[ทดลองอ่าน] เชิญร่ำสุรา 將進酒 ตอนที่ 3

 เชิญร่ำสุรา
將進酒

 

ถังจิ่วชิง
唐酒卿

กอหญ้า แปล

 

โปรย

สุนัขชั่ว ปะทะ สุนัขบ้า

จงปั๋วหกโจวถูกประเคนยกให้แก่ศัตรูต่างแคว้น เสิ่นเจ๋อชวนถูกคุมตัวมายังเมืองหลวง
ถูกประนามหยามเหยียดจากทุกคน เมื่อเซียวฉือเหย่ได้ข่าว ก็มิร้องขอให้ผู้ใดลงมือแทน
เขาหมายมั่นจะเตะเสิ่นเจ๋อชวนให้พิการด้วยตนเอง
ทว่าใครจะรู้เล่าว่าเจ้าคนอ่อนแอขี้โรคนี่จะแว้งกัดเขาเสียจนเลือดสาด
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความบาดหมางระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง
ที่จำต้องฉีกทึ้งกันทุกครายามเผชิญหน้ากัน

“โชคชะตาต้องการให้ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่ชั่วชีวิต แต่นี่หาใช่เส้นทางที่ข้าเลือกไม่…
ทรายเหลืองกลบฝังพี่น้องข้า ข้าไม่อยากยอมจำนนให้กับชีวิตอันว่างเปล่าอีกแล้ว
ราชโองการมิอาจช่วยเหลือทหารของข้าได้
ราชสำนักมิอาจเลี้ยงดูม้าของข้าให้อิ่มได้…
ข้าไม่อยากทุ่มเทรับใช้พวกเขาด้วยชีวิตอีกแล้ว…
ข้าจะข้ามเขาลูกนั้นไป… ข้าจะต่อสู้เพื่อตัวเองสักครั้ง”

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 3 เหยี่ยวนักล่า

 

พันหรูกุ้ยก้าวฉับๆ ไปยังประตูตวนเฉิง นายกองจากกองกำลังจิ่นอียืนอยู่สองฝั่งอย่างเงียบกริบ รอจนพันหรูกุ้ยยืนเรียบร้อย ประกาศรับสั่งของเสียนเต๋อตี้แล้ว องครักษ์จิ่นอีก็ลงมือทันที

เสิ่นเจ๋อชวนถูกอุดปาก องครักษ์จิ่นอีห่อตัวเขาด้วยชุดบุนวมอย่างคล่องแคล่ว จัดท่าให้นอนคว่ำหน้าลงกับพื้น

พันหรูกุ้ยโน้มตัวตรวจดูสภาพของเสิ่นเจ๋อชวนท่ามกลางลมหนาว เขายกนิ้วมือขึ้นป้องริมฝีปาก กระแอมไอสองสามทีและเอ่ยเสียงนุ่ม “เจ้าอายุยังน้อย แต่กลับขวัญกล้าเทียมฟ้า บังอาจเล่นละครต่อหน้าฝ่าบาท หากเจ้ายอมรับตามจริงว่าเสิ่นเว่ยทรยศชาติ ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสรอดเสียทีเดียว”

เสิ่นเจ๋อชวนหลับตาแน่น เหงื่อเย็นซึมไปทั่วเสื้อผ้า

พันหรูกุ้ยยืดตัวขึ้นและสั่ง “ลงทัณฑ์!”

นายกองจากกองกำลังจิ่นอีที่ยืนอยู่สองฝั่งตะโกนอย่างพร้อมเพรียง “ลงทัณฑ์!” จากนั้นเสียงคำรามประหนึ่งฟ้าผ่าก็ดังขึ้น “โบย!”

ยังไม่ทันสิ้นเสียงคำสั่ง ไม้พลองลงทัณฑ์ที่หุ้มด้วยแผ่นเหล็กและติดขอแหลมก็หวดลงมา กระหน่ำตีลงบนร่างเสิ่นเจ๋อชวน

หลังผ่านไปสามไม้ ก็ได้ยินเสียงร้องสั่ง “โบยให้หนัก!”

