[ทดลองอ่าน] เชิญร่ำสุรา 將進酒 ตอนที่ 2

 เชิญร่ำสุรา
將進酒

 

ถังจิ่วชิง
唐酒卿

กอหญ้า แปล

 

โปรย

สุนัขชั่ว ปะทะ สุนัขบ้า

จงปั๋วหกโจวถูกประเคนยกให้แก่ศัตรูต่างแคว้น เสิ่นเจ๋อชวนถูกคุมตัวมายังเมืองหลวง
ถูกประนามหยามเหยียดจากทุกคน เมื่อเซียวฉือเหย่ได้ข่าว ก็มิร้องขอให้ผู้ใดลงมือแทน
เขาหมายมั่นจะเตะเสิ่นเจ๋อชวนให้พิการด้วยตนเอง
ทว่าใครจะรู้เล่าว่าเจ้าคนอ่อนแอขี้โรคนี่จะแว้งกัดเขาเสียจนเลือดสาด
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความบาดหมางระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง
ที่จำต้องฉีกทึ้งกันทุกครายามเผชิญหน้ากัน

“โชคชะตาต้องการให้ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่ชั่วชีวิต แต่นี่หาใช่เส้นทางที่ข้าเลือกไม่…
ทรายเหลืองกลบฝังพี่น้องข้า ข้าไม่อยากยอมจำนนให้กับชีวิตอันว่างเปล่าอีกแล้ว
ราชโองการมิอาจช่วยเหลือทหารของข้าได้
ราชสำนักมิอาจเลี้ยงดูม้าของข้าให้อิ่มได้…
ข้าไม่อยากทุ่มเทรับใช้พวกเขาด้วยชีวิตอีกแล้ว…
ข้าจะข้ามเขาลูกนั้นไป… ข้าจะต่อสู้เพื่อตัวเองสักครั้ง”

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

 

บทที่ 2 โบยให้ตาย

 

ภายในคุกหลวงแสงไฟมืดสลัว เสิ่นเจ๋อชวนมือเท้าเย็น เริ่มหายใจไม่ออก เชือกตรงข้อมือรัดแน่น เขาถูข้อมือสองข้างไม่หยุด แต่ก็ไม่ช่วยอะไร

กระสอบดินกดทับอยู่บนหน้าอก เขารู้สึกเหมือนถูกโยนลงไปในบ่อน้ำลึก ข้างหูดังอื้ออึง ลมหายใจสับสน เหมือนคนจมน้ำที่มิอาจหายใจต่อไปได้

เสิ่นเจ๋อชวนกลอกตาจ้องมองแสงไฟนอกรั้วลูกกรง

องครักษ์จิ่นอีหลายคนกำลังดื่มสุราในห้อง พวกเขาเล่นทายนิ้วมือปรับสุรา[1]พลางร้องตะโกน ไม่มีเวลาหันกลับมามองเขาแม้แต่แวบเดียว เสิ่นเจ๋อชวนถูกกระสอบดินตรึงอยู่บนเสื่อหญ้าหยาบแข็ง ความรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกประหนึ่งน้ำไหลบ่าที่กลบฝังเขา

ตรงหน้าพร่าเลือนเล็กน้อย เสิ่นเจ๋อชวนยกหัวสูง กัดฟันขยับเท้า สองขาถูกโบยจนชา ยามนี้เมื่อยกขึ้นจึงไม่มีความรู้สึก เขาเหยียบมุมซ้ายของเตียงไม้ ไม้กระดานตรงนั้นถูกแมลงแทะจนผุแล้ว ก่อนหน้านี้หนึ่งวันเขายังนั่งทับจนมันหักไปเล็กน้อย

เขาหายใจลำบากมากขึ้นทุกที

เสิ่นเจ๋อชวนเหยียบตรงมุมนั้น ออกแรงทั้งหมดกระทืบเท้าลงไป ทว่าแข้งขาเขาไร้เรี่ยวแรง ขนาดกระทืบเท้ายังไม่มีเสียงแม้แต่น้อย เตียงไม่ขยับเลยสักนิด เหงื่อเย็นหลั่งไหลไม่หยุด เสื้อผ้าด้านหลังเปียกชุ่ม

