรียบร้อยแล้วละ”
ฉินหมิงอวี่ แม่ทัพใหญ่ผู้เลื่องชื่อเนื่องจากมีความดีความชอบในศึกสงคราม บนใบหน้านั้นแต่งแต้มไว้ด้วยรอยยิ้มจางๆ ตลอดเวลา คนที่อ่อนโยนและดีต่อเขาอย่างถึงที่สุดผู้นั้นสิ้นชีพเสียแล้ว!!!
“เขาถูกใส่ร้าย เขาต้องถูกใส่ร้ายเป็นแน่ ฉู่เซียวหรัน เจ้าปล่อยข้าออกไปนะ” เย่หนานที่อยู่บนแท่นลงทัณฑ์พยายามใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายเปล่งเสียงตะโกนสุดกำลัง
ฉินหมิงอวี่จะเป็นกบฏไปได้อย่างไร เขาเป็นเหมือนแสงจันทร์กระจ่าง[7]เพียงหนึ่งเดียวในใจข้าเชียวนะ หัวคิ้วเย่หนานขมวดมุ่น นัยน์ตาว่างเปล่าขาวโพลนและหม่นหมองไร้ประกาย หยาดน้ำตาไหลรินจากขอบตาปะปนกับโลหิตบนใบหน้า แล้วค่อยๆ หยดลงบนพื้นทีละหยด
บัดนี้สตรีสาวนางหนึ่งสวมชุดงดงามตระการตา บนศีรษะเต็มไปด้วยลูกปัดและปิ่นปักผม กำลังย่างเท้าก้าวเข้ามาในห้องขัง กลิ่นชาดประทินผิวที่อยู่ทั่วเรือนกายโชยมาตั้งแต่นางยังเดินไม่พ้นประตู
“ถวายบังคมพระชายา” คนอู้งานในห้องขังทั้งสองคนรีบคุกเข่าทำความเคารพทันทีที่เห็นหญิงสาว นางกำนัลผู้ติดตามให้เงินจำนวนหนึ่งแก่พวกเขา จากนั้นผู้รับผิดชอบเฝ้ายามสองคนนั้นก็เดินออกไปโดยไม่ต้องบอกกล่าว
“ฉินหมิงอวี่ตายแล้วหรือ” เย่หนานที่อยู่บนแท่นลงทัณฑ์เอ่ยถาม
หญิงสาวมองไปโดยรอบ สีหน้าเต็มไปด้วยความเดียดฉันท์ “ตายแล้ว ท่านอ๋องตัดศีรษะเขาเองกับมือ”
หลังได้ยินคำตอบ เย่หนานเนื้อตัวสั่นเทิ้มและหัวเราะเสียงดังราวกับคนบ้าคลั่ง “ฮ่าๆๆ…ฮ่าๆ ฉู่เซียวหรัน แค็กๆๆ…ฉินจื่อเหยา เขาเป็นถึงพี่ชายของเจ้า พี่ชายแท้ๆ ของเจ้า ฉินจื่อเหยา เจ้าก็มองดูเขาตายไปทั้งเยี่ยงนี้น่ะหรือ”
“พี่ชายแล้วอย่างไร ในเมื่อสมคบคิดกับกบฏและเป็นปฏิปักษ์ต่อท่านอ๋อง ข้าเองก็ช่วยเขาไม่ได้เช่นกัน จริงสิ เจ้ารู้หรือไม่ว่าจวนอัครมหาเสนาบดีโดนตัดศีรษะทั้งตระกูล และก็เป็นท่านอ๋องที่ส่งทหารไปเอง ทั้งจวนจึงไม่หลงเหลือแม้แต่ผู้เดียว”
“พี่สี่…” พี่สาวลำดับที่สี่ซึ่งเป็นเพียงคนเดียวในจวนอัครมหาเสนาบดีที่ดีกับเขาก็ถูกสังหารไปแล้วเช่นกัน
“ฉินจื่อเหยา…เจ้าฆ่าข้าเถิด เจ้าอยากสังหารข้าให้ตายมาตลอดมิใช่หรือ เจ้า…ฆ่าข้าเถิด” สีหน้าเย่หนานเต็มไปด้วยการวิงวอน ลักษณะท่าทางคล้ายคนติดยาสูบซึ่งไม่ได้ดูดยามานาน
ฉินจื่อเหยาหัวเราะ “เย่หนาน ในที่สุดเจ้าก็มีวันนี้เสียที ฮ่าๆ แม้กระทั่งจะตายยังต้องร้องขอข้า เช่นนั้นข้าจะเมตตาช่วยให้เจ้าได้สมดังปรารถนาเอง” ขณะเอ่ยนางกำนัลด้านหลังฉินจื่อเหยาก็หยิบขวดยาที่มีรูปทรงประณีตงดงามออกมาจากแขนเสื้อหนึ่งขวด แล้วป้อนให้เย่หนานดื่ม
ฉินจื่อเหยาหลงรักฉู่เซียวหรันหัวปักหัวปำ ไม่อาจทนเห็นขวากหนามในสายตาได้แม้เพียงน้อยนิด เย่หนานได้ตบแต่งเข้าจวนอ๋อง แม้เป็นเพียงชายารองที่ไม่ได้รับความโปรดปราน ฉินจื่อเหยาก็ยังไม่เคยปล่อยผ่าน แค่ใส่ร้ายป้ายสีและทำลายดวงตาของอีกฝ่ายยังไม่เพียงพอ ครั้งนี้จึงฉวยโอกาสเข้ามาเอาชีวิตเขาขณะเกิดเรื่องวุ่นวาย สิ่งที่คิดไม่ถึงคือเย่หนานกลับเป็นฝ่ายร้องขอความตายด้วยตนเอง ช่วยแบ่งเบาภาระของนางไปได้มากทีเดียว
