เชิญร่ำสุรา
將進酒
ถังจิ่วชิง
唐酒卿
กอหญ้า แปล
“เกราะแขนอันนั้นไม่เลวนี่” เซียวฟางซวี่เหยียบราวกั้นไม้และนั่งลง
เห็นเซียวฉือเหย่หันกลับมา จึงเบี่ยงตัวมองสีหน้าของเขา
“ทำจากที่ใด ไม่ใช่แบบของฉี่ตง”
“ต้องไม่เลวอยู่แล้ว” เซียวฉือเหย่ทำท่าเหมือนกำลังพูดความลับ
“นั่นเป็นยันต์คุ้มภัยของข้า”
เซียวฟางซวี่ตอบรับว่า “อืม” อย่างไม่ใส่ใจนัก
จากนั้นถามต่อ “เป็นคนที่ใด คงมิได้ถูกเจ้าพาไปอยู่ค่ายเปียนปั๋วด้วยกระมัง
ที่นั่นมีแต่ผู้ชายหยาบกระด้าง นางอายุเท่าไรแล้ว”
เซียวฉือเหย่ย้อนถาม “นาง?”
เซียวฟางซวี่ฟังไม่เข้าใจ
เซียวฉือเหย่ถอยไปหลายก้าว
เซียวฟางซวี่หรี่ตา “เจ้าคงมิได้พาบุตรสาวสกุลฮวากลับมาด้วยหรอกนะ”
เซียวฉือเหย่ถอยหลังต่อไป พอเห็นบิดาทำหน้างุนงง
จู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมา มือปลดดาบหลางลี่และโยนไปด้านข้าง
“เซียวฉือเหย่!” เซียวฟางซวี่ตระหนักถึงความผิดปกติ “เจ้าบอกข้ามาตามตรง”
เซียวฉือเหย่พลันพูดเสียงดัง “เป็นผู้ชาย!”
“หา?” เซียวฟางซวี่สงสัยว่าตัวเองฟังผิด ถึงกับเอียงหูฟังอีกครั้ง
“ข้าหาผู้ชายกลับมาให้ท่าน!” แสงแดดสาดส่องใบหน้าเซียวฉือเหย่
ขับไล่ความหม่นหมองเมื่อวานออกไป เจ้าหนุ่มผู้นี้นิสัยเสียยิ่งนัก
ตะโกนอย่างท้าทาย “บุรุษที่งดงามที่สุดในต้าโจวก็คือภรรยาข้า!”
พูดจบก็ไม่รอให้เซียวฟางซวี่ตอบ หันหลังโกยอ้าวทันที
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 153 ปราชัย
ทหารรักษาพระองค์เหมือนเซียวฉือเหย่มาก แต่พวกเขาเจ้าเล่ห์กว่า นี่เป็นกองทหารที่สร้างความรู้สึกสับสนให้กับทหารม้าเหล็กหลีเป่ย ชื่อเสียงของพวกเขาตกต่ำตั้งแต่หลังสมัยหย่งอี๋ กลายเป็นของประดับในชวี่ตู แม้แต่ภารกิจสำคัญที่มีมาแต่ดั้งเดิมอย่างการตรวจตรารักษาความปลอดภัยยังถูกแปดกองกำลังแย่งชิงไป ตลอดช่วงเวลาอันยาวนานหลายสิบปี งานที่พวกเขาทำล้วนเป็นงานเบ็ดเตล็ด อีกทั้งยังมีสภาพเหมือนพอใจกับการอยู่ไปวันๆ แบบนี้ด้วย กระนั้นเมื่อพวกเขาได้พบเซียวฉือเหย่กลับเหมือนอาวุธที่ถูกปัดฝุ่นอีกครั้ง ในที่สุดก็ทอประกายในชวี่ตู
