[ทดลองอ่าน] โฉมตรูคู่หทัย บทที่ 3

《妻恩浩蕩》
โฉมตรูคู่หทัย

 

จี้ชิว เขียน
เหมยชมจันทร์ & เชาว์เหลียน แปล

 

— โปรย —

เฟิงจื่ออี จากเด็กหญิงตัวน้อยในครอบครัวที่กุมความลับบางอย่างจนถูกปองร้าย
ต้องกลายสถานะมาเป็นหญิงรับใช้ของ ฉีเทียนเฮ่า เจ้าเมืองจูเช่ว์
วันเวลาในจวนเหล่านั้นนางอยู่เย็นเป็นสุข

ด้วยทุกคนในจวนรักนางประหนึ่งคนในครอบครัวเดียวกัน
แต่แล้ววันหนึ่งเพื่อช่วยขจัดภัยพาลและตามล่าหาสมบัติ
เพลงกล่อมเด็กที่มารดาเคยสอนร้องครั้งเยาว์วัยกลับกลายเป็นลายแทงขุมทรัพย์!

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

3

 

ใกล้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง พิรุณยังคงตกกระหน่ำไม่หยุด เมื่อตกลงบนพื้นโคลนจึงกลายเป็นแอ่งน้ำขังขนาดเล็ก พาให้ผู้คนที่สัญจรไปมาลำบากขึ้น

เฟิงจื่ออีที่ถือร่มกระดาษเคลือบน้ำมันก็ยังต้านความแรงของสายฝนไม่อยู่ กระโปรงเปียกชุ่มจนแนบไปกับผิวนอกจากเป็นอุปสรรคต่อการก้าวเดินแล้ว ความเหนอะหนะก็ทำให้นางไม่สบายตัวเช่นกัน กอปรกับรู้สึกปวดหัวมาหลายวันแล้ว นางในยามนี้จึงแค่อยากกลับจวนสกุลฉีไวๆ เท่านั้น

หากพ้นจากหมู่บ้านและเข้าเมืองได้เมื่อไรถนนหนทางก็จะสะดวกมากขึ้น อีกทั้งอยู่ไม่ไกลจากจวนสกุลฉีแล้ว ครั้นคิดถึงตรงนี้ นางก็กอดห่อกระดาษน้ำมันในอ้อมแขนให้แน่นขึ้นอีกนิด ด้วยกลัวว่ามันจะเปียกฝน ผ่านไปสักพักนางก็หยุดฝีเท้าลงอีกครั้ง แล้วเอียงศีรษะเพื่อหนีบร่มเอาไว้ จากนั้นสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อเพื่อคลำหากระเป๋าลับ สิ่งที่มือสัมผัสโดนทำให้นางสบายใจจนเผยอยิ้มที่มุมปาก

ในห่อกระดาษน้ำมันเป็นขนมที่จะให้ฉีเทียนสี่ คราวก่อนเคยพกติดมือกลับมา แม้ชิ้นเล็กกว่าปกติ แต่รสชาติหวานและกรอบกว่าของในเมือง ฉีเทียนสี่บอกว่าอร่อยมาก คราวนี้นางจึงไม่ลืมที่จะซื้อมันมาจากตรอกบ้านอาหกให้มากหน่อย ยายเด็กโง่งมผู้นั้นจะได้กินให้หายอยาก

ส่วนในกระเป๋าลับมีปิ่นปักผมรูปดอกบัวที่ฉีเทียนเล่ออยากได้มาหลายวันแล้ว ช่างฝีมือที่ทำปิ่นปักผมผู้นั้นช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งของซึ่งเหล่าบุตรีของผู้มีอันจะกินชื่นชอบมากแท้ๆ แต่เขากลับดึงดันไม่ยอมขายท่าเดียว บอกว่าจะมอบให้ผู้มีวาสนาเท่านั้น ปรากฏว่าหนนี้นางเจอเขาในหมู่บ้าน ประจวบกับเขาอารมณ์ดี นางจึงลองขอปิ่นมาให้ฉีเทียนเล่อหนึ่งอันและก็ทำสำเร็จด้วย

สิ่งที่ไม่เป็นใจก็คือฝนห่านี้ที่ทำให้นางล่าช้า แต่ทั้งนี้ก็ต้องโทษตัวนางเองด้วย เดิมทีอยากกลับไปเยี่ยมอาหกประเดี๋ยวเดียว ระยะทางที่ว่าเดินทางเพียงครึ่งชั่วยาม[1]เท่านั้น หากเช่าเกี้ยวกลับไปหมู่บ้านเล็กๆ เช่นนั้นคงสะดุดตาเกินไป นางอยากเดินไปเองมากกว่า ทว่าจู่ๆ ฝนก็โปรยปรายลงมาพาให้นางรู้สึกเสียใจเหลือเกินที่ทำเช่นนี้

เฟิงจื่ออีหลบแอ่งน้ำขณะเดินไปข้างหน้า ฝนยิ่งตกยิ่งหนัก ถนนลื่นขึ้นเรื่อยๆ ฝีเท้าของนางยิ่งช้าลง ท้องฟ้าค่อยๆ มืดจนเงาของนางแทบจะกลืนหายไปกับม่านฝน

ไม่นานต่อมานางเงี่ยหูเพื่อฟังเสียง ดูคล้ายว่ามีบางอย่างใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทำให้นางหยุดเท้าโดยไม่รู้ตัว เพียงแต่ฝนตกหนักเหลือเกิน นางจึงได้ยินแค่เสียงฝนอื้ออึงกับเสียงฟ้าคำรามเท่านั้น

กว่านางจะรับรู้ถึงความผิดปกติ เสียงฝีเท้าม้าก็ใกล้จะถึงตัวแล้ว เมื่อหันหลังกลับไปก็พบว่าเกือกม้านั้นกำลังจะเหยียบลงบนตัวนาง แม้นางจะหลบหลีกได้ทันท่วงที ทว่าด้วยจังหวะก้าวเท้าที่ไม่มั่นคงจึงทำให้ลื่นไถล นางกลิ้งหลุนๆ ตกเนินเขาไปเหมือนกับห่อขนมที่ตกลงจากอ้อมแขนนางห่อนั้น…

 

“นางออกไปนานเพียงใดแล้ว” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นกลางห้องโถงของจวนสกุลฉี น้ำเสียงของเขาฟังโกรธขึ้งเจือกังวล

