[ทดลองอ่าน] โฉมตรูคู่หทัย บทที่ 2

《妻恩浩蕩》
โฉมตรูคู่หทัย

 

จี้ชิว เขียน
เหมยชมจันทร์ & เชาว์เหลียน แปล

 

— โปรย —

เฟิงจื่ออี จากเด็กหญิงตัวน้อยในครอบครัวที่กุมความลับบางอย่างจนถูกปองร้าย
ต้องกลายสถานะมาเป็นหญิงรับใช้ของ ฉีเทียนเฮ่า เจ้าเมืองจูเช่ว์
วันเวลาในจวนเหล่านั้นนางอยู่เย็นเป็นสุข

ด้วยทุกคนในจวนรักนางประหนึ่งคนในครอบครัวเดียวกัน
แต่แล้ววันหนึ่งเพื่อช่วยขจัดภัยพาลและตามล่าหาสมบัติ
เพลงกล่อมเด็กที่มารดาเคยสอนร้องครั้งเยาว์วัยกลับกลายเป็นลายแทงขุมทรัพย์!

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

2

 

เฟิงจื่ออีผลักประตูห้องหนังสือเบาๆ พลางถอนหายใจ จากนั้นข้ามธรณีประตูพร้อมกับปิดประตูห้อง จังหวะก้าวเดินนวยนาด ดูจากความเร็วก็พอมองออกว่านางไม่อยากเดินไปข้างหน้า ทว่าต่อให้ไกลเพียงใดก็ต้องเดินไปถึงอยู่ดี ยิ่งกว่านั้นระยะทางยังห่างกันเพียงประตูห้องกับโต๊ะหนังสือเท่านั้น

นางถอนหายใจอีกครั้งพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึก แล้วนั่งเก้าอี้ที่ทำจากไม้จันทน์แดงอย่างสงบเสงี่ยม ที่พักแขนสองข้างแกะสลักเป็นสัตว์เทวะรูปวิหคเพลิง ระดับความประณีตนี้บ่งบอกถึงความร่ำรวยของเจ้านายได้ไม่ยาก แต่น่าเสียดายที่มือของนางไร้วาสนาจะได้สัมผัสวิหคเพลิงเพื่อดูว่าเสมือนจริงเพียงใด เพราะตั้งแต่นางนั่งเก้าอี้ มือขวาก็ได้แต่จับสิ่งของที่มีรูปร่างเหมือนพู่กันให้มั่นคง มือซ้ายมีโอกาสได้สัมผัสเพียงแผ่นกระดาษบางๆ เท่านั้น

เฟิงจื่ออีใช้มือซ้ายพลิกหน้ากระดาษ มือขวาคัดลอกบัญชีแยกประเภททั่วไป ลายมือของนางจัดว่างามยิ่ง ซ้ำยังเห็นร่องรอยของความเพียรพยายามในนั้นด้วย แต่แล้วจู่ๆ บัญชีรายการหนึ่งกลับทำให้นางขมวดคิ้วพลางหยุดคิดชั่วขณะ ก่อนเลิกทำบัญชี มือซ้ายผละออกจากรายละเอียดปลีกย่อยในสมุดบัญชี จากนั้นตั้งศอกขึ้นแล้วใช้ฝ่ามือเท้าคาง ท่าทางเหม่อลอย สุดท้ายก็อดไม่ไหวต้องถอนหายใจออกมาอีกครา

เมื่อใดที่หวนคิดถึงความหลังนางสุดแสนจะเสียใจ เพราะเรื่องผิดพลาดเรื่องแรกที่นางทำในชีวิตก็คือการช่วยชีวิตฉีเทียนเฮ่าที่ถูกพิษเมื่อเจ็ดปีก่อน!

ปีนั้น นางช่วยชีวิตคุณชายใหญ่ฉีอย่างลำบากยากเย็น ทว่าเขากลับเนรคุณ ทำให้นางตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้

ปีแรก ฉีเทียนเฮ่ากล่าวว่า “เจ้าเฉลียวฉลาดยิ่ง ซ้ำยังคล่องแคล่ว ขอเพียงตั้งใจ วันหน้าย่อมมีประโยชน์ แต่ยามนี้ข้าต้องสอนให้เจ้ารู้หนังสือก่อน”

เวลานั้นนางตกตะลึงเพียงใดยังจดจำได้ทุกสิ่งจวบจนทุกวันนี้…นางอ้าปากค้างหนึ่งเค่อเต็มๆ พิลึกจริงเชียว นางเป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่งที่ขายตัวเข้ามาอยู่ในจวน ต่อให้มีความสามารถด้านบุ๋นเพียงใดก็มิอาจกลายเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ได้ เหตุใดต้องสร้างความลำบากให้นางเช่นนี้ด้วย วันหน้าจะมีประโยชน์อันใด จะให้ไปสอบจ้วงหยวน[1]หรืออย่างไร

แต่ดันทุรังต่อต้านไปก็ไร้ประโยชน์ เพียงคุณชายใหญ่พูดว่า “หากเจ้าเขียนคำศัพท์ใหม่ไม่ครบร้อยคำ ห้ามเอาเท้าเหยียบพื้น มิเช่นนั้นข้าจะตีเจ้าให้ขาหัก” ทำให้นางต้องกลืนคำพูดต่อต้านกลับลงไปทันควัน

เมื่อได้ยินคำพูดที่เคยใช้ข่มขู่ผู้อื่นถูกนำมาใช้กับตน สำหรับนางคือการหยามกันเห็นๆ เพียงแต่นางยังไม่คุ้นชินเท่านั้น ยังได้ยินมาว่าแม้แต่คนที่มีวิชาฝีมือสูงส่งก็จนปัญญากับคุณชายใหญ่เช่นกัน ดังนั้นนางจึงจำใจต้องเล่าเรียนแต่โดยดี

ปีที่สอง ฉีเทียนเฮ่ากล่าวว่า “ฝึกคัดอักษรอย่างเดียวนอกจากไร้ประโยชน์แล้วยังมิวายเสียแรงเปล่า ยามนี้เจ้าเริ่มเรียนทำบัญชีได้แล้ว วันหน้าย่อมมีประโยชน์”

มีประโยชน์อีกแล้วหรือ นางไม่เข้าใจจริงๆ นางมิใช่เสมียนบัญชีสักหน่อย มีประโยชน์ต่อนางที่ใด

