เชิญร่ำสุรา
將進酒
ถังจิ่วชิง
唐酒卿
กอหญ้า แปล
“เกราะแขนอันนั้นไม่เลวนี่” เซียวฟางซวี่เหยียบราวกั้นไม้และนั่งลง
เห็นเซียวฉือเหย่หันกลับมา จึงเบี่ยงตัวมองสีหน้าของเขา
“ทำจากที่ใด ไม่ใช่แบบของฉี่ตง”
“ต้องไม่เลวอยู่แล้ว” เซียวฉือเหย่ทำท่าเหมือนกำลังพูดความลับ
“นั่นเป็นยันต์คุ้มภัยของข้า”
เซียวฟางซวี่ตอบรับว่า “อืม” อย่างไม่ใส่ใจนัก
จากนั้นถามต่อ “เป็นคนที่ใด คงมิได้ถูกเจ้าพาไปอยู่ค่ายเปียนปั๋วด้วยกระมัง
ที่นั่นมีแต่ผู้ชายหยาบกระด้าง นางอายุเท่าไรแล้ว”
เซียวฉือเหย่ย้อนถาม “นาง?”
เซียวฟางซวี่ฟังไม่เข้าใจ
เซียวฉือเหย่ถอยไปหลายก้าว
เซียวฟางซวี่หรี่ตา “เจ้าคงมิได้พาบุตรสาวสกุลฮวากลับมาด้วยหรอกนะ”
เซียวฉือเหย่ถอยหลังต่อไป พอเห็นบิดาทำหน้างุนงง
จู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมา มือปลดดาบหลางลี่และโยนไปด้านข้าง
“เซียวฉือเหย่!” เซียวฟางซวี่ตระหนักถึงความผิดปกติ “เจ้าบอกข้ามาตามตรง”
เซียวฉือเหย่พลันพูดเสียงดัง “เป็นผู้ชาย!”
“หา?” เซียวฟางซวี่สงสัยว่าตัวเองฟังผิด ถึงกับเอียงหูฟังอีกครั้ง
“ข้าหาผู้ชายกลับมาให้ท่าน!” แสงแดดสาดส่องใบหน้าเซียวฉือเหย่
ขับไล่ความหม่นหมองเมื่อวานออกไป เจ้าหนุ่มผู้นี้นิสัยเสียยิ่งนัก
ตะโกนอย่างท้าทาย “บุรุษที่งดงามที่สุดในต้าโจวก็คือภรรยาข้า!”
พูดจบก็ไม่รอให้เซียวฟางซวี่ตอบ หันหลังโกยอ้าวทันที
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 149
คุณหนูสามสกุลฮวา
ท้องฟ้าชวี่ตูมืดสลัว สองฝั่งถนนแขวนโคมไฟ รถม้าของฮวาเซียงอีกลับเข้าเมือง ตรงไปจวนสกุลพัน ฮวาเซียงอีกำชับบริวารเพียงว่า คืนนี้ตนกับท่านหญิงจ้าวเยวี่ยต้องการสนทนากันประสาผู้หญิง ให้คนเข้าไปส่งข่าวในวังหลวงว่าจะกลับค่ำหน่อย
การแต่งงานของท่านหญิงจ้าวเยวี่ยเต็มไปด้วยอุปสรรค เดิมทีเฮ่อเหลียนโหวพึงใจเหยาเวินอวี้ ภายหลังไทเฮาเป็นคนจัดการเรื่องนี้ หันมาถูกใจเซียวฉือเหย่แทน สุดท้ายสองคนนี้ล้วนไม่สำเร็จ เฮ่อเหลียนโหวรู้สึกเสียหน้า เห็นว่าท่านหญิงจ้าวเยวี่ยอายุไม่น้อยแล้ว ทั้งยังเป็นบุตรีสายตรงสกุลเฟ่ย ไม่ควรปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปอีก ประจวบเหมาะกับหานเฉิงมาเยี่ยมเยือน จึงทำการหมั้นหมายกับบุตรชายสกุลหาน ทว่าการแต่งงานครั้งนี้ก็ไม่สำเร็จเช่นกัน เพราะท่านโหวน้อยเฟ่ยซื่อเป็นคนเสเพลคนหนึ่ง รู้ดีว่าบุตรชายสกุลหานก็เป็นคนเสเพลเหมือนกัน ยังสู้หานจิ้นผู้นั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาดูแคลนอีกฝ่าย รู้สึกว่าบุตรชายสกุลหานไม่คู่ควรกับพี่สาวตน จึงพาคนไปอาละวาด ทำให้การแต่งงานครั้งนี้พังลงอีกครั้ง