ภายในห้องโถงโอ่อ่าหรูหรา นอกจากนายผู้เฒ่าที่ยังไม่กลับจวน อนุฟางที่ให้สาวใช้พยุงกลับห้องไปเมื่อครู่เพราะไม่ค่อยสบาย และฮูหยินที่กำลังขอพรให้สาวน้อยที่กลับมาช้าอยู่ในห้องพระ สมาชิกทุกคนก็แทบจะอยู่กันครบ

เจ้านายสกุลฉีหลายคนสีหน้ากังวล แม้แต่ฉีเทียนสี่ก็นั่งสงบเสงี่ยมบนเก้าอี้ บ่าวสกุลฉีแต่ละคนยิ่งก้มหน้างุด ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ

อย่างไรฉีกุ้ยก็เป็นถึงพ่อบ้านของจวนสกุลฉี เมื่อผู้เป็นนายถาม ต่อให้เขาไม่อยากตอบก็ต้องตอบอยู่ดี

ฉีกุ้นที่ตัวสั่นเทิ้มก้าวมาข้างหน้า ดูเหมือนว่ากลัวจนแม้แต่หนวดเคราก็พลอยสั่นไปด้วย “ท่านเจ้าเมือง…จื่ออีออกไปหลายชั่วยามแล้วขอรับ…บ่าว…บ่าวที่ส่งไปตามที่เรือนเจ้าหกเพิ่งกลับมาเมื่อครู่ เขาบอกว่า…บอกว่า…”

ฉีเทียนเฮ่าหรี่ตา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “บอกว่าอันใด”

การถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นนี้ทำฉีกุ้ยเหงื่อชุ่มแผ่นหลัง “ได้ยินเจ้าหกบอกว่า…คะ…คราวนี้ฟ้ายังไม่มืด จื่ออีก็…ออกจากหมู่บ้านไปแล้ว คำนวณจากระยะเวลาการเดินก็…ก็สมควรจะถึงจวนตั้งนานแล้วขอรับ”

“ถึงจวนอย่างนั้นหรือ แล้วเจ้าเห็นนางถึงจวนรึยัง” เขาแทบจะกัดฟันเค้นคำพูดออกมา

พอมองสายฝนนอกเรือนที่ยังตกไม่ยอมหยุดและนภาที่มืดครึ้มแล้ว เขาใจไม่ดี จื่ออีมิใช่เด็กเหลวไหล นางไม่สมควรจะ…ไม่มีทางกลับมาช้าเช่นนี้

ดวงตาคมกริบจ้องเขม็ง ซ้ำเสียงฟ้ายังร้องครืนครั่นให้ได้ยิน ฉีกุ้ยดูชราลงหลายปีในบัดดล เขาพูดเสียงสั่นว่า “ยะ…ยัง…ยังไม่กลับมาขอรับ บางที…”

“สั่งให้คนไปตามหารึยัง”

“ไป ไปแล้วขอรับ แต่…ยังหาไม่เจอ อีกอย่าง ฝนตกจึงจุด…ไฟไม่ได้…ทำให้หาคนยาก…แต่มีเรื่องหนึ่ง…ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกันหรือไม่ขอรับ…” เขาไม่อยากบอกเรื่องนี้กับท่านเจ้าเมืองเลย แต่หากไม่พูดจุดจบของเขาคงอนาจยิ่งกว่านี้แน่ ทั้งสองทางช่างเลือกยากจริงๆ!

ฉีเทียนเฮ่ากำหมัดแน่น คล้ายพอจะเดาได้ว่าสิ่งที่ฉีกุ้ยพูดมิใช่เรื่องดี “พูดมา”

“คือว่า…บ่าวที่ไปเรือนเจ้าหก…บอกว่าก่อนที่จื่ออีจะออกจากหมู่บ้าน…นางแวะซื้อขนม ก็…ก็ขนมที่คราวก่อนเคยส่งคนไป…ไปซื้อให้คุณหนูรองขอรับ…”

“ฉีกุ้ย พูดให้เร็วๆ หน่อย” สีหน้าฉีเทียนเฮ่าเคร่งเครียด ใบหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว

ฉีกุ้ยสีหน้าขมขื่น เขาก็อยากพูดเร็วๆ ช่างไม่เห็นใจคนที่ตื่นตกใจอย่างเขาบ้างเลย อายุปูนนี้จะทำอันใดก็งกๆ เงิ่นๆ เขาใช้มือปาดเหงื่อบนหน้าผากแล้วกล่าว “ขอรับ ขอรับ คนที่ส่งไปตามหาจื่ออีบอกว่าเจอขนมหล่นกระจายเต็มเนินปาหลี่จึงสงสัยว่าจื่ออีคงไม่ทันระวังอาจลื่นตกเนินเขา แต่ตอนนี้ฝนตกหนักมาก ทุกคนยังลงไปหาไม่ได้ ต้องรอให้ฝนหยุดตกก่อนขอรับ…” ห้ามเกิดเรื่องใดขึ้นกับยายหนูคนนั้นเด็ดขาด มิเช่นนั้นผู้ที่จะโดนท่านเจ้าเมืองถลกหนังเป็นรายแรกก็คือตัวเขานี่แหละ

“น่าตายนัก!” ฉีเทียนเฮ่าฟาดมือลงบนโต๊ะทรงสี่เหลี่ยมที่ตั้งอยู่ด้านข้างที่นั่งประมุขในห้องโถง โต๊ะสั่นสะเทือนตามแรงตบทำให้ถ้วยกระเบื้องเคลือบบนโต๊ะสั่นตามไปด้วย

ทุกคนเงียบกริบไม่เอ่ยวาจา รอจนถ้วยกระเบื้องเคลือบหยุดสั่น ทุกคนถึงได้มองฉีกุ้ยอย่างกระวนกระวาย พลางส่งสายตาบอกใบ้ให้เขาคิดหาวิธีทำให้ท่านเจ้าเมืองหายขุ่นเคือง

หนวดขาวกระตุกสองที ฉีกุ้ยลอบถอนหายใจ จากนั้นค่อยเอ่ยวาจา “ท่านเจ้าเมือง ยามนี้ฝนตกหนักนัก จนปัญญาจะตามหาคนจริงๆ บ่าวว่าท่าน…”

ไม่รอให้เขาพูดจบ ฉีเทียนเฮ่าก็ลุกขึ้นยืน แล้วมองกลุ่มคนในห้องโถง “ฉีกุ้ยไปตามหมอมาที่จวนสักสองคน ท่านพ่อ ท่านไปพักผ่อนก่อน หากมีข่าวของจื่ออีจะแจ้งให้ท่านทราบอีกที เทียนเล่อ เทียนสี่กลับไปห้องของตนเอง เทียนฮวนรอฟังข่าวอยู่ที่ห้องโถง บางทีดึกๆ อาจมีคนมาแจ้งข่าว ช่วงที่ข้าไม่อยู่ให้เจ้าเป็นผู้ตัดสินใจแทน”

ฉีเทียนฮวนตกตะลึง “ไม่อยู่อย่างนั้นหรือ พี่ใหญ่ ท่านจะไปที่ใดหรือ”

“ไปตามหาจื่ออี” เขาร้อนใจเหลือเกิน หากแม่หนูผู้นั้นลื่นตกเนินเขาไปจริงๆ นางอาจจะ…อาจจะ…เขาต้องไปตามหานางด้วยตนเองถึงจะวางใจ!

