《古代吃货生存指南》
คู่มือการเอาตัวรอดของนักกิน
เข่อเล่อเจียงทัง เขียน
เสี่ยวหวา แปล
— โปรย —
เจียงซูเหย่าผู้เป็นดั่งถุงฟางข้าวใบหนึ่ง
กลับกลายเป็นผู้ที่ชื่นชอบการทำอาหารแปลกๆ หลากหลายรายการ
ด้วยเหตุนี้เซี่ยสวินสามีแต่เพียงในนามจึงชื่นชอบ
และหวงแหนนางยิ่งยวด
.
ขอเพียงได้กินอาหารฝีมือภริยา เท่านี้เขาก็พึ่งใจแล้วจริงๆ
ส่วนสหายร่วมงานผู้ตะกละตะกลามเหล่านั้นน่ะหรือ…
อย่าหวังว่าจะได้มากินอาหารฝีมือภริยาที่เรือนของเขาอีก
.
แค่เขาแบ่งปันให้บ้างเป็นครั้งคราว
เท่านี้ก็นับว่าเขาใจกว้างอักโขแล้ว!
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
38
หลังจากที่คนทั้งสองกินเสร็จแล้ว เมื่อเซี่ยสวินเห็นเจียงซูเหย่าเริ่มนั่งไม่ติดที่ ก็กล่าวกับนางว่า “วางใจเถอะ ข้าเชื่อว่าท่านแม่ยายจะต้องคิดได้”
เจียงซูเหย่าถามอย่างไม่แน่ใจว่า “หรือไม่ข้าไปคุยกับมารดาอีกครั้งดีหรือไม่ บอกสิ่งที่ข้าเห็นในวันนี้ให้นางฟัง” นางกังวลว่าหลินซื่อจะเหมือนนางเมื่อก่อน ที่ไม่เข้าใจอาหารประจำวันของชาวบ้านทั่วไป และไม่สนใจในการค้านี้
“เจ้าเข้าใจว่าท่านแม่ยายเหมือนกับเจ้าอย่างนั้นหรือ” เซี่ยสวินไม่ได้เป็นกังวลในเรื่องนี้และจิบชาอย่างสบายอกสบายใจ
เมื่อเจียงซูเหย่าเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ใจก็สงบลงอยู่หลายส่วน
หลังจากนั้นไม่นาน หลินซื่อก็ส่งคนไปเชิญเจียงซูเหย่าไปที่เรือนของนาง ปฏิกิริยาแรกของเจียงซูเหย่าคือหันมามองเซี่ยสวิน
เซี่ยสวินกล่าวว่า “ไปเถอะ ไม่ต้องเป็นกังวล”
เจียงซูเหย่าพยักหน้า แล้วเดินตามหมัวมัวไป
เมื่อมาถึงเรือนของหลินซื่อ นางกำลังมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“ท่านแม่” แม้ว่าเมื่อเช้านี้สองแม่ลูกจะผิดใจกันเล็กน้อย แต่เจียงซูเหย่ายังคงมีรอยยิ้มระบายทั่วใบหน้าเช่นเดิม หลิน
ซื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ ก็อดที่จะรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นไม่ได้
ไม่รอให้หลินซื่อเอ่ยปาก เจียงซูเหย่าก็แย่งพูดขึ้นมาก่อนว่า “เมื่อครู่เซี่ยสวินได้พาข้าไปเดินเที่ยวนอกเมืองมารอบหนึ่ง ข้าถึงได้รู้ว่าที่แท้ฝีมือของข้าดีมาก”
หลินซื่อประหลาดใจ “เขาพาเจ้าไปอย่างนั้นหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ” เกี่ยวกับจุดนี้ เจียงซูเหย่ารู้สึกว่าเซี่ยสวินมีน้ำใจอย่างยิ่ง “เขาพาข้าไปกินที่ร้านอาหารและแผงขายอาหาร รอบหนึ่ง ถึงทำให้ข้าเข้าใจความหมายของการเปิดร้านอาหาร”
