[ทดลองอ่าน] เชิญร่ำสุรา 將進酒 บทที่ 203 : ต้นสนกับก้อนหยก

เชิญร่ำสุรา
將進酒

 

ถังจิ่วชิง
唐酒卿

กอหญ้า แปล

 

“เซียนเซิงคืนชีวิตนี้ให้ข้าแล้ว อาเหย่”
เสิ่นเจ๋อชวนหลอมละลายในกลิ่นอายอันคุ้นเคยนี้
ใช้แก้มถูไถแผ่นหลังของเซียวฉือเหย่ เหมือนสัตว์ตัวน้อยที่ตามกลิ่นมา “อาเหย่…”

เซียวฉือเหย่ยกมือขึ้นกดเสิ่นเจ๋อชวนไว้
หันศีรษะมาครึ่งหนึ่ง จะมองตาเขา

เสิ่นเจ๋อชวนลืมตา ในนั้นกลับไม่มีแววล้อเล่น
เขาขยับปลายนิ้วเข้าไปใกล้แก้มของเซียวฉือเหย่
เอ่ยว่า “ข้าเป็นของเจ้า ไม่ว่าเป็นหรือตาย เจ้าก็เป็นของข้าเช่นกัน”
ในที่สุดเขาก็เผยส่วนที่คมกริบและโหดเหี้ยมออกมา
พูดต่อว่า “หากใครพรากเจ้าไปจากข้างกายข้า ข้าจะฆ่ามันเสีย”

ต่อให้เป็นพญายมก็ไม่ได้

“ข้าอยากอยู่กับเจ้าไปจนอายุร้อยปี” เสิ่นเจ๋อชวนจุมพิตจอนผมเซียวฉือเหย่เบาๆ
“ในสถานที่ที่ไม่มีคนเอื้อมถึง”

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 203 ต้นสนกับก้อนหยก

 

เห็นได้ชัดว่าฮั่วหลิงอวิ๋นไม่รู้ว่า ‘เขา’ คือใครกันแน่ หาไม่แล้วตอนเขาเอ่ยปากก็น่าจะบอกชื่อแซ่ได้ กระนั้นไม่ว่าจะเป็นเว่ยไหวกู่หรือซีหงเซวียน พวกเขาล้วนตายไปแล้ว

“รัชศกเสียนเต๋อที่หกมีเพียงฝ่ายสกุลฮวากับสกุลพันเท่านั้นที่สามารถให้คำสัญญาเช่นนั้นกับฮั่วชิ่งได้” เหยาเวินอวี้ใช้นิ้วมือสองนิ้วลูบหลังคอแมว “ตอนนั้นซีหงเซวียนยังไม่เข้าราชสำนัก เว่ยไหวกู่ก็ยังไม่มีความสามารถเช่นนี้ เหตุใดฝู่จวินจึงเดาว่าเป็นสองคนนี้เล่า”

“บรรดาศักดิ์” เซียวฉือเหย่เอ่ยคำนี้อย่างหนักแน่น “ดูจากคำสัญญานี้ ไม่ต้องคาดเดาก็สามารถบอกชื่อคนเหล่านั้นได้ คำตอบชัดแจ้งอยู่แล้ว”

“หากสันนิษฐานจากเส้นทางการเป็นขุนนางของเผิงฟางเหมียว คำสัญญาเรื่องบรรดาศักดิ์เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเพียงการหลอกลวงอย่างหนึ่ง สิ่งที่นำมาติดสินบนคนจริงๆ เป็นอย่างอื่น” เรื่องของแมงป่องทำเอาขงหลิ่งหลั่งเหงื่อเย็นครึ่งตัว “แม้ว่าก่อนรัชศกเสียนเต๋อที่แปดเสนาบดีกรมพระคลังคือเจิ้งกั๋วซื่อ ทว่าตั้งแต่เริ่มต้นรัชศกเสียนเต๋อมา ผู้ควบคุมกรมพระคลังอย่างแท้จริงยังคงเป็นเว่ยไหวกู่”