ทหารรักษาพระองค์ไม่เหมือนทหารม้าเหล็กหลีเป่ย ทั้งยังไม่เหมือนทหารรักษาการณ์ฉี่ตง พวกเขาสามารถละเลยเสียงอึกทึกครึกโครมทั้งหมดและพุ่งสายตาไปที่เซียวฉือเหย่เพียงคนเดียว ไม่ฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ที่มีต่อเขา ขอเพียงเซียวฉือเหย่โบกมือ พวกเขาก็ยินดีติดตามปีนเขาดาบลงทะเลเพลิง นี่เป็นความจงรักภักดีที่แฝงไว้ด้วยคุณธรรมน้ำมิตร
เหมือนเช่นเวลานี้ กำลังฝ่ายศัตรูและฝ่ายตนแตกต่างกันชัดเจน ทว่าทหารรักษาพระองค์กลับไม่หวาดกลัว พวกเขาตัดขาม้าของทหารม้าเปียนซากองหน้า ทำให้การโอบล้อมของฮาเซินเกิดช่องโหว่ แต่ทหารม้าที่ตามมาข้างหลังมีจำนวนมากเป็นเท่าตัว อีกทั้งทักษะการพลิกแพลงยังยอดเยี่ยม ไม่ต้องให้ฮาเซินออกคำสั่ง ก็ตระหนักถึงเจตนาของทหารรักษาพระองค์แล้ว
ทหารรักษาพระองค์ยังคิดจะฟันขาม้า แต่ทหารม้าเปียนซากลับตวัดตัวลงจากหลังม้าก่อนเข้าสู่สนามรบ พวกเขาไม่มีชุดเกราะ ร่างกายสวมเสื้อขนสัตว์ที่มีน้ำหนักเบาและกันหนาวได้ เคลื่อนไหวปราดเปรียวยิ่ง ไม่เหมือนกองกำลังของหูเหอหลู่ ข้างม้าของทุกคนล้วนมีดาบโค้งสำรองไว้ ต้นขาด้านนอกยังผูกเหลิงชื่อ[1]ไว้อย่างแน่นหนา เช่นนี้แล้วต่อให้ดาบโค้งชำรุดเสียหาย ก็ยังมีดาบสำรอง หรือจะเปลี่ยนเป็นใช้เหลิงชื่อต่อสู้ระยะประชิดก็ได้ พวกเขาเงียบขรึมพูดน้อย เปี่ยมด้วยทักษะและประสบการณ์
เซียวฉือเหย่กำลังหอบหายใจ สายตาเขากวาดมองกองกำลังฝีมือดีกองนี้อย่างคมกริบดุดัน
ฮาเซินมิได้เอ่ยวาจา เขาไม่จำเป็นต้องเจรจาอันใดกับเซียวฉือเหย่ อีกทั้งยังไม่คิดจะเอาเซียวฉือเหย่ไปข่มขู่เซียวฟางซวี่ เขาตระหนักดีว่าเก็บอีกฝ่ายไว้จะก่อให้เกิดหายนะตามมาไม่สิ้นสุด การสังหารเซียวฉือเหย่ควรลงมือตอนนี้เลย
ฮาเซินจ้องตาเซียวฉือเหย่ มือข้างหนึ่งของเขาถือดาบโค้ง มือข้างหนึ่งคลายเชือกบังเหียน หย่อนตัวลงในแอ่งโคลนเบาๆ พวกเขาเหมือนสัตว์บางชนิดที่กำลังเผชิญหน้ากัน กลิ่นคาวเลือดผสานความชิงชังรังเกียจ ฮาเซินขยับเท้าไม่หยุด ย่ำน้ำโคลนพลางสังเกตเซียวฉือเหย่
ท้องฟ้าราตรียังหลงเหลือละอองฝนเล็กน้อย มันหยดลงบนหลังมือเซียวฉือเหย่ เซียวฉือเหย่กำดาบหลางลี่ สายตาเลื่อนตามฮาเซินไป