เขาอยากมีชีวิตรอด

เสิ่นเจ๋อชวนเปล่งเสียงออกมาจากลำคออย่างคลุ้มคลั่ง กัดปลายลิ้นจนเป็นแผล ออกแรงกระทืบไม้กระดานเตียงต่อไป

ศพที่สภาพไม่เหมือนคนของจี้มู่เปรียบดังแส้ที่หวดฟาด กระตุ้นให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อ เหมือนข้างหูเขายังมีเสียงของจี้มู่ดังสะท้อน

เขาต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป!

เสิ่นเจ๋อชวนกระแทกไม้กระดานบนเตียงอย่างแรง ในที่สุดก็ได้ยินเสียงดังเป๊าะ ไม้กระดานถูกกระทืบจนหักไปครึ่งหนึ่ง ร่ายกายเขาไถลลงไปข้างล่าง กระสอบดินเลื่อนตกลงไป เขาเหมือนคนที่โผล่พ้นน้ำ ร่วงลงบนพื้นหอบหายใจคำโต

พื้นห้องเย็นเฉียบ ขาที่บาดเจ็บของเสิ่นเจ๋อชวนไม่ฟังคำสั่งอีก เขาใช้ข้อศอกยันกายขึ้น เหงื่อไหลตามสันจมูกและหยดลงมา ภายในคุกอากาศเย็น แต่เขากลับรู้สึกเหมือนร่างกายถูกไฟแผดเผาไปทั้งร่าง ร้อนจนอวัยวะภายในเดือดพล่านไปหมด ในที่สุดก็กลั้นไม่อยู่ ก้มศีรษะลงอาเจียนแห้งๆ

เสิ่นเว่ยสมควรตาย

จงปั๋วมีกำลังทหารหนึ่งแสนสองหมื่น แบ่งเป็นหกโจวเพื่อตั้งแนวป้องกันข้าศึก หลังจากพ่ายศึกที่แม่น้ำฉาสือ ทหารม้าเปียนซารุกเข้ามาในแนวป้องกันตุนโจว เป็นเช่นที่ผู้สอบสวนพูด ตอนนั้นยังมีโอกาสกอบกู้สถานการณ์ เสิ่นเว่ยไม่เพียงมีกำลังทหารที่แข็งแกร่ง มีอาชาที่พ่วงพี มีเสบียงอาหารสมบูรณ์ แต่ยังมีทหารรักษาการณ์ของสามเมืองในตวนโจวที่สามารถสั่งการโยกย้ายได้ ทว่าเขากลับสละตวนโจวทิ้งอย่างเหนือคาด หนีกลับจวนหวังในตุนโจวอย่างขี้ขลาดตาขาว

การหลบหนีครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความปราชัยของจงปั๋ว ตวนโจวสามเมืองถูกทหารม้าเปียนซากวาดล้างสังหารทั้งหมด ทหารรักษาการณ์เสียขวัญและหนีลงใต้ ทุกคนต่างคิดว่าเสิ่นเว่ยจะต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับพวกเปียนซาสิบสองเผ่าที่ตุนโจว ทว่าพอเขาทราบข่าวกลับหนีไปอีกครั้ง

ทหารจงปั๋วพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง ทหารม้าเปียนซาเหมือนดาบเหล็กที่สาดประกายคมกริบเล่มหนึ่ง แทบจะแทงทะลุหกโจวทั้งหมด พวกเขาควบม้าเข้าสู่สมรภูมิโดยไม่สวมชุดเกราะ ใช้ศึกเลี้ยงศึก[2]รุกไล่มาจนถึงบริเวณแปดร้อยหลี่[3]นอกนครหลวงชวี่ตูของอาณาจักรต้าโจว

