[ทดลองอ่าน] เชิญร่ำสุรา 將進酒 บทที่ 148 : แพ้ชนะ

เชิญร่ำสุรา
將進酒

 

ถังจิ่วชิง
唐酒卿

กอหญ้า แปล

“เกราะแขนอันนั้นไม่เลวนี่” เซียวฟางซวี่เหยียบราวกั้นไม้และนั่งลง
เห็นเซียวฉือเหย่หันกลับมา จึงเบี่ยงตัวมองสีหน้าของเขา
“ทำจากที่ใด ไม่ใช่แบบของฉี่ตง”
“ต้องไม่เลวอยู่แล้ว” เซียวฉือเหย่ทำท่าเหมือนกำลังพูดความลับ
“นั่นเป็นยันต์คุ้มภัยของข้า”

เซียวฟางซวี่ตอบรับว่า “อืม” อย่างไม่ใส่ใจนัก
จากนั้นถามต่อ “เป็นคนที่ใด คงมิได้ถูกเจ้าพาไปอยู่ค่ายเปียนปั๋วด้วยกระมัง
ที่นั่นมีแต่ผู้ชายหยาบกระด้าง นางอายุเท่าไรแล้ว”
เซียวฉือเหย่ย้อนถาม “นาง?”
เซียวฟางซวี่ฟังไม่เข้าใจ
เซียวฉือเหย่ถอยไปหลายก้าว

เซียวฟางซวี่หรี่ตา “เจ้าคงมิได้พาบุตรสาวสกุลฮวากลับมาด้วยหรอกนะ”
เซียวฉือเหย่ถอยหลังต่อไป พอเห็นบิดาทำหน้างุนงง
จู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมา มือปลดดาบหลางลี่และโยนไปด้านข้าง
“เซียวฉือเหย่!” เซียวฟางซวี่ตระหนักถึงความผิดปกติ “เจ้าบอกข้ามาตามตรง”
เซียวฉือเหย่พลันพูดเสียงดัง “เป็นผู้ชาย!”
“หา?” เซียวฟางซวี่สงสัยว่าตัวเองฟังผิด ถึงกับเอียงหูฟังอีกครั้ง

“ข้าหาผู้ชายกลับมาให้ท่าน!” แสงแดดสาดส่องใบหน้าเซียวฉือเหย่
ขับไล่ความหม่นหมองเมื่อวานออกไป เจ้าหนุ่มผู้นี้นิสัยเสียยิ่งนัก
ตะโกนอย่างท้าทาย “บุรุษที่งดงามที่สุดในต้าโจวก็คือภรรยาข้า!”
พูดจบก็ไม่รอให้เซียวฟางซวี่ตอบ หันหลังโกยอ้าวทันที

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 148

แพ้ชนะ

 

ยามอิ๋นสามเค่อ เฉียวเทียนหยาเลิกม่าน

เหยาเวินอวี้กำลังละเมอ ความเจ็บปวดจากขาสองข้างทำให้แม้หลับไปแล้วเขาก็ยังมีเหงื่อ ฟูกที่นอนไม่หนา ฉือโจวยังไม่เข้าสู่ฤดูฝน หน้าต่างจึงเปิดอยู่ มู่ลี่ไม้ไผ่แกว่งไกวตามลม เหยาเวินอวี้นอนอยู่กลางสายลม ประหนึ่งหนุนพิรุณฤดูวสันต์

หลายเดือนก่อน มรสุมสำนักศึกษาหลวงซัดใส่ขุนนางจากตระกูลสามัญ ข่งชิวและเฉินอวี้ได้รับผลกระทบเป็นคนแรกๆ เหยาเวินอวี้ก็ไม่รอด หลังมรสุมผ่านพ้น เหยาเวินอวี้ได้รับความคุ้มครองจากข่งชิว น้อยครั้งที่จะปรากฏกายในชวี่ตู ทุกวันเอาแต่อยู่เป็นเพื่อนไห่เหลียงอี๋บนเขาผูถี จนกระทั่งรถม้าถูกโจมตี

วันนั้นเหยาเวินอวี้ได้พบเซวียซิวจั๋ว

 

เซวียซิวจั๋วกับเหยาเวินอวี้เป็นสหายที่เล่าเรียนมาด้วยกัน ก่อนพบไห่เหลียงอี๋ ทั้งสองเล่าเรียนด้วยกันในสำนักศึกษาของชางจงเซียนเซิง ไห่เหลียงอี๋ถูกใจเหยาเวินอวี้ แรกเริ่มเป็นเพราะท่านผู้เฒ่าเหยา ตอนนั้นเซวียซิวจั๋วส่งเทียบฝากตัวเป็นศิษย์ถึงสามหนแล้ว แต่ไห่เหลียงอี๋มิได้รับไว้

