เชิญร่ำสุรา
將進酒
ถังจิ่วชิง
唐酒卿
กอหญ้า แปล
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าปีนั้น” เสิ่นเจ๋อชวน สวมเสื้อคลุมตัวใหญ่เอ่ยช้าๆ “เหตุใดข้าจึงรับปาก เช่ออัน สวมต่างหูอันนี้”
เฟ่ยเซิ่งยืนอยู่ข้างหลังไกลออกไปมาก “เพราะนายท่านกับท่านรองรักใคร่ผูกพัน”
เสิ่นเจ๋อชวนยกมือขึ้นเด็ดดอกเหมยที่บังตัวเองออก เอ่ยว่า
“เพราะข้ารู้ว่ามีคนต้องจากไป
คนที่หายลับไปในหิมะจะไม่มีวันกลับมาอีก เว้นเพียงเช่ออัน”
.
เซียวฉือเหย่ สวมต่างหูให้หลันโจว สิ่งที่ประกาศชัดแจ้งคือความเผด็จการ
แต่สิ่งที่ซ่อนแฝงอยู่คือความรักใคร่ทะนุถนอม
ทุกครั้งเวลาเขาประคองดวงหน้าหลันโจวขึ้นมา
สายตาจะเร่าร้อนถึงเพียงนั้น นี่เป็นความรักที่มิอาจถอนตัว
เป็นความปรารถนาที่มิอาจเก็บซ่อน
.
เสิ่นเจ๋อชวนสวมต่างหูที่เช่ออันมอบให้ เป็นการประกาศความเป็นเจ้าของเช่นกัน
ในความเจ็บปวดและความแค้นของเขายังหลงเหลือความอบอุ่น
นี่คือความอ่อนโยนของเขา เขาจะมอบให้เซียวเช่ออันคนเดียวเท่านั้น
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 255 เขาเขียว
ชวี่ตูเขียวขจีไปทั่ว สองฝั่งตำหนักหมิงหลี่ที่ว่างอยู่มีไม้กระถางวางเรียงราย เหล่าขันทียกกระถางที่บรรจุน้ำแข็งจนเต็มมาวางสี่มุมตำหนักเพื่อดับร้อน ข้าราชสำนักที่รอเรียกเข้าเฝ้าอยู่หน้าห้องร้อนจนเหงื่อไหลไคลย้อย แต่กลับมิอาจเสียกิริยา ได้แต่อดทนปล่อยให้เหงื่อออกจนชุดคลุมเปียก
มู่ลี่ไม้ไผ่ของตำหนักหมิงหลี่เลิกขึ้น เฟิงเฉวียนถือแส้ปัดเดินออกมาโค้งกายคำนับเหล่าขุนนาง เอ่ยเสียงเบา “ฤดูคิมหันต์อากาศร้อนยากทานทน ใต้เท้าทุกท่านปฏิบัติงานยากลำบาก องค์รัชทายาททรงกำชับให้ข้าน้อยเตรียมน้ำแกงถั่วเขียวไว้ให้ทุกท่านโดยเฉพาะ”
ขันทีน้อยทั้งหลายยกน้ำแกงอย่างคล่องแคล่ว เตรียมผ้าเช็ดหน้าและกระดาษเช็ดมือไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว เฟิงเฉวียนคำนับอีกครั้ง ก่อนจะถอยเข้าไปในตำหนักหมิงหลี่
“องค์รัชทายาทเข้าพระทัยผู้ที่อยู่เบื้องล่าง” ขุนนางจากท้องถิ่นดื่มน้ำแกง “พวกข้าซาบซึ้งใจจริงๆ”
ช้อนกระทบชามกระเบื้องเบาๆ ขุนนางเมืองหลวงพูดกับเจียงชิงซานด้านข้าง “ว่านเซียวอาศัยอยู่ในจุดพักม้าเป็นอย่างไรบ้าง คุ้นเคยหรือไม่”