“ท่านเจ้าเมือง ฝนตกหนักนัก หรือวันพรุ่งค่อย…เช่นนั้นอย่างน้อยก็พกร่มไปด้วยเถิดขอรับ…ท่านเจ้าเมือง” ฉีกุ้ยตะโกนเสียงดัง เพียงแต่ฉีเทียนเฮ่ามิได้หันกลับมา ไม่นานนักก็ลับหายไปท่ามกลางสายฝน

ฉีกุ้ยส่ายหน้า เขาลอบภาวนากับตนเอง ขออย่าให้เกิดอันใดขึ้นกับยายหนูจื่ออีเลย มิเช่นนั้นจวนสกุลฉีกับท่านเจ้าเมือง…จะทำอย่างไรต่อไป!

 

“แคว้นหงเย่ว์ยืนยงหมื่นหมื่นปี แม่น้ำจุเจียงหล่อเลี้ยงไพร่ฟ้านับหมื่น สี่สมุทรเนืองหนุน…” เฟิงจื่ออีพึมพำเพลงกล่อมเด็ก เสียงของนางแผ่วเบาจนแทบโดนเสียงฝนกลบแล้ว

นางนั่งยอง หนาวจนริมฝีปากซีดขาว ได้แต่เอาสองมือลูบแขนไปมาหวังจะให้อบอุ่นขึ้นบ้าง

ไม่นานต่อมา เดิมนางฟุบหน้าอยู่ระหว่างหัวเข่า พยายามเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงฝนที่ยังตกไม่หยุดอยู่ด้านนอก จึงก้มหน้าดูข้อเท้าขวาที่บวมแดงอีกครั้งพลางถอนหายใจเบาๆ

ยามนี้เป็นยามใดแล้ว หรือคืนนี้นางจะต้องค้างคืนที่นี่

ตอนที่นางฟื้น เห็นแต่ป่ารอบกายก็พอจะเดาได้ว่านี่คงเป็นป่าใต้เนินปาหลี่ นางใจหายวาบ เนินปาหลี่เป็นเพียงเนินเขาเตี้ยๆ นอกหมู่บ้านเล็กๆ จึงมีผู้คนอาศัยบางตา ดูคล้ายว่านางคงต้องใช้ความพยายามมากหน่อยหากคิดจะหลุดพ้นจากความยุ่งยากนี้

หยาดฝนยังโปรยปราย ถนนสัญจรลำบาก หนำซ้ำนางยังเท้าแพลงข้างหนึ่ง ร่างกายฟกช้ำดำเขียว มีแผลถลอกและแผลถูกบาด นางไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะออกจากป่า จึงทำได้เพียงหาสถานที่ใกล้ๆ หลบฝน นางเดินอยู่พักใหญ่กว่าจะเจอโพรงต้นไม้ซึ่งใช้เป็นที่พักพิง

เห็นทีพิรุณห่านี้คงหยุดตกยาก ยิ่งดึกเท่าไรคงยิ่งหนาวมากขึ้นเท่านั้น…นางลูบคลำสิ่งของที่อยู่ในกระเป๋าลับแล้ว ยิ้ม โชคดีที่ยังอยู่ อย่างน้อย…หากนางหนาวตายเช่นนี้ รอให้ถึงตอนที่มีคนเจอร่างของนางและส่งกลับจวนสกุลฉี แม่คนนั้นน่าจะเห็นปิ่นปักผมอันนี้แล้วคงตั้งใจฝังศพนางให้ดีกระมัง

แล้ว…แล้วฉีเทียนเฮ่าเล่า เขาจะคิดถึงนางบ้างหรือไม่

คงคิดถึงกระมัง หากไม่มีนางคอยช่วยเหลือ คนผู้นั้นก็ต้องฟังนายผู้เฒ่าเล่าเรื่องความกล้าหาญตอนหนุ่มๆ ต้องไปไหว้พระเป็นเพื่อนฮูหยิน ต้องคุยเรื่องในใจประสาสตรียังไม่ออกเรือนกับเทียนเล่อ ต้องไปลากตัวเทียนฮวนออกจากหอคณิกา ต้องช่วยเทียนสี่จากพวกต้มตุ๋น ต้องปรึกษาเรื่องงานกับเหล่าเสมียน…นางอยากนอนเหลือเกิน นอนสักพักแล้วค่อยคิดอีกทีว่าเขาจะคิดถึงนางมากเพียงใด

เฟิงจื่ออีเอนกายลงนอน หนังตาหนักจนไม่อยากลืมขึ้น ขณะเคลิ้มอยู่นั้นคล้ายมีบางคนเรียกนาง แต่นางเหนื่อยเหลือเกิน ไม่อยากตื่นเลย…

“จื่ออี จื่ออี ตื่นสิ!” ฉีเทียนเฮ่าเขย่านางเบาๆ ได้ยินนางพึมพำบางอย่างแว่วๆ แต่กลับฟังไม่ออกว่านางพูดอันใด เขาอังหน้าผากของนางถึงได้รู้ว่านางตัวร้อน

ฉีเทียนเฮ่าเช็ดหยาดเหงื่อบนใบหน้าให้นาง สีหน้าเขากังวลอย่างเห็นได้ชัด

เขาไปตามเส้นทางที่บ่าวรับใช้บอกและเดินเลาะลงไปตามพื้นที่ลาดเอียงของเนินปาหลี่โดยไม่สนใจว่าทางจะลื่นเพียงใด ขณะที่ตามหานางอยู่ในป่าอย่างร้อนใจ เขากลัวเหลือเกินว่าเขาจะเดินไปคนละทางกับนาง และสิ่งที่กลัวยิ่งกว่าก็คือนางจะพบเจออันตรายหรือได้รับบาดเจ็บ