ความเจ็บปวดเหมือนเปลวเพลิงที่ลุกลามไปทั่วร่าง เสิ่นเจ๋อชวนถูกโบยจนขยับตัวไม่ได้ ได้แต่กัดสิ่งที่อุดอยู่ในปากแน่น โลหิตในปากมิอาจกลืนลงไป ในปากเต็มไปด้วยรสชาติฝาดเค็ม เสิ่นเจ๋อชวนหอบหายใจอย่างอ่อนแรง ดวงตาถูกเหงื่อที่ไหลรินทิ่มแทงจนปวดแสบ

ท้องฟ้ามืดครึ้ม หิมะโปรยปรายประหนึ่งปุยฝ้ายที่ปลิวว่อน

 

การลงทัณฑ์ด้วยไม้พลองหาใช่งานที่ใครๆ ก็ทำได้ ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ยี่สิบสลบ ห้าสิบพิการ’ การหวดไม้ลงไปมีหลักการแฝงอยู่มากมาย โดยทั่วไปล้วนเป็นศิลปะที่สืบทอดกันภายในตระกูล เวลาฝึกฝนไม่ได้ง่ายไปกว่าการฝึกวิชาแขนงใดแขนงหนึ่งเลย อีกทั้งการทำงานนี้ไม่เพียงต้องมีทักษะที่ดี ยังต้องตาแหลม ใครต้องโบยให้ภายนอกดูเจ็บน้อยภายในเจ็บหนัก ใครต้องโบยให้ภายนอกดูเจ็บหนักภายในเจ็บน้อย เมื่อทำงานนานเข้า พวกเขาเห็นสีหน้าของขันทีใหญ่ในกองซือหลี่[1]ก็ย่อมรู้ได้ทันที

วันนี้ราชโองการของเสียนเต๋อตี้คือโบยให้ตาย พันหรูกุ้ยก็ไม่มีวี่แววจะยั้งมือ นั่นแปลว่าไม่มีโอกาสพลิกผันแล้ว คนต้องตายแน่นอน องครักษ์จิ่นอีเหล่านี้ขุดความสามารถของตัวเองออกมาใช้อย่างเต็มที่ หมายส่งเสิ่นเจ๋อชวนสู่ทิศประจิม[2]ภายในห้าสิบไม้

พันหรูกุ้ยนับเวลาในใจ ครั้นเห็นเสิ่นเจ๋อชวนคอตกไม่ขยับเขยื้อน ก็ยกมือขึ้นกอดหม้อน้ำร้อน[3] หมายจะออกคำสั่ง แต่กลับเห็นร่มคันหนึ่งตรงเข้ามาจากอีกด้าน ใต้ร่มเป็นคนงามในชุดชาววัง

เมฆครึ้มบนใบหน้าของพันหรูกุ้ยสลายหายไปในพริบตา เปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม แม้มิได้ก้าวขึ้นไปต้อนรับด้วยตัวเอง แต่ขันทีน้อยด้านข้างก้าวเข้าไปประคองอีกฝ่ายอย่างว่องไวแล้ว

“คารวะคุณหนูสาม อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ ไท่โฮ่วมีรับสั่งใด ท่านแค่ส่งคนมาแจ้งก็พอ” พันหรูกุ้ยพูดขณะสืบเท้าเข้าไปหาสองก้าว

ฮวาเซียงอียกมือขึ้นเล็กน้อยเป็นการบอกให้องครักษ์จิ่นอีหยุดก่อน นางมีรูปโฉมงดงาม เนื่องจากถูกเลี้ยงดูอยู่ข้างกายไท่โฮ่วเป็นเวลานาน คิ้วตาจึงมีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับไท่โฮ่วสมัยสาวๆ อยู่หลายส่วน ในนครหลวงชวี่ตูแห่งนี้แม้จะได้ชื่อว่าเป็นคุณหนูสามสกุลฮวาแห่งเมืองตี๋เฉิง แต่ใครๆ ต่างรู้ว่านางคือผู้สูงศักดิ์ในวัง แม้แต่ฝ่าบาทยังรักใคร่เอ็นดูนางเหมือนน้องสาวแท้ๆ คนหนึ่ง