ทว่าพัดที่พยายามจะตีนางให้ขาหักได้เลื่อนจากน่องขึ้นไปยังข้อมือของนางแทน นี่มิได้ต่างอันใดกับการข่มขู่นางเช่นกัน นางจึงทำได้เพียงกลืนความไม่พอใจลงท้องแล้วเริ่มเรียนรู้การทำบัญชี

เพื่อความสะดวกในการเรียน กอปรกับนางมักเรียนบัญชีจนถึงยามจื่อ[2] แล้วค่อยพักผ่อน ปีต่อมานางจึงต้องย้ายออกจากเรือนบ่าวรับใช้มาอยู่ในห้องที่ฉีเทียนเฮ่าจัดเอาไว้ให้นางโดยเฉพาะในห้องหนังสือ ทำให้ห้องนั้นกลายเป็นของนางแต่เพียงผู้เดียว ซ้ำเขายังตกแต่งห้องให้อย่างวิจิตรบรรจง

ปีที่สี่ ขณะที่นางยกสำรับอาหารของฉีเทียนสี่ผ่านระเบียง เสมียนบัญชีก็เข้ามาสอบถามนางว่ามีสาวใช้จากเรือนอนุขอเบิกเงินล่วงหน้ากับฝ่ายบัญชี พอจะจัดสรรเงินก้อนนี้ให้ได้หรือไม่ นางตกใจยิ่ง นอกจากทำบัญชีแล้วนางมีอำนาจจัดสรรเงินตั้งแต่เมื่อใด พอถามจึงได้รู้ว่าฉีเทียนเฮ่าเป็นคนบงการอีกแล้ว

นับแต่นั้นมา ค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่ของจวนสกุลฉีล้วนเฟิงจื่ออีล้วนต้องดูแล หนึ่งปีให้หลัง มือของนางไม่เคยยกสำรับอาหารอีกเลย นางจึงตัดสินใจหาสาวใช้มาให้ฉีเทียนสี่อีกสองคน และฉีเทียนเฮ่าก็มิได้คัดค้าน

สองปีต่อมา เสมียนจากร้านค้าขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่อยู่ภายใต้ชื่อของจวนสกุลฉีมาหารือกับนาง ถามนางว่าต้นทุนการผลิตของโรงทอสูงขึ้น จะต้องขึ้นราคาขายตามหรือไม่ แล้วจำนวนเครื่องบรรณาการที่ส่งให้เมืองหลวงปีนี้จะเกิดปัญหาอันใดหรือไม่ อีกทั้งการติดต่อค้าขายกับเมืองเสวียนอู่ก็ดูเหมือนขาดทุน…

ตอนนั้นฉีเทียนเฮ่าทิ้งจดหมายสั้นๆ ไว้หนึ่งฉบับ เขียนว่าเขามีธุระต้องออกไปข้างนอก ให้นางดูแลเรื่องราวน้อยใหญ่ของจวนสกุลฉีแทนชั่วคราว ประโยคสุดท้ายยังคงเป็น “วันหน้าย่อมมีประโยชน์” เช่นเดิม นางไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่ฝืนใจทำ มิคาดว่าเมื่อคุณชายใหญ่สกุลฉีกลับเข้าจวนในอีกสองเดือนถัดมา เขาก็ไม่เคยรับหน้าที่ดูแลจวนสกุลฉีกลับคืนอีกเลย

ต่อมาเพื่อตรวจตราร้านค้าและประชุมกับบรรดาเสมียน นางจึงต้องทำตัวให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงมิอาจสวมเสื้อผ้าของบ่าวรับใช้ ตรงกันข้าม คนที่ไม่เคยจับต้องงานของบ่าวไพร่แบบนางก็แทบจะใช้ชีวิตมิต่างอันใดกับเจ้านายสกุลฉี แม้แต่อาหารการกินก็แตกต่างจากบ่าวรับใช้โดยสิ้นเชิง ดังนั้นค่าใช้จ่ายทั้งอาหารและเครื่องนุ่งห่มของนางจึงค่อยๆ เทียบเท่าเจ้านายสกุลฉีเช่นเดียวกัน

ปีที่แล้ว หลังเฟิงจื่ออีดึงหูคุณชายรองฉีแล้วลากเขาออกมาจากห้องนอนของหญิงคณิกาชื่อดังประจำหอโคมเขียว อีกทั้งนางยังอบรมคุณหนูรองฉีอย่างเข้มงวดกลางถนนเรื่องการใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายไปกับการช่วยเหลือขอทาน สถานะของนางในเมืองจูเช่ว์จึงก่อตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชาวเมืองจูเช่ว์จึงรู้กันทั่วว่าแม้ฉีเทียนเฮ่าเป็นผู้ปกครองเมืองจูเช่ว์ แต่เฟิงจื่ออีต่างหากที่เป็นคนดูแลจวนสกุลฉี

หลายวันมานี้นางพอจะเข้าใจเรื่องๆ หนึ่งบ้างแล้ว คำพูดที่บอกว่า “วันหน้าย่อมมีประโยชน์” ที่แท้หาได้มีประโยชน์กับนางไม่ แต่มีประโยชน์กับฉีเทียนเฮ่าต่างหาก

ตั้งแต่มอบหน้าที่ดูแลจวนสกุลฉีให้นาง คุณชายใหญ่อย่างเขาก็ละทิ้งตำแหน่งเจ้าเมือง ใช้เวลามากมายไปกับการเที่ยวชมธรรมชาติ พอคิดๆ ดู ครั้งนี้ดูคล้ายเขาออกจากจวนไปเกือบสองเดือนแล้ว…หึ นางถูกขังอยู่ในคฤหาสน์หลังโต แต่เขากลับใช้ชีวิตอย่างสุขอุราจนลืมบ้านลืมเมือง แม้แต่จวนก็ไม่รู้จักกลับ ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี ไฉนยามนั้นนางต้องช่วยชีวิตเขาเอาไว้ด้วยหนอ เขานี่…

“เนรคุณชัดๆ!”