หลินซื่อยังคงให้ความสนใจเรื่องที่เซี่ยสวินพานางไปปรากฏตัวที่ตลาดนัดของชาวบ้าน เมื่อเห็นเจียงซูเหย่าตื่นเต้นถึงเพียงนี้ จึงอดที่จะยิ้มไม่ได้ “อย่างนั้นเจ้าพูดมา”
“ยกตัวอย่างเช่นร้านที่ขายเนื้อตุ๋นร้านนั้น ราคาไม่ถูกแต่รสชาติกลับไม่ดี หากข้าเป็นคนทำ จะต้องสามารถทำได้อร่อยกว่าที่นางทำอย่างแน่นอน คนงานที่ท่าเรือต้องอาศัยแรงกายในการหาเงิน ไม่ได้พิถีพิถันและตระหนี่ถี่เหนียวต่ออาหารกลางวัน สำหรับพวกเขาแล้ว การกินอาหารก็เป็นแค่การเพิ่มพละกำลัง แต่มีใครบ้างจะไม่เต็มใจที่จะกินอาหารอร่อยๆในราคาเท่าเดิม”
หลินซื่อมีความคิดผุดขึ้นในสมองอย่างเลือนราง ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วมองนาง “แล้วยังมีอะไรอีก”
“ยังมีรสชาติด้วย แผงขายปลาที่ท่าเรือขายน้ำแกงปลาที่มีกลิ่นคาวอ่อนๆ ที่ร้านขายบะหมี่ก็ทำบะหมี่ในน้ำแกงกระดูกโดยหั่นเนื้อไปต้มสองสามชิ้น ไม่มีใครเสียเวลาในการปรุงอาหารมากเกินไป มันเหมือนกับว่าอาหารอร่อยๆ จะสามารถลิ้มรสได้เฉพาะในหอสุราราคาแพงที่อยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น แต่อาหารประเภทนี้ ไม่จำเป็นจะต้องประณีตมากเกินไป ก็สามารถทำให้อร่อยได้”
ขณะที่เจียงซูเหย่าเอ่ยถึงเรื่องนี้ หลินซื่อก็มีความคิดเหล่านี้แล้ว ในเวลานี้ไม่ถือว่าตื่นเต้น แต่ขบคิดอย่างช้าๆ เอ่ยถามว่า “หากว่าเป็นเจ้า เจ้าสามารถทำอะไรได้บ้าง”
เมื่อเจียงซูเหย่าได้ยินนางถามเช่นนี้ แล้วรู้สึกว่ามีความหวังขึ้นมาแล้ว จึงพยายามนำเสนอ “ได้มากมายเจ้าค่ะ เพียงแค่ทำเนื้อสัตว์ พวกเราก็สามารถทำได้ทุกประเภท และไม่จำเป็นจะต้องยึดติดกับเนื้อสัตว์ด้วย อาหารมังสวิรัติก็สามารถผัดออกมาให้มีรสชาติได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีบะหมี่ และเนื้อหมูก็สามารถเปลี่ยนรูปแบบได้ อย่างเช่น บะหมี่เครื่องในไก่ มะเขือยาวผัดหมูสับกับบะหมี่ บะหมี่ผักดองหมูเส้นเป็นต้น”
แผนการในสมองของหลินซื่อค่อยๆชัดเจนขึ้น “เจ้าต้องการให้กิจการด้านอาหารของท่าเรือทั้งหมดอยู่ในมือของตระกูลหลินอย่างนั้นใช่หรือไม่”
“ไม่เพียงแค่ท่าเรือ แต่ยังรวมถึงที่อื่นๆด้วย ถึงอย่างไรตระกูลของพวกเรามีส่วนเกี่ยวข้องในการค้าขายเสบียงอาหาร อยู่แล้ว ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องขายต่อ แต่สามารถปรุงอาหารได้โดยตรง ทำให้ลดปัญหาที่อยู่ตรงกลางไปได้หลายชั้น คำนวณดูแล้วจะได้ของคุณภาพดีราคาถูก แถมยังช่วยประหยัดเวลาในการปรุงอาหารของผู้คนอีกด้วย”
หลินซื่อหลุบตาลง ขณะที่คำนวณบัญชีอยู่ในสมองก็กล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องดี แต่หากว่าตระกูลของพวกเราเปิดร้าน