เจิ้งกั๋วซื่อถูกถอดจากตำแหน่งพร้อมฮวาซือเชียนในเหตุการณ์กบฏในลานล่าสัตว์หนานหลิน กุญแจคลังของต้าโจวยังคงไม่ได้ตกอยู่ในมือไห่เหลียงอี๋ หลังจากนั้นเว่ยไหวกู่ก็ก้าวขึ้นมา รับตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลังและรับมือกับไห่เหลียงอี๋ต่อ จวบจนเว่ยไหวกู่เข้าคุกในคดีปลอมปนเสบียงกองทัพของหลีเป่ย เหตุการณ์ตระกูลสูงศักดิ์ทุจริตกลืนกินเงินในคลังแผ่นดินจนว่างเปล่าและทำให้จงปั๋วพ่ายศึกถึงได้ปรากฏออกมา

นี่เป็นตาข่ายที่สลับซับซ้อน เส้นสายต่างๆ ที่ถูกดึงมาเกี่ยวข้องมิได้มีแค่ขุนนางในชวี่ตู แต่ยังครอบคลุมไปถึงขุนนางท้องที่ต่างๆ ในต้าโจว ลองคิดดูว่าถ้า ‘เขา’ ใช้วิธีการเดียวกันซ่อนสายสืบไว้ในเจวี๋ยซีและฉี่ตง เช่นนั้นตอนนี้มีคนมากน้อยเพียงใดที่เป็นแมงป่อง

“น่ากลัวยิ่งนัก” ขงหลิ่งอดพูดมิได้ “นี่แทบจะเรียกได้ว่า…”

แทบจะเรียกได้ว่าบ่อนทำลายต้าโจวจนกลวงหมดแล้ว!

“อย่าเพิ่งลน” เสิ่นเจ๋อชวนกวาดตามองเซียนเซิงทั้งหลาย เขาใช้น้ำเสียงราบเรียบปัดความกังวลที่กระจายตัวอยู่ออกไป “เงื่อนงำเยอะเกินไปย่อมเผยพิรุธได้ง่าย แผนการต่อให้ล้ำเลิศเพียงใดก็ถูกจำกัดด้วยความสามารถของคนธรรมดา การควบคุมสถานการณ์เช่นนี้เปลืองเวลาและเปลืองพลัง คนเยอะเกินไปกลับทำให้เสียเรื่อง”

เจวี๋ยซีและฉี่ตงล้วนไม่เหมือนจงปั๋ว จงปั๋วเป็นเช่นนี้เพราะขาดการควบคุมดูแล เจวี๋ยซีมีเจียงชิงซาน ตอนที่เขากับเซวียซิวจั๋วตรวจสอบเงินในบัญชีที่หายไปล้วนเป็นการหยุดยั้งตระกูลสูงศักดิ์และแมงป่อง ฉี่ตงมีชีจู๋อิน จอมทัพชีดูแลเขตแดนทั้งหมด มีลูกน้องใต้บังคับบัญชาของตัวเอง ในด้านการปกครองยังมีชีสืออวี่คอยช่วยเหลือ ไม่มีทางสมคบกับพวกแมงป่องแน่นอน แต่ตอนนี้เสิ่นเจ๋อชวนมั่นใจแล้วว่า คนที่ลงมือกับเสบียงกองทัพของเปียนจวิ้นคือแมงป่องขาวที่แฝงตัวอยู่ในชวี่ตู แมงป่องตัวนี้ไม่ได้คิดจะบีบให้ลู่ก่วงไป๋กบฏ แต่ต้องการบีบให้เขาตายต่างหาก

เวลานี้เซียวฉือเหย่กลับจ้องฮั่วหลิงอวิ๋น “ในเมื่อปืนไฟเป็นของที่แมงป่องมอบให้อี้อ๋อง แล้วใครเป็นคนสอนเจ้าใช้”

ปืนไฟหาใช่ดาบกระบี่ ฮั่วหลิงอวิ๋นที่มาจากเติงโจวไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับพวกมันก่อนหน้านี้แน่ หากคิดจะใช้งานอย่างคล่องแคล่วย่อมต้องผ่านการฝึกฝน เซียวฉือเหย่เคยจับปืนไฟตอนอยู่ในชวี่ตู รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ไม่พูดถึงว่าตัวอี้อ๋องเองใช้เป็นหรือไม่ แต่หากเขารู้ว่าฮั่วหลิงอวิ๋นใช้เป็น ย่อมไม่มีทางเอาฮั่วหลิงอวิ๋นมาอยู่ข้างกายโดยปราศจากการป้องกัน

ฮั่วหลิงอวิ๋นเม้มริมฝีปากแน่น ท่ามกลางความเงียบงัน สีหน้าเขาเคร่งขรึม ผ่านไปครู่หนึ่งจึงตอบว่า “ฟางเหล่าสือ”

นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ฟางเหล่าสือยอมร่วมมือกับฮั่วหลิงอวิ๋นกำจัดอี้อ๋องทิ้ง ฮั่วหลิงอวิ๋นเรียนรู้การใช้ปืนไฟได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังเคลื่อนไหวอยู่ข้างกายอี้อ๋อง สามารถสืบข่าวเรื่องคลังสมบัติได้ คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของอี้อ๋องไว้ตลอดเวลา

“หลังจากตุนโจวถูกยึด หยางฉิวกับฟางเหล่าสือก็เริ่มนั่งไม่ติดที่” ฮั่วหลิงอวิ๋นเล่าต่อ “พอฉือโจวบรรลุข้อตกลงร่วมกับหลีเป่ยและฉี่ตง ฝานโจวและเติงโจวก็เผชิญหน้ากับการถูกปราบปราม พวกเขากลัวว่าอี้อ๋องจะต้านทานไม่อยู่เปิดประตูเมืองยอมแพ้ ดังนั้นจึงวางแผนชิงลงมือกำจัดเขาก่อน กวาดเงินในคลังสมบัติไปให้เกลี้ยง”

ฮั่วหลิงอวิ๋นอาศัยคลังสมบัติเป็นเหยื่อล่อ เผาหยางฉิวกับฟางเหล่าสือจนตาย ตอนนี้เงินจำนวนนี้อยู่ในมือเขา มีเพียงเขาที่รู้ว่าอยู่ที่ไหน นี่เป็นเดิมพันที่ทำให้เขากล้าเจรจาต่อรองกับเสิ่นเจ๋อชวนและเซียวฉือเหย่

สายตาของฮั่วหลิงอวิ๋นกลอกไปมาระหว่างเสิ่นเจ๋อชวนกับเซียวฉือเหย่ “ข้าใช้ปืนไฟได้ สามารถสอนทหารม้าเหล็กหลีเป่ยและทหารรักษาการณ์ฉือโจวได้” เขาหันไปมองเซียวฉือเหย่ “เดือนสองเจ้าต้องเปิดศึกกับตวนโจว สามารถส่งข้าไปอยู่กองหน้า ข้าสามารถนำทหารรักษาการณ์เติงโจวที่เหลือออกศึกได้”

เฟ่ยเซิ่งที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างเป็นเวลานานสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด เขาสงบอารมณ์ครู่หนึ่งก่อนพูด “เดิมข้าเฟ่ยเหล่าสือไม่มีสิทธิ์สอดปากต่อหน้าเจ้านาย แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับตวนโจวและความปลอดภัยของท่านรอง ข้าจึงจำต้องพูดสักหน่อย คนผู้นี้จิตใจไม่บริสุทธิ์ ไม่เหมาะที่จะให้อยู่ข้างกายท่านรองกับนายท่าน ท่านรองเองก็มิได้ขาดขุนพล อีกทั้งสงครามครั้งนี้ยังมีผู้อาวุโสอิ่นติดตามไปด้วย”

เฟ่ยเซิ่งติดใจเรื่องนี้จริงๆ เขาระแวงฮั่วหลิงอวิ๋นใช่ว่าไร้เหตุผลเสียทีเดียว ชัดเจนว่าฝานโจวอิ่นชางเป็นคนทำศึกยึดมาได้! ถ้าฮั่วหลิงอวิ๋นไม่ใช้ลูกไม้เข้าแทรกแซง อิ่นชางก็ไม่ต้องถูกด่า บัดนี้ผลเป็นอย่างไร อิ่นชางยึดฝานโจวกลับมาได้ สุดท้ายกลับถูกฮั่วหลิงอวิ๋นแย่งผลงานชิ้นโบแดงไป ดูแล้วกลับเหมือนฮั่วหลิงอวิ๋นวางเพลิงเผาเมือง สงครามที่ฝานโจวจึงได้รับชัยชนะ

มิเพียงเท่านี้ เฟ่ยเซิ่งรู้สึกว่าฮั่วหลิงอวิ๋นทั้งอดทนได้และใจเหี้ยม เวลาลงมือเฉียบขาดว่องไว ระดับความเจ้าคิดเจ้าแค้นใกล้เคียงเสิ่นเจ๋อชวน คนแบบนี้มีความสามารถและมีอุบาย ปล่อยให้ฮั่วหลิงอวิ๋นอยู่ข้างกายเสิ่นเจ๋อชวนก็คือภัยคุกคามเฟ่ยเซิ่ง เฟ่ยเซิ่งจึงไม่อยากเปิดโอกาสให้เขา