ฮวาเซียงอีเอ่ยเสียงแผ่วเบาเนิบช้า “กงกง ผู้ที่หมอบอยู่บนพื้นใช่บุตรชายสกุลเสิ่นในจงปั๋วเสิ่นเจ๋อชวนหรือไม่”

พันหรูกุ้ยขยับตัวตามฝีเท้าของฮวาเซียงอีไป “คือเขา ฝ่าบาทเพิ่งมีราชโองการโบยด้วยไม้พลองให้ตาย”

ฮวาเซียงอีเอ่ย “เมื่อครู่ฝ่าบาทกำลังกริ้ว หากเสิ่นเจ๋อชวนตายไป คดีเสิ่นเว่ยทรยศชาติย่อมไม่ชัดเจน ก่อนหน้านี้ไท่โฮ่วเสด็จไปตำหนักหมิงหลี่ ฝ่าบาททรงรับฟังการโน้มน้าว ตอนนี้บรรเทาโทสะไปบ้างแล้ว”

พันหรูกุ้ยส่งเสียงอุทานออกมา “ฝ่าบาททรงรับฟังแต่ดำรัสของไท่โฮ่วเท่านั้น เมื่อครู่พระองค์กริ้วจัด ข้าแม้มีใจก็มิกล้าเอ่ยปาก”

ฮวาเซียงอีคลี่ยิ้มให้พันหรูกุ้ย “ฝ่าบาทบอกให้ ‘โบย’ กงกงก็ทำตามรับสั่งแล้วมิใช่หรือ”

พันหรูกุ้ยเดินตามไปอีกหลายก้าว ยิ้มตอบ “นั่นสิ เมื่อครู่ด้วยความรีบร้อน ข้าจึงได้ยินแต่คำว่า ‘โบย’ บัดนี้โบยเจ้าหนุ่มผู้นี้ไปไม่น้อยแล้ว ไม่รู้ตอนนี้ควรจัดการอย่างไรดี”

ฮวาเซียงอีกวาดตามองเสิ่นเจ๋อชวน “ก่อนฝ่าบาทจะทรงสอบสวนอีกครั้ง พาเขากลับไปที่คุกหลวงก่อน ชีวิตของคนผู้นี้มีความสำคัญ กงกงโปรดกำชับใต้เท้าจี้ด้วยว่า ต้องดูแลให้ดี”

“แน่นอนอยู่แล้ว” พันหรูกุ้ยรับคำ “คำสั่งของคุณหนูสาม จี้เหลยหรือจะกล้าไม่ใส่ใจ อากาศเย็นพื้นลื่น เสี่ยวฝูจื่อ ประคองคุณหนูสามให้ดี”

พอฮวาเซียงอีจากไป พันหรูกุ้ยจึงหันกลับมาเอ่ยกับองครักษ์จิ่นอีที่ยืนอยู่สองฝั่ง “ฝ่าบาทบอกให้โบย คนผู้นี้ก็ถูกโบยพอประมาณแล้ว ลากตัวกลับไป คำพูดเมื่อครู่ของคุณหนูสามพวกเจ้าได้ยินแล้ว นี่เป็นพระประสงค์ของไท่โฮ่ว กลับไปบอกจี้เหลยว่า คดีนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องล้วนเป็นเทพเทวดา หากคนเป็นอะไรไปในมือเขา…” พันหรูกุ้ยกระแอมไอช้าๆ

“ต่อให้อวี้หวงต้าตี้[4]จุติลงมาก็รักษาศีรษะเขาไว้ไม่ได้”

 

เสี่ยวฝูจื่อกลับมาประคองพันหรูกุ้ย บนทางเดินกว้างขวาง เขาเอ่ยถามเสียงค่อย “เหลาจู่จง[5] พวกเราปล่อยคนไปเช่นนี้ ฝ่าบาทจะไม่ทรงเอาความจริงๆ หรือ”