เจียงชิงซานดื่มน้ำแกงจนหมด ผงกศีรษะนิดๆ เขาดูไม่สอดคล้องกับคำเล่าลือที่ว่าเป็นคนเฉียบขาดว่องไว ลักษณะท่าทีของเขาอ่อนโยนเนิบช้า ราวกับไม่ว่าเรื่องใดล้วนจัดการได้อย่างใจเย็น หาได้ใส่ใจถึงเพียงนั้นไม่ ผ่านไปครึ่งชั่วยามขันทีก็ขานรายชื่อ เจียงชิงซานยกชายชุดคลุมก้าวเข้าไป คุกเข่าถวายบังคมในท้องพระโรง
“กระหม่อมผู้ว่าการมณฑลเจวี๋ยซีเจียงชิงซานถวายบังคมองค์รัชทายาท”
หลี่เจี้ยนถิงพูด “ว่านเซียวลุกขึ้นเถิด อากาศร้อน ปล่อยให้เจ้ายืนอยู่ข้างนอกเสียนาน ข้ากับราชเลขาธิการกำลังคุยถึงเรื่องเจวี๋ยซี เห็นในฎีกาเจ้าบอกว่ายงเฉิงไม่มีฝนมาเดือนกว่าแล้ว ยุ้งฉางในท้องที่เสบียงไม่เพียงพอ จึงอยากยืมเสบียงจากไหวโจว”
“ปีก่อนราชสำนักเกณฑ์เสบียงโดยให้เจวี๋ยซีเป็นผู้รับผิดชอบ ยุ้งฉางในสิบสามเมืองเสบียงใกล้หมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เจียงชิงซานมิได้เงยหน้า “ไม่คิดว่าจะประสบภัยแล้งอีก”
ข่งชิวที่อยู่ด้านข้างพูดกับหลี่เจี้ยนถิง “ยงเฉิงเป็นยุ้งฉางของทางตะวันตกเฉียงใต้ หากภัยแล้งรุนแรง น่ากลัวว่าอาศัยเพียงการยืมเสบียงของว่านเซียวคงยากที่จะประคองสถานการณ์ ยังคงต้องพึ่งราชสำนักโยกย้ายเสบียงช่วยเหลือบรรเทาภัย”
ฮวาเตี้ยนกลางหน้าผากหลี่เจี้ยนถิงเป็นสีแดงจัด นางนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนพูด “รัชศกเสียนเต๋อเจ้าล่วงเกินคหบดีในท้องถิ่นเพื่อช่วยเหลือบรรเทาภัย ปล่อยให้พวกเขามาขวางหน้าที่ว่าการสร้างความลำบากใจ ปีนี้ยังพยายามเจรจากับไหวโจวเพื่อยืมเสบียงอีก ไม่ง่ายเลยจริงๆ ยงเฉิงประสบภัยแล้ง นี่หาใช่เรื่องเล็ก แต่ก็มิต้องร้อนใจไป ข้ากับราชเลขาธิการจะมอบกำหนดการให้เจ้าโดยเร็วที่สุด เสบียงต้องมีการโยกย้ายแน่นอน”
เจียงชิงซานเดินทางเข้าเมืองหลวงและได้ยินคำพูดบ่ายเบี่ยงจนชิน จักรพรรดิเทียนเชินและจักรพรรดิเสียนเต๋อก่อนหน้านี้ล้วนไม่เคยแสดงท่าทีเฉียบขาดเช่นนี้มาก่อน ครั้นได้ยินหลี่เจี้ยนถิงพูดเช่นนี้ เขาก็อดทำสีหน้าจริงจังมิได้ โขกศีรษะคำนับ “กระหม่อมทราบดีว่าปีนี้ราชสำนักต้องดูแลเรื่องสงครามของฉี่ตง เสบียงกองทัพมีความสำคัญ เจวี๋ยซียินดีใช้ผ้าไหมชดใช้หนี้ แลกกับเสบียงอาหารของไหวโจวพ่ะย่ะค่ะ”