นี่เป็นความเงียบอันน่าประหลาด ทั้งที่เสียงเข่นฆ่ารอบด้านดังกระหึ่ม แต่เซียวฉือเหย่กลับรู้สึกว่าเงียบมาก เงียบจนเขาขนลุก ต้องบังคับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าจึงจะระงับไอสังหารที่พวยพุ่งอยู่ในร่างกายเอาไว้ได้
ฮาเซินไม่ขยับตัวแล้ว ดูเหมือนเขาจะสังเกตเห็นความร้อนใจของเซียวฉือเหย่ พวกเขาช่วงชิงโอกาสการเป็นฝ่ายรุกในสงครามครั้งนี้ ต่างพยายามคุมเชิงกันและกัน เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าสองฝ่ายมิอาจอยู่ร่วมกันได้ พวกเขาต้องการควบคุมจังหวะการรบของตัวเองไว้โดยสมบูรณ์
หยดน้ำกลิ้งไปบนหลังมือของเซียวฉือเหย่ที่โก่งขึ้นเล็กน้อย จังหวะที่มันหยดลง ฮาเซินก็ลงมือ เส้นผมสีแดงประหนึ่งคบเพลิงที่กวัดแกว่งไปมากลางราตรีมืดสลัว ปราดมาอยู่ตรงหน้าเซียวฉือเหย่ในจังหวะที่โคลนสาดกระจายออกไป เพียงชั่วพริบตาดาบโค้งของฮาเซินก็ประชิดมาที่ลำคอเซียวฉือเหย่ เซียวฉือเหย่ถอยหลังก้าวหนึ่งทันที โคลนกระเซ็นออกไปเป็นแนวโค้งคล้ายใบพัดตามฝีเท้า เขาควงดาบหลางลี่เป็นรูปครึ่งวงกลม สองฝ่ายปะทะกันกลางอากาศ ฮาเซินถูกเซียวฉือเหย่ฟาดฟันจนฝ่าเท้าไถลออกไปเล็กน้อย แต่อึดใจต่อมาก็โต้กลับ ถึงขั้นรู้จักหลบเลี่ยงอย่างชาญฉลาด
ดาบหลางลี่เป็นดาบหัวปีศาจที่มีน้ำหนักมาก กำลังแขนของเซียวฉือเหย่เป็นที่พึ่งของมัน ระหว่างการต่อสู้ฮาเซินคิดจะฟันแขนเซียวฉือเหย่ให้ขาดในทุกกระบวนท่า ขณะที่การตวัดดาบทุกครั้งของเซียวฉือเหย่ล้วนไม่โดนเป้าหมาย แม้จะไล่ตามได้ทัน แต่ฮาเซินก็จะเบี่ยงดาบโค้งหลบไปด้านข้าง ไม่รับเรี่ยวแรงมหาศาลของเซียวฉือเหย่ตรงๆ
เบื้องหลังของเซียวฉือเหย่ยังมีทหารเปียนซาโผล่มาลอบทำร้ายเป็นพักๆ เขาใช้ตาและหูอย่างเต็มประสิทธิภาพ ทว่าเรี่ยวแรงที่ทุ่มออกไปกลับสูญเปล่าเหมือนน้ำที่สาดทิ้ง ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เซียวฉือเหย่ก็รู้สึกว่าตัวเองเคลื่อนไหวช้าลงเล็กน้อย ฮาเซินกระโจนเข้ามาอีกครั้ง เวลาเดียวกันเบื้องหลังเซียวฉือเหย่มีลมแรงจู่โจมเข้ามา เขาย่างเท้าออกไปครึ่งก้าวทันที หลบดาบโค้งที่ฟันมาข้างหลัง จากนั้นคว้าแขนของคนที่อยู่ข้างหลัง หมุนตัวและถีบฮาเซินออก บิดแขนของทหารที่ลอบโจมตีจนหัก ดาบโค้งอีกด้านฟันลงมาที่แขนของเซียวฉือเหย่ก่อนได้ยินเสียงดังกังวาน ดาบนั้นถูกเกราะแขนที่เสิ่นเจ๋อชวนมอบให้สกัดเอาไว้ได้