อาหาร ชาวบ้านคนอื่นๆที่ขายอาหารก็จะไม่มีหนทางรอด”
เจียงซูเหย่าไม่ได้คิดถึงในจุดนี้ จึงตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนี้
หากจุดประสงค์ในการทำการค้าคือการหาเงิน หลินซื่อก็คงไม่กังวลอะไรมาก แต่การค้านี้ทำกับชาวบ้านธรรมดา และยังเป็นการแย่งชิงการค้าของชาวบ้านธรรมดาด้วย ตระกูลหลินมั่งคั่งร่ำรวย ไม่ถึงกับต้องแข่งขันหากำไรกับชาวบ้าน
เมื่อหลินซื่อเห็นเจียงซูเหย่านิ่งเงียบ ก็เผลอหัวเราะออกมา ขณะกำลังจะอ้าปาก เจียงซูเหย่าพลันชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า “นี่ไม่ดีหรอกหรือ”
“พวกเราสามารถให้พวกเข้าร่วมเป็นพันธมิตรได้ เอิ่ม หมายถึงว่าให้ลงชื่อในสัญญาเพื่อเข้าร่วมกับร้านอาหารของ
พวกเรา ซึ่งบังเอิญว่าตระกูลหลินกำลังขาดกำลังคนอยู่พอดี ถึงอย่างไรพวกเขาก็ทำงานอาชีพนี้อยู่แล้ว พวกเขาสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว แถมยังช่วยประหยัดเวลาด้วย พวกเราตระกูลหลินยังสามารถเสนอความคุ้มครองแก่พวกเขาได้ ไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะมีคนมาก่อเรื่องวิวาท นี่เป็นเรื่องที่ได้ผลดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย”
เจียงซูเหย่ากล่าวอย่างคลุมเครือ แต่หลินซื่อมีพรสวรรค์ในด้านการค้าอย่างมาก นัยน์ตาทอประกายเมื่อได้ยินคำพูดนั้น บวกกับเค้าโครงการค้าที่ร่างออกมาคร่าวๆเมื่อครู่นี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น
นางเอามือกุมท้องแล้วลุกขึ้นยืน เดินกลับไปกับมาอยู่สองรอบ ราวกับกำลังฟังเจียงซูเหย่าและราวกับกำลังพูดกับตัวเองอยู่ “ไม่รีบร้อน ไม่รีบร้อน เวลานี้สมควรค่อยๆหารือ”
นางนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง กล่าวกับเจียงซูเหย่าว่า “เจ้าจดความคิดทั้งหมดที่เจ้าคิดออก แม่จะดูว่าสามารถเป็นไปได้หรือไม่” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “หากว่าเป็นไปได้ พวกเราก็ลองจากท่าเทียบเรือของพวกเราดูก่อน”
เจียงซูเหย่ารู้สึกดีใจ เมื่อได้ยินนางรับปากแล้ว “ได้!”
หลินซื่อเองก็ตื่นเต้นเช่นกัน แต่เมื่อเห็นท่าทางของเจียงซูเหย่าเช่นนี้ ยังคงแสร้งทำเป็นกล่าวอย่างรังเกียจว่า “เอาล่ะ ช่างเหมือนกับแม่จริงๆ พอพูดถึงทำการค้าก็รู้สึกดีอกดีใจ”
เจียงซูเหย่าไม่เห็นด้วย นางไม่ได้มีความสุขเพราะได้ทำการค้า แต่เป็นเพราะหลินซื่อมีความสุขต่างหาก แต่ในเมื่อหลินซื่อคิดอย่างนี้ นางก็ไม่จำเป็นจะต้องไปโต้แย้ง
หลังจากที่เจียงซูเหย่าออกมาจากเรือนของหลินซื่อ รอยยิ้มบนใบหน้ายังไม่ได้จางหายไป เมื่อเซี่ยสวินได้เห็นท่าทางของนางก็รู้ได้ทันทีว่าเซียงหยางป๋อฮูหยินคิดตกแล้ว