เฮ่อเหลียนโหวคุมบุตรชายไม่อยู่ ด้วยความจนใจ เลือกไปเลือกมา สุดท้ายจึงเลือกพันอี้บุตรชายคนรองของทายาทสายรองสกุลพัน เขานับเป็นน้องชายของพันลิ่น สองตระกูลรู้ตื้นลึกหนาบางกันดี ทั้งยังเป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่เหมือนกัน เฟ่ยซื่อตั้งใจสังเกตพี่เขยคนนี้อยู่พักใหญ่ ท่านหญิงจ้าวเยวี่ยจึงได้ออกเรือนในที่สุด
พันอี้เป็นคนสุภาพ ตำแหน่งงานเดิมคือหัวหน้ากองวารีแห่งกรมโยธา ภายหลังพันเสียงเจี๋ยรอดตัวจากคดีคูระบายน้ำไปได้อย่างปลอดภัย พันลิ่นได้ดำรงตำแหน่งแทนเว่ยไหวกู่ในกรมพระคลัง พันอี้จึงได้เลื่อนตำแหน่งตามไปด้วย เขาถูกโยกย้ายไปตันเฉิงซึ่งเป็นบ้านเกิดของสกุลพัน รับตำแหน่งตันเฉิงโส่วเป้ย[1] คนผู้นี้ชอบศึกษาหาความรู้ เคารพเลื่อมใสในความรู้ความสามารถของเหยาเวินอวี้มาก ดังนั้นจึงเดินทางมาเยี่ยมคารวะเหยาเวินอวี้พร้อมภรรยา
เดิมพันอี้รออยู่ที่บ้าน ประจวบเหมาะกับพันลิ่นเลิกประชุมขุนนางพอดี สองพี่น้องจึงพูดคุยกันในโถงหน้า ก่อนจะได้ยินคนเข้ามาเรียก
บัดนี้พันลิ่นเป็นผู้ดูแลกรมพระคลัง เนื่องจากหลังฤดูใบไม้ผลิชวี่ตูมีงานมากมาย หนังสือแต่งตั้งเขายังไม่ประกาศออกมา ดังนั้นตำแหน่งขุนนางของเขาจึงยังเป็นรองเสนาบดี เขาฟังข้ารับใช้รายงานแล้วอึ้งไป ย้อนถาม “คุณหนูสามต้องการพบข้าหรือ”
ฮวาเซียงอียังไม่ออกเรือน ทั้งยังเป็นที่โปรดปรานของไทเฮา องครักษ์ที่ติดตามนางฐานะไม่ธรรมดา บุรุษภายนอกยากที่จะได้ยลโฉม ต่อให้พันเสียงเจี๋ยต้องการพบ ก็ยังต้องมีรับสั่งเรียกเข้าเฝ้า พันลิ่นไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการพบตนด้วยเหตุใด เขามิกล้าชักช้า ลุกขึ้นพร้อมพันอี้และรีบไป
พอเข้าไปในเรือน พันอี้ก็เห็นภรรยายืนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ใต้ชายคา อีกทั้งในห้องยังมีหมออยู่ด้วย พันลิ่นตระหนก คิดว่าฮวาเซียงอีได้รับบาดเจ็บ จึงรีบปราดเข้าไปถาม “น้องสะใภ้ เกิดอะไรขึ้น”
ท่านหญิงจ้าวเยวี่ยร้องไห้จนสองตาแดงก่ำ บิดผ้าเช็ดหน้ายังมิทันได้เอ่ยปาก เสียงสะอื้นก็กลบเสียงพูดไปเสียก่อน นางปิดหน้าเบี่ยงตัวหลบ พันอี้รีบเข้ามาปลอบภรรยา ดึงตัวคนกลับมาและถาม “จ้าวเยวี่ย นี่มันอะไรกัน?!”