เฟ่ยเซิ่งรู้จักดูสถานการณ์ ทั้งยังรู้ว่าโอกาสของตัวเองอยู่ที่ใด เขากล้าเอ่ยปากแทรกในตอนนี้ เพราะจับทางได้ว่าเซียวฉือเหย่ไม่ชอบฮั่วหลิงอวิ๋น

เป็นไปตามคาด เซียวฉือเหย่ไม่คิดที่จะตอบคำพูดนั้นของฮั่วหลิงอวิ๋นแม้แต่น้อย เขาต้องการปืนไฟ แต่ไม่ต้องการฮั่วหลิงอวิ๋น ตวนโจวต้องเป็นสนามของเขาเซียวเช่ออันเท่านั้น เขาอยู่ในฉือโจวนานถึงเพียงนี้ ไปอยู่ที่สนามฝึกเป่ยหยวนทุกวัน สวมเกราะหนักฝึกฝนกับแมงป่องของไห่รื่อกู่ จุดประสงค์ก็เพื่อหาช่องพลิกสถานการณ์ของหลีเป่ยในตอนนี้ให้ได้ ถ้าตอนนี้เปลี่ยนกองหน้าเป็นฮั่วหลิงอวิ๋น สำหรับทหารม้าเหล็กหลีเป่ยที่ขวัญกำลังใจอ่อนแออยู่แล้ว ย่อมเปรียบเหมือนหมัดที่ต่อยเข้ามาอย่างหนัก

เสิ่นเจ๋อชวนนั่งนานแล้วปวดเอวเมื่อยหลัง รอยฟันตรงต้นขาด้านในยังบวมไม่หาย เมื่อเช้าที่บอกเซียวฉือเหย่ว่าเขารู้สึกมึนไปหมดมิใช่คำโกหก ยามนี้มาเจอเรื่องแมงป่อง ทุกหนแห่งล้วนปกคลุมไปด้วยหมอกหนา ตอนบ่ายยังต้องเริ่มส่งเสบียงให้ตุนโจว เสบียงกองทัพที่จะใช้ในการทำศึกที่ตวนโจวก็ต้องส่งออกไปก่อน…ทั้งยังมีเรื่องที่ตกลงแล้วฮั่วหลิงอวิ๋นใช้งานได้หรือไม่ นี่เป็นการตัดสินใจที่ไม่ง่ายเลย

“ในเมื่อคุณชายฮั่วมีใจ” เหยาเวินอวี้พูดกับเสิ่นเจ๋อชวน “ฝู่จวิน ช่วงนี้องครักษ์เสื้อแพรกำลังรับสมัครคนใหม่มิใช่หรือ”

ใช่แล้ว

เสิ่นเจ๋อชวนเข้าใจความหมายของเหยาเวินอวี้ในพริบตา

ส่งฮั่วหลิงอวิ๋นไปอยู่ในกองกำลังองครักษ์เสื้อแพร มีเฟ่ยเซิ่งคอยระแวงเขาอยู่ ฮั่วหลิงอวิ๋นย่อมมิอาจทำตามอำเภอใจได้ ทั้งยังมีเฉียวเทียนหยาคอยเฝ้าดูอยู่ข้างๆ เฟ่ยเซิ่งก็ไม่อาจเหยียบย่ำฮั่วหลิงอวิ๋นมากเกินไป เมื่อเป็นเช่นนี้ นอกจากสามารถดึงระยะห่างออกจากเสิ่นเจ๋อชวนได้แล้ว ยังมิต้องรู้สึกเสียดายเขา ทั้งยังสามารถใช้เขาเป็นสัญญาณเตือนเฟ่ยเซิ่งที่เริ่มวางตัว ‘เป็นใหญ่’ มากขึ้นเรื่อยๆ ได้ เป็นการบอกเฟ่ยเซิ่งว่าอย่าหลงลำพอง นี่คือการใช้เฉียวเทียนหยาและฮั่วหลิงอวิ๋นควบคุมเฟ่ยเซิ่ง

“เฟ่ยเซิ่ง” เสิ่นเจ๋อชวนพูด “ไปเลือกคนจากทหารรักษาการณ์เติงโจวที่เหลืออยู่ คนที่ตรงตามมาตรฐานของเจ้าให้รับไว้ทั้งหมด รวมถึงคุณชายฮั่วผู้นี้ด้วย”