ข่งชิวฟังแล้วขุ่นใจเล็กน้อย “เสบียงหลวงทางการเป็นผู้โยกย้าย องค์รัชทายาททรงอนุมัติแล้วย่อมสามารถดำเนินการได้ เหตุใดผู้ว่าการเขตไหวโจวเถาหมิงจะต้องฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามราชโองการด้วย ปีที่แล้วไหวโจวผลผลิตอุดมสมบูรณ์ ดูจากรายงานที่เถาหมิงถวายเมื่อตอนต้นปี เสบียงบรรเทาภัยนี้เขาสามารถจัดหาได้”
“หลายวันก่อนราชโองการออกไปแล้ว” หลี่เจี้ยนถิงพูด “เฟิงเฉวียน ออกไปถามข้างนอกดูว่าผู้ว่าการเขตไหวโจวเถาหมิงมาถึงหรือยัง ถ้าถึงแล้วก็เรียกเข้ามาคุยให้ชัดเจน”
เฟิงเฉวียนยังไม่ทันก้าวออกจากประตู ฝูหม่านก็เดินมาถึงหน้าประตูอย่างลุกลน “องค์รัชทายาท จดหมายจากจุดพักม้าแจ้งว่า ผู้ว่าการเขตไหวโจวเถาหมิงพาครอบครัวหนีไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
หลี่เจี้ยนถิงอึ้งไป “หนีไปที่ใด ราชสำนักเรียกตัวเขาก็เพื่อปรึกษาหารือเท่านั้น เขาจะหนีทำไม”
ฝูหม่านย่ำเท้าเบาๆ “เขาหนีไปพึ่งเสิ่นเจ๋อชวนในจงปั๋วแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ในท้องพระโรงเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทันที
เฉินเจินมุ่นคิ้วเอ่ยว่า “การยืมเสบียงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เขาจะหนีทำไม ดีร้ายอย่างไรก็ต้องมีเหตุผล!”
“องค์รัชทายาทไม่ทรงทราบ” ฝูหม่านบีบเสียงแหลมเล็กพูดอย่างร้อนใจ “ขุนนางที่ไปถ่ายทอดราชโองการเดินทางไปไหวโจวเปิดยุ้งฉางดู พบว่าเสบียงเหลือไม่มาก ไม่เพียงพอจะใช้เป็นเสบียงบรรเทาภัย เถาหมิงกับเสิ่นเจ๋อชวนสมคบกัน นำเสบียงไปขายให้ฉือโจวก่อนหน้านี้จนหมดแล้ว ครั้นได้ยินว่าเจวี๋ยซีจะยืมเสบียง จึงตกใจจนหนีไปในคืนนั้นทันทีพ่ะย่ะค่ะ!”
ในท้องพระโรงเกิดเสียงฮือฮา เฉินอวี้ลุกขึ้น “เรื่องนี้…ไฉนผู้ตรวจการในท้องที่จึงไม่ปริปากพูดอะไรเลย!”
ไหวโจวไม่มีเสบียง เหอโจวก็ว่างเปล่า แปดเมืองใหญ่หวังอะไรไม่ได้ เช่นนั้นยงเฉิงจะทำอย่างไร ยังคงต้องให้เจวี๋ยซีผูกสายรัดเอวของตัวเองให้แน่น กินใช้อย่างกระเหม็ดกระแหม่ซีนะ!