ฮวาเซียงอีที่อยู่ในห้องพูด “รองเสนาบดีกับโส่วเป้ยล้วนเป็นพี่ชาย ไม่ต้องเคร่งครัดธรรมเนียมนัก เข้ามาคุยกันเถิด”
พันลิ่นฟังเสียงอ่อนโยนนุ่มนวลของฮวาเซียงอีแล้ว ไม่เหมือนคนที่ได้รับบาดเจ็บ จึงรู้สึกวางใจ เขากับพันอี้มองหน้ากัน ลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายยังคงเลิกม่านเข้าไปข้างใน ในห้องตั้งฉากบังลมไว้ ฮวาเซียงอีนั่งอยู่ตรงตำแหน่งที่สูงกว่า สองคนคุกเข่าและเปล่งเสียงพร้อมกัน “กระหม่อมถวายบังคมคุณหนูสาม”
ฮวาเซียงอีพูด “เชิญพี่ชายลุกขึ้นเถิด”
พันลิ่นมองผ่านม่านไข่มุกข้างกายไป เห็นข้างในมีหมอจึงเอ่ยถาม “มิทราบว่าใครเจ็บป่วยหรือ”
ฮวาเซียงอีเงียบไปครู่หนึ่ง “ข้าไม่ขอปิดบัง คนที่นอนอยู่ข้างในคือศิษย์รักของราชเลขาธิการเหยาเวินอวี้”
พันอี้แสดงความดีอกดีใจทันที “หยวนจั๋ว!” เขาเพิ่งพูดจบ สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป ก่อนถามอย่างประหม่า “อ๊ะ! หรือว่าเขาได้รับบาดเจ็บบนเขาผูถี ข้าได้ยินมานานแล้วว่าทางม้าบนเขาผูถีขาดการซ่อมบำรุงมานานปี ฤดูฝนมักเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ง่าย”
ท่านหญิงจ้าวเยวี่ยเช็ดน้ำตาอยู่ด้านข้าง “ญาติผู้พี่ใช่ได้รับบาดเจ็บเพราะทางม้าที่ไหน เขาถูกคนปล้นทรัพย์ต่างหาก!” นางพูดถึงตรงนี้ก็ยากจะข่มความโศกเศร้า “ขาทั้งสองข้าง…วันหน้าจะทำเช่นไร”
ชั่วอึดใจนั้น พันลิ่นขบคิดอะไรมากมาย บัดนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญของเขาในการเลื่อนตำแหน่งขุนนาง หนังสือแต่งตั้งเขาเป็นเสนาบดีกรมพระคลังออกมาเมื่อใด อีกไม่กี่ปี รอให้ถึงช่วงประเมินขุนนาง เมื่อการร้องเรียนเรื่องคูระบายน้ำถูกลืมเลือนไป อนาคตของเขาย่อมไร้ขีดจำกัด เหยาเวินอวี้มีฐานะพิเศษ ยามนี้คลื่นใต้น้ำในราชสำนักก็ปั่นป่วน เดิมพันลิ่นไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะไม่อยากถูกแบ่งว่าเป็นขุนนางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทว่าเขาเคารพนับถือไห่เหลียงอี๋
พันลิ่นเงียบไปเพียงครู่หนึ่งก่อนพูด “เขาผูถีอยู่ชานเมือง ทั้งในและนอกชวี่ตูล้วนมีกองทหารลาดตระเวน หยวนจั๋วเกิดเรื่องหาใช่เรื่องเล็กไม่ คุณหนูสามโปรดชี้แจงให้ชัดเจนเถิด”