เหยาเวินอวี้มักได้ยินซีหงเซวียนพูดถึงเซวียซิวจั๋ว นั่นเพราะในอดีตเซวียซิวจั๋วใช้ชีวิตอยู่ในจวนสกุลเซวียอย่างยากลำบาก พอบิดาสกุลเซวียตายไป พี่น้องสกุลเซวียก็ต่อสู้แย่งชิงที่นาและคฤหาสน์กันให้วุ่น ทำเอาผู้คนในชวี่ตูรู้กันทั่ว เป็นที่อับอายของตระกูลสูงศักดิ์มาก เซวียซิวอี้ผู้เป็นทายาทสายตรงความรู้ตื้นเขิน ทั้งยังไม่มีความรู้เรื่องอักษรและภาพวาดโบราณ วันทั้งวันผลาญเงินมหาศาลเพื่อให้คนประจบเอาใจ เพียงไม่กี่ปี สมบัติสกุลเซวียก็ถูกล้างผลาญจนสิ้น ญาติสายรองของสกุลเซวียเริ่มเหินห่างกับสกุลหลัก ไม่ไปมาหาสู่กันอีก เซวียซิวอี้ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาทั้งวัน เขาอยากเข้าสำนักราชบัณฑิต [1] ก่อนหน้านี้เคยมอบของขวัญมากมายให้ฮวาซือเชียนผู้ดำรงตำแหน่งราชบัณฑิต ควบตำแหน่งราชเลขาธิการสภาขุนนาง แต่ล้วนเป็นการเอาใบหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ ของผู้อื่น แม้แต่เฮ่อเหลียนโหวสกุลเฟ่ยยังดูแคลนเขา

ใครๆ ต่างคิดว่าสกุลเซวียจะล่มสลายแล้ว แต่เซวียซิวจั๋วกลับโผล่ออกมาเวลานี้เอง เขาได้รับคัดเลือกเข้าสำนักราชบัณฑิต โดยการสอบวัดความรู้ความสามารถ ตอนนั้นไห่เหลียงอี๋เป็นคนตรวจข้อสอบ บทความของเซวียซิวจั๋วเขียนได้ดีเลิศ ดังนั้นเขาได้รับคัดเลือกมิใช่เพราะทุจริตแน่นอน เหยาเวินอวี้เคยอ่านบทความทั้งหมดของเซวียซิวจั๋ว สมัยที่เซวียซิวจั๋วเข้าสำนักราชบัณฑิต ใหม่ๆ เต็มไปด้วยความฮึกเหิม ถึงขั้นมองเห็นเงาของฉีฮุ่ยเหลียนได้จากตัวเขา หนังสือกราบทูลที่เขาถวายขึ้นไปหลายครั้งล้วนเป็นเรื่องการรังวัดที่นาใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ในอดีตฉีฮุ่ยเหลียนยังทำไม่สำเร็จ ยกตัวอย่างแปดเมืองรอบชวี่ตู ตระกูลใหญ่ปกปิดการยึดครองที่นาของชาวบ้าน อาศัยเรื่องนี้ทำให้ภาษีที่นานับหมื่นฉิ่ง[2]สูญหายไป นี่เป็นเรื่องที่กรมพระคลังภายใต้การกำกับดูแลของพวกเว่ยไหวกู่มิอาจตรวจสอบได้

ทว่าเซวียซิวจั๋วมิได้พบรัชทายาทแห่งวังบูรพาที่สามารถปกป้องเขาได้ หนังสือกราบทูลของเขาไม่เพียงล่วงเกินฮวาซือเชียน ยังล่วงเกินขุนนางในราชสำนักที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์ ถึงขั้นล่วงเกินพันหรูกุ้ยด้วย ภายหลังคนเหล่านี้ล้วนเกี่ยวพันกับการพ่ายศึกของจงปั๋วอย่างแยกไม่ออก พวกเขาบรรลุข้อตกลงร่วมกันตั้งแต่ปลายสมัยหย่งอี๋แล้ว แม้แต่เฮ่อเหลียนโหวจากสกุลเฟ่ยที่ดูแตกต่างจากขุนนางส่วนใหญ่ยังมีพฤติกรรมรุกล้ำที่นาของชาวบ้านในเมืองตันเฉิง เซวียซิวจั๋วเหมือนลูกกระต่ายที่ตกอยู่กลางวงล้อมหลายชั้น เขาก่อคลื่นลูกใหญ่ในราชสำนัก การร้องเรียนและการโจมตีโถมซัดเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรง ฮวาซือเชียนใช้เซวียซิวจั๋วเป็นข้ออ้าง โจมตีไห่เหลียงอี๋ที่สนับสนุนเขา ตลอดจนขุนนางจากตระกูลสามัญทั้งหลายที่เป็นตัวแทนของไห่เหลียงอี๋