พันหรูกุ้ยย่ำไปบนหิมะ “ฝ่าบาททรงกระจ่างแจ้งดี เรื่องนี้ไม่โทษพวกเราหรอก”

เขาเดินไปอีกหลายก้าว หิมะเบียดแทรกเข้ามาในปลอกคอกันลม[6]

“หนึ่งวาจามีค่าดุจทองพันชั่ง จักรพรรดิกลัวที่สุดคือเช้าสั่งเย็นแก้[7] เปียนซาสิบสองเผ่ารุกรานครั้งนี้ทำให้ฝ่าบาทประชวรหนักอีกครั้ง หลายวันนี้ขบคิดอยู่แล้วว่าจะพระราชทานยศกงจู่[8]ให้คุณหนูสามเพื่อเป็นการเอาใจไท่โฮ่ว ยามนี้อย่าว่าแต่ไว้ชีวิตคนคนหนึ่งเลย ต่อให้เป็นอย่างอื่น ขอเพียงไท่โฮ่วเอ่ยปาก ฝ่าบาทก็ต้องตกลง” พันหรูกุ้ยเอียงคอมองเสี่ยวฝูจื่อ

“เจ้าเคยเห็นไท่โฮ่วเปลี่ยนแปลงพระราชเสาวนีย์ตั้งแต่เมื่อไรเล่า”

ไม่ว่าเรื่องใด ผู้ที่พูดหนึ่งไม่เป็นสองจึงจะเป็นเจ้านายที่แท้จริง

 

เสิ่นเจ๋อชวนไข้ขึ้นจนสติสัมปชัญญะไม่ชัดเจน ประเดี๋ยวตรงหน้าเป็นภาพของจี้มู่ก่อนตาย ประเดี๋ยวเป็นภาพตอนที่เขายังใช้ชีวิตอยู่ในตวนโจว

สายลมของตวนโจวพัดธงทิว อาจารย์หญิงแหวกม่านออกมา มือถือชามกระเบื้องสีขาว ภายในบรรจุเกี๊ยวเปลือกบางไส้เยอะเอาไว้

“ไปตามพี่ชายเจ้ากลับมา!” อาจารย์หญิงร้องสั่ง “อยู่ไม่นิ่งเลยสักขณะ บอกให้เขารีบกลับมากินข้าว!”

เสิ่นเจ๋อชวนพลิกตัวข้ามราวระเบียงทางเดิน ก้าวเข้าไปข้างกายอาจารย์หญิง คาบเกี๊ยวลูกหนึ่งใส่ปากและวิ่งออกไป เกี๊ยวร้อนลวกปากจนเขาเป่าปากไม่หยุด ออกจากประตูแล้วก็เห็นจี้กังผู้เป็นอาจารย์นั่งอยู่บนขั้นบันได จึงนั่งยองลงข้างๆ

จี้กังกำลังขัดก้อนหิน หันไปแค่นเสียงพูดกับเสิ่นเจ๋อชวน “เจ้าเด็กโง่ เกี๊ยวลูกหนึ่งมีค่าสักเท่าไรเชียว ดูเจ้าทำท่าตื่นเต้นเข้าสิ ไปตามพี่ชายเจ้ากลับมา เดี๋ยวพวกเราพ่อลูกสามคนไปกินมื้อใหญ่กันที่หอยวนยัง”

เสิ่นเจ๋อชวนยังไม่ทันได้ตอบ อาจารย์หญิงก็บิดหูจี้กังเสียก่อน “ดูถูกเกี๊ยวข้ารึ เจ้าเก่งนักนี่ ถ้ามีเงินจริงก็ไปแต่งภรรยาใหม่สิ แล้วพาเจ้าเด็กโง่สองคนนี้ไปด้วย!”

เสิ่นเจ๋อชวนหัวเราะออกมา เขากระโดดลงจากบันได โบกมือให้อาจารย์กับอาจารย์หญิง ก่อนจะวิ่งออกจากตรอกไปตามจี้มู่ผู้เป็นพี่ชาย

บนถนนหิมะตกหนัก เสิ่นเจ๋อชวนหาคนไม่เจอ เขายิ่งเดินยิ่งไกลออกไปทุกที ยิ่งเดินยิ่งหนาวเหน็บ

“พี่ชาย”

เสิ่นเจ๋อชวนตะโกน

“จี้มู่! กลับบ้านกินข้าว!”