โคลนสาดกระเด็นไปทั่วเหมือนระเบิดที่กระจายตัว ดาบหลางลี่ถูกทหารม้าเปียนซาหลายคนกดไว้พร้อมกัน เซียวฉือเหย่กำมือซ้ายต่อยหนึ่งในนั้นจนล้มลง แรงกดบนดาบหลางลี่พลันลดลง เขาย่อตัวลงหมายจะงัดดาบขึ้นมา ดาบโค้งของฮาเซินถูกดาบหลางลี่กระแทกจนบิ่น ฮาเซินโยนดาบโค้งทิ้ง ชักเหลิงชื่อจากสองข้างขาออกมา หาจังหวะเหมาะและกระโดดขึ้น…ทันใดนั้นทหารรักษาพระองค์คนหนึ่งก็กระโจนออกมา กอดเอวฮาเซินไว้ ถึงขั้นใช้ทักษะมวยปล้ำ แต่กลับมิอาจจับฮาเซินทุ่มได้
ฮาเซินเบนเหลิงชื่อในมือกลับมา แทงเข้าไปที่ข้างคอของเขาอย่างแรง โลหิตพุ่งกระฉูด ฮาเซินยังไม่ทันได้ชักเหลิงชื่อออกมา ก็ต้องเบี่ยงศีรษะหลบดาบของเซียวฉือเหย่เสียก่อน
สองฝ่ายต่างมีคนตาย ทหารรักษาพระองค์ไม่คิดว่ากองกำลังของฮาเซินจะแข็งแกร่งเช่นนี้ กองกำลังของฮาเซินเองก็ไม่คิดว่าทหารรักษาพระองค์จะต้านไว้ได้นานถึงเพียงนี้
ทหารม้าเปียนซารอบนอกนำโซ่เหล็กที่มีลูกตุ้มทองแดงห้อยอยู่ออกมา โซ่แบบนี้รูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับโซ่ที่ทหารม้าเหล็กหลีเป่ยใช้ แต่กลับเบากว่ามาก พวกเขากระชับวงล้อมให้เล็กลง เมื่อเซียวฉือเหย่ถูกกดดาบหลางลี่ไว้อีกครั้ง สายโซ่นับไม่ถ้วนก็ถูกเหวี่ยงมาที่เขา ลูกตุ้มทองแดงยึดแขนขาของเซียวฉือเหย่ไว้ โซ่เหล็กพันรัด ดึงรั้งจนล้มลงกับพื้นกะทันหัน
เหลิงชื่อของฮาเซินพุ่งมาที่หน้าผากของเซียวฉือเหย่ เขาต้องใช้พละกำลังแทบทั้งหมดจึงสามารถขยับแขนมาสกัดไว้ได้ ทหารม้าเปียนซาอีกด้านที่ดึงโซ่อยู่ซวนเซไปตามๆ กัน เหลิงชื่อกระแทกเกราะแขนจนเกิดเสียงดังอีกครั้ง ทว่าแม้เกราะแขนนี้จะทำจากเหล็กอย่างดีก็ทนรับแรงกระแทกซ้ำแล้วซ้ำเล่ามิได้ เซียวฉือเหย่รู้สึกได้ว่าเชือกหนังสุนัขขาด เกราะแขนยุบตัวลงไป
เซียวฉือเหย่พยายามสลัดตัวออกจากโซ่เหล็ก แต่มันมีจำนวนมากเกินไป สองแขนของเขารับไม่ไหว เขาเอียงศีรษะถ่มโคลนทรายในปากออกมา ดาบโค้งของทหารม้ากำลังตวัดมาที่ลำคอเขา เซียวฉือเหย่มองเห็นท้องฟ้ามืดมิดในชั่วเวลานี้เอง สายลมจากเทือกเขาหงเยี่ยนพัดปอยผมเปียกชื้นของเขา ระหว่างหอบหายใจเขาคิดถึงเสิ่นเจ๋อชวน