นั่นเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก เหยาเวินอวี้ที่อยู่ในยุทธภพยังเคยได้ยินข่าวนี้ ตอนนั้นขุนนางที่ถูกลดตำแหน่งมีข่งชิว ผู้ที่ได้รับผลกระทบทางอ้อมยังมีขุนนางระดับล่างอย่างเหลียงชุยซาน ไห่เหลียงอี๋หลบเลี่ยงรัศมีของฮวาซือเชียน ถอยไปเป็นรองราชเลขาธิการสภาขุนนางลำดับสุดท้าย ลดจำนวนครั้งในการเข้าร่วมประชุมขุนนางในท้องพระโรง ตระกูลสามัญเข้าสู่ภาวะจำศีลอีกครั้ง อนาคตของเซวียซิวจั๋วถูกจำกัด เขาถูกฮวาซือเชียนตำหนิต่อหน้าธารกำนัล เพิ่งก้าวเข้ามาในราชสำนัก เก้าอี้ในสำนักราชบัณฑิต ยังนั่งไม่มั่นคงก็ถูกลดตำแหน่งเสียแล้ว กลายเป็นอาลักษณ์ผู้มีหน้าที่บันทึกประวัติศาสตร์บ้านเมืองเท่านั้น

กระนั้นเบื้องหลังของการถอยหลบครั้งนั้นของไห่เหลียงอี๋ก็หาใช่เพราะความหวาดกลัวไม่ แต่เป็นจุดเริ่มต้นการเตรียมตัวโต้ตอบของตระกูลสามัญต่างหาก ไห่เหลียงอี๋ใส่ใจปัญหาเรื่องคลังแผ่นดินมานานแล้ว พวกเขาไม่ได้เลือกลงมือในชวี่ตู แต่เริ่มสืบจากบัญชีในท้องถิ่น ตอนนั้นบุคคลที่ไห่เหลียงอี๋เลือกคือเซวียซิวจั๋ว เซวียซิวจั๋วสามารถดำรงตำแหน่งผู้ตรวจสอบพระคลังได้ล้วนเป็นเพราะไห่เหลียงอี๋ และเซวียซิวจั๋วก็มิได้ทำให้ไห่เหลียงอี๋ผิดหวัง หลังการร้องเรียนครั้งแรก เขารอบคอบและมีประสบการณ์มากยิ่งขึ้น

เซวียซิวจั๋วดำรงตำแหน่งผู้ตรวจสอบพระคลังถึงแปดปีเต็ม ระหว่างนั้นหากดูผลการประเมินขุนนาง เขาควรเลื่อนตำแหน่งนานแล้ว แต่ไห่เหลียงอี๋กลับกดเขาไว้ วางเขาในตำแหน่งนี้เพื่อฝึกฝน เหยาเวินอวี้คิดว่าคนผู้นี้เหมาะจะเป็นขุนนางมาตั้งแต่เกิด เพราะเขารู้ใจไห่เหลียงอี๋ยิ่งนัก มิเพียงไม่รู้สึกคับแค้นใจ ยังสร้างผลงานออกมาอย่างงดงาม การเมืองท้องถิ่นในเจวี๋ยซีและชวี่ตูแปดเมือง เขาล้วนจดจำได้แม่นยำ ยุ้งฉางในเจวี๋ยซีกลับมาบริบูรณ์อีกครั้ง ความดีความชอบของเจียงชิงซานมีมากที่สุด แต่ความดีความชอบของเซวียซิวจั๋วก็มิอาจไม่กล่าวถึงเช่นกัน

เจียงชิงซานไม่เลื่อมใสเหยาเวินอวี้ ถึงขั้นไม่อ่านบทความของเหยาเวินอวี้ เพราะพวกเขาเป็นขุนนางฝ่ายลงมือปฏิบัติ สำหรับขุนนางอย่างพวกเขา ต่อให้เหยาเวินอวี้เป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ก็สำคัญสู้เซวียซิวจั๋วมิได้

เซียวฉือเหย่เคยพูดว่า เทียบกับเหยาเวินอวี้ เซวียซิวจั๋วเหมือนลูกศิษย์ของไห่เหลียงอี๋มากกว่า เพราะเขาสามารถบรรลุความปรารถนาของไห่เหลียงอี๋และขุนนางจากตระกูลสามัญได้ ฎีกาที่สร้างความสั่นสะเทือนในลานล่าสัตว์หนานหลินบีบให้ฮวาซือเชียนก่อกบฏ ทำให้ความพยายามตลอดหลายปีของตระกูลสามัญไม่สูญเปล่า จักรพรรดิเสียนเต๋อสวรรคตด้วยอาการประชวร ไทเฮาถูกบีบให้ถอยหลัง สกุลฮวาและสกุลพันถูกโค่นล้ม พวกเขาได้ต้อนรับจักรพรรดิองค์ใหม่ที่ยังเยาว์วัยและแข็งแรง