“เจ้าว่าอันใดนะ ไยไม่พูดดังๆ” พัดเล่มนั้นเคาะโดนที่พักแขนรูปวิหคเพลิง เสียงหนักแน่นและชัดเจนพลันดังขึ้น

พอได้ยินเสียง เฟิงจื่ออีก็สะดุ้งตกใจ ได้สติกลับมาโดยพลัน นางเงยหน้า ก็สบตากับดวงตาลึกล้ำคู่นั้นพอดี ทันใดนั้น สีหน้าของนางแดงระเรื่อและรีบเอนหลังพิงพนักโดยไม่รู้ตัว

“คุณชายใหญ่…ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” ไม่รู้ว่าเขากลับมานานหรือยัง ไยตอนเดินมาถึงไม่มีเสียงอันใด เขามองท่าทางโง่เง่าระคนเหม่อลอยของนางนานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้

“อืม ลำบากเจ้าแล้ว” ใบหน้าเย็นชาผ่อนคลายลงหลังเห็นสีหน้าของนาง มุมปากคล้ายยกขึ้นเล็กน้อย

ดูท่าที่ฉีกุ้ยบอกว่าสตรีเมื่อเติบใหญ่มักเปลี่ยนไปสิบแปดแบบน่าจะเป็นเรื่องจริง ทว่าไม่เจอกันสองเดือน แม่หนูน้อยวัยสิบเจ็ดสิบแปดปีผู้นี้กลับมีเสน่ห์ของดรุณีแรกรุ่นเพิ่มขึ้นมาบ้างแล้ว อย่างน้อยก็ตอนที่นางไม่พูดไม่จานั่นแหละ

นางมองท่าทางอ่อนเพลียจากการเดินทางของเขา แม้ภูษาสีครามดูสะอาด แต่กลับมีฝุ่นทรายจำนวนมากติดอยู่ นางถามด้วยความฉงนทันที “คุณชายใหญ่ยังไม่ได้ล้างหน้าสางผมใช่หรือไม่เจ้าคะ”

“อืม ข้าเพิ่งกลับถึงจวน ได้ยินพ่อบ้านฉีบอกว่าเจ้าทำบัญชีอยู่ที่ห้องหนังสือก็เลยมาที่นี่ก่อน” เขาเหลือบมองรอยคล้ำใต้ตาของนางแวบหนึ่ง พลันนึกขึ้นได้ว่าเดือนนี้เป็นช่วงเปลี่ยนฤดู งานของร้านค้าต้องทำให้นางอดหลับอดนอนหลายวันเป็นแน่

ใช่ว่าเขาไม่ปวดใจ และรู้ด้วยว่าการให้สตรีจัดการกิจธุระพวกนี้คนเดียวเป็นเรื่องลำบากมาก แต่ถึงกระนั้นเขาก็ต้องทำเช่นนี้อยู่ดี มิเช่นนั้นเขาจะปล่อยวางเรื่องน้อยใหญ่ในจวนสกุลฉีแล้วออกเดินทางไกลด้วยความสบายใจได้อย่างไร

ปีนั้นฉีเทียนเฮ่าขึ้นเขาไปฝึกยุทธ์แต่กลับพลาดท่าโดนหนอนพิษกัด แม่หนูผู้นี้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ และเป็นเพราะความช่วยเหลือครั้งนั้นที่ทำให้เขารู้จักนาง

เขาเข้าใจนิสัยของคนในครอบครัวดี ทว่าเขายังมีภาระหน้าที่อย่างการเป็นเจ้าเมืองต้องรับผิดชอบ จึงทำให้ไม่มีเวลาดูแลผู้อื่นจริงๆ กาลก่อนถึงทำได้เพียงปล่อยให้คนในครอบครัวจัดการกันตามอำเภอใจ ครั้นต่อมารู้ว่านางชาญฉลาด อีกทั้งฉีเทียนสี่ยังคล้อยตามนางทุกอย่าง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจทดสอบนางดู

ฉีเทียนเฮ่าสอนนางเขียนตัวอักษรและอ่านหนังสือด้วยตนเอง มิเพียงเท่านั้นเขายังมอบอำนาจให้นางดูแลเรื่องราวต่างๆ ทั้งในและนอกจวนสกุลฉี กระทั่งร้านค้าก็ปล่อยให้นางดูแลอย่างเต็มที่เช่นกัน ความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขามิได้มองคนผิด นางเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ

“ข้ากำลังทำบัญชี คุณชายใหญ่มาทำอันใดที่นี่ จะช่วยข้าดูสมุดบัญชีพวกนี้หรือเจ้าคะ” เฟิงจื่ออีบ่นอุบ แต่ก้นบึ้งของจิตใจกลับอุ่นวาบ

ที่แท้เขาก็ยังไม่ได้กลับห้อง เมื่อรู้ว่านางอยู่ในห้องหนังสือจึงมาที่นี่ก่อน หาได้ไร้น้ำใจปานนั้นไม่

“แม่หนูอย่างเจ้าเนี่ยรู้จักแต่แดกดันข้า” เขายื่นมือมาดีดนิ้วใส่หน้าผากของนาง เหลือรอยแดงเอาไว้ ครั้นเห็นนางทำหน้านิ่ว มุมปากเขาก็ยกสูงกว่าเดิม “ไม่มีอันใด ที่ข้ามาหาเจ้าก่อนก็เพื่อมาดูว่าเจ้าฉวยโอกาสยามเจ้านายไม่อยู่เกียจคร้านหรือไม่”

ตอนที่ตะลอนอยู่ข้างนอกไปทั่วสารทิศ ทุกครั้งที่คิดถึงจวน เขามักนึกถึงนางเป็นคนแรก พอกลับมาย่อมต้องมาพบนางก่อน ดูคล้ายว่าต้องทำแบบนี้เท่านั้นถึงจะรู้สึกว่าได้กลับบ้านอย่างแท้จริง

“เจ็บนะ!” เฟิงจื่ออีวางพู่กันในมือลง มองเขม่นเขาพลางยกมือลูบหน้าผาก ความอบอุ่นเมื่อครู่เลือนหาย “ยังมาว่าข้าขี้เกียจ ผู้ที่ขี้เกียจที่สุดก็คือท่าน ออกไปเที่ยวชมธรรมชาติสบายอุราย่อมต้องไม่อยากกลับมารับงานในมือข้า”

เมื่อถูกเขาก่อกวนเช่นนี้ นางจึงเก็บคำเรียกขานอย่างเคารพว่า “คุณชายใหญ่” ทันควัน และเรียกว่าท่านแทน