เขามิได้หลบเลี่ยง ทั้งยังมิได้บ่ายเบี่ยง ฮวาเซียงอีจึงรู้ว่าตนตามคนมาไม่ผิด พันลิ่นเป็นคนอารมณ์ร้อน สหายเพียงคนเดียวที่สามารถคบหาได้คือเฟ่ยซื่อ คนที่ไม่ถูกชะตามากที่สุดคือเซวียซิวอี้ ในอดีตหลังจบคดีคูระบายน้ำ เซียวฉือเหย่ได้รับการอวยยศและเลี้ยงฉลอง พันลิ่นได้รับเชิญไปงาน แต่ในงานกลับถูกเซวียซิวอี้ดูแคลนสารพัด เขาจึงลั่นวาจาไว้ว่า ‘วันหน้าต่อให้อดตายก็จะไม่ขอร่วมโต๊ะกับสกุลเซวียเด็ดขาด’ นับแต่นั้นมาก็เลิกคบหาติดต่อกับสกุลเซวีย บัดนี้เซวียซิวจั๋วมีอำนาจบารมีในชวี่ตูเพราะเป็นผู้สนับสนุนรัชทายาท แต่พันลิ่นก็ไม่ได้ไปเยี่ยมคารวะ ในอดีตเซียวฉือเหย่เคยช่วยสกุลพันให้พ้นเคราะห์ ไม่ปล่อยให้พันเสียงเจี๋ยถูกเว่ยไหวกู่เอาชีวิตในคดีคูระบายน้ำ พันลิ่นจึงมอบแผนผังคูระบายน้ำในชวี่ตูให้เซียวฉือเหย่เป็นการตอบแทน ของสิ่งนี้กลายเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้พวกเฉียวเทียนหยาหนีรอดจากการโอบล้อมสังหารในชวี่ตูได้
ภายหลังเซียวฉือเหย่ถูกหานเฉิงล้อมจับ ได้ชื่อว่ามีความผิดฐานลอบปลงพระชนม์จักรพรรดิเทียนเชิน พันลิ่นก็มิได้รีบร้อนขีดเส้นแบ่งหรือตัดขาดจากอีกฝ่าย บิดาเขาพันเสียงเจี๋ยเป็นหญ้าเหนือกำแพง ทว่าพันลิ่นกลับได้ชื่อว่าเป็นผู้มีคุณธรรมคนหนึ่ง
ฮวาเซียงอีเล่าเหตุการณ์ที่พบเหยาเวินอวี้ให้ฟังรอบหนึ่งด้วยเสียงแผ่วเบา สุดท้ายเอ่ยว่า “รองเสนาบดียินดีฟังคำข้าหน่อยหรือไม่”
พันลิ่นพูด “กระหม่อมน้อมรับฟัง”
ฮวาเซียงอีปรายตามองม่านไข่มุกเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “บัดนี้พายุฝนในชวี่ตูยากจะยุติ การประสบเคราะห์ของหยวนจั๋วในวันนี้มิใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน เรื่องในราชสำนักรองเสนาบดีรู้ดีกว่าข้า ฎีกาตายของราชเลขาธิการจะเป็นเรื่องน่าเศร้าของต้าโจวไปอีกนับพันปี หยวนจั๋วไม่เพียงเป็นศิษย์รักของราชเลขาธิการ ยังเป็นบุตรชายคนโปรดของสกุลเหยา บัดนี้ชื่อเสียงเขาถูกทำลายจนป่นปี้เพราะสำนักศึกษาหลวง ทว่าความสามารถของเขายังคงอยู่ ศักดิ์ศรีและความหยิ่งทะนงยังไม่หายไป หลังผ่านเคราะห์ครานี้ ปณิธานของเขาจะยิ่งแน่วแน่ วันหน้าใช่ว่าจะมิอาจผงาดขึ้นมาได้อีก นำบัณฑิตทั่วหล้าฟื้นฟูสำนักศึกษาหลวงให้รุ่งเรือง”
พันลิ่นมิได้เอ่ยวาจา
ฮวาเซียงอีเงียบอยู่นานก่อนจะพูดต่อ “นับตั้งแต่คืนนี้ไป หยวนจั๋วต้องออกจากชวี่ตูโดยเร็วที่สุด ข้ากำลังจะออกเรือนไปไกลถึงฉี่ตง เข้าออกไม่สะดวก แม้จะมียศศักดิ์ในวังหลวง แต่ไม่อาจส่งเขาออกจากเมืองหลวงอย่างเอิกเกริกได้” ฮวาเซียงอีพูดถึงตรงนี้ก็ลุกขึ้น คุกเข่าคารวะพันลิ่นแบบเต็มพิธีอย่างเชื่องช้าผ่านฉากบังลม
พันลิ่นสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด ก้าวออกมาหนึ่งก้าว “คุณหนูสามจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร! รีบลุกขึ้นเถิด!”