เมื่อฉินจื่อเหยาเดินจากไป ยาก็เริ่มออกฤทธิ์ ความเจ็บปวดจากยาพิษเซียงซือต้วนฉางหงยังไม่อาจเทียบเท่าความเจ็บปวดจากการที่ฉินหมิงอวี่กับพี่สี่เสียชีวิตได้เลยด้วยซ้ำ
ฉู่เซียวหรันมาถึงหลังจากเวลาผ่านไปไม่นาน แต่กระนั้นเขาก็จวนเจียนจะสิ้นใจเต็มทีแล้ว
ฉู่เซียวหรันสาวเท้าใกล้เข้ามาแล้วเอื้อมมือลูบคลำใบหน้าเขา “เย่หนานตื่นเถิด เราจะกลับบ้านกันแล้ว ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน…เย่หนาน?!”
เวลานี้เย่หนานลมหายใจเริ่มรวยริน ฉู่เซียวหรันเร่งรีบปลดเชือกที่มัดเขาออก “ตามหมอหลวง รีบตามหมอหลวงเร็วเข้า” ฉู่เซียวหรันอุ้มเย่หนานแล้ววิ่งออกไปด้านนอก
ฉู่เซียวหรันตื่นตระหนกจนทำเอาผู้ติดตามตระหนกตกใจไปด้วย เหล่าข้าราชบริพารต่างสัมผัสได้ว่าต้องรีบวิ่งไปเรียกหมอหลวงโดยเร็วไว
“เจ้า…ปล่อยข้า อย่ามา…เสแสร้ง…แกล้งทำ” เย่หนานใช้แรงอันน้อยนิดเฮือกสุดท้ายต่อต้านฉู่เซียวหรัน หวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะดิ้นรนจนหลุดจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย
ฉู่เซียวหรันไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น เขาเอาแต่พร่ำเอ่ยอยู่ตลอด “อาหนาน เจ้าอดทนไว้ อาหนาน เจ้าจะตายไม่ได้” ระหว่างเอ่ยแข้งขาก็อ่อนแรงทรุดลงกับพื้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เย่หนานพลันคิดว่าช่างน่าขำสิ้นดี ไยต้องแสร้งแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมาในยามที่ข้าใกล้สิ้นลมหายใจด้วย น่าสะอิดสะเอียนเสียจริง
“ฉู่เซียวหรัน ข้า…เกลียดเจ้า…เกลียดเจ้า!”
เย่หนานสะดุ้งตื่นจากฝันในฉับพลัน แม้เป็นเพียงความฝันทว่าความเกลียดชังในใจกลับเป็นความจริง
สรุปแล้วเป็นเพราะเหตุใดกันแน่ เหตุใดฉู่เซียวหรันถึงแสดงท่าทีเสแสร้งจอมปลอมเช่นนั้นออกมา “หึ” เย่หนานขบคิดก่อนจะแค่นเสียงเย็นชา น่าขันเสียจริง น่าขันตรงที่เจ้ายังต้องมาพัวพันกับข้าในภพชาตินี้อีก!
เย่หนานยากจะข่มตาหลับจึงลุกขึ้นมารินน้ำให้ตนเอง เมื่อเหลือบไปเห็นถังหูลู่บนโต๊ะ เขาก็หยิบมันมายัดใส่ปากหนึ่งลูก
“ซี้ด…เปรี้ยวจริง”
[1] ในที่นี้หมายถึงสมุนไพรชนิดหนึ่ง ชื่อของสมุนไพรแปลได้ว่า ต้นดอกแดงให้คิดถึงดั่งเฉือนใจ
[2] เวลาประมาณ 09.00-10.59 น.
[3] เวลาประมาณ 11.00-12.59 น.
[4] หมายถึง องค์ชายผู้สำเร็จราชการแทนฮ่องเต้
[5] ของกินขึ้นชื่อเมืองปักกิ่ง ทำจากผลไม้ชนิดต่างๆ นำมาเคลือบน้ำตาลแล้วเสียบบนไม้ยาว
[6] วันไหว้บ๊ะจ่าง วันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 ตามปฏิทินจันทรคติ
[7] เปรียบเปรยถึงผู้ที่หลงรักปักใจ