เสียงเกือกม้าค่อยๆ โอบล้อมเข้ามา หิมะบดบังสายตา เสิ่นเจ๋อชวนตกอยู่ท่ามกลางเสียงเกือกม้า แต่กลับมองไม่เห็นใครเลย เสียงเข่นฆ่าสังหารระเบิดขึ้นข้างหู โลหิตร้อนระอุกระเซ็นใส่ใบหน้า เสิ่นเจ๋อชวนเจ็บขาทั้งสองข้าง ถูกเรี่ยวแรงที่มิอาจต้านทานได้กดลงบนพื้น

เขามองเห็นคนตายอยู่ใกล้แค่ตรงหน้าอีกแล้ว ฝนธนูส่งเสียงหวีดหวิวท่ามกลางสายลม คนบนหลังหนักอึ้ง ของเหลวเหนียวเหนอะอุ่นร้อนไหลลงมาตามแก้มและลำคอ

ครานี้เขารู้แล้วว่านั่นคือสิ่งใด

เสิ่นเจ๋อชวนตื่นขึ้นมาอย่างสั่นสะท้าน เหงื่อไหลโซมกาย หนาวจนตัวสั่นงันงก เขานอนคว่ำอยู่บนไม้กระดานเตียง พยายามปรับสายตาให้ชินกับความมืดสลัว

ในห้องขังยังมีคนอยู่ ทหารรับใช้เก็บกวาดสิ่งสกปรกและจุดตะเกียงน้ำมันแล้ว

เสิ่นเจ๋อชวนลำคอแห้งผาก ทหารรับใช้เหมือนรู้ จึงรินน้ำเย็นชามหนึ่งมาวางไว้บนเตียง เสิ่นเจ๋อชวนรู้สึกเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว นิ้วมือค่อยๆ เขี่ยชามมาตรงหน้าทีละนิด ทำให้น้ำกระฉอกออกไปครึ่งหนึ่ง

ในคุกไม่มีใครพูดอะไร พอทหารรับใช้ถอยออกไปก็เหลือเพียงเสิ่นเจ๋อชวน เขาได้สติสลับกับหมดสติ ค่ำคืนนี้ยาวนานเหมือนไร้จุดสิ้นสุด เฝ้ารออย่างไรฟ้าก็ไม่สว่างเสียที

ตอนทหารรับใช้มาเปลี่ยนยาให้เสิ่นเจ๋อชวนอีกครั้ง เขาได้สติขึ้นมาก จี้เหลยมองเขาผ่านลูกกรงและเอ่ยเสียงเย็น “ครั้งนี้นับว่าเจ้าดวงแข็ง ภาษิตว่าคนชั่วมักอายุยืน ไท่โฮ่วทรงละเว้นชีวิตเจ้า เกรงว่าเจ้าคงยังไม่รู้กระมังว่าเพราะเหตุใด”

เสิ่นเจ๋อชวนก้มหน้าไม่ขยับ

จี้เหลยพูดต่อ “ข้ารู้ว่าอาจารย์เจ้าคือจี้กัง บุคคลลึกลับในยุทธภพ ยี่สิบปีก่อนข้ากับเขาเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน พวกเราทำงานในกองกำลังจิ่นอีของวังหลวงในชวี่ตูด้วยกัน เจ้าคงไม่รู้ว่าในอดีตเขาเคยเป็นรองผู้บัญชาการกองกำลังจิ่นอียศขุนนางลำดับรองขั้นสาม หมัดมวยสกุลจี้พวกนั้น ข้าก็เป็นเหมือนกัน”