ฮวาเซียงอีโขกศีรษะ “ชีวิตนี้หยวนจั๋วได้รับการสั่งสอนชี้แนะจากอาจารย์ผู้มีคุณธรรม บทความของเขาข้าเคยอ่านมาแล้วทั้งหมด บัดนี้สำนักราชบัณฑิต ว่างเปล่า ขั้วอำนาจทั้งสามที่มีท่านป้าเป็นผู้นำมิอาจคงอยู่ได้นาน ข่งชิวเองก็ยากที่จะเอาตัวรอด ข้าแม้เป็นสตรี แต่กลับตระหนักดีว่าผู้มีความสามารถนั้นหายาก” นางชะงักชั่วครู่ ก่อนพูดอย่างขึงขัง “เฉิงจือ รบกวนเจ้าแล้ว”
นางขานชื่อของพันลิ่น นี่เป็นวาจาที่มาจากใจจริงโดยแท้
พันลิ่นเห็นฮวาเซียงอียอมทำถึงขั้นนี้เพื่อเหยาเวินอวี้ ใบหน้าก็อดฉายแววละอายใจมิได้ รีบตอบว่า “คุณหนูสามรีบลุกขึ้นเถอะ! ข้าเสียดายความรู้ความสามารถของหยวนจั๋ว เรื่องนี้เดิมพวกเราควรเป็นคนจัดการอยู่แล้ว พรุ่งนี้เช้าหยวนจั๋วจะเดินทางออกจากชวี่ตูพร้อมน้องสะใภ้ ไปลงหลักปักฐานที่ตันเฉิงก่อน รอให้บาดแผลหายดีแล้ว ค่อยให้เขาเป็นคนตัดสินใจเอง” เขาพูดถึงตรงนี้พลันคิดถึงไห่เหลียงอี๋ “แม้ว่าราชเลขาธิการจะมีความเห็นทางการเมืองไม่ตรงกับข้า แต่ข้าเลื่อมใสเขา การถวายฎีกาตายของขุนนางฝ่ายบุ๋นเป็นเรื่องกล้าหาญเพียงใด แค่คิดว่าทำเพื่อราชเลขาธิการ ข้าก็สมควรยื่นมือเข้าช่วยแล้ว”
ฮวาเซียงอีพูดต่อ “วันนี้หยวนจั๋วไม่ตาย อีกฝ่ายต้องรู้แล้วแน่ เพื่อความปลอดภัย รองเสนาบดีโปรดคิดหาหนทางตบตาผู้อื่นด้วย”
พันลิ่นตอบ “ข้ามีวิธีแล้ว”
“ยามนี้ฟ้ามืดแล้ว ข้ามิอาจรั้งอยู่ที่นี่นาน” ฮวาเซียงอีลุกขึ้น ให้สาวใช้ประคองเดินไปข้างม่านไข่มุก มองใบหน้าขาวซีดราวกระดาษของเหยาเวินอวี้ที่อยู่ข้างใน สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยวาจาใดและขอตัวจากไป
หลังฮวาเซียงอีจากไปหนึ่งชั่วยาม ศพที่ห่อด้วยเสื่อฟางก็ถูกขนออกมาจากประตูหลังของจวนสกุลพัน คนที่สืบข่าวอยู่ข้างนอกไม่รู้สถานการณ์โดยละเอียด ได้ยินเพียงว่าเป็นขอทานที่ท่านหญิงจ้าวเยวี่ยเก็บกลับมาจากข้างนอกและป่วยตายกลางดึก ทหารที่เฝ้าอยู่นานตามไปตลอดทาง พอถึงสุสานรวมก็ไปตรวจสอบศพนั้น พบว่ารูปร่างไม่แตกต่างจากเหยาเวินอวี้ แม้แต่บาดแผลบนขาที่หักยังใกล้เคียงกัน เพียงแต่ใบหน้าถูกทำร้าย ทว่ารอยกัดบนริมฝีปากคล้ายคลึงกัน
บุรุษผู้เป็นหัวหน้าไม่กล้าชักช้า ถอนกำลังคนกลับจวน รุดไปรายงานผล
วันต่อมาท่านหญิงจ้าวเยวี่ยกับพันอี้เดินทางกลับตันเฉิง นางเพิ่งคลอดบุตร บ่าวหญิงสูงวัยและสาวใช้ที่ติดตามมาด้วยจึงมีจำนวนมาก แค่รถบรรทุกข้าวของก็สิบกว่าคันแล้ว พันลิ่นเข้าประชุมขุนนางตอนเช้า ตอนยืนรออยู่ใต้บันได เห็นข่งชิวและเฉินอวี้ยืนอยู่ด้านหน้า เขาเกรงว่าในราชสำนักจะมีคนจับตาดูอยู่ จึงไม่ได้เดินเข้าไปหา