บรรยากาศในท้องพระโรงพลันหนักอึ้ง กระถางน้ำแข็งที่ตั้งอยู่สี่มุมแผ่ไอเย็นออกมา หนาวจนข่งชิวรู้สึกเสียดหัวใจ เขาปิดปากปิดจมูกไอครู่หนึ่ง รอจนดีขึ้นแล้วจึงลุกขึ้น คำนับหลี่เจี้ยนถิงก่อนพูด “การช่วยเหลือภัยแล้งเป็นเรื่องใหญ่ มิอาจชักช้า เบี้ยหวัดของขุนนางในเมืองหลวงสามารถปรับลดตามสถานการณ์ได้โดยเริ่มจากตัวกระหม่อม แต่จะปล่อยให้ประชาชนหิวตายไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ข้าราชสำนักในห้องชั้นนอกต่างมองหน้ากัน จากนั้นคุกเข่าลง แสดงความเห็นด้วย “พวกกระหม่อมยินดีและเต็มใจ ขอองค์รัชทายาทโปรดสนับสนุนด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
จักจั่นบนกิ่งไม้ถูกขันทีจับไปทิ้ง หลี่เจี้ยนถิงลุกขึ้นยืน หลังความเงียบกริบชั่วอึดใจ นางก็เอ่ยอย่างตื้นตัน “ทุกท่านกล่าวเช่นนี้แล้ว ข้าจะขัดขวางได้อย่างไร ในเมื่อเป็นการทำเพื่อประชาชนในยงเฉิง วังหลวงก็ควรลดค่าใช้จ่ายตามความเหมาะสมด้วย ว่านเซียว เสบียงอาหารเจ้าเป็นคนมาขอ ให้เจ้าจัดการเรื่องช่วยเหลือบรรเทาภัยครั้งนี้แล้วกัน”
เจียงชิงซานโขกศีรษะขอบพระทัย
กลางคืนแขวนโคมที่ทำจากผ้าโปร่งบาง ภายในลานเรือนวางตะเกียบตั้งสำรับ มีเพียงเด็กใบ้คอยรับใช้ด้านข้าง
เซวียซิวจั๋วสวมชุดทั่วไป รินน้ำชาให้เจียงชิงซาน “ให้มาจวนข้าลำบากเจ้าแล้ว”
เจียงชิงซานรับน้ำชา ถอนหายใจตอบว่า “ตั้งแต่ข้าเข้าเมืองหลวง ต้องร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์มากมาย ไม่ว่าอาหารเลิศหรูเพียงใด ล้วนอร่อยมิสู้ชาหยาบและอาหารบ้านๆ ที่นี่ของเจ้า”
“ช่างอาภัพนัก” เซวียซิวจั๋ววางป้านชา ล้อเล่นอย่างหาได้ยาก “ข้าหลวงใหญ่ประจำมณฑลคนใดบ้างที่เป็นเหมือนเจ้า ออกจากบ้านทั้งทีแม้แต่รถม้าที่พอดูได้ยังไม่มีสักคัน”
“ข้ายากจนจริงๆ แต่เจ้าน่ะจนปลอมๆ” เจียงชิงซานตอบ “แต่เราสองคนกลิ่นเดียวกัน กลิ่นคนจนเหม็นไปทั่วทั้งตัว!”
สองคนชนถ้วยน้ำชาพลางหัวเราะเสียงดัง
“ข้าว่ารัชทายาทฉลาดปราดเปรื่อง ปฏิบัติกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเหมาะสม จัดการเรื่องราวเฉียบขาด มีลักษณะของจักรพรรดิหย่งอี๋อยู่มากทีเดียว” เจียงชิงซานหยิบตะเกียบขึ้นมา กินต้นหอมคลุกเต้าหู้ “เพียงแต่ขึงขังจริงจังไปหน่อย พูดจาเหมือนคนแก่เกินไป”
“นางพบเจออุปสรรคตั้งแต่เล็ก ย่อมไม่เหมือนเด็กสาวทั่วไป” เซวียซิวจั๋วมองเจียงชิงซานกินข้าว “ข้าอ่านจดหมายเมื่อตอนต้นปีของเจ้า หลิ่วเหนียง[1]ตั้งครรภ์หรือยัง”