หากตอนล่าถอยเสิ่นเว่ยเผายุ้งฉางในเมือง ใช้กลยุทธ์ซ่อนเสบียงกำจัดศัตรู[4] ทหารม้าเปียนซาย่อมไม่มีทางรุกล้ำเข้ามาได้ไกลถึงเพียงนี้ เพราะพวกเขาไม่มีเสบียงอาหาร ล้วนอาศัยอาหารในเมืองที่ยึดได้เป็นเสบียงของกองทัพ หากเสบียงอาหารภายในเมืองถูกเผาจนสิ้น ต่อให้เป็นทหารม้าเปียนซาที่ห้าวหาญเพียงใดก็ต้องหิวโหย

เมื่อท้องหิวย่อมมิอาจทำศึกต่อได้ พอถึงเวลาทหารม้าเหล็กหลีเป่ยจะข้ามแม่น้ำปิงเหอมา ตัดทางถอยของพวกเปียนซาสิบสองเผ่าจากด้านบน ทหารรักษาการณ์ในฉี่ตงจะปิดกั้นทางหนีของเปียนซาสิบสองเผ่าบริเวณหอประตูเทียนเฟย เมื่อเป็นเช่นนี้ ชนเผ่าที่ใช้ดาบโค้งเป็นอาวุธย่อมกลายเป็นตะพาบในโอ่ง[5] มิอาจอดทนจนผ่านพ้นฤดูหนาวไปได้แน่นอน

ทว่าเสิ่นเว่ยหาได้ทำเช่นนี้ไม่

เขาไม่เพียงไม่ต่อต้าน ยังทิ้งเสบียงอาหารทั้งหมดภายในเมืองไว้ให้ทหารม้าเปียนซา ทหารม้าเปียนซาอาศัยอาหารของชาวต้าโจว กวาดล้างเมืองต่างๆ และสังหารชาวต้าโจว ม้าของพวกเขาถูกเสิ่นเว่ยเลี้ยงดูจนอ้วนพี คอยไล่ต้อนชาวบ้านและทหารเชลยที่แม่น้ำฉาสือ ก่อนจะฝังพวกเขาทั้งเป็นภายในคืนเดียว

ทว่าเสิ่นเจ๋อชวนหนีรอดจากความตายมาได้

บัดนี้ชวี่ตูจะสะสางบัญชี คำสั่งโยกย้ายทั้งหมดของเสิ่นเว่ยสมัยยังมีชีวิตอยู่ดูสะเพร่าเป็นพิเศษ เขาเหมือนกำลังประสานในนอกกับพวกเปียนซาสิบสองเผ่าอยู่จริงๆ กระนั้นเสิ่นเว่ยกลับกลัวความผิดและฆ่าตัวตายไปเสียก่อน เขาเผาตัวเอง รวมถึงเผาทำลายเอกสารทั้งหมด แม้แต่องครักษ์จิ่นอีที่ปฏิบัติงานว่องไวเฉียบขาด บัดนี้ยังจนปัญญามิอาจหาหลักฐานได้

ในเมื่อองค์เหนือหัวต้องการสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างแจ้ง พวกเขาจึงได้แต่สอบปากคำเสิ่นเจ๋อชวนที่อาจจะรู้เรื่องไม่หยุด ทว่ามารดาของเสิ่นเจ๋อชวนเป็นเพียงนางรำในตวนโจว เสิ่นเว่ยมีบุตรชายมากเกินไป เสิ่นเจ๋อชวนเป็นบุตรอนุลำดับที่แปด ไม่ว่าอย่างไรตำแหน่งผู้สืบทอดก็ไม่มีทางตกมาถึงเขา เขาจึงถูกขับออกจากจวนหวังในตุนโจวไปอยู่ตวนโจว ใช้ชีวิตตามยถากรรมตั้งนานแล้ว เกรงว่าแม้แต่เสิ่นเว่ยเองยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามีบุตรชายคนนี้อยู่

มีคนจะเอาชีวิตเขา

นี่หาใช่ความลับแต่อย่างใด เขามาชวี่ตูก็เพื่อรับโทษแทนบิดา เขาเป็นทายาทที่เหลืออยู่ของสกุลเสิ่นในจงปั๋ว หนี้บิดาบุตรต้องชดใช้ หลังการสอบสวนในคุกหลวงเสร็จสิ้น ฝ่าบาทจะต้องเอาชีวิตเขาไปเซ่นสังเวยดวงวิญญาณของทหารสามหมื่นนายที่ถูกฝังในสงครามที่แม่น้ำฉาสือแน่นอน