บัดนี้รัชทายาทตื่นนอนยามอิ๋น เข้าเรียนยามเหม่า เหล่าขุนนางจิงเหยียน[2]ที่สภาขุนนางแต่งตั้งล้วนเลือกเฟ้นมาจากสำนักราชบัณฑิต อย่างพิถีพิถัน การเรียนช่วงเช้ายาวต่อเนื่องไปจนถึงตอนเที่ยง ผู้ที่แขวนม่านดูแลราชกิจยังคงเป็นไทเฮา หลี่เจี้ยนถิงเพียงแค่เปลี่ยนจากศึกษาเล่าเรียนในจวนสกุลเซวียมาเป็นศึกษาเล่าเรียนในวังหลวง ตราบใดที่สภาขุนนางยังไม่ลงคะแนนเห็นชอบ นางก็จำต้องเป็นเสวียเซิงต่อไป กรมพิธีการเตรียมงานราชาภิเษกไว้แล้ว แต่ตอนนี้ถูกพวกข่งชิวยับยั้งไว้ พิธีการจึงยังห่างไกลไร้กำหนด
เซวียซิวจั๋วยังคงสอนตำราให้หลี่เจี้ยนถิง นางไม่มีอำนาจก้าวก่ายราชกิจ แต่กลับมีสิทธิ์เข้าฟังการหารือข้อราชการของเหล่าขุนนาง ในแต่ละวันนางนอนน้อยมาก หลังการเรียนช่วงเช้าจะงีบหลับครู่หนึ่ง ตอนบ่ายเป็นการหารือของสภาขุนนางที่นำโดยข่งชิวและเซวียซิวจั๋ว เรื่องน้อยใหญ่ของหกกรมล้วนต้องให้สภาขุนนางเป็นผู้รายงาน ระหว่างที่พวกเขายืนหารือกัน หลี่เจี้ยนถิงเอ่ยปากน้อยมาก ท่าทีของนางนอบน้อม ไม่ว่าจะเป็นการเรียนช่วงเช้าหรือการประชุมช่วงบ่าย ล้วนมาก่อนขุนนางใหญ่ทั้งหลายเสมอและจะยืนรออยู่ใต้ชายคาตำหนักหมิงหลี่
เดิมข่งชิวและเฉินอวี้ไม่ชอบหลี่เจี้ยนถิง แต่ก็ต้องยอมรับว่าหลี่เจี้ยนถิงมีความจริงใจทีเดียว จิตใจใฝ่รู้ใฝ่เรียนของนางชัดเจนกว่าหลี่เจี้ยนเหิงมาก
หลังเลิกประชุมขุนนาง พันลิ่นเตรียมตัวขึ้นรถม้า ขณะกำลังจะปล่อยม่าน เขาเห็นเซวียซิวจั๋วและคนอื่นๆ เดินออกจากประตูวัง สองคนสบตากันอึดใจหนึ่ง พันลิ่นพยักหน้าอย่างสุขุม ฝืนใจคารวะอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยม่านรถลง
เฉียวเทียนหยาปิดประตู ก่อให้เกิดเสียงดังเล็กน้อย
เหยาเวินอวี้ลืมตาตื่น รู้สึกราวกับเพิ่งออกมาจากรถม้าที่โยกคลอน ร้อนอบอ้าวไปหมด เขากลอกตาไปมาและมองเห็นเฉียวเทียนหยา
เฉียวเทียนหยาพูด “ตอนนี้เป็นยามอิ๋นสามเค่อ เจ้ายังนอนต่อได้”
เหยาเวินอวี้ตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ฝันอะไรมากมาย ไม่น่าย้อนนึกถึง”
เฉียวเทียนหยารินน้ำชาและดื่มอึกหนึ่ง ชูถ้วยถามเขา “ดื่มหรือไม่”
เหยาเวินอวี้นิ่งไปชั่วครู่ “น้ำชาไร้รส เปลี่ยนเป็นสุราดีกว่า”
“แผลเจ้ายังไม่หายดี ไม่ควรดื่มสุรา” เฉียวเทียนหยาพูดพลางปลดสุราอุ่นจากข้างเอว เขย่าสองสามที บิดฝาและดื่มเสียเอง “ข้าดื่มให้เจ้าดู”