ฉีเทียนเฮ่าคาดการณ์ว่านางต้องหาที่หลบฝน เขาได้ยินมาจากคนในท้องที่ว่าในป่าแห่งนี้มีกระท่อมที่นายพรานใช้อยู่หลังหนึ่ง เขาจึงอยากลองเสี่ยงดวงดูสักหน่อย และตอนที่เดินผ่านต้นไม้สูงใหญ่เก่าแก่ต้นหนึ่งเขาก็สังเกตเห็นโพรงไม้ขนาดใหญ่ในต้นไม้เข้าพอดี ความคิดหนึ่งจึงผุดขึ้นมาฉับพลัน เขาเดินเข้าไปใกล้พร้อมกับก้มลงสำรวจ โชคดีที่นางอยู่ตรงนี้จริงๆ โชคดี…ที่เขาตามมาทันแล้ว

ชั่วขณะนี้เอง เขาจึงพบว่าความห่วงใยที่เขามีต่อนางนั้นเกินกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้มากมายนัก

“แม่หนู ตื่นสิ ข้าจะพาเจ้ากลับจวน” เขาลองปลุกนางด้วยเสียงเบาๆ

แม้โพรงของต้นไม้เก่าแก่ต้นนี้ใหญ่โต ตัวนางค่อนข้างเล็ก ดังนั้นไม่ว่าขดตัวหรือนอนหมอบล้วนไม่มีปัญหา แต่เขากลับเข้าไปไม่ได้ หนำซ้ำยังกลัวว่าหากพยายามอุ้มนางออกมาอาจทำให้นางบาดเจ็บโดยมิได้ตั้งใจ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือนางต้องตื่นขึ้นมาเอง อีกอย่าง…หากปล่อยให้นางนอนหลับอยู่แบบนี้แล้ว เขารู้สึกว้าวุ่นใจยิ่ง

เมื่อได้ยินเสียงเรียกอันคุ้นเคย เฟิงจื่ออีขมวดคิ้วแน่นพลางย่นจมูก แต่ยังไม่ลืมตาเหมือนไม่อยากตื่น

เขาถอนหายใจพลางสัมผัสไปตามเรือนผมที่เปียกชื้นและลูบศีรษะของนาง อุณหภูมิบนมือพาให้เขาปวดใจมาก “แม่หนู หากเจ้ายังไม่ตื่นอีก ข้าจะออกไปข้างนอกแล้วนะ จะทิ้งบัญชีไว้ให้เจ้าด้วย”

เฟิงจื่ออีมุ่นคิ้วแน่นขึ้น ก่อนทำปากยื่นคล้ายไม่ค่อยพอใจ จากนั้นจึงค่อยๆ ลืมตามองเขาด้วยแววตาเลื่อนลอยสักพักถึงค่อยจำเขาได้ “คุณ…ชาย คุณชายใหญ่หรือเจ้าคะ”

หากมิได้อยู่ในเวลาเช่นนี้ เขาคิดว่าตนคงต้องหัวเราะเป็นแน่ แม่หนูผู้นี้กังวลยามที่เขาออกมาข้างนอกปานนี้เชียวหรือ

“เจ้าออกมาก่อน ประเดี๋ยวข้าแบกเจ้ากลับจวนดีหรือไม่” เขาพูดเบาๆ คล้ายปลอบประโลมเด็กน้อย

เฟิงจื่ออีที่เพิ่งตื่นและยังสะลึมสะลืออยู่พยักหน้าอย่างมึนงง นางต้องออกแรงมากกว่าจะพยุงตัวลุกขึ้น และเพราะเท้าขวาแพลงจึงปีนออกจากโพรงไม้ได้เพียงครึ่งตัว เมื่อเงยหน้ามองก็พบว่าหยาดฝนที่รินไหลอยู่ด้านนอกซาลงมากแล้ว กำลังโปรยปรายเป็นละอองฝอยแลดูคล้ายหมอก

พอนางออกมา เขาก็ดึงเสื้อคลุมที่เขาสวมออกแล้วนำมาผูกให้นางแน่นๆ ก่อนยกชายกระโปรงของนางขึ้น ครั้นเห็นข้อเท้าบวมแดงของนาง สายตาพลันมืดครึ้มทันใด ทว่ากลับมิได้เอ่ยให้มากความ

“ขึ้นมาสิ” เขาหลังหันกลับ บอกเป็นเชิงให้นางขี่หลังเขา

ไหล่กว้างของเขาอยู่เบื้องหน้า พอลมหนาวพัดมาพาให้นางได้สติมากขึ้น นางลังเลโดยพลัน ตัวนางเปียกชื้นอย่างนี้ เขาทำเช่นนี้จะดีหรือ

ฉีเทียนเฮ่าเหลียวมอง เห็นนางไม่ขยับเขยื้อน เขาได้แต่ถูมือไปมา “แม่หนู ฝนยังตกอยู่ ประเดี๋ยวลมพัดมาจะหนาวเอานะ”

เฟิงจื่ออีรีบเดินเข้าไปใกล้ เหยียดสองแขนออกแล้วกระโดดขึ้นไปบนตัวเขาทั้งตัวพร้อมกับคล้องคอของเขาแน่น จากนั้นจึงเอ่ยเร่ง “รีบกลับจวนกันเถิดเจ้าค่ะ”

เขาลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมแบกนางออกจากป่า

แก้มของเฟิงจื่ออีแนบกับแผ่นหลังของเขา นางรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่ทะลุผ่านเสื้ออย่างชัดเจน ชวนให้สบายใจจนอยากหลับสักพัก

“แม่หนู พูดกับข้าหน่อย” ฉีเทียนเฮ่าได้ยินเสียงหายใจของนางแผ่วลงเรื่อยๆ ก็กระตุกไหล่ปลุกนางให้ตื่นทันใด

“ไม่เอา” นางอยากนอน

“เด็กดี พูดกับข้าหน่อยสิ”

นางทนความง่วงงุนไม่ไหวจึงโมโหอย่างเหลืออด เอามือทุบไหล่ของเขา “ไม่เอา ท่านน่ารำคาญยิ่ง ข้าอยากนอน”