เฟ่ยเซิ่งขบคิดนิดเดียวก็เข้าใจเจตนาของคำสั่งนี้ หัวใจเขาจมดิ่ง แต่กลับรับคำด้วยสีหน้ายินดี “น้อมรับคำสั่งของนายท่าน เพียงแต่ทหารรักษาการณ์เติงโจวล้วนเป็นสหายเก่าของฮั่วหลิงอวิ๋น อาจจะไม่ยอมรับใช้กองกำลังองครักษ์เสื้อแพร”

“นั่นเพราะเจ้าตกรางวัลไม่มากพอ” เซียวฉือเหย่ยกมือซ้ายขึ้น ดันแหวนกระดูกปันจื่อบนนิ้วโป้งข้างขวากลับคืนที่เดิม ดวงตาปราศจากรอยยิ้ม “พวกเขาเข้ามาในกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรแล้ว ย่อมมิใช่ชาวเติงโจวอีก ทะเบียนทหารในเติงโจวที่มีอยู่เดิมสามารถทำลายทิ้งได้” เซียวฉือเหย่พูดเพียงเท่านี้

ทหารรักษาพระองค์ที่ท่านรองรับมาสมัยก่อนรับมือยากยิ่งกว่าทหารรักษาการณ์เติงโจว หลักการปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาไม่พ้น ‘ตกรางวัลและลงโทษอย่างชัดเจน’ เซียวฉือเหย่กำลังเตือนสติเฟ่ยเซิ่ง ทหารที่เหลืออยู่ในเติงโจวตอนนี้เข้ามาในกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรแล้วสามารถหลุดพ้นจากทะเบียนราษฎร์เดิม อยู่ในฉือโจวยังได้รับยกเว้นภาษีที่นา ขอเพียงปฏิบัติภารกิจที่เสิ่นเจ๋อชวนมอบหมายให้ดี อยากได้สิ่งใดย่อมได้ทั้งนั้น

เฟ่ยเซิ่งเข้าใจความหมาย รีบรับคำทันใด

 

กว่าจะคุยเสร็จก็ค่ำแล้ว เฉียวเทียนหยาเข็นเหยาเวินอวี้กลับเรือน

แผ่นหินในลานเรือนถูกปัดกวาดจนสะอาดสะอ้าน ไม่มีเกล็ดหิมะแม้แต่น้อย ทั้งยังตั้งใจสาดเกลือไว้เพราะเกรงว่ารถเข็นสี่ล้อจะลื่น ต้นเหมยที่เอามาลงใหม่เหี่ยวเฉาทั้งหมด สีแดงที่หลงเหลืออยู่เฉาตายบนกิ่ง ถูกหิมะหุ้มไว้ ดูอ้างว้างน่าเศร้าใจเป็นพิเศษ วันนี้ถนนเปียกชื้น เฉียวเทียนหยาจึงเดินช้า เข็นรถอย่างมั่นคง

แมวของเหยาเวินอวี้มีชื่อว่า ‘หู่หนู[1]’ วันทั้งวันหากไม่เหยียดเอวเลียอุ้งเท้าอยู่ใต้ชายคา ก็จะนอนหงายท้องหลับสนิทอยู่บนตักของเหยาเวินอวี้ แต่ยามนี้มันกลับสดใสร่าเริง เหยียบแขนเสื้อเหยาเวินอวี้และออกแรงถูไถฝ่ามือเขา

เหยาเวินอวี้ใช้นิ้วเกาตัวหู่หนู โคมไฟข้างทางส่องใบหน้าด้านข้างของเขา ช่วงนี้เขาอ้วนขึ้นเล็กน้อย ดูดีกว่าตอนมาใหม่ๆ มาก เป็นเหยาหยวนจั๋วที่หล่อเหลาสง่างามดุจหยกสลัก

เฉียวเทียนหยามิได้เอ่ยอะไร แต่สายตาขยับไปที่คอเสื้อของเหยาเวินอวี้ จากนั้นเลื่อนไปที่ปลายแขนเสื้อ

วันนี้พวกเขาไม่ได้เอ่ยคำพูดใดๆ แม้แต่คำเดียว พอรถเข็นสี่ล้อเข้าไปในประตู ข้ารับใช้หน้าห้องก็ยกน้ำร้อนเข้าไป เหยาเวินอวี้นั่งอ่านตำราอยู่ในห้องด้านใน เฉียวเทียนหยาปลดดาบ ยืนมองกู่ฉินของตัวเองอยู่ข้างนอก