แต่นั่นก็ไม่ควรเป็นการลอบสังหารเช่นนี้

เสิ่นเจ๋อชวนใช้นิ้วโป้งเช็ดมุมปาก เอียงศีรษะไปด้านข้างถ่มน้ำลายปนเลือดออกมา

ถ้าเสิ่นเว่ยสมคบข้าศึกหมายก่อกบฏจริง เช่นนั้นช้าเร็วเสิ่นเจ๋อชวนก็ต้องตายอยู่แล้ว ไยต้องวุ่นวายส่งคนมาลอบสังหารลูกอนุไร้ชื่อไร้แซ่คนหนึ่งอย่างเขาด้วย แสดงว่าในชวี่ตูยังมีคนกังวลผลการสอบสวนอยู่ หากเป็นเช่นนี้ย่อมหมายความว่า การแพ้สงครามครั้งนี้ของเสิ่นเว่ยมีลับลมคมใน

เสิ่นเจ๋อชวนไม่รู้อะไรเลย

ตอนอยู่ตวนโจวเขามีอาจารย์ พี่น้องของเขาคือจี้มู่บุตรชายคนเดียวของอาจารย์ สำหรับเขาแล้ว เสิ่นเว่ยเป็นเพียงเจี้ยนซิงหวัง ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเขา ตกลงแล้วเสิ่นเว่ยสมคบข้าศึกจริงหรือไม่ เขาไม่มีทางรู้ได้

ทว่าเขาต้องยืนกรานปฏิเสธเท่านั้น

เสิ่นเจ๋อชวนหมอบอยู่บนพื้นเย็นเยียบบาดกระดูก หนาวจนสติแจ่มชัดกว่าเมื่อตอนกลางวัน เขาเป็นนักโทษฉกรรจ์ขององครักษ์จิ่นอี หนังสือจับกุม หนังสือคุมขัง ตลอดจนตราอนุมัติที่เกี่ยวกับเขาล้วนถ่ายทอดลงมาจากเบื้องบน เขาถูกนำตัวมาจากหลีเป่ยซื่อจื่อ[6]เซียวจี้หมิงเพื่อเข้าคุกหลวง ฝ่าบาทถึงขั้นปฏิเสธไม่ให้สามตุลาการ[7]ร่วมพิจารณาคดีนี้

นี่แสดงให้เห็นว่าฝ่าบาทไม่มีทางยุติเรื่องนี้ง่ายๆ ทั้งยังตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะสืบให้แน่ชัด แต่ใครกันที่บังอาจถึงเพียงนี้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ยังจะเสี่ยงอันตราย หมายกำจัดเขาก่อนที่ฝ่าบาทจะสอบสวนด้วยตัวเอง

ลมหนาวยังคงคำรามอยู่นอกหน้าต่าง เสิ่นเจ๋อชวนกลอกตาไปมา จับจ้องผนังห้องท่ามกลางความมืด ไม่กล้าหลับตาลงอีก

 

เช้าวันต่อมาฟ้าเพิ่งสว่างได้เล็กน้อย เสิ่นเจ๋อชวนก็ถูกพาตัวเข้ามาในห้องโถงใหญ่อีกครั้ง ลมหิมะนอกหน้าต่างพัดรุนแรง ผู้สอบสวนที่สองวันก่อนยังตีหน้าเย็น บัดนี้กลับระบายยิ้มเต็มหน้า สองมือถือถ้วยชา ยืนอยู่ข้างเก้าอี้ไท่ซือ[8]ด้วยท่าทางเคารพนบนอบ

ขันทีสูงวัยหน้าขาวปราศจากหนวดเครานั่งอยู่บนเก้าอี้ ศีรษะสวมหมวกเยียนตุน[9]ประดับขนกระเรียน ชุดขุนนางปักลายน้ำเต้า[10] เสื้อคลุมตัวนอกไม่ได้ถอดออก เขากำลังหลับตาพักผ่อนพลางกอดเตาอุ่นมือทรงดอกเหมยที่ทำจากทองประดับหยกอย่างประณีต ครั้นได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงลืมตาขึ้น มองไปที่เสิ่นเจ๋อชวน