“พูดจาเหลวไหล ที่ข้าออกไปเพราะมีธุระสำคัญต่างหาก จะสบายอุราอย่างที่เจ้าว่าได้อย่างไร” เขาเผลอยิ้ม วิ่งวุ่นอยู่ข้างนอกหลายเดือน พอกลับมาเรื่องแรกที่อยากทำก็คือเย้าแหย่แม่หนูผู้นี้ แล้วก็ไม่ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ สีหน้าของนางยังคงแช่มชื่นและมีชีวิตชีวาเช่นเดิม

ความรู้สึกที่ว่านางเป็นสาวแล้วเมื่อครู่ก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน เขามองซ้ายแลขวา นางยังเป็นแม่หนูน้อยที่เขาเคยเย้าแหย่คนเดิม

ครั้นฉีเทียนเฮ่าเห็นนางจ้องตน เขาจึงจงใจยกฝ่ามือใหญ่ขึ้นมาขยี้ศีรษะของนางไปมา เปียที่ดรุณีน้อยถักไว้ตั้งแต่เช้าพลันยุ่งเหยิงทันที แลดูน่าขันนัก

“ท่านนี่น่าชังนัก! พอกลับมาก็เอาแต่รังแกข้า ข้ามิได้พูดอันใดผิดสักหน่อย!” เฟิงจื่ออีตีมือที่อยู่ไม่สุขของเขาแรงๆ เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกวิชาฝีมือเช่นเขาก็คงไม่กลัวความเจ็บปวด นางตีเขาเต็มแรงทุกครั้ง “ท่านเองก็มิใช่เด็กๆ แล้ว เลิกเล่นสักทีเถิดเจ้าค่ะ”

เป็นอย่างที่นางคาดไว้จริงๆ ฉีเทียนเฮ่าไม่เจ็บปวดเลยสักนิด เขาดึงผ้าผูกผมทั้งสองข้างของนางหลุดออกอย่างง่ายดายพร้อมกับหัวเราะคิกคักหาได้มีท่าทางจริงจังอย่างเมื่อครู่ไม่ “แบบนี้สิถึงค่อยสมกับเป็นเจ้าหน่อย ข้าว่าเมื่อครู่เจ้าคล้ายคนสติวิปลาสที่กำลังตรวจบัญชี หากเจ้าถักเปียรวบผมเก็บเช่นนี้ ข้าไม่คุ้นชิน”

“มิได้เป็นเพราะท่านหรอกรึ! ข้าต้องตรวจบัญชีถึงยามจื่อ แล้วยังต้องตื่นแต่เช้ามาเรียนคำศัพท์ใหม่อีก ใครจะมีอารมณ์มาสนใจว่ารวบผมดีแล้วหรือยัง!” นางแย่งผ้าผูกผมมาจากมือของเขาด้วยความฉุนเฉียว นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไฉนเจ้าเมืองจูเช่ว์จึงทำตัวเคร่งขรึมน่าเกรงขามเฉพาะต่อหน้าผู้อื่น แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านางกลับกลายเป็นคนที่ชอบกลั่นแกล้งนางเช่นนี้อยู่เรื่อย

นางปล่อยผมยาวสยาย แล้วแบ่งผมออกเป็นสองช่อใหญ่ แต่ละช่อจะถูกแบ่งเป็นสามช่อเล็ก จากนั้นจึงถักเปียอย่างรวดเร็ว แต่มิคาดว่าการกระทำที่คล่องแคล่วถูกขัดจังหวะด้วยนิ้วแสนซุกซนที่สอดเข้ามาในเรือนผมของนางอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว

นางใช้มือข้างหนึ่งดึงผมกลับมา ใบหน้าแดงก่ำคล้ายเขินอายระคนโกรธเคือง “เล่นพอหรือยัง ข้ายังทำบัญชีไม่เสร็จ ท่านไม่ช่วยก็อย่ามาเกะกะข้าสิ!”

“แม่คนนี้นี่นับวันยิ่งไม่รู้มารยาท กล้าว่าเจ้านายเกะกะเชียวรึ” เขารู้สึกคันไม้คันมือจนทนไม่ไหวจึงเขกศีรษะนางอีกที เพียงแต่ครั้งนี้เบามือลง

สำหรับเขาแล้ว หลังอยู่ใต้ชายคาเดียวกันมานานปี นางจึงมิต่างอันใดกับน้องสาวของเขาอีกคน หาได้เป็นเพียงสาวใช้ที่ถูกซื้อเข้าจวนมาเพื่อรับใช้เจ้านายไม่ ยิ่งกว่านั้นนางยังช่วยเขาตั้งมากมาย หากบอกว่านางเป็นคนในครอบครัวก็คงไม่มากเกินไป การกระทำใดๆ จึงสนิทสนมกันเป็นธรรมดา วิธีการอยู่ร่วมกันของทั้งคู่นั้นเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ทว่ากลับไม่มีผู้ใดสังเกตว่าพวกเขาล้ำเส้นความเป็นนายบ่าวไปตั้งนานแล้ว

“…เห็นๆ อยู่ยังไม่ยอมรับอีก…”

“บ่นพึมพำอันใด ชอบพูดจาอยู่ในลำคออยู่เรื่อย อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าเจ้าด่าข้าอยู่” เขามิได้สนใจการต่อต้านของนาง ดึงผมที่นางถักเอาไว้ครึ่งหนึ่งออกมาแล้วหวีใหม่อีกครั้ง “เป็นสตรีแต่ถักเปียไม่พิถีพิถัน คราวหน้าเจ้าต้องถักช้าๆ หน่อยนะ”

“หากท่านยินดีอ่านบัญชีให้เยอะกว่านี้ ข้าก็จะมีเวลาถักเปียอย่างบรรจงเจ้าค่ะ” นางจ้องเขาด้วยสายตาท้าทาย มิคาดว่าเขากลับเอาแต่ยิ้มไม่พูดไม่จา นั่นทำให้นางบุ้ยปากด้วยไม่พอใจล้นปรี่

ณ ขณะนี้ ทั้งเขาและนางต่างมิได้เอ่ยวาจาใด ทว่าการกระทำของเขาหาได้หยุดลง ช่อผมในฝ่ามือของเขาไขว้กันไปมา การกระทำอย่างเดียวกัน แต่เขากลับถักได้ประณีตและคล่องแคล่วกว่านางยิ่ง ไม่มีแม้แต่ปอยผมหลุดลุ่ยให้เห็น