น่าเสียดายที่ลิขิตสวรรค์ไม่เป็นไปตามใจคน หลี่เจี้ยนเหิงมิใช่บุคคลที่เหมาะจะเป็นจักรพรรดิ

ก่อนไห่เหลียงอี๋ตาย เหยาเวินอวี้ไม่ได้มีความรู้สึกไม่ดีต่อเซวียซิวจั๋ว ในสายตาของเหยาเวินอวี้ เซวียซิวจั๋วอยู่ในตำแหน่งที่พิเศษและซับซ้อน ดูเหมือนเขาจะละทิ้งตระกูลสูงศักดิ์ แต่กลับได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากซีหงเซวียน เขาเหมือนยืนอยู่บนเชือกเส้นหนึ่ง ผู้คนทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นหมากของเขา รวมถึงตัวเขาเองด้วย

ตอนเหยาเวินอวี้พบเซวียซิวจั๋วบนเขาผูถี ฝนกำลังตก พวกเขาเข้าไปนั่งในศาลามุงหญ้าฟาง เดินหมากด้วยกันหนึ่งกระดาน ระหว่างนั้นไม่มีการสนทนาใดๆ ถึงขั้นมิได้สบตากันด้วยซ้ำ หมากกระดานนี้เดินอยู่หลายชั่วยาม สุดท้ายผลออกมาเสมอกัน

ก่อนจากไปเซวียซิวจั๋วกางร่ม หันกลับมาพูดกับเหยาเวินอวี้ “การสอบชุนเหวยปีหน้า เจ้าจะไปหรือไม่”

เหยาเวินอวี้เก็บหมากทีละตัว “ในเมื่อราชสำนักมีเจ้าเซวียเหยียนชิง จะต้องการข้าเหยาหยวนจั๋วไปทำไมเล่า”

สองคนหนึ่งนั่งหนึ่งยืน ฟังเสียงลมฝนนอกศาลาพัดกระหน่ำแรงกว่าเดิม ลมพัดใส่แขนเสื้อเหยาเวินอวี้จนปลิวสะบัด เขาถือกระปุกใส่หมากด้วยมือข้างเดียว ท่ามกลางสายฝนที่เทลงมา เขานั่งอยู่ในศาลาอย่างผ่อนคลายประหนึ่งเซียน ราวกับจะลอยไปตามลมในอึดใจต่อไปอย่างไรอย่างนั้น ระหว่างนั้นเศษโคลนปลิวมาตามลมฝน กระเด็นใส่อาภรณ์สีครามของเหยาเวินอวี้ แขนเสื้อที่พลิ้วขึ้นมาเปียกชื้น ทำให้เขากลับเป็นปุถุชนคนธรรมดาอีกครั้ง

เซวียซิวจั๋วมองรอยเปื้อนที่เกิดจากโคลนจุดนั้น “ตอนอาจารย์ป่วยหนัก ข่งชิวเคยไปเยี่ยมเยือนที่บ้าน เจ้าออกอุบายให้เขาในห้องโถง แต่กลับเป็นการวางแผนกับหานเฉิง” เขาเบนสายตามาหยุดที่ใบหน้าของเหยาเวินอวี้ เหมือนกำลังพิจารณาคนผู้นี้ใหม่ “ตอนนั้นข้าถึงตระหนักว่า ที่แท้เหยาเวินอวี้ก็มีความสามารถเพียงเท่านี้เอง”

หมากที่ถูกคีบอยู่ระหว่างนิ้วมือของเหยาเวินอวี้กลิ้งลงไปในกระปุก “เจ้าพูดถูก เหยาเวินอวี้ก็มีความสามารถเพียงเท่านี้เอง”

“หนึ่งปีก่อนอาจารย์คิดว่านี่เป็นโอกาส เมื่อได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดิเทียนเชิน ตระกูลสามัญย่อมแสดงความสามารถได้อย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายนั่นล้วนเป็นสิ่งที่เขาคิดไปเอง” เซวียซิวจั๋วเอ่ยเสียงราบเรียบ “การต่อสู้ของสองฝ่ายดำเนินมาหลายปี ปัญหาที่แก้ไขได้กลับมีเพียงไม่กี่อย่าง ยี่สิบปีก่อนฉีฮุ่ยเหลียนเสนอให้รังวัดที่นาในท้องถิ่นใหม่ เพื่อปราบปรามการยึดครองที่นาของตระกูลสูงศักดิ์ ทำให้ภาษีที่นากลับคืนสู่หลวงดังเดิม เรื่องนี้จวบจนวันนี้ก็ยังมิอาจปฏิบัติได้ ตกลงแล้วต้าโจวที่อาจารย์ประคับประคองมาด้วยความสันติมั่นคงได้ทำอะไรไปบ้าง”