รอจนเฉียวเทียนหยาดื่มหมด เหยาเวินอวี้จึงเอ่ยว่า “สุราดี”
เส้นผมตรงหน้าผากเฉียวเทียนหยาทิ้งตัวลงมาบดบังดวงตา หมู่นี้เขาโกนหนวดไม่ค่อยเรียบร้อย ฟังแล้วลูบตอหนวดสองสามที “ราคาแค่เหรียญทองแดงไม่กี่พวง ไม่นับเป็นสุราดี ไว้เจ้าหายดีเมื่อไร ข้ายินดีทุ่มเงินหลายสิบตำลึงเพื่อให้เจ้าได้ลิ้มรสสุราดีอย่างแท้จริง”
มุมปากเหยาเวินอวี้ขยับน้อยๆ
เฉียวเทียนหยาพิงโต๊ะมองเขา “อีกไม่กี่วันทหารช่างของหลีเป่ยจะมาถึงแล้ว ข้าสามารถออกไปชมทิวทัศน์ฤดูสารทของฉือโจวกับเจ้าได้”
รอยยิ้มของเหยาเวินอวี้หายวับไปทันใด เขามองออกไปนอกหน้าต่าง ได้ยินเสียงกรุ๋งกริ๋งของม้าเหล็กใต้ชายคาลอยมาอีกแล้ว เขาเงียบไปนานก่อนพูด “วานเจ้าบอกรองผู้บัญชาการที วันสมรสของสกุลฮวากับสกุลชีพรุ่งนี้ช่วยเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่แทนข้า คุณหนูสามสกุลฮวามีบุญคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้ ช่วยขอบใจนางแทนข้าที มิต้องบอกอะไรกับนาง บอกเพียงว่าข้าสบายดี”
เฉียวเทียนหยารับคำ
สายตาของเหยาเวินอวี้ว่างเปล่า เขาพูด “ดีดกู่ฉินเถิด”
ตอนเสิ่นเจ๋อชวนลุกขึ้น เขาได้ยินเสียงกู่ฉินดังแผ่วมาจากลานเรือน
เฟ่ยเซิ่งหยอกเย้า “เฉียวเทียนหยาผู้นี้เก็บงำได้มิดชิดจริงๆ”
เสิ่นเจ๋อชวนหันไปพูดกับเขา “สกุลเฉียวตกต่ำ เขาไม่เหลือความเจ้ายศเจ้าอย่างเยี่ยงคุณชายเหล่านั้นอีกแล้ว ช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดคือตอนที่ถูกเนรเทศ ต้องแย่งอาหารกับสุนัขจร ทั้งยังต้องดูแลพี่สะใภ้ ตอนนี้สิ่งที่เขาเหลืออยู่มีเพียงกู่ฉินตัวนั้น เช็ดถูทุกวัน รักและหวงแหนยิ่ง ไม่เคยดีดให้ใครฟังมาก่อน นี่เป็นความหยิ่งทะนงของเขา”
เฟ่ยเซิ่งเคยเห็นกู่ฉินตัวนั้น แม้แต่ติงเถายังไม่กล้าแตะต้อง เขาไม่เข้าใจเรื่องความหยิ่งทะนงพวกนี้ แต่ก็มิได้เอ่ยปากเหยียบย่ำทำลาย เขาทำงานร่วมกับเฉียวเทียนหยามาหลายปี แม้ว่าตั้งแต่อยู่ในชวี่ตูจนถึงฉือโจวจะอยากแทนที่เฉียวเทียนหยามาตลอด แต่ในใจก็ยอมรับความสามารถของอีกฝ่าย
[1] โส่วเป้ย เป็นชื่อตำแหน่งขุนนางฝ่ายบู๊ผู้ดูแลรักษาเมือง มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการที่นา กองทหารประจำเมือง เบี้ยหวัดทหาร รวมถึงเสบียงอาหารของเมืองนั้นๆ
[2] ขุนนางจิงเหยียน เป็นขุนนางที่ทำหน้าที่อภิปรายคัมภีร์และประวัติศาสตร์โบราณหน้าพระพักตร์