ผ่านไปเนิ่นนาน ข้ารับใช้ถอยออกไปหมดแล้วปิดประตูลงอย่างแผ่วเบา ปกติเหยาเวินอวี้อาบน้ำเฉียวเทียนหยาล้วนเป็นคนลงมือจัดการเอง ไม่เคยใช้คนอื่น หยวนจั๋วรักสะอาด ไม่อาบน้ำจะนอนไม่หลับ ทุกวันเวลาเฉียวเทียนหยาเช็ดผมให้ เขาจะนั่งนิ่งๆ ดูเหมือนเขาจะยอมรับสภาพอเนจอนาถของตัวเองในตอนนี้ได้แล้ว แต่ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น ไม่อนุญาตให้คนอื่นนอกจากเฉียวเทียนหยาเห็น นี่เป็นขีดจำกัดที่เขาสามารถยอมรับได้

เฉียวเทียนหยายืนอยู่เกือบครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ได้ยินเหยาเวินอวี้พูดเสียงเบา “…เฉียวซงเยวี่ย”

นิ้วมือของเฉียวเทียนหยาที่แตะลงบนสายกู่ฉินชะงัก แต่กลับไม่ตอบ ราวกับไม่ได้ยิน

เหยาเวินอวี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูด “ข้าจะนอนแล้ว”

ม้าเหล็กใต้ชายคาแกว่งไปมา นำพาความเงียบเหงาในสายลมเข้ามาด้วย เมื่อมองผ่านม่านประตู เหยาเวินอวี้เห็นเงาของเฉียวเทียนหยาทาบทออยู่บนนั้น ดูเหมือนเขาจะยืนอยู่นานทีเดียว ฟังแล้วชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะเลิกม่านเข้ามา

แสงเทียนมืดมาก เวลานี้เหยาเวินอวี้ไม่ต้องการความสว่าง นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความอ่อนแอในแต่ละวันของเขา หู่หนูมุดอยู่ในผ้าห่ม ตบมุมผ้าห่มเล่น ไม่รับรู้ถึงบรรยากาศกระอักกระอ่วนในห้องแม้แต่น้อย

เหยาเวินอวี้ยังไม่ทันได้ดึงสายตากลับ เฉียวเทียนหยาก็โน้มตัวลงมาด้วยสีหน้าท่าทีเป็นธรรมชาติ ช้อนอุ้มเขาขึ้นมาจากรถเข็นสี่ล้อ อาภรณ์สัมผัสกัน เฉียวเทียนหยาจับแขนเหยาเวินอวี้พาดบนไหล่และหลังของตน เหยาเวินอวี้งอนิ้วมือนิดๆ เมื่อสัมผัสแผ่นหลังของเฉียวเทียนหยา

หยวนจั๋วเป็นคนสุขุมมาก นั่นเป็นเพราะการบ่มเพาะเลี้ยงดูอย่างสุภาพชน

เฉียวเทียนหยาแกะผมของเหยาเวินอวี้ เวลานี้สายตาเขาจดจ่อมาก…จดจ่อมากเกินไป ทำให้เหยาเวินอวี้มิอาจสบตากับเขา ได้แต่หลุบตาหลบเลี่ยง เมื่อถอดอาภรณ์ถึงเสื้อตัวใน เหยาเวินอวี้ก็พูดเสียงค่อย “ไม่ต้องแล้ว”

เฉียวเทียนหยาชะงักไปครู่หนึ่ง มือที่จับสายคาดเอวของเขามิได้ปล่อย เหยาเวินอวี้พลันรวบคอเสื้อตัวเองแน่น เผยสีหน้าคล้ายขุ่นเคืองออกมา พูดว่า “ไม่ต้องแล้ว!”

“ไม่ต้องอะไร” เฉียวเทียนหยาที่ไม่ปริปากมาโดยตลอดมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

คำว่า ‘ไม่ต้องแตะต้องข้า’ ของเหยาเวินอวี้ติดอยู่ในลำคอ เขาจ้องเฉียวเทียนหยาด้วยดวงตาที่เจือเส้นเลือดฝอย ราวกับเฉียวเทียนหยาเป็นสัตว์ร้ายหรือหายนะบางอย่าง ฝ่ามือเขาสั่นนิดๆ แต่สิ่งที่เอ่ยออกมากลับเป็น “…ไม่ต้องแล้ว!”