เหยาเวินอวี้ตอบ “รัชศกเสียนเต๋อที่สามเจวี๋ยซีประสบภัย คลังแผ่นดินขัดสน ฮวาซือเชียนไม่ยอมช่วยเหลือเจวี๋ยซีสิบสามเมือง ทำให้ประชาชนหลายหมื่นต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ เจียงชิงซานอาศัยกำลังตัวเองคนเดียวเปิดยุ้งฉาง เสี่ยงชีวิตเป็นหนี้ก้อนใหญ่ หากมิได้ฝ่ายสันติที่มีอาจารย์เป็นผู้นำช่วยเหลืออย่างเต็มที่ บีบคั้นฮวาซือเชียนตอนตรวจสอบบัญชีในชวี่ตู เสบียงอาหารในจงปั๋วย่อมตกไปอยู่กับตระกูลสูงศักดิ์ การช่วยคนคนเดียวไม่นับเป็นผลงาน ช่วยคนนับหมื่นก็ไม่นับเป็นผลงาน เช่นนั้นตามความเห็นเจ้า ช่วยใครจึงจะนับเป็นผลงานเล่า”

“หากฝ่ายสันติเป็นคนช่วยเหลือประชาชนหลายหมื่นในเจวี๋ยซี เช่นนั้นฝ่ายสันติก็เป็นผู้ก่อโศกนาฏกรรมในจงปั๋วขึ้นมา ใต้หล้านี้ผู้ที่ช่วยเหลือคนคนเดียวคือหมอ ช่วยเหลือคนทั่วหล้าคือขุนนาง” เซวียซิวจั๋วรวบนิ้วมือเข้าด้วยกัน หันกลับไปและเอ่ยว่า “ผ่านมาตั้งกี่ปีแล้ว อาจารย์ยังคงคิดว่าการต่อสู้แย่งชิงระหว่างสองฝ่ายเป็นหน้าที่ของตัวเอง เจ้ามองดูข่งชิวซี แล้วมองดูบัณฑิตสำนักศึกษาหลวงในตอนนี้ คนที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายด้วยฐานะและชาติตระกูลมีเพียงตระกูลสูงศักดิ์หรือ มรสุมสำนักศึกษาหลวงถูกปลุกปั่นขึ้นอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้ จวบจนบัดนี้ข่งชิวกลับยังไม่ตระหนักว่า ตระกูลสามัญภายใต้การนำของพวกเขาก็มีอคติกับขุนนางจากตระกูลสูงศักดิ์เหมือนกัน ฝ่ายสันติค่อยๆ ครอบงำสำนักศึกษาหลวง ปณิธานของพวกเขาในตอนนี้สวนทางกับความตั้งใจเดิมของปู่เจ้าตอนฟื้นฟูสำนักศึกษาหลวงนานแล้ว”

“เจ้าวางแผนปลงพระชนม์จักรพรรดิเทียนเชิน ทำให้ฝ่ายต่างๆ ต่อสู้กันดุเดือดกว่าเดิม สภาขุนนางตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต เจ้ายุให้หานเฉิงโอบล้อมสังหารเซียวฉือเหย่ บีบให้หลีเป่ยเป็นกบฏ ทำให้ไทเฮากุมอำนาจทางทหารของฉี่ตงอย่างมั่นคง เจ้ากระตุ้นให้ไทเฮาใช้อำนาจแทนโอรสสวรรค์ จากนั้นผลักดันพระธิดาขึ้นสู่บัลลังก์ เจ้าเตรียมการทุกก้าวไว้อย่างเหมาะสม วางแผนกับทุกคน” เหยาเวินอวี้ลุกขึ้นยืนช้าๆ หมากดำขาวกลิ้งหล่นลงบนพื้น “เจ้าบีบให้อาจารย์ต้องตาย”

เสียงฝนดังกว่าเดิม ผสมปนเปกับเสียงหมากกระทบพื้น สร้างความเจ็บปวดร้าวรานใจ

ฝนที่ตกหนักทำให้แขนเสื้อของเซวียซิวจั๋วเปียกไปครึ่งหนึ่ง เขาเผชิญหน้ากับเหยาเวินอวี้ ดวงตาไม่มีแววหวั่นไหวแม้แต่น้อย พวกเขาเป็นศิษย์ร่วมสำนัก ทั้งยังเล่าเรียนด้วยกันมา ได้รับคำสั่งสอนจากอาจารย์คนเดียวกัน ได้รับการชี้นำจากอาจารย์คนเดียวกัน ทำโจทย์ปัญหาข้อเดียวกัน แต่กลับเติบโตขึ้นมาเป็นบุคคลที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