เสิ่นเจ๋อชวนเงยหน้ามองเขา

จี้เหลยเปิดประตู รอจนทหารรับใช้ออกไป รอบข้างไม่มีผู้ใดแล้ว เขาจึงนั่งลงข้างเตียง

“ภายหลังเขาก่อความผิด อีกทั้งความผิดที่ก่อยังมีโทษถึงประหารชีวิต ทว่าอดีตจักรพรรดิทรงมีเมตตา สุดท้ายจึงมิได้ฆ่าเขา แต่เนรเทศเขาไปอยู่นอกทางม้ากวนหม่าแทน” จี้เหลยใช้มือยันหัวเข่า เผยรอยยิ้มให้เสิ่นเจ๋อชวนในเงามืด “อาจารย์เจ้า…ไม่มีความสามารถอันใด แต่คนไม่เอาไหนมักจะโชคดี เจ้าทายสิว่าเขารอดชีวิตได้อย่างไร ก็เหมือนเจ้าในวันนี้แหละ ล้วนอาศัยบารมีอาจารย์หญิงของเจ้า อาจารย์หญิงของเจ้าเป็นใคร เกรงว่าเจ้าคงยังไม่รู้ ข้าจะบอกให้ อาจารย์หญิงของเจ้าชื่อฮวาพิงถิง นครหลวงชวี่ตูประกอบด้วยแปดเมือง ในแปดเมืองนี้สกุลฮวาในตี๋เฉิงคือบ้านเดิมของไท่โฮ่ว ดังนั้นวันนี้ที่ไท่โฮ่วเก็บเจ้าไว้ก็เพราะอาจารย์หญิงของเจ้า”

จี้เหลยก้มหน้า เอ่ยเสียงเบา

“แต่ใครจะไปรู้ว่าอาจารย์หญิงของเจ้าจะตายในสงคราม ข้าบอกว่าจี้กังเป็นคนไม่เอาไหนเพราะยี่สิบปีก่อนบิดาเขาตาย ยี่สิบปีให้หลังลูกเมียตาย ตัวต้นเหตุคือใครเจ้ารู้หรือไม่ เจ้ารู้ดีแก่ใจ ตัวการก็คือเสิ่นเว่ย!”

เสิ่นเจ๋อชวนลมหายใจชะงัก

“เสิ่นเว่ยเปิดแนวป้องกันแม่น้ำฉาสือ ปล่อยให้ทหารม้าเปียนซาบุกเข้ามาอย่างเหิมเกริม ดาบโค้งปาดคออาจารย์หญิงของเจ้า หากนางยังไม่สิ้นใจ เรื่องที่เกิดขึ้นสามารถทำให้จี้กังตายทั้งเป็นได้

“ตวนโจวถูกยึด เจ้าบอกว่าพี่ชายเจ้าช่วยเจ้าออกมา” จี้เหลยเอนกายพิงพนักเก้าอี้ พิจารณาหลังมือตัวเอง “เจ้าคงหมายถึงจี้มู่สินะ เจ้าถูกจี้กังเลี้ยงดูมาตลอด จี้มู่ก็คือพี่ชายของเจ้า เขาเป็นบุตรชายคนเดียวของจี้กัง เป็นสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของจี้กัง ทั้งยังเป็นทายาทเพียงคนเดียวของสกุลจี้ แต่เพราะเสิ่นเว่ย เพราะเจ้า ทำให้เขาต้องตาย ลูกธนูนับไม่ถ้วนแทงทะลุหัวใจ ศพยังถูกทิ้งอยู่ในหลุมยุบให้ทหารม้าเปียนซาเหยียบย่ำ หากจี้กังยังมีชีวิตอยู่ ตอนเขาไปเก็บศพลูกชาย ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร”