เจียงชิงซานกลืนข้าวช้าลง เหลือบมองเซวียซิวจั๋วแวบหนึ่ง รอยยิ้มจางลง “ยังเหมือนเดิม”
เซวียซิวจั๋วมิได้ถามต่อ
เจียงชิงซานมีภรรยาทว่าไร้บุตร ภรรยาเขาเป็นหญิงสกุลหลิ่วในไป๋หม่าโจว ไม่นับเป็นตระกูลเศรษฐีแต่อย่างใด กับเจียงชิงซานรักใคร่ปรองดองกันดี แต่สองคนยังไม่มีบุตรเสียที หลิ่วเหนียงร่างกายไม่แข็งแรง ตั้งท้องแรกในรัชศกเสียนเต๋อที่สี่ ตอนนั้นเจียงชิงซานทำงานอยู่ข้างนอกเที่ยวยืมเสบียงไปทั่ว พวกพ่อค้ามาที่บ้านทวงหนี้จนหลิ่วเหนียงตกใจ หลังแท้งบุตรครานั้นก็ยากจะตั้งครรภ์ได้อีก
“เจ้าจะหดหู่ถึงเพียงนี้ไปไย” เจียงชิงซานวางตะเกียบ “ถ้าชะตาลิขิตให้ชีวิตนี้ข้าไร้บุตร เช่นนั้นก็ช่างเถิด ข้าไม่ฝืน” เขาพูดพลางมองพุ่มไม้ด้านข้าง เงียบไปครู่หนึ่ง “เพียงแต่มารดาเร่งรัดยิ่งนัก หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่หลิ่วเหนียงจะ…เฮ้อ” มารดาสกุลเจียงอยากได้หลานเป็นอย่างยิ่ง จึงเข้มงวดกับลูกสะใภ้มาก
“มารดาอายุมากแล้ว นิสัยดื้อรั้น หลิ่วเหนียงต้องคอยปรนนิบัติข้างๆ ลำบากใจมาก หลายปีมานี้ข้ามัวยุ่งกับงาน ละเลยครอบครัว สุดท้ายก็ผิดต่อคำสาบานที่เคยให้ไว้กับนางในอดีต” เจียงชิงซานพูดถึงครอบครัวแล้วเสียใจ “ตอนต้นปีมารดารับหลานสาวห่างๆ คนหนึ่งมา บอกว่ามาอยู่ชั่วคราว แต่จนป่านนี้ยังไม่กลับไป หลายครั้งที่ข้ากลับไปบ้าน เห็นหลิ่วเหนียงยืนปรนนิบัติอยู่หน้าห้อง มารดายังจะจับคู่ข้ากับผู้หญิงคนนั้น…”
“หากเจ้าไม่เต็มใจก็ปฏิเสธตรงๆ เถิด” เซวียซิวจั๋วเติมน้ำชาให้เขา “หาไม่แล้วฮูหยินผู้เฒ่าจะคิดว่าเรื่องนี้เป็นไปได้ ทำร้ายจิตใจหลิ่วเหนียงเปล่าๆ”
เจียงชิงซานหยุดเซวียซิวจั๋วไว้ เอ่ยว่า “เปลี่ยนเป็นสุราเถิด”
“พรุ่งนี้เช้าข้ายังต้องทำงาน” เซวียซิวจั๋วพูดพลางหันไปมองเด็กใบ้ ส่งสายตาให้เขาไปนำสุรามา
“เจ้าอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้คนเดียว อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว” เจียงชิงซานยกแขนโบกไปมา “ควรหาใครสักคนมาเป็นเพื่อนได้แล้ว”
“หานเฉิงเพิ่งถูกกำจัด ภาษีที่นายังตรวจสอบไม่เสร็จสิ้น” เซวียซิวจั๋วรับสุราและรินให้เขา “แต่งภรรยาก็แค่ให้นางมาอยู่ในบ้านที่ว่างเปล่าคนเดียวเท่านั้น ทำลายความงดงามในวัยเยาว์ของผู้อื่นเปล่าๆ ไยข้าต้องก่อกรรมทำเข็ญด้วยเล่า”
“งานเป็นสิ่งที่ทำไม่หมดไม่สิ้น” เจียงชิงซานพูด “หรือเจ้าจะทำงานเช่นนี้ไปจนแก่ ทำไปจนตาย?”