ทันใดนั้นเฟิงจื่ออีพลันรู้สึกได้ถึงบรรยากาศคลุมเครือ นางนั่งเก้าอี้ ขณะที่เขาก้มตัวลงมาถักเปียให้ เมื่อมองไม่เห็นสีหน้าของเขา เช่นนี้นางก็ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวคำใดจึงนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง

“ทำไม โกรธแล้วรึ”

เสียงทุ้มต่ำของเขาดังอยู่ด้านบน ลมหายใจร้อนๆ เป่ารดศีรษะของนาง ทว่านางกลับรู้สึกว่ากกหูร้อนด้วยเช่นกัน นางไม่อยากให้เขาสังเกตเห็นความผิดปกติจึงรีบส่ายหน้า “ไม่สักหน่อย ข้าคร้านจะโกรธท่านแล้ว”

“เจ้าไม่โกรธหรอก ดูผมที่ข้าช่วยถักให้เจ้าสิ งามยิ่งนัก” ผมเปียที่มัดด้วยดิ้นแดงเส้นเล็กถูกแบ่งออกเป็นสองข้างอย่างเรียบร้อยเคลียไหล่นาง เขาพึงพอใจยิ่ง

เดิมทีนางคิดจะขอบคุณแต่จู่ๆ ก็นึกอันใดได้ จึงขมวดคิ้วพลางหลุบตาลงทันที และพูดเสียดสีด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ท่านไปเรียนทักษะ…ทักษะการเปียผมจากที่ใด แลดูคล่องแคล่วนัก คงมิใช่ถือโอกาสทำตัวเสเพลระหว่างเที่ยวชมธรรมชาติหรอกนะเจ้าคะ”

“เจ้าคิดเพ้อเจ้ออันใด ลืมแล้วรึว่าเมื่อก่อนข้าเคยช่วยเทียนเล่อกับเทียนสี่ถักเปียออกจะบ่อย เจ้ามีอันใดแตกต่างจากพวกเทียนเล่ออย่างนั้นหรือ” ผมทุกคนล้วนยาวเหมือนกัน ไม่เห็นต้องใช้ทักษะใด เพียงแต่นางไม่มีความอดทนถึงถักเปียแล้วเก็บผมไม่อยู่ ความสามารถเพียบพร้อมของคุณหนูผู้ดีมีสกุลก็เล่าเรียนมาแล้วแท้ๆ แต่ยังมิวายใจร้อน

“อืม” ไม่เป็นอย่างที่นางคิดช่างดียิ่ง นางสมควรเบาใจสิ เพียงแต่ในใจกลับรู้สึกไม่สบอารมณ์เสียอย่างนั้น

ฉีเทียนเฮ่ายืดตัวตรงพลางลูบศีรษะของนางคล้ายปลอบเด็กน้อย “ชอบคิดเพ้อเจ้ออยู่เรื่อย ข้ากลับเรือนไปอาบน้ำก่อน ตอนค่ำข้านัดคนไว้ จะไม่อยู่กินข้าวที่จวน ยามนี้ฉีกุ้ยคงออกไปทำธุระ หากเขาถามค่อยบอกเขาก็แล้วกันจะได้ไม่ตื่นตูมไปหาคนตามถนนอีก”

“ทราบแล้วเจ้าค่ะ” นางตอบรับ แม้ในใจมีคำถาม แต่กลับไม่เอื้อนเอ่ย

ไม่นานบานประตูก็ปิดลง ทว่าความปวดแปลบในใจของนางกลับทวีคูณ

นางเหมือนฉีเทียนเล่อและฉีเทียนสี่ มีสิ่งใดไม่ดีอย่างนั้นหรือ เหตุใดนางจึงต้องรู้สึกไม่สบายใจด้วยเล่า

 

สตรีที่ยืนอยู่ในศาลาผู้นั้นมีใบหน้ารูปไข่งามเฉิดฉาย นัยน์ตาดุจหงส์เปี่ยมเสน่ห์ รูปร่างระหงสูงเพรียว เมื่อเทียบกับฉีเทียนสี่แล้ว นางงามล้ำผุดผ่องดั่งดอกไห่อวี้ก็มิปาน ความงามชดช้อยของสตรีผู้นั้นมีเสน่ห์ยิ่งกว่ารอยแต้มดอกโบตั๋นที่หน้าผากเสียอีก เพียงแต่อายุยังน้อย ความงามจะเปล่งประกายได้ก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

เฟิงจื่ออีรู้จักคนผู้นี้ นางเป็นน้องสาวร่วมอุทรของจินจุ่นจือ สหายสนิทของฉีเทียนเฮ่า มีนามว่า จินหลิงหลิง จินจุ่นจือชอบท่องเที่ยวและคบหาสหายไปทั่ว แม้มาที่เมืองจูเช่ว์กับฉีเทียนเฮ่า แต่ก็มาเยี่ยมเยียนจวนสกุลฉีน้อยครั้ง ทว่าเป็นเพราะจินหลิงหลิงสนิทสนมกับฉีเทียนเล่อ ดังนั้นเฟิงจื่ออีจึงเคยพบนางหลายครั้งแล้ว แต่ก็เห็นจากที่ไกลๆ เท่านั้น

ฉีเทียนเล่อเคยชมจินหลิงหลิงว่านางไม่หยิ่งยโส เข้าถึงยากอย่างที่เห็นภายนอก ความจริงแล้วนางเป็นคนเปิดเผย จริงใจ แยกรักแยกชังชัดเจน ไม่เหมือนพวกคุณหนูผู้ดีที่มักทำตัวปากอย่างใจอย่าง

ทว่าเฟิงจื่ออีกลับไม่เข้าใจว่าตนหงุดหงิดเรื่องใด ฉีเทียนเล่อชื่นชมจินหลิงหลิงแล้วเกี่ยวอันใดกับนาง และเหตุใดนางต้องรู้สึกกระวนกระวายใจด้วยเล่า โดยเฉพาะตอนที่อีกฝ่ายสนทนากับฉีเทียนเฮ่าอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ ทำให้นางเกิดภาพลวงตาราวกับว่าถูกแย่งชิงบางสิ่งบางอย่างไป ความหงุดหงิดพลันแผ่อยู่เต็มก้นบึ้งของหัวใจ

“แม่หนู เจ้ายืนเหม่ออันใดตรงนี้”