เสิ่นเจ๋อชวนยกตัวขึ้นทันใด จี้เหลยกดเขากลับลงไปอย่างง่ายดาย

“เสิ่นเว่ยสมคบข้าศึกทรยศบ้านเมือง หนี้โลหิตนี้เจ้าจำต้องแบกไว้ วันนี้เจ้ารอดชีวิต แต่วิญญาณหลายหมื่นในจงปั๋วที่ตายอย่างไม่เป็นธรรมกลับร้องไห้คร่ำครวญ กลางคืนยามเจ้าหลับ เจ้าค่อยๆ แยกแยะแล้วกันว่าคนใดคืออาจารย์หญิงของเจ้า คนใดคืออาจารย์ของเจ้า! แม้เจ้ายังมีชีวิตอยู่ แต่การมีชีวิตเช่นนี้กลับเจ็บปวดทุกข์ทนยิ่งกว่าตาย เจ้าจะอภัยให้เสิ่นเว่ยหรือไม่ หากเจ้าอภัยให้เสิ่นเว่ยและแก้ตัวให้เขา ย่อมเป็นการทำผิดต่ออาจารย์ของเจ้าทั้งครอบครัว ดีชั่วอย่างไรจี้กังก็มีบุญคุณที่ชุบเลี้ยงเจ้ามา เจ้าจะทำเรื่องอกตัญญูเช่นนี้ได้อย่างไร

“อีกอย่าง ต่อให้เจ้ารอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด โลกนี้ก็ไม่มีคนเข้าใจเจ้าอีกแล้ว เจ้ามาชวี่ตูก็เพราะเสิ่นเว่ย บัดนี้ประชาชนโกรธแค้น คนที่เกลียดเจ้าเข้ากระดูกดำมีมากมายนับไม่ถ้วน ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องตาย แทนที่จะตายอย่างคลุมเครือ มิสู้พูดความจริงกับฝ่าบาท ชี้แจงความผิดของเสิ่นเว่ยให้ชัดเจน ย่อมเป็นการปลอบประโลมดวงวิญญาณของอาจารย์เจ้าที่อยู่บนสวรรค์ด้วย”

จี้เหลยหยุดพูดกะทันหัน เห็นเสิ่นเจ๋อชวนที่ถูกกดตัวอยู่บนเตียงเผยรอยยิ้ม ใบหน้าขาวซีดของเด็กหนุ่มผุดแววเยียบเย็นอันตราย

“เสิ่นเว่ยไม่ได้สมคบข้าศึก” เสิ่นเจ๋อชวนกัดฟันพูดออกมาทีละคำ “เสิ่นเว่ยไม่ได้สมคบข้าศึก!”

จี้เหลยคว้าตัวเสิ่นเจ๋อชวนขึ้นมา กระแทกกับผนังห้องจนเกิดเสียงดังโครม เศษดินร่วงตกลงมาเล็กน้อย เสิ่นเจ๋อชวนถูกกระแทกจนกระอักไอไม่หยุด

“วิธีที่จะฆ่าเจ้ามีมากมาย” จี้เหลยพูด “เจ้าลูกนอกคอกที่ไม่รู้ดีชั่ว ครั้งนี้โชคดีรอดชีวิตมาได้ แต่เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าตัวเองจะมีชีวิตผ่านพ้นวันนี้ไปได้” เขาหันกลับไปลากตัวเสิ่นเจ๋อชวน ถีบประตูห้องขังและเดินออกไป

“ข้าปฏิบัติงานตามหน้าที่ ทำตามพระราชเสาวนีย์ของไท่โฮ่ว แต่อาณาจักรต้าโจวมีคนที่ทำอะไรตามอำเภอใจมากมาย ในเมื่อเจ้าโง่เขลาถึงเพียงนี้ ข้าจะทำตามความต้องการของเจ้า เจ้าต้องการให้คนฆ่าเจ้าใช่หรือไม่ บัดนี้คนผู้นั้นมาแล้ว!”

 

ประตูเมืองชวี่ตูเปิดกว้าง อาชาสวมเกราะสีดำสนิทตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างเร็วรี่ประหนึ่งสายฟ้าแลบ

เสิ่นเจ๋อชวนถูกลากตัวไปตามทาง องครักษ์จิ่นอีสลายตัวทันใด กลุ่มคนหนาแน่นยืนหลบสองข้างทาง เปิดทางให้อาชาสวมเกราะวิ่งผ่าน

เหยี่ยวนักล่าแห่งหลีเป่ยบินวนอยู่บนผืนฟ้า เสียงชุดเกราะกระทบกันดังก้องในใจ เสียงกีบเท้าม้าใกล้เข้ามาทุกที เสิ่นเจ๋อชวนลืมตา มองเห็นอาชาสวมเกราะที่วิ่งนำหน้าพุ่งทะยานเข้ามา