เซวียซิวจั๋วผงกศีรษะอย่างจริงจัง แล้วเริ่มคุยเรื่องงาน “ภัยแล้งในยงเฉิงเทียบกับในรัชศกเสียนเต๋อแล้วไม่รุนแรง แต่กลับทำให้เจ้ากลัดกลุ้มกังวลเสียแล้ว หากพ้นเดือนเจ็ดไปฝนยังไม่ตกลงมา หรือสิบสองเมืองที่เหลือเริ่มเกิดภัยแล้ง เช่นนั้นอาศัยแค่การที่ชวี่ตูปรับลดเบี้ยหวัดขุนนางก็ไม่มีประโยชน์ เจวี๋ยซียังคงต้องมีคนตาย”
เจียงชิงซานจิบสุรา “สภาขุนนางมีใจอยากช่วยแต่ไร้ซึ่งกำลัง หากมีเสบียงเหลืออยู่จริง ราชเลขาธิการคงไม่ใช้วิธีย่ำแย่เช่นนี้ ข้าเองก็อยากถามเจ้าเหมือนกัน แปดเมืองว่างเปล่าแล้วจริงๆ หรือ”
“ว่างเปล่า เสบียงอาหารที่ริบมาได้จากสกุลพันในตันเฉิง” เซวียซิวจั๋วยกมือขึ้น จิ้มไปด้านข้าง “แม้กระทั่งเลี้ยงดูคนในวังยังไม่เพียงพอ”
“เมื่อก่อนพวกเราขาดเงิน” เจียงชิงซานส่ายศีรษะ “บัดนี้ขาดเสบียง หากออกคำสั่งโยกย้ายได้เร็วกว่านี้ จัดการกับจงปั๋วหกโจวใหม่ ฟื้นฟูที่นานับหมื่นฉิ่ง เสิ่นเจ๋อชวนย่อมมิอาจกลายเป็นเซียวจู่ในท้องถิ่นได้ ต้าโจวก็จะไม่ตกที่นั่งลำบากเช่นในวันนี้”
เซวียซิวจั๋วเอ่ยเสียงเนิบ “บัดนี้ยุ้งฉางที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในใต้หล้าอยู่ในจงปั๋ว ถ้าหลังเดือนเจ็ดสถานการณ์ภัยแล้งในเจวี๋ยซีทวีความรุนแรง ข้าคงต้องเจรจาซื้อเสบียงจากเสิ่นเจ๋อชวน”
“น่ากลัวว่าจะยาก” เจียงชิงซานพูด “ใครจะคิดว่าเสิ่นปา[2]สามารถยึดหกโจวได้ สงครามในตวนโจวยิ่งทำให้เขากลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คน คนผู้นี้เจ้าคิดเจ้าแค้น ต้องไม่ยอมขายเสบียงให้เจ้าง่ายๆ แน่”
เซวียซิวจั๋ววางกาสุราลงด้านข้าง “หากเขาจะก้าวเดินไปทั่วหล้าโดยอาศัยคำว่าเมตตาและคุณธรรม ย่อมมิอาจนิ่งดูดายกับภัยแล้งในเจวี๋ยซี”
พวกเขาคุยเรื่องงานอีกเล็กน้อย ครั้นเวลาพอสมควรแล้วเซวียซิวจั๋วก็สั่งให้เด็กใบ้ประคองเจียงชิงซานไปพักผ่อน ก่อนจากไปเจียงชิงซานชี้ไปที่ห้องโถงหน้า “ตอนมาถึงจุดพักม้าข้าพบพี่ใหญ่ของเจ้า เขาไปเซ่นไหว้เฉิงจือ ข้าเห็นเขาได้เลื่อนตำแหน่ง คิดว่าคงเพราะอาศัยบารมีเจ้า เหยียนชิง แต่ก่อนเป็นเพราะเขาแซ่เดียวกับเจ้าจึงกลั่นแกล้งเจ้าสารพัด แต่สุดท้ายยังคงต้องพึ่งเจ้าเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป แม้แต่คำพูดดีๆ ยังไม่ยอมเอ่ยสักคำ”
เจียงชิงซานเมาเล็กน้อย ฝ่าเท้ารู้สึกล่องลอย “ข้าเห็นเขากระหยิ่มใจถึงเพียงนั้น เกรงว่าวันหน้าเขาจะทำให้เจ้าเดือดร้อนได้…เจ้าระวังไว้หน่อยเถิด”
เซวียซิวจั๋วรับคำ
เก่อชิงชิงเหยียบม้านั่ง เผยลูกเต๋าออกมาเหมือนเล่นมายากล “คุณชายใหญ่ ท่านแพ้แล้ว!”