เมื่อได้สตินางเงยหน้ามองศาลา จินหลิงหลิงเบี่ยงกายไปอีกข้างแล้ว คนที่เรียกนางคือฉีเทียนเฮ่า เขาอารมณ์ดีไม่น้อย

ในเมื่อเขาเห็นนางแล้ว หากนางเดินกลับไปต้องออกพิรุธคล้ายวัวสันหลังหวะเป็นแน่

เฟิงจื่ออีจัดการกับสภาพจิตใจของตนเรียบร้อยแล้วจึงค่อยๆ สืบเท้าทีละก้าว เครื่องประดับรูปดอกไม้บนปลายรองเท้าสั่นไหวเบาๆ ตามจังหวะก้าวเดิน แขนเสื้อสะบัดพลิ้ว นางเดินไปหาเขาอย่างเชื่องช้า

“คุณชาย อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ” นางชำเลืองมองเขา ไม่รู้ว่าพบเจอของล้ำค่าอันใดถึงได้ดีใจปานนั้น หรือดรุณีน้อยนางนั้นตกลงหมั้นหมายกับเขาแล้ว

เมื่อคิดถึงตรงนี้สีหน้านางพลันหมองหม่นยิ่งกว่าเดิม

“ยังเช้าอยู่อย่างนั้นหรือ แม่หนู ตะวันสูงโด่งปานไผ่ต่อกันสามลำแล้วนะ” เขาจิบชา เพราะจินหลิงหลิงรายงานว่าพบเบาะแสสิ่งของที่เขาตามหามานานแล้ว เขาจึงอารมณ์ดียิ่ง

“ข้าเพิ่งเจอท่านยามนี้ก็ต้องกล่าวอรุณสวัสดิ์เวลานี้สิ” ครั้นลองคิดทบทวนอีกที นางกลับรู้สึกว่านางคล้ายคนที่กำลังหึงหวงอยู่ก็มิปาน ใบหน้าแดงก่ำโดยพลัน และรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ต่อไปก็เลิกเรียกข้าว่าแม่หนูสักที ข้าอายุสิบเจ็ดปีแล้ว”

ฉีเทียนเฮ่ากำลังอารมณ์ดีจึงมิได้สนใจสีหน้าและน้ำเสียงย่ำแย่ของนาง เขาถือโอกาสนี้ลูบศีรษะของนางเสียเลย “ข้าเห็นว่าเจ้าไม่สูงสักเท่าไร รูปร่างดูอย่างไรก็ยังเป็นหนูน้อยชัดๆ”

“เทียนสี่ก็ไม่สูงเช่นกัน ไยท่านไม่เรียกนางว่าแม่หนูบ้างเล่า” ครั้งนี้นางตีฝ่ามือของเขาอย่างแรงเหมือนเช่นเคย ไม่เกรงกลัวว่าจะทำให้เจ้านายบันดาลโทสะสักนิด

ตั้งแต่เห็นว่าจวนสกุลฉีเป็นบ้าน นางก็รู้สึกว่าเจ้านายทุกคนเป็นเหมือนครอบครัว การเรียกชื่อพวกเขาตรงๆ ก็เรียกจนเคยชินแล้วเช่นกัน เว้นก็แต่…ฉีเทียนเฮ่าผู้เดียวเท่านั้นที่บางครั้งนางมักจะเรียกเขาว่า “คุณชายใหญ่” ราวกับอยากจะย้ำเตือนตนเองว่าอย่าลืมฐานะของตน

“อืม…นั่นไม่เหมือนกัน” เมื่อย้อนนึก หลังเทียนสี่เข้าสู่วัยปักปิ่น[3] เขาก็ไม่เคยเรียกนางว่า “แม่หนู” อีกเลย แต่เป็นเพราะจื่ออีต่างหากที่มักทำตัวให้เขารู้สึกว่านางยังไม่โตเป็นสาว

ทั้งๆ ที่นางเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องแท้ๆ และยังดูเป็นผู้ใหญ่กว่าสตรีทั่วไป บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้ยามกลั่นแกล้งนางเล่น ท่าทีที่โต้ตอบอย่างจริงจังของนางมักทำให้ผู้อื่นเผลอยิ้มเสมอ จุดนี้เองที่ดูเหมือนเด็กน้อย

“เห็นข้าเป็นเด็กชัดๆ…” นางไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้จริงๆ

เมื่อครู่เห็นเขาสนทนากับจินหลิงหลิง แม้ใกล้ชิดกัน แต่ยังคงรักษาระยะห่างเอาไว้ ทั้งสองคนเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากัน ไม่เคยละเมิดข้อห้ามระหว่างชายหญิง ต่อให้ในขณะที่สนทนา หัวเราะให้กันบ้าง แต่ก็ปฏิบัติตัวอยู่ในกรอบ ตามความคิดของนาง นี่ต่างหากถึงจะเป็นการคบหาระหว่างชายหญิง ไหนเลยจะเป็นเช่นนางกับฉีเทียนเฮ่าที่มักสัพยอกเหย้าแหย่ ไม่จริงจังประหนึ่งเด็กเล่นกันก็มิปาน

เดิมที…นางไม่เคยรู้สึกว่ามีอันใดผิดปกติ ทว่าเมื่อพบจินหลิงหลิงอีกครั้งหลังห่างหายกันไปสักพัก รูปร่างอรชรกับหน้าตางดงามที่เพิ่มขึ้นมานั่นกลับกลายเป็นเสมือนหนามยอกหัวใจของนางเสียอย่างนั้น

“ก็เจ้าเป็นเด็กอยู่นี่” เมื่อเห็นดรุณีน้อยทำปากยื่น กระทั่งคิ้วก็ขมวดเป็นปมแน่น เขาใช้มือข้างหนึ่งดึงแก้มนวลนุ่มของนางให้ยืดออกเพื่อทำให้หน้าของนางฉีกยิ้ม เพราะเขาชอบเห็นนางมีความสุข “เลิกทำหน้านิ่วคิ้วขมวดได้แล้ว เป็นเด็กมีอันใดไม่ดีอย่างนั้นหรือ มีแต่ความสุขไร้ทุกข์โศก เอาละ เจ้ามาหาข้าคงมีธุระกระมัง”