“สักวันข้าก็ต้องตาย” เซวียซิวจั๋วพูดเสียงแหบพร่า “ไม่ว่าข้าจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว หรือพ่ายแพ้เสื่อมเสียชื่อเสียง ข้าก็จะเดินไปบนเส้นทางนี้จนถึงสุดปลายทาง”

“เจ้าฆ่าผู้อื่นและฆ่าตัวเองโดยไม่เลือกวิธีการ” เหยาเวินอวี้คลายมือที่ถือหมาก “เจ้ามิอาจช่วยเหลือประชาชนทั่วหล้าได้”

“ช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูต้าโจวมาถึงแล้ว” เซวียซิวจั๋วประชิดเข้าไปก้าวหนึ่ง “กำจัดขุนนางเก่าแก่จากตระกูลสูงศักดิ์ทิ้งให้หมด ผู้นำฝ่ายตระกูลสามัญพบเจออุปสรรค ภัยจากฝ่ายขันทีหมดไป สภาขุนนาง ไทเฮาและรัชทายาทสามฝ่ายคานอำนาจกัน ในราชสำนักมีคนรุ่นหลังที่มีความสามารถอยู่มากมาย ต้าโจวกำลังจะมีเลือดใหม่ เหยาเวินอวี้ ข้าไม่กลัวความตาย ต่อให้ถูกก่นด่าประณามอีกหมื่นปีก็ไม่เสียดาย ข้าแผดเผาตัวเองไปพร้อมกับเพลิงขุมนั้นของอาจารย์แล้ว ข้าทำเพื่อตัวข้าเอง” เซวียซิวจั๋วพูดจบ กางร่มอีกครั้ง หมุนตัวก้าวเข้าไปในสายฝน

“เจ้าชนะแค่ชั่วคราว” เหยาเวินอวี้ยืนอยู่ที่เดิม พูดเสียงดัง

“เจ้าชนะแค่ตานี้เท่านั้น นี่หาใช่ชัยชนะไม่ ความวุ่นวายในใต้หล้าเปลี่ยนแปรไปมาไม่สิ้นสุด เจ้าไม่อาจบังคับกะเกณฑ์คนทุกคนได้ เซวียซิวจั๋ว…!”

สายฝนกระหน่ำเทลงมา ระบายความอัดอั้นระหว่างฟ้าดิน ไผ่เขียวหน้าหลุมศพของไห่เหลียงอี๋หักพร้อมเสียงดัง โคลนไหลลงมาตามเนินดิน ประหนึ่งใบหน้าของคนที่ปิดหน้าร่ำไห้

“วันนี้เสมอกัน แพ้ชนะมิอาจตัดสิน” เซวียซิวจั๋วชะงักเท้า ไม่ได้หันกลับมา “แต่ในเมื่อโลกนี้มีเซวียเหยียนชิงแล้ว จะเก็บเหยาหยวนจั๋วไว้อีกทำไมเล่า เจ้าข้าหนทางแตกต่างกัน นับตั้งแต่คืนนี้ไป ไม่จำเป็นต้องพบกันอีก”

“หมากกระดานนี้ยังเดินไม่จบ” เหยาเวินอวี้พูด “กระดานหมากที่ผ่านมือข้า ไม่มีคำว่าเสมอ”

เซวียซิวจั๋วคล้ายหัวเราะ เขาหันกลับมาเป็นครั้งสุดท้าย จ้องมองเหยาเวินอวี้ครู่ใหญ่ ระหว่างพวกเขาเหมือนถูกขวางกั้นด้วยแม่น้ำกว้างใหญ่ตั้งแต่เกิด ราวกับเงาสะท้อนของฟ้ากับดิน ไม่มีทางเดินร่วมเส้นทางเดียวกันได้ ชื่อของเซวียเหยียนชิงถูกเหยาหยวนจั๋วบดบังมาตลอด ตั้งแต่ชาติกำเนิดที่คนหนึ่งเป็นทายาทสายตรงคนหนึ่งเป็นทายาทสายรอง จนกระทั่งถึงการเลือกศิษย์ของไห่เหลียงอี๋ เซวียซิวจั๋วล้วนไม่เคยเป็นฝ่ายชนะ กระนั้นชั่วเวลานี้ เขากลับมองอีกฝ่ายด้วยสายตาของผู้ที่เหนือกว่าด้วยความเวทนา

เจ้าแพ้แล้ว

 

รถม้าแล่นไปตามเส้นทางบนภูเขาอย่างรวดเร็ว ทั่วทุกหนแห่งมีแต่เสียงสุนัขเห่า ทหารขี่ม้าไล่ตาม คนบังคับรถของเหยาเวินอวี้ตายแล้ว เขาควบคุมทิศทางของรถม้าไม่ได้ ทำได้แค่ปล่อยให้รถม้าแล่นไปบนภูเขาอย่างเร่งร้อน ลูกธนูที่พุ่งมาจากข้างหลังปักลงบนห้องโดยสาร มีลูกธนูอีกหลายดอกปักลงข้างกีบเท้าม้า อาชาตื่นตระหนก สลัดตัวจนหลุดจากการดึงรั้งของเชือกบังเหียนโดยสมบูรณ์