เดิมชัยชนะอยู่ในกำมือฮาเซินแล้ว คิดไม่ถึงว่าเซียวฉือเหย่จะต้านทานแรงดึงของทหารหลายคนได้ ยกขาสองข้างถีบทหารม้าที่ถือดาบจนกระเด็นออกไป โซ่เหล็กที่รัดเขาอยู่พลันขยับ สิ่งที่ไหลลงมาจากจอนผมเขามิอาจแยกแยะได้ว่าเป็นหยาดเหงื่อหรือโคลนกันแน่ เห็นเพียงเส้นเลือดของเขาเต้นตุบๆ เซียวฉือเหย่ดีดตัวขึ้นมาในฉับพลัน
กระนั้นกำลังคนคนเดียวย่อมยากจะต้านทานคนหมู่มาก เหล่าทหารม้าดึงโซ่เหล็กจนตึงตอนที่เซียวฉือเหย่ดีดตัวขึ้นมา ทำให้เขายืนได้ไม่นานก็ล้มลงกับพื้นอีกครั้ง
คืนนี้ต่อให้มีปีกเขาก็ยากจะหนีรอด!
ในชั่วเวลาวิกฤตนี้เอง จู่ๆพื้นดินก็สั่นสะเทือน หยดน้ำที่เกาะอยู่บนใบของพุ่มไม้กระเด้งกระดอนตามไปด้วย เสียงแตรเขาสัตว์ดังขึ้นในราตรีอันไกลโพ้น
ฮาเซินทอดสายตามองไปทางทิศใต้ เห็นคนผู้หนึ่งควบม้าทะยานเข้ามาตามลำพัง เบื้องหลังเป็นคลื่นสีดำที่สามารถบดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่าง แอ่งโคลนสั่นรุนแรงกว่าเดิมเมื่อพวกเขาประชิดเข้ามาใกล้ เสียงกีบเท้าม้าที่ดังเหมือนเสียงฟ้าผ่าสะท้อนน้ำหนักของเหล็กกล้า
ฮาเซินเป่านกหวีดทันที ทหารม้าตวัดตัวขึ้นหลังม้าอย่างเป็นระเบียบ ล่าถอยไปทางทิศเหนืออย่างรวดเร็ว ก่อนที่ฮาเซินจะหันหัวม้าจากไป เขาเหลือบมองเซียวฉือเหย่ด้วยความเสียดาย ยกสองนิ้วขึ้นมาแตะตรงขมับ ค้อมกายคารวะเซียวฉือเหย่เป็นการอำลา จากนั้นทิ้งสนามรบอันเละเทะไว้และจากไป
ม้าเหล็กสีดำปราดมาข้างกายเซียวฉือเหย่และวนรอบตัวเขาหนึ่งรอบ
เซียวฟางซวี่ถอดหมวกเกราะ หลุบตามองเซียวฉือเหย่ สั่งคนข้างหลังเสียงขรึม “แก้โซ่ให้คุณชายรองของพวกเจ้าซะ ทุเรศชะมัด”
เซียวฉือเหย่สีหน้าเยียบเย็น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ลิ้มรสชาติความอัปยศจากการพ่ายแพ้
ค่ายซาซานมีขุนพลหลักจากห้าค่าย ล้วนอยู่ใต้บังคับบัญชาของเซียวฟางซวี่ ตามยศตำแหน่งเซียวฉือเหย่อยู่ท้ายสุด แต่ยามนี้เขาพ่ายแพ้หมดรูป นั่งยองอยู่นอกกระโจมใช้น้ำเย็นชำระล้างร่างกายท่อนบน ขุนพลหลักที่เข้าออกต่างเหลือบมองเขา