“โอ๊ะ เกือบลืมไปเลย” เฟิงจื่ออีที่แต่เดิมคิดจะตอบโต้ จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องจริงจังขึ้นมาโดยพลัน นางรีบดึงสมุดสีน้ำเงินเข้มเล่มหนึ่งออกมาจากอ้อมแขนแล้วพลิกหน้ากระดาษไปมา “ในสมุดบัญชีนี้มีตัวเลขจำนวนหนึ่ง ข้าดูแล้วมีบางสิ่งผิดปกติ แต่ยังคิดไม่ออกว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ท่านช่วยข้าดูหน่อยสิ”

เขาปิดสมุดพร้อมกับดึงมันไปจากมือน้อยๆ แล้วกางไว้บนโต๊ะหิน “จะรีบร้อนไปไย ค่อยๆ พลิกดูที่โต๊ะก็ได้ ข้ามิได้หายไปที่ใดสักหน่อย”

“ก็ไม่แน่ ผู้ใดจะไปรู้ว่าวันพรุ่งท่านจะอยู่หรือไม่อยู่…” นางบ่นพึมพำ ทว่ากลับนั่งเก้าอี้หินอย่างว่าง่าย ก่อนใช้มือขวาพลิกหน้าสมุดอย่างแผ่วเบา

เฟิงจื่ออีพลิกหน้ากระดาษพลางนึกตำหนิเขาในใจ เขามักจะทิ้งจดหมายสั้นๆ ไว้ให้แผ่นหนึ่งแล้วออกจากจวนไปกลางดึกหรือไม่ก็ยามรุ่งสางเสมอ ช่างเอาแต่ใจสิ้นดี นอกจากผู้ร่วมเดินทางไปกับเขาแล้ว ยังมีผู้ใดรู้บ้างว่าเขาจะจากไปเมื่อใด แม้แต่นางเองก็ไม่รู้เช่นกัน

“นิสัยพูดกับตนเองของเจ้าต้องเปลี่ยนได้แล้ว” เขาฟังไม่ค่อยถนัดเพราะนางบ่นพึมพำอยู่ในลำคอ

“อ้อ” นางโพล่งออกมาอย่างไม่ทันคิด เป็นเพราะสมาธิจดจ่ออยู่กับสมุดบัญชีจึงมิได้สนใจว่าเขาพูดอันใด

เห็นนางใจจดใจจ่อเช่นนั้น เขาจึงเดินเข้าไปใกล้ “หาเจอหรือยัง”

“…อืม…หาเจอแล้วเจ้าค่ะ ตรงนี้นี่แหละ” นางหันหน้าไปหมายเรียกให้เขาดู มิคาดว่าเขาจะเดินมาข้างหลังพร้อมกับก้มตัวมาช่วยนางดูบัญชีอยู่ก่อนแล้ว

ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองน้อยมาก เมื่อเงยหน้ามองเขาเช่นนี้แลดูคลุมเครือยิ่งกว่าท่าทางตอนที่อยู่ในห้องหนังสือเมื่อสองวันก่อนเสียอีก หากนางเงยหน้าสูงขึ้นอีกนิดคงโดนคางของเขาเป็นแน่

หัวใจของเฟิงจื่ออีพลันเต้นตึ้กตั้ก แม้กระทั่งตัวนางเองก็ยังได้ยินเสียงนั้น

“อืม บัญชีเล่มนี้มีปัญหาจริงๆ เจ้าเตือนเสมียนอู๋ไว้หน่อยว่าเกลือสมุทรนี้ขนส่งไปทางใต้ ขาดทุนบ้างเป็นเรื่องปกติ แต่มูลค่าความเสียหายในแต่ละปีควรจะต่างกันไม่เท่าไร กำชับเขาว่ากินสิ่งใดต้องหัดเช็ดปาก อย่าให้ข้าไปช่วยเขาเช็ดด้วยตนเองก็แล้วกัน” ฉีเทียนเฮ่าเอ่ยเสียงขรึม มิได้สังเกตสายตาที่จับจ้องเขาอยู่

สกุลฉีดำเนินกิจการมากมาย มีเสมียนใต้บังคับบัญชาหลายสิบคน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงคนงานระดับล่างที่มีอยู่นับไม่ถ้วนพวกนั้น คนยิ่งมากเท่าใดก็หลีกเลี่ยงคนใจคดมือเท้าสกปรกยากเท่านั้น เพียงแต่น้ำใสสะอาดเกินไปจะไร้ซึ่งปลาแหวกว่าย หากยักยอกเงินเพียงเล็กน้อย โดยปกติแล้วเจ้านายส่วนใหญ่มิได้เป็นเดือดเป็นร้อน ดังนั้นผู้ดูแลเรื่องนี้มานานอย่างเช่นเฟิงจื่ออีย่อมรู้ดี

ทว่าแม่หนูน้อยผู้นี้ฉลาดนัก แม้หลายปีมานี้เหล่าเสมียนยอมรับในความสามารถของนาง แต่หากจะให้นางเข้าไปจัดการเรื่องนี้ เกรงว่าคงไม่ราบรื่นเท่าใดนัก ดังนั้นนางจึงต้องการยืมมือเขา

“อันใดกัน ท่านจะเก็บเขาไว้อย่างนั้นหรือ” นางละสายตาจากเขาพลางชี้ไปที่บัญชีแล้วเอ่ยอย่างมิใคร่พอใจ “ครั้งนี้เกือบร้อยตำลึงเชียวนะ”

เฟิงจื่ออีนึกว่าเขาจะจัดการขั้นเด็ดขาดกับเสมียนอู๋ เจ้านายผู้ชอบยั่วโมโหยามอยู่ต่อหน้านางผู้นี้เวลาอยู่ต่อหน้าผู้อื่นเขามิได้ยอมผ่อนปรนเช่นนี้หรอก เพียงแค่ใบหน้าเย็นชาของเขาก็ทำให้ผู้คนหวาดผวาแล้ว

“ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไรว่าอย่าใจร้อน เจ้าลองคิดดูนะ เสมียนอู๋อายุปูนนี้ อีกสองปีเขาจะปลดเกษียณกลับไปอยู่บ้านตามกฎของสกุลฉี เจ้าว่าเหตุใดคราวนี้เขาจึงรีบร้อนเช่นนี้เล่า”

“เขาอยากเก็บเงินไว้เลี้ยงตนเองยามเกษียณ”