เขาก็พลอยรู้สึกดีใจไปกับนางด้วย กล่าวว่า “คราวนี้ไม่เป็นทุกข์แล้วกระมัง”
เจียงซูเหย่าเลิกคิ้วและคลี่ยิ้ม “เป็นทุกข์สิ เป็นทุกข์แน่นอนอยู่แล้ว ข้าต้องพยายามคิดสูตรอาหาร ไม่อาจขี้เกียจได้อีกต่อไปแล้ว” เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางมีความฮึกเหิมในการทำงานอย่างยิ่ง แล้วตบไหล่ของเซี่ยสวิน “ภารกิจสำคัญอย่างการชิมอาหารต้องมอบให้เป็นหน้าที่ของท่านแล้ว”
เมื่อพูดถึงการชิมอาหาร เจียงซูเหย่าไม่ได้พูดอย่างคลุมเครืออีก
ในวันเดียวกันนั้นหลังจากที่ได้กลับไปแล้ว อาหารเย็นของทั้งสองคนได้กลายเป็นการลองชิมอาหาร เจียงซูเหย่าคิดว่านอกจากอาหารประเภทหมูเส้น หมูแผ่นทอดแบบดั้งเดิมแล้ว หากมีอาหารอย่างอื่นที่มากินคู่กับข้าวด้วยก็คงจะไม่เลว อย่างเช่นข้าวไก่อบ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ในอุตสาหกรรมการส่งอาหาร
เอาเนื้อไอไก่มาหั่นเป็นชิ้น แล้วหั่นเห็ดหอม ต้นหอม ขิง กระเทียม เมื่อไม่มีพริกหยวก รสเผ็ดเล็กน้อยของไก่อบสามารถทดแทนได้ด้วยพริกเล็กน้อยได้ชั่วคราว
ใส่น้ำมันลงในหม้อ ผัดหัวหอม ขิง กระเทียม ใส่เนื้อไก่ และผัดช้าๆ เมื่อเนื้อไก่เปลี่ยนสีแล้ว ถึงเติมสุราข้าวเหนียวลงไป เครื่องปรุงรสถั่วเหลืองแห้ง โต้วป้านเจี้ยง เต้าเจี้ยวปรุงรส ซีอิ๊วขาว น้ำส้มสายชูดำ และพริกป่น จากนั้นใส่เห็ดหอมแล้วทำการผัด
น้ำที่ใช้แช่เห็ดไม่สามารถเทออกได้ หลังจากผัดส่วนผสมแล้ว ก็เทน้ำลงในหม้อ ตั้งไฟอ่อนๆ และอบไปสักพัก
เหนือสิ่งอื่นใด ฝีมือการทำน้ำปรุงรสของเจียงซูเหย่านั้นยอดเยี่ยมมาก แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเวลาพอที่จะหมักน้ำปรุง
รส มิฉะนั้นนางอาจจะสามารถวางโถน้ำปรุงรสให้ตั้งเรียงไว้บริเวณใกล้ๆห้องครัวเล็กได้
ขณะที่รอให้เนื้อไก่สุกด้วยไฟอ่อน เจียงซูเหย่ามองดูไหน้ำปรุงรสขนาดเล็ก พลางครุ่นคิดว่าจะถือโอกาสจัดตั้งโรงงานผลิตน้ำปรุงรสไปด้วยดีหรือไม่
เมื่ออบใกล้จะสุกแล้ว ก็ย้ายไก่อบไปใส่ในหม้อดิน แล้วปิดฝาต้มอย่างช้าๆ
เนื้อไก่ที่ต้มในหม้อดินนั้นนุ่มมาก และน้ำปรุงรสจะละลายเข้าไปในเนื้อหลังจากต้มด้วยไฟอ่อนๆ น้ำแกงจะมีรสชาติเข้มข้น หลังจากเคี่ยวน้ำแกงจนข้นแล้ว น้ำแกงที่เข้มข้นจะห่อหุ้มเนื้อไก่ไว้อย่างแน่นหนา จะมีความหอมและสดอร่อย จะรับประทานกับข้าวหรือจะเอาน้ำแกงราดข้าวก็ได้
เจียงซูเหย่าได้ให้สาวใช้ยกไปทั้งหม้อดิน หม้อดินจะรักษาอุณหภูมิที่เหลือไว้ นอกจากรักษาความร้อนไว้แล้ว ในขณะเดียวกันก็ยังรักษาความสดนุ่มของไก่ไว้ได้อย่างดีมาก