“ไม่ได้ หากไม่ยอมพูดกับข้า ข้าจะทิ้งเจ้านะ” การทุบตีของนางก็เหมือนดั่งสายฝน หาได้ระคายผิวเขาไม่ เขายอมให้นางตีเขาไปตลอดทางกลับจวน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมให้นางหลับเด็ดขาด

“ท่านพูดจาเหลวไหล…ต่อให้ข้าพูดกับท่าน ท่านก็ทิ้งข้าไปอยู่ดี” หน้าผากร้อนระอุทำให้หัวสมองของนางพร่าเลือนคล้ายม่านฝนและหมอกมัวจนจับต้นชนปลายไม่ถูก คำพูดใดที่นางอยากพูดก็พูดออกมาโดยไม่ทันไตร่ตรอง

“ข้าทิ้งเจ้าเมื่อไรกัน…”

“ทุกครั้ง! ทุกครั้งท่านก็ทำแบบนี้ ทิ้งจดหมายสั้นๆ ไว้แล้วจากไป รู้แค่ว่ามอบหมายงานให้ข้าทำนั่นทำนี่ จะไปก็ไม่บอกกล่าว ไม่แม้แต่จะบอกว่ากลับมาวันใด ข้างนอกสนุกปานนั้นเชียวรึ กลับมาได้ไม่กี่เดือนก็ออกไปอีกแล้ว ทำตัวลึกลับ ซ้ำยังไม่บอกว่าจะไปที่ใดและไปกับผู้ใด…” นางไม่คิดอันใดมาก แต่ก็ตำหนิเขายกใหญ่ และไม่รู้สึกง่วงนอนอีกต่อไป

เมื่อได้ยินนางบ่นกระปอดกระแปด เสียงดังบ้างเบาบ้างสลับกัน ฉีเทียนเฮ่าค่อยผ่อนคลายลงและรู้สึกอบอุ่นหัวใจ

“ครั้งหน้าไม่ทำอีกแล้ว” เขาให้สัญญา

หลังเขาเข้ารับตำแหน่งเจ้าเมืองตอนอายุสิบห้า ในครอบครัวก็ไม่มีผู้ใดควบคุมเขาอีก บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้เขาจึงมีอิสรเสรีจนเคยชิน และเข้าใจไปเองว่าคงไม่มีใครในครอบครัวเป็นห่วงเขา จึงไปไหนมาไหนตามอำเภอใจ…

คิดไม่ถึงว่ายังมีนางที่เป็นห่วงเขาอยู่คนหนึ่ง…เหมือนมีบางอย่างเติบโตและแผ่ขยายอยู่ในใจ ความรู้สึกคลุมเครือบางอย่างพลันชัดเจนในพริบตา ดูเหมือนว่านางจะมีบางสิ่งที่แตกต่างจากเทียนเล่อและเทียนสี่

“ครั้งหน้าเช่นนั้นหรือ นี่ท่านยังสนุกไม่พอหรืออย่างไร” นางตำหนิ

คราวนี้นางอยู่ใกล้เขามาก ในที่สุดเขาก็ได้ยินสิ่งที่นางพูดสักที “ก็บอกเจ้าแล้วอย่างไรว่าข้าไม่ได้ออกไปเที่ยว เจ้าคิดดูนะ หากสกุลฉีต้องการขยายกิจการก็ต้องออกไปสำรวจชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านมิใช่หรือ”

“เหลวไหล ไยท่านไม่สั่งให้พวกเสมียนมารายงานเล่า ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าของร้านค้าคนอื่นจะออกท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศเหมือนท่าน” สิ่งที่นางไม่ได้พูดออกมาก็คือหากนางมิได้แก้ไขปัญหาเก่ง คนที่เป็นเจ้าของร้านจะหายไปนานขนาดนี้ได้หรือ

ทันใดนั้นเฟิงจื่ออีก็นึกถึงใบหน้ารูปไข่อันงามพิลาสของจินหลิงหลิง หัวใจของนางคล้ายถูกทับด้วยก้อนหิน เขาอยากออกไปเที่ยวกับสตรีที่เขาชื่นชอบชัดๆ ถึงได้บีบบังคับนางเช่นนี้!

เฟิงจื่ออียังไม่หายโกรธจึงออกแรงทุบเขาอีกรอบ

“เจ้าไม่เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่าอ่านตำราหมื่นเล่มฤๅจะสู้เดินทางหมื่นหลี่[2]หรอกหรือ” เขาปล่อยให้นางทุบตีตามอำเภอใจ เมื่อเห็นนางมีชีวิตชีวาขึ้นแล้วจึงค่อยวางใจ

“หึ ข้าไม่พูดกับท่านแล้ว นิสัยอยู่นิ่งไม่ได้ของท่านช่างเหมือนเทียนสี่ตอนใช้เงินเป็นเบี้ยยิ่งนัก พวกก้อนหินในสุขา!”

“ที่ทั้งเหม็นและแข็ง” เขาต่อคำพูดถัดมาแล้วหัวเราะ เสียงหัวเราะทุ้มต่ำได้ยินชัดเจนทีเดียวเมื่ออยู่ในป่า

“ท่านคงภูมิใจนักสิ” น่าชังนัก ที่นางด่า เขามิได้กระเทือนสักนิด…จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงน้ำไหลจึงถามด้วยความสงสัยทันควัน “เสียงน้ำนี่ ท่านไปผิดทางหรือไม่”

“แม่ตัวโง่งม เจ้าคงมิได้คิดว่าพวกเราจะเดินเลาะไปตามเนินปาหลี่แล้วปีนกลับขึ้นไปหรอกนะ” เขาลงมาคนเดียวนั้นไม่ยาก ต่อให้แบกคนขึ้นไปด้วยก็คงไม่ยากเช่นกัน แต่ฝนตกจนดินเละเป็นโคลนเช่นนี้ จะให้เขาเสี่ยงอันตรายพานางกลับไปทางเดิมได้อย่างไร

เฟิงจื่ออีหน้าแดง “ข้าเพียงถามเฉยๆ”

“เอาเถิด เช่นนั้นก็ถือว่าข้าพูดมาก” เขาพอจะไว้หน้านางอยู่บ้าง “ก่อนข้าจะมาหาเจ้า ข้าถามคนท้องที่มาแล้ว หากเดินเลาะตามแม่น้ำอวี้จูสายนี้ก็จะออกจากป่าได้ แม้เดินอ้อมมากสักหน่อย แต่ก็ไม่ต้องปีนข้ามเนิน ใช้เวลาไม่นานคงกลับถึงจวนแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลว่าข้าจะไปผิดทาง”