เซียวฉือเหย่เหมือนไร้ความรู้สึก ไหล่ หน้าอกและหลังล้วนมีแผลจากดาบ ถูกน้ำเย็นราดรดจนขาวซีด ภายในกระโจมเลิกประชุมแล้ว จั่วเชียนชิวเลิกม่าน พอเห็นเงาร่างของเซียวฉือเหย่ที่นั่งยองอยู่ด้านข้างแล้ว ถ้อยคำตำหนิก็แปรเปลี่ยนเป็นความขบขันเจือความสงสาร เขาร้องเรียก “เข้ามาเถอะ ดื่มนมร้อนสักชาม อากาศหนาวขนาดนี้อย่าปล่อยให้ตัวเองล้มป่วย”
เซียวฉือเหย่รับคำเสียงอู้อี้ ลุกขึ้นวางถังน้ำกลับคืนที่เดิม ก่อนจะเดินเข้าไปในกระโจมทั้งอย่างนั้น
ภายในกระโจมก่อไฟไว้ ชุดเกราะที่เละเทะหมดสภาพของเซียวฉือเหย่ใช้งานไม่ได้แล้ว เซียวฟางซวี่กำลังพิจารณาเหล็กอย่างดีบนเกราะแขนที่ยุบตัวลง จั่วเชียนชิวสั่งให้แพทย์ทหารใส่ยาและทำแผลให้เซียวฉือเหย่ ชายหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้พับตัวเล็ก เปิดแผ่นหลังนิ่งไม่ขยับ
ผ่านไปครู่ใหญ่ เฉินหยาง กู่จิน ถานไถหู่และอูจื่ออวี๋ก็เข้ามา
“รายงานการบาดเจ็บล้มตายกับขุนพลหลักของพวกเจ้า” เซียวฟางซวี่โยนเกราะแขนกลับลงบนโต๊ะ นั่งลงตรงตำแหน่งประธานและพูดกับเฉินหยาง
เฉินหยางรายงานเสียงค่อย “ทหารรักษาพระองค์บาดเจ็บล้มตายสามร้อย…”
“ดังๆ หน่อย” เซียวฟางซวี่มองเฉินหยาง “จะทำท่าหมดอาลัยตายอยากทำไม”
เฉินหยางพูดเสียงดังขึ้น “ทหารรักษาพระองค์บาดเจ็บล้มตายทั้งหมดสามร้อยคน สามสิบหกคนบาดเจ็บสาหัส แปดคนอาการไม่หนัก”
ทหารรักษาพระองค์เป็นรากฐานของเซียวฉือเหย่ ไม่ว่าเจ็บหรือตายเขาล้วนต้องแบกรับด้วยตัวเอง กองกำลังนี้ไม่มีโอกาสเพิ่มจำนวนได้อีก มันมีความพิเศษไม่เหมือนกองกำลังอื่นๆ หากถูกทำลายทั้งหมด ต่อให้เป็นเซียวฉือเหย่ก็มิอาจสร้างขึ้นใหม่ในหลีเป่ยได้ นี่หมายความว่าหากทหารรักษาพระองค์แพ้ศึก พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสียเป็นทวีคูณ สามร้อยคนสำหรับทหารรักษาการณ์ฉี่ตงและทหารม้าเหล็กหลีเป่ยเป็นจำนวนที่น้อยมาก แต่สำหรับทหารรักษาพระองค์นับเป็นการบาดเจ็บล้มตายครั้งใหญ่
ภายในกระโจมตกอยู่ในความเงียบ ถานไถหู่ลอบชำเลืองมองเฉินหยางและกู่จิน สุดท้ายทำใจกล้าเอ่ยว่า “ฮาเซินจู่โจมอย่างเหนือคาด นายท่านเองก็…”