ฉีเทียนเฮ่าลูบศีรษะนางเพื่อให้กำลังใจตามความเคยชิน เขามิได้สังเกตว่าดรุณีน้อยหน้าแดงอีกครั้งก็เพราะสาเหตุนี้ “ถูกต้อง หากอภัยได้ก็สมควรให้อภัย คราวนี้ช่างเถิด ในฐานะเจ้านาย ข้าซาบซึ้งกับการทำงานหนักของเขายิ่งนัก ข้าอยากให้เจ้าเตือนเขาว่าอย่าให้มีครั้งหน้าอีก หากสั่งสอนผู้ใต้บัญชาไม่ดีจะเกิดปัญหาขึ้นได้”

เฟิงจื่ออียกมือลูบแก้มเบาๆ หมายจะไล่ความร้อนออกไปโดยไม่ให้เขาสังเกตเห็น “อ้อ รับทราบเจ้าค่ะ…จริงสิ ท่านรู้จักหลงจู๊ฮวาแห่งเมืองเสวียนอู่หรือไม่”

“จื่ออี เจ้าเคยเห็นเขาอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของฉีเทียนเฮ่าเย็นชาเย็นทันใด

“ทำไมหรือเจ้าคะ” นางเงยหน้าขึ้นมาเห็นสีหน้าเขาจริงจังอย่างพบเห็นได้ยาก ซ้ำยังเรียกชื่อของนาง เฟิงจื่ออีจึงจำใส่ใจ “ข้าไม่เคยเจอเขา เพียงได้ยินว่าเขาเคยมาเยี่ยมที่จวน วันนั้นข้าไม่อยู่เพราะออกไปตรวจร้านค้านอกเมือง พ่อบ้านฉีจึงบอกกล่าวกับข้าเอาไว้ แต่คนผู้นั้นไม่ได้มาหาข้า ได้ยินว่ามาหาท่าน ท่านไม่รู้จักเขาหรอกหรือ”

แม้เมืองจูเช่ว์จะทำการค้ากับเมืองเสวียนอู่มานานหลายปี ทว่าผู้ทำการค้าขายของทั้งสองฝ่ายล้วนแต่เป็นเจ้าเมือง และความจริงผู้ที่มาติดต่อก็คือเสมียนใต้บัญชาอีกที นางจึงไม่เคยเจอทั้งเจ้าเมืองเสวียนอู่และไม่รู้จักหลงจู๊ฮวาซึ่งมาทำธุระที่จวนเจ้าเมืองผู้นั้น นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าการที่คนผู้นั้นมาเยือนถึงจวนเช่นนี้มีจุดประสงค์ใดกันแน่

เฟิงจื่ออีลอบเดาว่าอาจเป็นคนรู้จักของเขาก็เป็นได้ ทว่าพอเห็นสีหน้าเขาผิดปกติเช่นนี้แล้วกลับทำให้นางแปลกใจ

“ข้ารู้แล้ว วันหน้าหากคนผู้นี้มาหาที่จวนแล้วข้าไม่อยู่ก็ให้ไล่เขาไป เจ้าห้ามไปพบเขาด้วยตนเอง เข้าใจหรือไม่” น้ำเสียงของเขาจริงจัง มือยังคงจับไหล่นาง แม้ไม่หนัก แต่ก็เป็นแรงที่ขัดขืนไม่ง่าย

“ทำไมหรือเจ้าคะ” เขาระมัดระวังเช่นนี้ช่างน่าสงสัยจริงๆ

ฉีเทียนเฮ่าไม่ตอบคำถาม แต่กลับเพิ่มแรงที่มืออีกหลายส่วน “รับปากข้าสิ”

“รู้แล้ว…รู้แล้วน่า คุณชายใหญ่ ท่านออกแรงขนาดนี้ ข้าเจ็บไหล่นะ” นางเจ็บจนนิ่วหน้า ขยับตัวหลบมือของเขา

ฉีเทียนเฮ่ารีบปล่อยมือ สีหน้าละอาย “ขอโทษ ข้าไม่ตั้งใจ”

“ข้าไม่เข้าใจ ไฉนต้อง…”

ฉีเทียนเฮ่าเอื้อมฝ่ามือใหญ่ข้ามตัวนางไปปิดสมุดบัญชีที่อยู่บนโต๊ะแล้วส่งให้นาง ขัดจังหวะถ้อยคำของนางพอดี “เอาละ หากไม่มีอันใดแล้วก็เก็บสมุดบัญชีเข้าห้องหนังสือไป จุ่นจือจัดงานเลี้ยงที่โรงเตี๊ยมเฟิ่งหวง ข้าจะไปร่วมงาน ไม่อยู่กินข้าวกลางวันในจวนแล้ว เจ้าบอกพ่อบ้านฉีที”

“ข้า…” พอเฟิงจื่ออีลุกขึ้นยืน คนผู้นั้นก็หันหลังเดินจากไปไกลแล้ว นางบ่นพึมพำ “ข้าไม่ใช่คนส่งสารระหว่างท่านกับพ่อบ้านฉีสักหน่อย…”

เฟิงจื่ออีอยากรู้จริงๆ ว่าคือเรื่องใดกันแน่ จำเป็นต้องปิดบังนางถึงเพียงนี้หรือ จากนั้นนางก็อดรู้สึกหน่วงในใจอีกครั้งไม่ได้ กลับมาคราวนี้คล้ายเขามีเรื่องราวมากมายที่พูดกับนางไม่ได้เสียแล้ว

นางไม่กล้าถามว่าจินหลิงหลิงคุยอันใดกับเขา นางนึกว่าเขาจะเล่าให้ฟังเองเหมือนเช่นเคย ทว่าคราวนี้กลับไม่พูดถึง ส่วนเรื่องหลงจู๊ฮวา นางถามแล้ว แต่เขากลับบ่ายเบี่ยง…

แม้อากาศหนาวเย็นเล็กน้อย แต่นางยังคงนั่งอยู่ในศาลาต่อไปอีกสักพัก

 

[1] ผู้สอบเข้ารับราชการระดับหน้าพระที่นั่งผ่านเป็นอันดับหนึ่ง

[2] ช่วงเวลา 23.00–1.00 นาฬิกา

[3] เด็กสาวจีนเมื่ออายุครบ 15 ปีต้องเข้าพิธีปักปิ่น เพื่อประกาศว่าโดตเป็นผู้ใหญ่พร้อมออกเรือนแล้ว

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า