“พ่อบุญธรรม” จี้เหลยที่รับบัญชาสอบสวนนักโทษตลอดหลายวันที่ผ่านมาค้อมเอวเอ่ย “นี่ก็คือทายาทที่เหลืออยู่ของเจี้ยนซิงหวังเสิ่นเว่ย”

พันหรูกุ้ยมองเสิ่นเจ๋อชวน “ไฉนจึงเป็นเช่นนี้”

จี้เหลยรู้ดีว่าพันหรูกุ้ยไม่ได้ถามว่าเหตุใดเสิ่นเจ๋อชวนจึงมีสภาพสกปรกทรุดโทรมเช่นนี้ แต่กำลังถามเขาว่าเหตุใดสอบสวนมาจนป่านนี้แล้วยังไม่ได้ข้อสรุป

จี้เหลยเหงื่อซึมบริเวณขมับ เขาไม่กล้าเช็ด ได้แต่ยืนอยู่ในท่าค้อมเอวต่อไป “เจ้าหนุ่มผู้นี้โง่เขลายิ่งนัก ตั้งแต่พากลับมาจากจงปั๋วก็ไม่ค่อยได้สติ ไม่รู้ว่าถูกผู้ใดยุแยง จึงไม่ยอมปริปากเสียที”

“สิ่งที่ฝ่าบาทต้องการคือนักโทษฉกรรจ์ที่ทรงประกาศจับกุมด้วยองค์เอง” พันหรูกุ้ยไม่รับน้ำชา “เด็กอายุสิบห้าสิบหกคนหนึ่ง เข้ามาในคุกหลวงอันเลื่องชื่อและให้ใต้เท้าจี้เป็นผู้สอบสวนด้วยตัวเอง ทว่าบัดนี้กลับยังมิอาจส่งมอบคำให้การได้”

จี้เหลยประคองน้ำชายิ้มฝืด “ก็เพราะเป็นนักโทษฉกรรจ์ของฝ่าบาท ข้าจึงมิกล้าลงทัณฑ์ส่งเดช ตอนเขามาถึงเป็นโรคลมหนาวอยู่ก่อนแล้ว หากลงทัณฑ์อย่างไม่รู้หนักเบาจนตายไป คดีเสิ่นเว่ยย่อมกลายเป็นคดีค้างที่ไม่มีข้อสรุป”

พันหรูกุ้ยพิจารณาเสิ่นเจ๋อชวนครู่หนึ่ง “พวกเราต่างเป็นสุนัขรับใช้ของเจ้านาย หากเขี้ยวไม่คม เก็บไว้ก็ไร้ประโยชน์ ข้ารู้ว่าเจ้ามีความลำบากใจ แต่นี่เป็นงานในหน้าที่ของเจ้า ตอนนี้ฝ่าบาทต้องการพบคน เพราะเข้าพระทัยพวกเจ้าองครักษ์จิ่นอี เจ้ายังจะบ่นอันใดอีก”

จี้เหลยรีบหมอบลงไป “พ่อบุญธรรมกล่าวถูกต้องยิ่งนัก ลูกน้อมรับคำสั่งสอน”

พันหรูกุ้ยส่งเสียง “อืม” ออกมาทางจมูก “จัดการเขาให้สะอาดเรียบร้อย เนื้อตัวสกปรกแบบนี้จะเข้าเฝ้าได้อย่างไร”

เสิ่นเจ๋อชวนถูกทหารรับใช้พาไปชำระล้างร่างกาย แผลที่ขาถูกพันไว้ง่ายๆ ก่อนจะสวมชุดผ้าฝ้ายสะอาด เขาปล่อยให้คนอื่นจัดแจงทุกอย่าง เพราะร่างกายเดินเหินไม่สะดวก ตอนขึ้นรถม้ายังต้องเปลืองเวลาไม่น้อย