“รายงานการบาดเจ็บล้มตายของสามค่ายใหญ่หลิ่วหยางกับขุนพลหลักของเจ้าด้วย” เซียวฟางซวี่พูด
เฉินหยางเงียบไปอึดใจหนึ่ง “กองกำลังทิศใต้ของค่ายหลิ่วหยางตายแปดร้อยเก้าสิบสองคน บาดเจ็บสาหัสสี่สิบห้าคน อาการไม่หนักสองร้อยสามสิบเจ็ดคน”
“เดิมทีเจาฮุยต่อสู้อยู่แนวรบทิศเหนือ กองกำลังทิศใต้กองนี้จัดตั้งขึ้นกะทันหันเพื่อช่วยเหลือพวกเจ้าทหารรักษาพระองค์ มีทั้งหมดสองพันคน ตอนขุดทางม้าที่พังถล่มถูกทหารม้าของฮาเซินที่รั้งอยู่แนวรบทิศเหนือลอบโจมตี กล่าวได้ว่าสูญเสียกำลังไปครึ่งหนึ่ง” เซียวฟางซวี่พูด “หากเจ้าอยู่ที่เดิมอย่างสำรวม อีกไม่ถึงสองชั่วยามก็จะได้พบกับพวกเขา แต่เจ้ากลับบุ่มบ่ามย้อนกลับเข้าไปในถูต๋าหลงฉี ความเสียหายครั้งนี้เจ้าจะชี้แจงกับเจาฮุยอย่างไร”
เซียวฉือเหย่มิได้ตอบ
เซียวฟางซวี่พูดต่อ “เจ้าพึงจดจำไว้ว่า เจ้าเป็นขุนพลหลักที่มีหน้าที่ขนส่งเสบียงและยุทธภัณฑ์ มิใช่ขุนพลหลักที่มีหน้าที่ทำศึก ใช้กำลังคนไม่กี่ร้อยคนฝืนโจมตีกองกำลังของฮาเซิน สมองเจ้าถูกลาถีบมาหรืออย่างไรเซียวฉือเหย่”
เดิมจั่วเชียนชิวไม่ควรเอ่ยปาก แต่เซียวฉือเหย่เพิ่งกลับจากสนามรบ เขาที่เป็นอาจารย์อดสงสารมิได้ จึงพูดว่า “ครั้งนี้ฮาเซินวางแผนล่วงหน้ามานาน ทั้งยังเจอพายุฝน ตอนนั้นสถานการณ์คับขัน อาเหย่…”
“เจ้าไม่ได้เห็นทหารม้าเหล็กหลีเป่ยเป็นความรับผิดชอบของตัวเองแม้แต่น้อย ในสายตาเจ้ามีแต่ทหารรักษาพระองค์” เซียวฟางซวี่ยันหัวเข่า ท่าทีพลันเปลี่ยนเป็นเข้มงวด “สงครามที่ค่ายเปียนปั๋วทำให้สมองเจ้าเลอะเลือนไปแล้ว เจ้าคิดว่าใครๆ ก็เป็นเหมือนหูเหอหลู่รึ วันนี้พ่ายแพ้ให้ฮาเซินนับเป็นบทเรียน เจ้ามีดีอะไรถึงได้ไปปะทะเขาซึ่งหน้าแบบนั้น เงยหัวของเจ้าขึ้นมา!”
อูจื่ออวี๋ทนไม่ไหว คุกเข่ากับพื้นดังตุ้บ พอเขาคุกเข่า ถานไถหู่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็คุกเข่าตาม “ตุ้บๆๆ” เฉินหยางกับกู่จินก็คุกเข่าตามด้วย
เซียวฟางซวี่ตวัดสายตามองไปยังพวกเขาทันที
อูจื่ออวี๋พูดอย่างอ่อนแรง “ท่านอ๋อง…มิ มิใช่ขอรับ…ข้าแค่ขาไม่มีแรงเท่านั้น”
[1] เหลิงชื่อ เป็นอาวุธชนิดหนึ่ง ลักษณะคล้ายดาบปลายปืน ตัวดาบมีสามแฉก