“ชื่อของแม่น้ำสายนี้ช่างพิเศษนัก แม่น้ำอวี้จู…เขียนอย่างไร มีที่มาหรือไม่เจ้าคะ” โดยปกติแล้ว ชื่อของลำธารและแม่น้ำแถบนี้ล้วนตั้งตามชื่อเมืองหรือหมู่บ้านทั้งสิ้น นางจึงนึกว่าแม่น้ำสายนี้มีชื่อว่าแม่น้ำปาหลี่

“อวี้จากคำว่าอวี้เพ่ย[3] จูจากคำว่าจูเป่า[4] ได้ยินมาว่าที่นี่มีผู้คนอาศัยอยู่น้อย น้ำในแม่น้ำจึงใสกระจ่างยิ่ง ยามแสงโสมส่องกระทบ แวววาวดุจป้ายหยกชั้นดีที่โปร่งแสงและมีสีเขียวอ่อน ผิวน้ำเกิดประกายระยิบระยับสว่างยิ่งกว่าไข่มุกราตรีสีขาวนวล” ต้องขอบคุณท่านยายผู้กระตือรือร้นบอกเล่าชื่อสถานที่นี้ให้เขาฟัง โดยไม่สนใจสีหน้าร้อนรนของเขาและยืนกรานจะอธิบายทิวทัศน์ซึ่งคนท้องถิ่นภูมิใจให้ได้ ทว่าในความคิดของเขานั้นแม่น้ำทุกสายล้วนอธิบายได้เช่นนี้

ยิ่งกว่าไข่มุกราตรีอีกหรือ “เช่นนั้นพวกเราลองไปดูกัน” นางยังไม่เคยชมทิวทัศน์ยามค่ำ

“ไม่ได้” เขาปฏิเสธเฉียบขาด ด้วยความเดือดดาลที่นางไม่สนใจดูแลร่างกายตนเอง “ดูเจ้าสิขาแพลงแบบนี้ ซ้ำยังเปียกฝน อาจต้องลมหนาวจนจับไข้ก็เป็นได้ ยังจะนั่งชมแม่น้ำชมจันทร์อีกหรือ”

“…แต่…ข้าหิวน้ำ ข้าอยากดื่มน้ำนี่” เฟิงจื่ออีอ้อนวอนด้วยท่าทางน่าสงสาร

เฟิงจื่ออีแนบอยู่บนหลังของเขาจึงรู้สึกสบายขึ้นมาก จู่ๆ ก็ไม่อยากกลับถึงจวนเร็วนัก…พอคิดๆ ดู นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนออกมาข้างนอกด้วยกัน

“เจ้า…ก็ได้ ประเดี๋ยวข้าแบกเจ้าไป” เขายอมผ่อนปรนให้อย่างจนปัญญา

พอทั้งคู่เดินเข้าไปใกล้ริมฝั่ง เขาให้นางนั่งบนก้อนหิน เห็นใบหน้ายิ้มแย้มเบิกบานของนางจึงบีบแก้มนางอย่างอดไม่ได้ “แม่หนูน้อย มีอุบายเจ้าเล่ห์เป็นกอง คงสมใจเจ้าแล้วกระมัง”

นางปัดมือของเขาออก “ห้ามท่านเรียกข้าว่าแม่หนู คราวนี้ยังเพิ่มคำว่าน้อยเข้าไปอีก ไยคุณชายใหญ่เช่นท่านถึงฟังคำผู้อื่นไม่รู้เรื่องเช่นนี้”

“ชอบเถียงจริงๆ อยากดื่มน้ำมิใช่หรือ หรืออยากให้ข้าป้อนเจ้า”

“ใครอยากให้ท่านป้อนกัน!” นางตวาดแหว แก้มพลันแดงระเรื่ออย่างน่ากังขา

เมื่อเงยหน้าก็เจอใบหน้าขี้เล่นของเขา เฟิงจื่ออีรีบโน้มตัวลงวักน้ำลูบแก้มและดื่มน้ำอีกสองอึก ทันใดนั้นนางเหลือบไปเห็นปิ่นปักผมที่สะท้อนแสงสีเงินอันหนึ่งลอยตามกระแสน้ำออกไปไกลเรื่อยๆ จึงอุทานด้วยความตกใจ และรีบลุกขึ้นยืนโดยลืมอาการบาดเจ็บที่เท้าของตนจนสิ้น การเก็บของทั้งที่ยังยืนไม่ค่อยมั่นคงเช่นนี้ทำให้นางพลัดตกแม่น้ำในบัดดล

ฉีเทียนเฮ่ากระโดดน้ำตามลงไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย และต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะคว้ามือของนางได้ จากนั้นจึงให้นางเกาะเขาเอาไว้เพื่อลอยตัวอยู่ในน้ำ โชคดีที่ทั้งคู่ว่ายน้ำแข็งจึงไม่ตื่นตระหนก

เพราะพิรุณตกลงมาทั้งวัน แม่น้ำอวี้จูที่ไม่กว้างมากจึงมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นและไหลเชี่ยว เขาทำได้เพียงไหลตามกระแสน้ำ ยังขึ้นฝั่งไม่ได้ โชคดีที่ทั้งสองคนยังพอมีโชคอยู่บ้าง พอไหลตามกระแสน้ำไปได้ไม่นาน น้ำพลันเปลี่ยนทิศทาง ทั้งสองคนจึงขึ้นฝั่งมาได้ เพียงแต่…เป็นฝั่งตรงข้าม

“แค็ก…แค็ก…แค็กๆ…”

แม้เฟิงจื่ออีว่ายน้ำแข็ง แต่เพราะนางขาแพลง ยามที่ตกน้ำเมื่อครู่จึงกินน้ำเข้าไปหลายอึก

เมื่อฉีเทียนเฮ่าเห็นสภาพที่ทรมานของนางก็โกรธจัด นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาด่านางอย่างสาดเสียเทเสีย

“เฟิงจื่ออี เจ้าไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือ” เขาลูบหลังนางพลางนึกถึงภาพที่นางตกน้ำเมื่อครู่แล้วหัวใจพลันหดเกร็งจนเจ็บแปลบ

“แค็ก…แค็ก…ขอ ขอโทษ ข้า…อยาก อยากเก็บของ…แค็กๆ…” นางสำลักอย่างหนัก ดูคล้ายเวียนหัวยิ่งกว่าเดิม

เก็บของอย่างนั้นหรือ เสียงของเขาเข้มงวดยิ่งกว่าเดิม “การเก็บของสำคัญกว่าชีวิตเจ้าเช่นนั้นหรือ” เขาจะไม่อนุญาตให้นางซื้อของพรรค์นั้นอีกตลอดชีวิต!