ในที่สุดพันหรูกุ้ยก็รับน้ำชาจากจี้เหลย มองแผ่นหลังของเสิ่นเจ๋อชวน “นี่คือทายาทที่เหลืออยู่ของสกุลเสิ่นจริงๆ รึ”

จี้เหลยตอบ “ขอรับ เขาเป็นคนเดียวในหลุมยุบฉาสือที่รอดชีวิต เซียวซื่อจื่อแห่งหลีเป่ยจับกุมเขาได้ด้วยตัวเองและขังเขาไว้ในรถนักโทษของทหารม้าเหล็กหลีเป่ยตลอดเวลา ระหว่างทางไม่มีผู้ใดแตะต้องทั้งสิ้น”

พันหรูกุ้ยจิบน้ำชาที่เย็นชืด นานครู่ใหญ่จึงคลี่ยิ้มเย็นชา “เซียวซื่อจื่อเป็นคนรอบคอบ”

 

เสิ่นเจ๋อชวนลงจากรถม้าและถูกองครักษ์จิ่นอีหิ้วตัวเดินไปบนทางยาว หิมะที่เหมือนขนห่านพัดปะทะใบหน้า ขันทีผู้นำทางต่างก้าวเดินอย่างเร่งรีบ ไม่มีการพูดคุยไร้สาระ

พันหรูกุ้ยมาถึงหน้าตำหนักหมิงหลี่ ขันทีน้อยที่ยืนรออยู่ใต้ชายคาเข้ามาต้อนรับทันที เขาถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ให้พันหรูกุ้ยก่อน แล้วเปลี่ยนเสื้อคลุมตัวในให้ จากนั้นค่อยรับเตาอุ่นมือจากมือของพันหรูกุ้ย ขันทีด้านในรายงานฝ่าบาทเรียบร้อยแล้ว พันหรูกุ้ยโขกศีรษะอยู่ข้างประตู “ฝ่าบาท ข้าน้อยพาคนมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ผ่านไปครู่ใหญ่ เสียงทุ้มเนิบจึงดังมาจากข้างใน “พาเข้ามา”

เสิ่นเจ๋อชวนลมหายใจชะงัก เขาถูกหิ้วตัวเข้าไป ภายในจุดกำยานไว้ แต่กลับไม่รู้สึกร้อนชื้น เขาได้ยินเสียงไอกระท่อนกระแท่นหลายที หางตาเหลือบเห็นเท้าสองข้างภายในท้องพระโรง

เสียนเต๋อตี้[11]สวมฉลองพระองค์สีน้ำเงินเข้ม แผ่นหลังผอมจนเห็นกระดูก สุขภาพอ่อนแอ ตลอดสามปีที่ครองราชย์มา เขาล้มป่วยไม่หยุด ยามนี้เมื่อนั่งอยู่บนบัลลังก์ เนื่องจากเลือดลมไม่เพียงพอ ใบหน้ารูปเหลี่ยมขาวซีดจึงดูเกลี้ยงเกลาหมดจดเป็นพิเศษ

“จี้เหลยสอบสวนอยู่หลายวัน” เสียนเต๋อตี้ปรายตามองจี้เหลยที่คุกเข่าข้างหลัง “ได้ความกระจ่างหรือยัง”

จี้เหลยโขกศีรษะ “ทูลฝ่าบาท เจ้าเด็กคนนี้พูดจาวกวนไปมา เต็มไปด้วยช่องโหว่ เรื่องที่รับสารภาพตลอดหลายวันนี้มีความขัดแย้งมากมาย ล้วนมิอาจเชื่อถือได้พ่ะย่ะค่ะ”

เสียนเต๋อตี้สั่ง “ส่งคำให้การของเขาขึ้นมา”

จี้เหลยหยิบคำให้การที่เตรียมไว้อย่างดีออกมาจากอกเสื้อ ยื่นส่งให้พันหรูกุ้ยด้วยสองมือ พันหรูกุ้ยรีบก้าวขึ้นไป ค้อมกายถวายให้เสียนเต๋อตี้