เหยาเวินอวี้เม้มริมฝีปากแน่น เขาขัดขืนด้วยการดันหน้าอกเฉียวเทียนหยา ต่อต้านการสัมผัสของอีกฝ่าย

เก้าอี้สานส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด คันฉ่องทองแดงเลือนรางมีเงาสีครามขยับไปมา ชุดคลุมกว้างกับเรือนผมสีดำดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขนของเฉียวเทียนหยา ดูคล้ายใบไม้ฤดูวสันต์ที่รีบร้อนจะลอยไปตามลม เฉียวเทียนหยาปล่อยให้เขาอาละวาด จังหวะที่เขากำลังจะลื่นลงบนพื้นกลับทำเก้าอี้สานล้มลงกะทันหัน เฉียวเทียนหยาคว้าข้อมือของเหยาเวินอวี้และออกแรงกดลงบนพรมสักหลาด

“เจ้าคิดจะทำสิ่งใด” เฉียวเทียนหยามือหนึ่งกดข้อมือเหยาเวินอวี้ มือหนึ่งจับหน้าเหยาเวินอวี้ให้หันมา “จะให้ข้าโยนเจ้าลงไปทั้งอย่างนี้ หรือทิ้งเจ้าไว้ที่นี่ดี”

เหยาเวินอวี้ถูกบังคับให้ยกศีรษะขึ้น ลมหายใจถี่กระชั้น เขาหลับตาลง กัดริมฝีปากจนขาวซีด เฉียวเทียนหยาจึงปล่อยมือที่บีบคางเขา ยื่นนิ้วไปขวางตรงริมฝีปาก ไม่ปล่อยให้เขากัดตัวเองต่อ พอนิ้วมือของเฉียวเทียนหยาสอดเข้าไป ก็ถูกเหยาเวินอวี้กัดเหมือนต้องการระบายโทสะ

“เจ้าจะกลัวอะไร” เฉียวเทียนหยาปล่อยให้เขากัด สีหน้าเย็นชาเล็กน้อย “นั่นหาใช่ความผิดของเจ้าไม่”

หยวนจั๋วที่เมามายเมื่อคืนแตกต่างไปจากเดิมมาก เขาลืมความเจ็บปวดที่ขาทั้งสองข้างอย่างรวดเร็วและง่ายดาย ยามอยู่ในถังอาบน้ำร่างกายเกิดปฏิกิริยาเพราะถูกสัมผัส คุณชายผู้สูงศักดิ์ก็เป็นคน สิ่งที่เขาสูญเสียไปคือขา มิใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของบุรุษ เขายังหนุ่มถึงเพียงนี้ ย่อมมีความปรารถนาอันเป็นความลับที่บอกใครมิได้ แต่เขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะปลดปล่อยตัวเอง เขาเปลือยกายต่อหน้าเฉียวเทียนหยาทุกคืน…กระนั้นกลับมิอาจยอมรับตัวเองที่ไร้ความสามารถเช่นนี้ได้

“เป็นอะไรไป” เฉียวเทียนหยาพูดเสียงกร้าว “เพราะข้ามิใช่สตรีดังนั้นจึงรู้สึกเสียเปรียบงั้นหรือ ทักษะการใช้มือของข้ายังไม่แย่ถึงขั้นนั้นกระมัง”

“หยุดพูดเถอะ” ใบหน้าของเหยาเวินอวี้ฉายแววเจ็บปวด เขานอนอยู่ตรงนี้ ได้แต่ตะโกนอย่างอ่อนแรงว่า “หยุดพูดได้แล้ว!”

เก้าอี้สานที่กลิ้งไปด้านข้างชนถูกราวแขวนผ้าอันเล็กจนเอนลงมากระแทกหลังของเฉียวเทียนหยา เขาไม่แม้แต่จะกะพริบตา ภายใต้แสงไฟที่วูบไหวไปมา เฉียวเทียนหยาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกำลังโมโหอะไร

“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครหรือ” เฉียวเทียนหยาพูด “คิดว่าตัวเองเป็นเทวดาหรืออย่างไร มีความปรารถนาเป็นเรื่องผิดด้วยรึ เจ้า…”