เฟิงจื่ออีหายใจหอบ นางแบมือให้เขาดูสิ่งของที่อยู่ในฝ่ามือพลางยิ้มน้อยๆ “อันตรายยิ่ง…ที่…แค็กๆ…ที่ไปเก็บมันกลับมา…” โชคดีที่พอนางเห็นปิ่นปักผมหล่นก็รีบลงน้ำไปคว้ามันไว้ได้ทันท่วงที กว่าจะได้ปิ่นปักผมอันนี้มานับว่าขึ้นอยู่กับวาสนา นางไม่มั่นใจว่าคราวหน้าจะยังสามารถขอมาให้เทียนเล่ออีกอันได้หรือไม่

“ปิ่นปักผมรูปดอกบัวหรือ” เขาพยายามสะกดกลั้นโทสะ

นางพยักหน้า สีหน้าท่าทางภูมิใจยิ่งนัก

“เฟิงจื่ออี กลับไปเจ้าตายแน่! เจ้า…” เดิมทีเขานึกอยากด่านางต่ออีกสักชุด ทว่าเห็นสีหน้านางแดงก่ำพิกลจึงขมวดคิ้วแทน

“ข้าเวียนหัวเหลือเกิน ขอหลับสักครู่ได้หรือไม่เจ้าคะ” นางกลัวเขาโกรธอีกจึงถามเสียงเบา เพียงแต่ครั้งนี้เขายังไม่ทันบอกว่า “ไม่ได้” เบื้องหน้าของนางพลันดับวูบและหมดสติไป

ฉีเทียนเฮ่าตกใจจึงรีบกอดนางแน่นราวกับเกรงว่าจะทำของรักหล่นหาย เขาพูดเสียงแผ่วเบาว่า “แม่หนู เจ้าจะตาย…ไม่สิ เจ้าแข็งใจเอาไว้หน่อย ประเดี๋ยวกลับไปเจ้าก็ไม่เป็นไรแล้ว…”

 

สามวันแล้ว เฟิงจื่ออีนอนสลบไสลอยู่บนเตียงนานถึงสามวัน ฉีเทียนเฮ่าก็คอยดูแลอยู่ข้างกายนางสามวันเช่นกัน

หลิงหลงเคาะประตู เมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำของบุรุษที่อยู่ด้านในก็ผลักประตูและเดินเข้าไปในห้องข้างห้องหนังสือทันที

นางวางถาดบนโต๊ะไม้ แล้วส่งเสียงดังเข้าไปในห้องนอน “ท่านเจ้าเมือง ข้านำยามาให้จื่ออีเจ้าค่ะ เปลี่ยนให้ข้าดูแลแทน แล้วท่านไปพักผ่อนดีหรือไม่เจ้าคะ”

“ไม่ต้อง ยกยามาให้ข้า ข้าจะป้อนเอง”

ได้ยินคำตอบแบบเดิมที่คุ้นชิน หลิงหลงจึงยกถ้วยยาเข้าไปในห้องนอน

ได้ยินว่าสามวันก่อน หลังท่านเจ้าเมืองอุ้มจื่ออีกลับมา นอกจากกินข้าว ล้างหน้า และหวีผมแล้ว ท่านเจ้าเมืองก็แทบจะอยู่กับจื่ออีตลอดเวลา และไม่ยอมให้เปลี่ยนคนดูแลด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกคนในจวนสกุลฉีคงรู้แจ้งแก่ใจดีแล้วว่าความรู้สึกที่ท่านเจ้าเมืองมีต่อจื่ออีนั้นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ฉีเทียนเฮ่ามิได้หันมอง เขาเอาแต่จ้องคนที่นอนหลับ จนกระทั่งเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ถึงค่อยหันไปรับถ้วยยา เขาตักคำเล็กๆ ขึ้นมาชิมทดสอบอุณภูมิ แต่รู้สึกว่ายังร้อนลวกปากอยู่จึงมิได้ปลุกคนบนเตียงให้ตื่นขึ้นมาทันที

“ท่านหมอว่าอย่างไรบ้าง” เขาถามหลิงหลงที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงไม่เห็นว่าแพขนตาของคนบนเตียงไหว

“ท่านหมอบอกว่าจื่ออีไข้ลดลงแล้ว น่าจะไม่เป็นอันใดมาก เพียงแต่การที่โดนทั้งลมหนาวและน้ำเย็น อย่างน้อยอีกหนึ่งเดือนถึงจะลงจากเตียงได้เจ้าค่ะ” เมื่อครู่นางเพิ่งไปส่งท่านหมอแล้วค่อยกลับมาต้มยา นางถ่ายทอดคำพูดที่ท่านหมอกำชับไว้โดยไม่ตกหล่นสักคำ

ยังต้องนอนอีกหนึ่งเดือน…สีหน้าฉีเทียนเฮ่าเจ็บปวดยิ่ง

“เจ้าออกไปก่อนเถิด ไว้ค่ำหน่อยค่อยมาเก็บถ้วยยา” เขาโบกมือให้หลิงหลงถอยออกไป

“เจ้าค่ะ” หลิงหลงขานรับ ทว่ามิได้จากไปทันควัน แต่ดึงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้เขา “ท่านเจ้าเมือง คุณหนูจินมาหารอบหนึ่งแล้ว นางรู้ว่าท่านยุ่งจึงไม่ให้พวกเรารบกวนท่าน ทิ้งแค่จดหมายไว้ให้ท่านฉบับหนึ่ง หวังว่าท่านเจ้าเมืองจะรีบตอบนางโดยเร็วนะเจ้าคะ”

เมื่อพูดจบ หลิงหลงก็ยอบตัวก่อนออกจากห้อง ฉีเทียนเฮ่ารอจนกระทั่งเสียงฝีเท้าของนางไกลออกไปแล้วถึงได้วางถ้วยยาไว้ข้างเตียง จากนั้นก็เปิดจดหมายอ่าน

ขณะที่เขาอ่านจดหมายอยู่นั้น สีหน้าประเดี๋ยวดีใจประเดี๋ยวกังวลช่างซับซ้อนยิ่ง

“หลิงหลงมาแล้วหรือ” เฟิงจื่ออีดูเหมือนเพิ่งตื่น ทว่าหางตากลับเหลือบมองจดหมายในมือเขา