เสียนเต๋อตี้อ่านดูรอบหนึ่ง พอถึงหลุมยุบฉาสือก็ปิดปากไอ เขาไม่ต้องการให้พันหรูกุ้ยเช็ดให้ แต่ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเลือดที่ริมฝีปากด้วยตัวเอง เอ่ยเสียงขรึม “ทหารสามหมื่นตายอยู่ในหลุมยุบ หากเสิ่นเว่ยไม่ตาย ประชาชนย่อมโกรธแค้น”

เสิ่นเจ๋อชวนหลับตา หัวใจเต้นรัวเร็ว ไม่ผิดจากที่คิด อึดใจต่อมาได้ยินเสียนเต๋อตี้เอ่ยต่อ

“เงยหน้าขึ้น!”

เสิ่นเจ๋อชวนลมหายใจถี่กระชั้น ฝ่ามือที่ยันพื้นอยู่เย็นเฉียบ เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ สายตาจับจ้องที่รองเท้าหุ้มแข้งของเสียนเต๋อตี้อย่างระมัดระวัง

เสียนเต๋อตี้มองเขาและถาม “เจ้าคือบุตรชายของเสิ่นเว่ย ทั้งยังเป็นคนเดียวที่รอดชีวิตจากหลุมยุบฉาสือ เจ้ามีวาจาใดจะสั่งเสียหรือไม่”

เสิ่นเจ๋อชวนขอบตาเริ่มแดงเรื่อ เขาตัวสั่นนิดๆ สะอื้นไห้แต่ไม่ตอบอันใด

เสียนเต๋อตี้สีพระพักตร์ไม่เปลี่ยนแปลง “ตอบคำถามเรา!”

เสิ่นเจ๋อชวนช้อนตาขึ้นฉับพลัน น้ำตาในดวงตาไหลรินออกมาและกลิ้งไปบนแก้ม เขาเหลือบตาขึ้นเพียงชั่วพริบตาสั้นๆ เท่านั้น ก่อนจะออกแรงกระแทกหน้าผากกับพื้น หัวไหล่สั่นเทิ้ม เสียงสะอื้นในลำคอถูกเปล่งออกมา

“ฝ่าบาท…ฝ่าบาท! บิดาข้าทำเพื่อบ้านเมือง เมื่อพ่ายศึกก็รู้สึกละอายแก่ใจ ไม่มีหน้าจะพบผู้ใดในจงปั๋วอีก ด้วยเหตุนี้จึงเผาตัวเองตายเพื่อรับผิดพ่ะย่ะค่ะ!”

เสียนเต๋อตี้ตวาด “เหลวไหล! หากเขามีใจทำเพื่อบ้านเมือง ไฉนจึงถอยหนีครั้งแล้วครั้งเล่า”

เสิ่นเจ๋อชวนสะอื้นไห้เสียงแหบ “บิดาข้าส่งบุตรชายทั้งหมดเข้าสู่สมรภูมิ พี่ใหญ่ข้าเสิ่นโจวจี้ถูกชาวเปียนซาใช้ม้าลากไปบนทางหลวงฉาสือจนตาย หากมิได้มีใจภักดี จะทำถึงขั้นนี้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

เสียนเต๋อตี้กริ้ว “เจ้ายังกล้าพูดถึงสงครามที่ฉาสืออีกรึ เสิ่นโจวจี้หนีศึกกลางคัน ความผิดมิอาจอภัย”

เสิ่นเจ๋อชวนเงยหน้ามองเสียนเต๋อตี้ น้ำตาพรั่งพรูราวสายฝน แผดเสียงตอบ “สงครามที่แม่น้ำฉาสือ โลหิตไหลนองเป็นสายน้ำ พี่ใหญ่ข้าแม้เลอะเลือนไร้ความสามารถ แต่ก็ต้านข้าศึกไว้ได้สามวัน ภายในสามวันนี้ข่าวทางทหารถูกรายงานไปยังฉี่ตงและหลีเป่ย หากไม่มีเวลาสามวันนี้…”