เซี่ยสวินเมื่อได้เห็นหม้อดิน ก็อดที่จะกลืนน้ำลายไม่ได้ อย่างไรเสีย หมูสามชั้นน้ำแดงในตอนเที่ยงก็ทำในหม้อดินเช่นเดียวกัน ซึ่งรสชาติดีมาก เห็นอยู่ว่าในตอนเที่ยงกินอย่างสาแก่ใจไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นยังคงนึกถึงอยู่ตลอดเวลา
เขาเหลือบมองเข้าไปในหม้อดิน กลับพบว่ามันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับหมูสามชั้นน้ำแดง
ไก่อบมีน้ำแกง และน้ำแกงสีน้ำตาลแดงยังสู้เนื้อไก่สีเหลืองเหมือนขมิ้นไม่ได้ แม้ว่าสีของน้ำแกงจะเข้ม แต่กลับใสมาก แล้วยังมีน้ำมันบางๆ ลอยอยู่บนผิว พร้อมกับเห็ดหอมที่หั่นชิ้นหนาๆ มองดูแล้วมีความเค็ม ความหอม ความสด ความข้นแต่กลับไม่แรงมาก
เจียงซูเหย่าคุ้นชินกับการละเว้นกฎระเบียบยุ่งยากก่อนกินอาหาร แล้วขยับตะเกียบทันทีโดยไม่รีรอ เซี่ยสวินก็เคยชินแล้ว จึงรีบขยับตะเกียบตาม
คีบเนื้อไก่ขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เนื้อไก่มีความนุ่มมาก สามารถแทะออกมาจากกระดูกไก่ได้อย่างง่ายดาย เมื่อเอาเข้าปาก มีความสดและลื่น กลับไม่ได้ตุ๋นจนเปื่อยยุ่ย ยังคงรักษารสสัมผัสดั้งเดิมของเนื้อไก่เอาไว้ได้
กลิ่นหอมของเห็ดหอมได้แทรกซึมเข้าไปในเนื้อไก่ ขจัดกลิ่นคาว เพิ่มความสด น้ำแกงมีความเค็มความสด และเข้าเนื้อมาก ซึ่งมีความเค็มพอดี ไม่ได้ทำให้กลิ่นหอมของเนื้อไก่หายไป
เมื่อเทียบกับหมูสามชั้นน้ำแดงที่ให้ความสำคัญกับความมันเยิ้มและความกลมกล่อม ในขณะที่ไก่อบจะให้
ความสำคัญกับความเค็มความสดมากกว่า
เห็นได้ชัดว่าน้ำแกงถูกเคี่ยวจนข้นแล้ว น้ำแกงกลับไม่ได้เหนียวข้น เนื้อไก่ที่ถูกห่อหุ้มด้วยน้ำแกงไม่ได้หนามาก รสสัมผัสนั้นอ่อนนุ่มสดชื่น
เซี่ยสวินเคี้ยวเนื้อไก่ไปหลายชิ้น แล้วคีบเห็ดหอมขึ้นมาชิ้นหนึ่ง
เห็ดหอมมีความหนาและนุ่ม มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ได้อาบย้อมด้วยกลิ่นหอมของน้ำปรุงรสและเนื้อไก่ กลิ่นหอมของเห็ดได้ฟุ้งกระจายอย่างเต็มที่ แค่กินเห็ดหอมอย่างเดียวก็บรรเทาความหิวไปได้มากแล้ว
ไก่อบหนึ่งคำ ข้าวหนึ่งคำ ไม่นานจากนั้นข้าวสวยก็เหลือแค่ครึ่งชาม
เซี่ยสวินเก่งเรื่องการเปรียบเทียบ หลังจากที่ได้เข้าสำนักศึกษา เกี่ยวกับเรื่องการกินก็ไม่อ่อนด้อยเช่นกัน เมื่อรู้ถึงความอร่อยของข้าวที่อยู่ในน้ำแกง เขาจะปล่อยน้ำแกงของไก่อบไปได้อย่างไร
หยิบช้อนขึ้นมาตักน้ำแกงหนึ่งช้อน แล้วเป่าเบาๆเพื่อกระจายความร้อน เมื่อเข้าปากแล้วความร้อนอันอบอุ่นจะไหลจากลำคอลงไปในกระเพาะ แล้วความสดและความหอมกรุ่นได้อบอวลไปทั่วริมฝีปากและแก้มของเขา