เซวียต้าดื่มจนหน้าแดง ลูบกระเป๋าตอบว่า “อา ตอนออกมาลืมเอาถุงเงินมาด้วย! ชิงชิง ลงบัญชีไว้ก่อนเถอะ!”
เก่อชิงชิงเป่าลูกเต๋า มองเซวียต้าพลางยิ้มพูด “คุณชายใหญ่จะเกรงใจข้าทำไมเล่า เดิมก็ควรลงบัญชีข้าอยู่แล้ว ชาหอมที่ส่งไปที่จวนเมื่อสองวันก่อนใช้ได้หรือไม่ ช่วงนี้สินค้าจากฉินโจวมาถึงแล้ว ถ้าคุณชายใหญ่ถูกใจสิ่งใด บอกมาได้เลย”
“มิได้ มิได้” เซวียต้าปากบอกว่ามิได้ แต่ยังคงนั่งอยู่ด้านข้าง จุดกล้องยาเส้น “จวนข้ามีแล้วทั้งนั้น ไม่ขาดของเล็กน้อยพวกนี้หรอก เพียงแต่ช่วงนี้กรมปกครองจะโยกย้ายตำแหน่งงานในราชสำนัก ฟังจากคำพูดของกงกงในวัง มีตำแหน่งใหญ่ด้วยนะ”
เก่อชิงชิงขยับเท้า นั่งลงข้างเซวียต้า “เช่นนั้นคุณชายใหญ่ของพวกเราก็จะเลื่อนตำแหน่งแล้วซี ยินดีด้วย ยินดีด้วย”
“แต่กงกงในวังเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่ปรนนิบัติฝ่าบาท พบเห็นสิ่งต่างๆ มามาก ของทั่วไปคงไม่ถูกใจ” เซวียต้าทำท่าลังเลเล็กน้อย “เจ้ามีสินค้าจากทะเลบ้างหรือไม่”
“มีสิ มีมากมาย ประเดี๋ยวข้าจะให้เสี่ยวอู๋นำรายการมาให้คุณชายใหญ่ดูและเลือก” เก่อชิงชิงขยับเข้าไปใกล้อีกนิด “ท่านเลือกสิ่งใด ข้าก็คารวะท่านด้วยของสิ่งนั้น ไม่ต้องเกรงใจ!”
“พี่น้องที่ดีของข้า!” เซวียต้าหัวเราะออกมาทันใด ชี้เก่อชิงชิง “ถ้างานนี้สำเร็จ วันหน้าข้ารับรองว่าต้องตอบแทนพี่น้องอย่างเจ้าเป็นเท่าตัวแน่นอน”
ตอนทอยลูกเต๋าเก่อชิงชิงเคาะโต๊ะเตี้ยด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ องครักษ์เสื้อแพรที่ปลอมตัวเป็นข้ารับใช้ผงกศีรษะนิดๆ เตรียมของไว้ให้เซวียต้าจนครบ โดยไม่ลืมเรียงทองคำไว้ชั้นล่างสุดด้วย
ข้างนอกราตรีดำเข้ม แต่เซวียต้าไม่ตระหนัก สุขใจจนลืมกลับบ้าน
[1] หลิ่วเหนียง แปลว่าหญิงสกุลหลิ่ว
[2] เสิ่นปา เป็นคำเรียกเสิ่นเจ๋อชวนที่เป็นบุตรอนุลำดับที่แปด (ปา แปลว่าแปด)