เขาสะอึกสะอื้นจนมิอาจพูดต่อได้

เสียนเต๋อตี้มองคำให้การในมือ ภายในท้องพระโรงไม่มีเสียงอื่นใด มีเพียงเสียงสะอื้นไห้ของเสิ่นเจ๋อชวน ท่ามกลางความเงียบอันยาวนาน ปลายนิ้วของเสิ่นเจ๋อชวนจิกเข้าไปในเนื้อ

เสียนเต๋อตี้พลันถอนหายใจยาว “เสิ่นเว่ยสมคบข้าศึกหรือไม่”

เสิ่นเจ๋อชวนตอบอย่างหนักแน่นยืนกราน “ไม่พ่ะย่ะค่ะ”

คิดไม่ถึงว่าเสียนเต๋อตี้จะวางคำให้การทันใด น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น “เจ้ามันเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก หมายจะหลอกลวงเบื้องสูง เก็บไว้ไม่ได้! พันหรูกุ้ย ลากตัวเขาออกไป โบยให้ตายที่ประตูตวนเฉิง!”

“ข้าน้อยน้อมรับพระบัญชา!” พันหรูกุ้ยรับคำสั่งทันที ค้อมกายและถอยออกมา

เสิ่นเจ๋อชวนเหมือนถูกน้ำเย็นราดรดศีรษะ รู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัว เขาดิ้นรนทันที แต่กลับถูกองครักษ์จิ่นอีปิดปากแน่นและลากตัวออกจากตำหนักหมิงหลี่อย่างรวดเร็ว

 

[1] ทายนิ้วมือปรับสุราเป็นการละเล่นในวงเหล้า วิธีเล่นคือสองฝ่ายชูนิ้วมือออกไปพร้อมกันและเอ่ยตัวเลข ตัวเลขของใครตรงกับจำนวนนิ้วมือของสองฝ่ายรวมกันเป็นผู้ชนะ ผู้แพ้จะถูกลงโทษด้วยการดื่มสุรา

[2] ใช้ศึกเลี้ยงศึก หมายถึงการใช้กำลังคน กำลังทรัพย์และทรัพยากรต่างๆ ที่ได้มาจากการทำสงครามทำศึกสงครามต่อไป

[3] หลี่ หรือลี้ เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน เทียบความยาวได้ประมาณ 500 เมตร

[4] ซ่อนเสบียงกำจัดศัตรูเป็นนโยบายทางทหาร จุดประสงค์เพื่อทำลายทุกสิ่งที่อาจเป็นประโยชน์แก่ข้าศึกที่กำลังเดินทัพเข้ามา เช่น เสบียงอาหาร ที่หลบภัย เป็นต้น

[5] ตะพาบในโอ่ง ใช้เปรียบเปรยถึงบุคคลที่ตกอยู่ในกำมือผู้อื่น ไม่มีทางหนีรอด

[6] ซื่อจื่อ หรือรัฐทายาท เป็นตำแหน่งทายาทของหวังผู้ได้รับแต่งตั้งให้ไปปกครองเมืองอื่น

[7] สามตุลาการ หมายถึง กรมอาญา ศาลยุติธรรม และสำนักตรวจการ

[8] เก้าอี้ไท่ซือเป็นเก้าอี้แบบโบราณของจีน ด้านหลังมีพนักพิง ด้านข้างมีเท้าแขน

[9] หมวกเยียนตุนเป็นหมวกพิธีการชนิดหนึ่งของขันที ปีกหมวกตรง ปลายยอดแหลมเล็กน้อย อาจประดับขนนกหรือไข่มุกด้านบนตามยศ

[10] ลายปักบนชุดเครื่องแบบขุนนาง หรือปู่จื่อ หมายถึงลายที่ปักเป็นแบบกลมหรือแบบเหลี่ยมบนหน้าอกหรือกลางแผ่นหลังของชุดขุนนาง เพื่อแบ่งแยกขั้นยศของขุนนางจีน ขุนนางฝ่ายบุ๋นมักปักลายสัตว์ปีก ขุนนางฝ่ายบู๊ปักลายสัตว์ดุร้าย

[11] ตี้ (เต้) มาจากหวงตี้ (ฮ่องเต้) มักวางไว้ท้ายพระนามกษัตริย์เมื่อขึ้นครองราชย์

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า