“ข้าเปล่า!” เหยาเวินอวี้สองตาแดงก่ำ น้ำเสียงสั่นระริก เค้นคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก “ข้าไม่มี…ข้าไม่ต้องการ!” เขามิอาจปล่อยให้ตัวเองตกต่ำถึงขั้นนั้น หากลบความหยิ่งทะนงส่วนสุดท้ายทิ้งไปแล้ว เขายังจะเหลือสิ่งใดอีก เขาเหลือศักดิ์ศรีอยู่เพียงเท่านี้ ศักดิ์ศรีเล็กน้อยแค่นี้ช่วยประคับประคองให้เขานั่งอยู่ต่อหน้าผู้คนได้ นั่งอยู่ต่อหน้าคนอื่นด้วยท่าทางอ่อนแอเช่นนี้ รับความเวทนาสงสารจากทุกคน

เหยาเวินอวี้หลั่งน้ำตาขณะที่ร่างกายสั่นเทา การร้องไห้เป็นสิ่งที่เขาไม่ยินดี แต่น้ำตากลับเหมือนสองขาที่ยืนไม่ได้ มันไม่ฟังคำสั่งของเขาอีก เขาอับอายที่ต้องเผชิญหน้ากับตัวเองที่เป็นเช่นนี้ เหมือนเช่นที่เขาไม่กล้าเผชิญหน้ากับความปรารถนาที่หลงเหลืออยู่ของตัวเอง

เฉียวเทียนหยาหน้าอกสะท้อนขึ้นลง เขาพลิกตัวเหยาเวินอวี้กะทันหัน

เหยาเวินอวี้เกิดลางสังหรณ์บางอย่าง เขาเบิกตาโตอย่างตื่นตระหนก ถูกเฉียวเทียนหยากอดไว้ในอ้อมอกจากด้านหลังพร้อมกับถอดเสื้อตัวในออก เขาดิ้นรนอย่างรุนแรง กดแขนเฉียวเทียนหยาไว้ เอ่ยว่า “ข้าไม่ต้องการ! เฉียวซงเยวี่ย ปล่อยข้านะ ปล่อย…”

เฉียวเทียนหยาคว้ามือเหยาเวินอวี้ได้และจับไว้ในฝ่ามือของตัวเองจากนั้นเลื่อนลงไป ทาบประสานและกอบกุมความน่าละอายของเหยาเวินอวี้ไว้ เขากอดอีกฝ่ายไว้แบบนี้ ลำคอแนบชิดกันจนได้ยินเสียงเหยาเวินอวี้กำลังร้องไห้

แสงเทียนสลัวดับไปแล้ว พวกเขาแนบติดกันอยู่ตรงนี้อย่างใกล้ชิด เหยาเวินอวี้หันหน้าเข้าหาพรมสักหลาด ความโกรธผสมความอายยากจะรับได้ทำให้ใบหน้าเขาเปียกชื้นไปหมด เสียงร้องไห้เล็ดลอดออกมาจากลำคอ นั่นเป็นศักดิ์ศรีของเขาที่ถูกทำลายเพราะเฉียวเทียนหยา ทั้งยังเป็นตัวเขาเองที่ถูกมองจนทะลุปรุโปร่ง เขาหอบหายใจเสียงสะอื้น มือข้างที่ว่างขยุ้มแขนเสื้อเฉียวเทียนหยาแน่น ระหว่างที่เฉียวเทียนหยาขยับฝ่ามือ เขาก็รู้สึกถึงความพึงพอใจทั้งที่กำลังถูกอีกฝ่ายล่วงเกินและทำลาย

“เจ้าฆ่าข้า…” เสียงสะอื้นของเหยาเวินอวี้เล็ดลอดออกมา พูดเสียบแหบพร่า “เฉียวซงเยวี่ย…ข้าเกลียดเจ้ายิ่งนัก…”

เฉียวเทียนหยาขยับฝ่ามือไปมา ท่ามกลางความมืดมิด ใบหน้าเขาแนบติดกับใบหน้าด้านข้างของหยวนจั๋ว ฟังเหยาเวินอวี้สะอื้นไห้และครางผะแผ่ว ทั้งยังได้ยินเสียงลมหายใจและเสียงจากจมูกของอีกฝ่าย

“เจ้าไม่ผิด” เฉียวเทียนหยากระซิบบอกตอนที่เขาสั่นสะท้าน พูดเสียงแหบทุ้มทว่าจริงจัง “เกลียดข้าให้ตายไปเลย”

 

[1] หู่หนู แปลว่าทาสเสือ

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า