มีคนกระโดดมาข้างหลังห้องโดยสาร ใช้มีดแทงผนังรถจนทะลุ กระชากม่านและแทงมีดเข้ามาข้างใน บนเขาผูถีไม่มีคนอื่น วันตายของเหยาเวินอวี้ถูกกำหนดไว้แล้ว ตั้งแต่ตอนที่เขาขึ้นมาบนเขา เซวียซิวจั๋วก็ไม่คิดปล่อยให้เขามีชีวิตรอดลงไป

รถม้าล้มคว่ำในลำธาร ผนังรถถูกกระแทกเสียหาย อวัยวะภายในของเหยาเวินอวี้ปั่นป่วน ม้าล้มลงจนเจ็บ เขาปลดเชือกให้ มันลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ขณะที่ข้างหลังสุนัขส่งเสียงเห่าดุดัน ม้าวิ่งกะโผลกกะเผลกหนีต่อไป เหยาเวินอวี้ไม่มีอานม้า เกือบถูกกิ่งไม้เกี่ยวจนตกจากม้าระหว่างโยกคลอน แต่ม้าตัวนี้วิ่งไปได้ไม่นานก็ถูกลูกธนูยิงที่ขาอีกข้าง

การไล่ล่าสังหารครั้งนี้เลยไปถึงเชิงเขาผูถีแล้ว ผู้ที่เป็นหัวหน้ากังวลว่าหากเหยาเวินอวี้ยังหนีต่อไปจะเสียเวลามากกว่านี้ จึงใช้เชือกคล้องข้อเท้าของเหยาเวินอวี้ ลากเขามาตามเส้นทางบนภูเขาจนถึงข้างรถม้าตน ระหว่างนั้นฝนซาลง ฟ้ายังไม่มืด พวกเขาต้องจัดการให้เรียบร้อยไม่ทิ้งร่องรอย จึงใช้ฝักดาบตีขาเหยาเวินอวี้ให้หักก่อน จากนั้นลากคนเข้าไปในรถม้า

เวลานี้เอง เสียงกีบเท้าม้าพลันดังขึ้นบนภูเขา ทหารเหล่านี้ลอบร้องในใจว่าแย่แล้ว กระชากม่านรถลงมาและร้องสั่ง “เก็บดาบ!”

ผู้มามีอำนาจบารมีทีเดียว องครักษ์ที่ยืนอยู่สองฝั่งรถม้าล้วนเป็นคนของแปดกองกำลัง ปิดกั้นทางม้าบนภูเขาที่เดิมคับแคบอยู่แล้วจนไม่มีผู้ใดผ่านไปได้อีก ทหารส่งสัญญาณให้คนบังคับรถเบี่ยงรถม้าหลบ พวกเขาเป็นฝ่ายหลีกทางอย่างนอบน้อม

เหยาเวินอวี้ถูกอุดปาก ความเจ็บปวดทรมานเขา ทำเอาเกร็งไปทั้งร่าง ทว่าสติยังคงอยู่ เขาหลั่งเหงื่อพลางใช้หน้าผากโขกไม้กระดาน ผู้ที่เป็นหัวหน้าได้ยินเสียงดังมาจากในห้องโดยสาร จึงส่งสายตาให้ลูกน้อง หนึ่งในนั้นหวดแส้ใส่ม้าพลางตะโกน กลบเสียงของเหยาเวินอวี้

ทว่าผู้มากลับไม่จากไป รถม้าที่ถูกห้อมล้อมอยู่ตรงกลางเลิกม่านขึ้น เผยให้เห็นท่านหญิงจ้าวเยวี่ยที่แต่งกายอย่างสตรีออกเรือนแล้ว นางมุ่นคิ้วน้อยๆ “อย่าส่งเสียงเอะอะ ในรถมีเด็กเล็กอยู่”

เหยาเวินอวี้ฟังออกว่านั่นเป็นเสียงของท่านหญิงจ้าวเยวี่ย เขาเปล่งเสียงอู้อี้ออกมาจากลำคอ โขกหน้าผากแรงกว่าเดิมจนเลือดออกแดงฉาน

ท่านหญิงจ้าวเยวี่ยถาม “ในรถมีคนหรือ บอกให้นายของพวกเจ้ามาพบข้า”

บุรุษที่เป็นหัวหน้าจำได้ว่านางเป็นใคร เขาคารวะและบ่ายเบี่ยง “เป็นอนุที่นายข้าเลี้ยงไว้ข้างนอก ตอนนี้อาละวาดจะเป็นจะตาย ไม่สะดวกที่จะปล่อยออกมาล่วงเกินท่านหญิง เชิญท่านหญิงไปก่อนเถิดขอรับ”

คิ้วโก่งเรียวของท่านหญิงจ้าวเยวี่ยเลิกขึ้น “นี่เป็นสถานที่หลับพักผ่อนของเก๋อเหล่า เจ้าหลับตาพูดเหลวไหลอันใด! เด็กๆ เลิกม่านออกให้ข้าดู!”