อาชาภายใต้ชุดเกราะหนักอึ้งประหนึ่งสัตว์ร้ายดุดัน มันพ่นลมหายใจร้อนระอุขณะประชิดเข้ามาใกล้ จังหวะที่กำลังจะชนกระแทกเขา เชือกบังเหียนถูกดึงรั้งกะทันหัน เท้าหน้ายกสูง พอม้าหยุด คนบนหลังม้าก็ตวัดตัวลงมา

จี้เหลยก้าวขึ้นไป เอ่ยเสียงดัง “ขอต้อนรับ…”

ผู้มาไม่มองจี้เหลยด้วยซ้ำ ปราดไปตรงหน้าเสิ่นเจ๋อชวน เสิ่นเจ๋อชวนเพิ่งจะขยับเครื่องจองจำของตัวเอง คนผู้นี้ก็ถีบเท้าเข้าที่หน้าอกเขาอย่างรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าแลบ

การถีบครั้งนี้เปี่ยมด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล ทำเอาเสิ่นเจ๋อชวนอดทนไม่ไหว อ้าปากกระอักเลือดทันใด ร่างกายล้มกลิ้งไปหลายตลบ ชั่วขณะหนึ่งเขารู้สึกเหมือนอวัยวะภายในกำลังจะถูกสำรอกออกมาจนหมด

 

[1] กองซือหลี่เป็นหน่วยงานหนึ่งใน ‘สิบสองขันที’ ที่มีหน้าที่ดูแลขันทีและงานกิจภายในวัง กองซือหลี่ทำหน้าที่ดูแลเอกสารของกษัตริย์ ตราประทับและงานพิธีต่างๆ ภายในวัง ในบางยุคสมัยยังมีอำนาจอนุมัติฎีกาแทนกษัตริย์ด้วย ทำให้กองซือหลี่เป็นหน่วยงานที่มีอำนาจสูงสุดใน ‘สิบสองขันที’ ภายในกองซือหลี่ยังแบ่งขันทีตามอำนาจหน้าที่ ได้แก่ ขันทีฝ่ายปกครอง ขันทีผู้ถือตรา ขันทีผู้คัดลอกฎีกา เป็นต้น

[2] สู่ทิศประจิม เป็นสำนวนหมายถึงตาย

[3] หม้อน้ำร้อน เป็นเครื่องมือให้ความอบอุ่นชนิดหนึ่ง วิธีใช้คือเติมน้ำร้อนลงไปและวางหม้อในผ้าห่ม พนักเก้าอี้ หรือใต้เท้า ตัวหม้อมักทำจากทองแดง รูปทรงคล้ายหม้อแต่แบนกว่า

[4] อวี้หวงต้าตี้ หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อเง็กเซียนฮ่องเต้ เป็นเทพเจ้าสูงสุดของจีนที่ปกครองสวรรค์

[5] เหลาจู่จง แปลว่าบรรพบุรุษ บางครั้งใช้เรียกผู้อาวุโสในครอบครัว ในที่นี้เสี่ยวฝูจื่อใช้เรียกขานพันหรูกุ้ยด้วยความเคารพมาก เสมือนผู้ใหญ่ในครอบครัวคนหนึ่ง

[6] ปลอกคอกันลม คือปลอกขนาดใหญ่ที่ทำจากขนสัตว์ ใช้สวมที่คอเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย

[7] เช้าสั่งเย็นแก้ หมายถึงเช้าสั่งอย่างหนึ่ง เย็นเปลี่ยนเป็นอีกอย่างหนึ่ง ใช้เปรียบเปรยถึงการเปลี่ยนแปลงคำสั่งไปมาของผู้ปกครอง

[8] กงจู่ เป็นตำแหน่งเชื้อพระวงศ์หญิงชั้นสูงและเป็นคำเรียกธิดาของกษัตริย์และหวังผู้ครองแคว้น ความหมายคือองค์หญิง ท่านหญิง

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า