พอได้ยินเสียงนาง เขาก็รีบเก็บจดหมายเข้าอกเสื้อและยกถ้วยยาที่อยู่ข้างเตียงขึ้นมา จากนั้นตักยาและยื่นไปที่ปากของนาง “เจ้าฟื้นแล้ว มา กินยาเสีย”

เห็นการกระทำของเขา สีหน้านางพลันหมองหม่น นางไม่พูดให้มากความ และกินยาเข้าไปทีละคำอย่างว่าง่าย

“ไยคราวนี้ถึงว่าง่ายนักเล่า” พอเขาเห็นว่านางไร้ชีวิตชีวาจึงหยอกเย้า

เฟิงจื่ออีไม่ตอบเขา นางเงียบไปสักพักกว่าจะเอ่ย “คุณชายใหญ่…คราวนี้จะไปที่ใด แล้วไปนานเพียงใดเจ้าคะ” นางจำได้ว่าตอนอยู่ในป่าเขารับปากนางว่าคราวหน้าจะไม่หายไปอย่างกะทันหันอีก เช่นนั้นคราวนี้นางคงถามได้แล้วกระมัง

นางไม่รู้ว่าจดหมายที่เขาได้รับนั้นบอกเล่าเรื่องใด แต่นี่เหมือนเป็นสัญญาณลับ เพราะทุกครั้งที่จินหลิงหลิงมาหาเขาหรือทิ้งข้อความไว้ให้ เขาก็จะเดินทางออกจากจวนเสมอ

นางได้ยินถ้อยคำของหลิงหลงเมื่อครู่แล้ว และนางก็เห็นจดหมายฉบับนั้นแล้วเช่นกัน

“เจ้าเดาถูกแล้ว” เขาไม่แปลกใจเท่าไร คงคิดไว้นานแล้วว่าคนชาญฉลาดเช่นนางพอเห็นจดหมายคงเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่เป็นแน่

“อย่าบ่ายเบี่ยง ท่านยังไม่ตอบเลยว่าจะไปที่ใด”

ฉีเทียนเฮ่าตะลึงงันเล็กน้อย เขาลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องนอน จากนั้นวางถ้วยยาบนถาดดังเดิมและหันหลังตอบนาง “ไม่มีอันใด ก็แค่ไปตรวจร้านค้าที่เมืองชิงหลงเหมือนอย่างเคย ไม่ถึงสองเดือนก็กลับมาแล้ว”

สีหน้าเฟิงจื่ออีที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด นางไม่เคยเชื่อ เมื่อครู่หลิงหลงยังบอกว่าจินหลิงหลิงให้เขารีบตอบกลับโดยเร็ว เห็นได้ชัดว่าสองคนนี้มีลับลมคมใน ถึงกระนั้น…นางกลับไม่ได้รับคำตอบ

นางพูดอย่างเย็นชา “จะออกเดินทางเมื่อไรเจ้าคะ”

เขาเดินกลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้ง “อีกสองวัน” ดูท่าคงจะอยู่จนนางหายดีไม่ได้แล้ว

“ท่าน…ท่านจะให้คนป่วยอย่างข้าดูแลจวนสกุลฉีและร้านค้าแทนท่านหรือเจ้าคะ” แม้นางพยายามข่มอารมณ์ แต่ยิ่งพูดเสียงยิ่งดัง

“เจ้ารักษาตัวให้หายดีก่อน เรื่องร้านค้าก็ให้พวกเสมียนจัดการกันเอง หากทำไม่ได้ข้าจะมอบหมายให้ท่านพ่อดูแลชั่วคราว เรื่องในจวนก็ให้ฉีกุ้ยทำไป”

ได้ฟังเขาตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไปโดยไม่สนใจอาการป่วยของนาง เฟิงจื่ออีพลันรู้สึกอัดอั้นในอก นางดึงผ้าห่มมาคลุมศีรษะอย่างกระฟัดกระเฟียดและแสร้งหลับไม่อยากสนใจเขาอีกต่อไปแล้ว

ครั้นเห็นนางทำเช่นนั้น ฉีเทียนเฮ่าก็ไม่สบายใจเช่นกัน เขาเดินเข้าไปใกล้เตียงหมายจะดึงผ้าห่มออก มิคาดว่านางจะดื้อเงียบ ทำอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือ

เขาถอนหายใจพลางลูบผ้าห่มปลอบโยนนาง “เอาละ ข้ารับรองได้ว่าครั้งนี้จะไปไม่นาน” เห็นว่านางยังคลุมโปงอยู่ก็สัญญาเพิ่ม “ประมาณหนึ่งเดือนก็กลับแล้ว รอข้ากลับมาชมจันทร์เป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่”

นางยังไม่ยอมออกมา เขาจึงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “เจ้าพักผ่อนเยอะๆ ประเดี๋ยวค่ำๆ ข้าจะมาป้อนยาให้เจ้าอีก”

เขาลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้อง แต่เพิ่งก้าวพ้นธรณีประตู และหันกายกลับมาปิดประตู เสียงของนางพลันดังออกมาจากข้างใน “ท่านพูดแล้ว อย่าลืมเชียวนะ”

ความน้อยใจในเสียงนั้นทำให้เขาเผลอยิ้มอย่างอดมิได้

เพียงแต่สองวันต่อมาเขาก็ออกเดินทาง และไม่ได้พบหน้ากันนานถึงสองปีกว่า

วันไหว้พระจันทร์ปีที่หนึ่ง เฟิงจื่ออีขยำจดหมายที่เขาให้คนส่งมาที่จวน และโยนปิ่นปักผมรูปดอกบัวที่เขาฝากหลิงหลงมาให้นางก่อนออกเดินทางทิ้งลงในสระน้ำของจวนสกุลฉี

วันไหว้พระจันทร์ปีที่สอง เฟิงจื่ออีโยนจดหมายที่กาลก่อนนางเคยขยำแต่ตัดใจทิ้งไม่ลง พู่กันใช้แล้วที่เขายกให้นาง และขนมไหว้พระจันทร์ที่นางทำให้เขาเองกับมือ…ทิ้งลงไปกลางเงาจันทร์ในสระน้ำ

 

[1] 1 ชั่วยาม เท่ากับ 2 ชั่วโมง

[2] 1 หลี่ ประมาณ 500 เมตร

[3] แปลว่า ป้ายหยก

[4] แปลว่า ไข่มุก

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า