บุรุษที่เป็นหัวหน้าแสดงป้ายห้อยเอวทันที บนนั้นเป็นตราทองแดงของทหารรักษาการณ์ “พวกเรามาปฏิบัติงานตามหน้าที่ มีหนังสือตรวจค้นและจับกุม นี่เป็นคำสั่งจากกรมอาญา ท่านหญิง ผู้ไร้ตำแหน่งจะก้าวก่ายเรื่องสำคัญในราชสำนักได้อย่างไร วันนี้ต่อให้เป็นเฮ่อเหลียนโหวเดินทางมาด้วยตัวเองก็มิอาจเลิกม่านโดยพลการได้!”

นับตั้งแต่ออกเรือนไปสกุลพัน ท่านหญิงจ้าวเยวี่ยก็อาศัยอยู่ในตันเฉิงมาตลอด หลังจากไห่เก๋อเหล่าเสียชีวิต นางติดตามสามีเข้าเมืองหลวง วันนี้เดิมทีนัดกันไว้ว่าจะไปเยี่ยมคารวะสกุลเหยา คิดไม่ถึงว่าพวกเขาสามีภรรยาไปถึงกลับทราบข่าวว่าเหยาเวินอวี้ขึ้นเขายังไม่กลับ นางรู้นิสัยของเหยาเวินอวี้ดี อีกฝ่ายไม่มีทางผิดนัดโดยไร้สาเหตุแน่ จึงนั่งรถม้าขึ้นมาดู ตอนนี้นางแน่ใจแล้วว่าคนกลุ่มนี้มีปัญหา

บุรุษผู้เป็นหัวหน้าเดาได้อยู่แล้วว่าท่านหญิงจ้าวเยวี่ยไม่มีหนทาง ตอนนี้สกุลเฟ่ยไม่มีขุนนางใหญ่ เฮ่อเหลียนโหวไม่มีทางล่วงเกินผู้อื่นง่ายๆ คิดถึงตรงนี้ เขาจึงคลี่ยิ้มเย็นชา “หากท่านหญิงไม่ไป เช่นนั้นพวกเราไปก่อนแล้วกัน”

กระนั้นเขายังไม่ทันขยับ กลับเห็นองครักษ์จากแปดกองกำลังกดด้ามดาบพร้อมกัน

นิ้วขาวเนียนราวกับหยกเลิกม่านน้อยๆ จากในรถ เผยให้เห็นดอกไม้ประดับผมอย่างเลือนราง อาภรณ์ชาววังแขนแคบทิ้งตัวอยู่ในรถม้า หัวรองเท้าที่ทำจากผ้าต่วนเนื้อดีไม่ธรรมดาปรากฏให้เห็น ข้างคอขาวสะอาดมีไข่มุกตะวันออกประดับอยู่ นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ท่านหญิงไร้ตำแหน่ง ข้าก็มิได้งั้นรึ”

ผู้ที่เป็นหัวหน้ายังตะลึงงันอยู่ที่เดิม ได้ยินองครักษ์เปล่งเสียงตะโกนพร้อมกัน “นี่เป็นเกี้ยวของคุณหนูสาม ยังไม่คุกเข่าต้อนรับอีก!”

ในนครหลวงชวี่ตูแห่งนี้ นอกจากแก้วตาดวงใจของไทเฮาแล้ว ใครยังจะกล้าเรียกตัวเองว่าคุณหนูสามอีกเล่า

บุรุษผู้นี้หลั่งเหงื่อเย็น คุกเข่าลงทันใด โขกศีรษะเอ่ยว่า “ขวางเกี้ยวคุณหนูสาม ข้ามีโทษสมควรตาย!”

 

[1] สำนักราชบัณฑิต เป็นสำนักศึกษาและหน่วยงานหนึ่งภายใต้การปกครองของหลวงที่ก่อตั้งขึ้นในสมัยพระเจ้าถังเซวียนจง สมาชิกจำกัดเฉพาะบัณฑิตจากตระกูลชนชั้นสูง ทำงานเกี่ยวกับหนังสือและเอกสารต่างๆ ของราชสำนัก

[2] ฉิ่ง เป็นหน่วยวัดที่นาของจีนสมัยโบราณ 1 ฉิ่งเท่ากับ 100 หมู่

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า