น้ำแกงมีความเค็มเล็กน้อย ต้องกินกับข้าวถึงจะอร่อย
น้ำแกงใสรสชาติเค็ม น้ำปรุงรสหอมมาก ข้าวสวยถูกแช่จนนิ่ม ซึ่งดูดซับกลิ่นหอมของเนื้อและความสดของเห็ดได้
อย่างเต็มที่ มีทั้งความเค็ม ความสดใหม่แล้วยังมีความสดชื่นและอร่อยถูกปาก
หลังจากกินไปไม่กี่คำก็พบว่าไก่อบมีรสเผ็ดเล็กน้อย แต่รสเผ็ดนี้อ่อนมาก หลังจากที่กินแล้วจะมีความเผ็ดเล็กน้อยที่หลงเหลืออยู่ในริมฝีปากและฟัน ซึ่งไม่เพียงแต่เพิ่มรสสัมผัสมากขึ้น แต่ยังทำให้คนที่ไม่ชอบกินเผ็ด เกิดความรู้สึกชอบอาหารจานนี้ขึ้นมา
เซี่ยสวินกินข้าวที่อยู่ตรงหน้าหมดลงในชั่วอึดใจเดียว แล้วมีเหงื่อผุดซึมบนหน้าผากชั้นหนึ่ง อาหารมื้อนี้กินได้อย่างสบายใจเป็นอย่างมาก
เจียงซูเหย่าก็วางตะเกียบ เอ่ยถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
“น้ำแกงมีความเค็มความหอมความเข้มข้น เนื้อไก่ก็สดอร่อยและนุ่มกำลังดี”
เจียงซูเหย่าพยักหน้า และบอกความคิดของตัวเองออกมา “นอกจากอาหารจานนี้แล้ว ข้าจะเตรียมอาหารประเภทเนื้อสัตว์สองสามอย่างด้วยเนื้อปลาและเนื้อหมู ที่เหลือจะเป็นอาหารประเภทผักและน้ำแกง ทั้งหมดจะทำเป็นหม้อใหญ่แล้วใส่ลงในถังอาหาร ลูกค้าจะกินข้าวสวย ขนมเปี๊ยะ หมั่นโถวเป็นอาหารหลัก จากนั้นสามารถเลือกอาหารสองสามอย่างได้ตามใจชอบ โดยไม่จำเป็นต้องรอ คนขายอาหารก็จะสามารถตักออกมาราดใส่ชามข้าวหรือจานได้ทันที เนื้อสัตว์และผักกำลังพอดี รสชาติเข้มข้น ”
เซี่ยสวินตั้งใจฟังอย่างละเอียก พยักหน้าหงึกๆ กล่าวว่าชื่นชมว่า “วิธีนี้ฟังดูแปลกใหม่ แต่ถ้าเจ้าทำอาหารหม้อใหญ่ทุกครั้ง จะสูญเสียความอร่อยไปหรือไม่”
“ไม่แน่นอน วันนี้ข้าก็ทำในหม้อใหญ่” เจียงซูเหย่าชี้ไปที่หม้อดินที่มีไก่อบเหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง “พรุ่งนี้อาหารเที่ยงของท่านจะอยู่ในนี้”
เซี่ยสวินมองเข้าไปในหม้อดิน มันเป็นหม้อใหญ่จริงๆ และก็ไม่ได้ทำให้เสียรสชาติ
“ได้ วันรุ่งขึ้นข้าจะลองชิมอีกครั้ง มักจะรู้สึกไม่วางใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เสมอ มันมีความแตกต่างกันระหว่าง
ที่ปรุงสุกใหม่เพิ่งออกมาจากหม้อกับที่ถูกเอาไปอุ่นซ้ำ” เซี่ยสวินตระหนักถึงความคิดของเจียงซูเหย่าได้ด้วยตัวเอง
เจียงซูเหย่าผู้ซึ่งตื่นเต้นเกินไปจนไม่ได้ควบคุมปริมาณจนเผลอทำหม้อใหญ่ ก็แสร้งทำเป็นมีความคิดเหมือนกับ
เซี่ยสวิน และพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
เกี่ยวกับเรื่องที่จะให้เซี่ยสวินจัดการอาหารที่เหลือนั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอธิบาย