เชิญร่ำสุรา
將進酒
ถังจิ่วชิง
唐酒卿
กอหญ้า แปล
“เจ้าก้าวเข้ามาในถิ่นของข้าทีละก้าว ปล่อยให้ข้าหยั่งเชิงเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า
จุดประสงค์ก็เพื่อค่ำคืนนี้ เพื่อลงเรือลำเดียวกับข้า”
เซียวฉือเหย่โน้มตัวไปข้างหน้าช้าๆ สายตาเย็นชา
“แต่หากคืนนี้ข้าสืบไม่ได้ว่าผู้บงการเบื้องหลังคือ… ไม่ล่วงรู้จุดประสงค์ของเจ้า
เจ้าก็จะเหยียบข้าลงไปอย่างแท้จริง ใช้ข้าเป็นแท่นเพื่อก้าวขึ้นไปใช่หรือไม่”
“เจ้าเป็นหมาป่าจมูกไว” เสิ่นเจ๋อชวนพูด
“ไฉนจึงพูดเหมือนตัวเองน่าสงสารเช่นนั้นเล่า หากข้ามิใช่ข้า
เจ้าไม่มีทางเปิดโอกาสให้ข้าเหยียบย่างเข้ามา พวกเราจะไม่มีแม้กระทั่งการสนทนากันด้วยซ้ำ
เจ้ากับข้าเป็นคนประเภทนี้แหละ แทนที่จะมาคาดคั้นข้า ไยจึงไม่ถามตัวเจ้าเองดูก่อนเล่า”
เซียวฉือเหย่พูด “เจ้าต่างหากที่เป็นสารเลว”
เสิ่นเจ๋อชวนตอบ “สารเลวที่มีเป้าหมายเดียวกันหาไม่ง่ายนะ”
เซียวฉือเหย่ไม่อ้อมค้อมกับเขาอีกตรงเข้าประเด็น
“บัดนี้เป็นเจ้าที่ต้องการยืมอำนาจข้า
ทว่าการเป็นพันธมิตรก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างจึงจะสำเร็จได้”
“พวกเรามีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน” เสิ่นเจ๋อชวนตอบ
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 50 ลงเรือลำเดียวกัน
“การหยั่งเชิงเป็นเพียงการโยนหินถามทาง” เซียวฉือเหย่แววตาเย็นชา “การเปิดเผยอย่างจริงใจเปรียบเหมือนการเปลื้องอาภรณ์ ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป จึงจะมีวันนี้ที่พวกเรามานั่งสนทนากันอย่างเปิดอกได้ เจ้าพูดถูก หลังเหตุการณ์ในลานล่าสัตว์หนานหลิน เดิมข้าคิดว่าสภาขุนนางที่นำโดยไห่เหลียงอี๋จะเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่เขายังคงให้ความสำคัญกับเซวียซิวจั๋วที่มาจากแปดสกุลใหญ่ เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าแม้เขาจะอยู่ในจุดที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว แต่ยังคงต้องยอมจำนนให้กับบารมีของสกุลสูงศักดิ์ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สกุลเซียวย่อมเหมือนต่อสู้ยืนหยัดอยู่คนเดียว ยากจะชนะได้”
“เช่นนั้นควรอธิบายความสัมพันธ์ของพวกเขาว่าอย่างไรดี” เสิ่นเจ๋อชวนใคร่ครวญเล็กน้อย “เวลาไม่มีศัตรูร่วม พวกเขาจะเป็นศัตรูกันเอง ต้องทำให้ชามใส่น้ำสมดุลอยู่เสมอ ไม่ล้มคว่ำเพราะข้างใดข้างหนึ่งหนักเกินไป นี่เป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าการรับมือกับใครคนใดคนหนึ่ง ตอนที่ยังไม่มีสกุลเซียว แปดสกุลใหญ่แค่เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในเท่านั้น เมื่อสกุลหนึ่งรุ่งเรืองย่อมมีอีกสกุลหนึ่งตกต่ำ ทว่าหลังจากสกุลเซียวปรากฏขึ้นมา พวกเขาเริ่มกำจัดคนไร้ค่าและรักษาคนที่มีประโยชน์ไว้ การพ่ายแพ้ของสกุลฮวาเป็นการพ่ายแพ้เพียงชั่วคราว ราชสำนักกวาดล้างพรรคพวกสกุลฮวาไปจนหมด แต่ไม่มีใครพูดถึงการเอาผิดไทเฮา แม้กระทั่งไห่เหลียงอี๋เองก็ตาม บัดนี้การแต่งงานระหว่างสกุลฮวากับสกุลชีเป็นการเก็บสกุลฮวาไว้ใช้ประโยชน์ ทั้งยังได้กำจัดความช่วยเหลือภายนอกของสกุลเซียวทิ้งไป เรื่องบางอย่างมองแยกเป็นเรื่องๆ อาจไม่เห็นเงื่อนงำ ต้องนำมาเชื่อมโยงกันจึงจะน่าหวาดหวั่น”
“เจ้าหมายถึงเรื่องที่จงปั๋วพ่ายศึกและสกุลฮวากับสกุลชีจะเกี่ยวดองกันน่ะหรือ” เซียวฉือเหย่ถาม
“กลยุทธ์คบไกลตีใกล้” เสิ่นเจ๋อชวนยื่นนิ้วออกไปวาดวงกลมบนโต๊ะ “บุกตีจงปั๋วหกโจว ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของหลีเป่ยย่อมขาดแนวป้องกัน ฉือโจวอยู่ติดกับทางขนส่งเสบียงตงเป่ยซึ่งเป็นชีพจรสำคัญของหลีเป่ย บัดนี้เมื่อไม่มีจงปั๋วคอยเฝ้าไว้ ย่อมกลายเป็นถิ่นของแปดสกุลใหญ่ในชวี่ตู เมื่อสกุลชีในฉี่ตงแต่งงานกับสกุลฮวา พวกเจ้าย่อมตกอยู่ในสถานการณ์ที่ด้านหลังเป็นเทือกเขาหงเยี่ยน ทิศตะวันออกเป็นชนเผ่าเปียนซา ทิศใต้เจอศัตรูทั้งสองด้าน โดดเดี่ยวไร้ความช่วยเหลือ”
“เวลาทิ้งช่วงมาถึงห้าปี ใครจะแน่ใจได้ว่าฮวาซือเชียนจะก่อกบฏ แล้วใครจะแน่ใจได้ว่าข้าจะออกไปช่วยเหลือฝ่าบาท” เซียวฉือเหย่มุ่นคิ้วช้าๆ
“ความพ่ายแพ้ของจงปั๋วต้องมีจุดประสงค์แน่” เสิ่นเจ๋อชวนเงียบไปครู่หนึ่ง “การควบคุมสถานการณ์ไม่ยาก ความยากอยู่ที่การควบคุมทิศทางของสถานการณ์ที่เป็นไป หากข้าเดาถูก แสดงว่าในแปดสกุลใหญ่มีบุคคลที่สามารถกำหนดทิศทางของสถานการณ์ได้ซ่อนตัวอยู่”
“หากมีบุคคลผู้นี้จริง” เซียวฉือเหย่พูด “นั่นหมายความว่าทุกคนล้วนอยู่บนกระดานหมาก ทุกย่างก้าวล้วนเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ นี่มิใช่บุคคลผู้มีความสามารถอันน่าอัศจรรย์แล้ว แต่เป็น ‘เซียน’ ที่ควบคุมบงการอาณาจักรต้าโจวได้ทั้งหมด เจ้าคิดจะต่อกรกับเขาอย่างไร แผนสร้างความแตกแยกมิอาจเอาชนะสายสัมพันธ์หลายสิบปีของแปดสกุลใหญ่ได้ เพราะยามอยู่ต่อหน้าศัตรูภายนอก พวกเขาจะแข็งแกร่งสามัคคีจนมิอาจทำลาย”
“คลื่นลมปั่นป่วนย่อมดีกว่าคลื่นลมสงบ น้ำต้องขุ่นเท่านั้นจึงจะทำให้พวกเขาแยกแยะมิตรศัตรูไม่ออก ความจริงแล้วพวกเขาก็หาได้แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น” เสิ่นเจ๋อชวนหดนิ้วมือกลับมา “ท่ามกลางการป้องกันของสกุลสูงศักดิ์ เหตุใดเซียวฟางซวี่จึงสามารถฝ่าวงล้อมออกมาได้ หากตาข่ายผืนนี้แน่นหนาจริง ไฉนจึงมีขุนนางใหญ่ที่มาจากตระกูลสามัญอย่างฉีฮุ่ยเหลียนและไห่เหลียงอี๋ บิดาเจ้าสามารถก่อตั้งทหารม้าลั่วสยาที่เป็นต้นแบบของทหารม้าเหล็กหลีเป่ยได้ เป็นเพราะขุนนางที่ปรึกษาในวังบูรพาซึ่งนำโดยรัชทายาทผลักดันการจัดทำทะเบียนเหลืองเพื่อใช้บันทึกทะเบียนราษฎร์ นโยบายนี้ทำให้พื้นที่ชายแดนสามารถรับคนเข้าเป็นทหารได้ ทหารเหล่านี้สืบทอดตำแหน่งต่อกันไปทางสายเลือด อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของกองทหารในหัวเมืองต่างๆ แยกตัวออกจากการปกครองของทายาทสกุลสูงศักดิ์ที่ถูกส่งมาประจำการในท้องถิ่น ทำให้หลีเป่ยอ๋องสามารถกุมอำนาจทหารเอาไว้เองได้ โดยไม่ถูกขุนนางท้องถิ่นควบคุมบงการอีกต่อไป มิเพียงเท่านี้ กองทหารที่แข็งแกร่งของหลีเป่ยในวันนี้ยังเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับระบบถุนเถียน[1]ที่ต้าโจวใช้ นาทหารมีความสำคัญมากเพียงใด เจ้ากระจ่างแจ้งดีกว่าข้า”
เหตุใดลู่ก่วงไป๋จึงลำบากกว่าเซียวจี้หมิง
เพราะเปียนจวิ้นไม่สามารถใช้นโยบายนาทหาร ดินแดนทะเลทรายมิอาจเพาะปลูกสิ่งใดได้ ลู่ก่วงไป๋ได้แต่พึ่งพางบทหารจากชวี่ตู ระบบ ‘ส่งเจ็ดเก็บสาม’ ของนาทหารอาจไม่สามารถทำให้กองทหารชายแดนเลี้ยงดูตัวเองได้โดยสมบูรณ์ แต่ก็ช่วยลดความกดดันเรื่องเสบียงอาหารของกองทหารชายแดนไปได้มาก เรื่องนี้สำคัญต่อทหารชายแดนอย่างยิ่ง
สาเหตุที่ราชครูฉียอมแสร้งบ้าเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป นอกจากความแค้นที่ยากระงับแล้ว ยังเป็นเพราะเสียดายช่องโหว่ที่ตนอุตส่าห์เปิดไว้ คณะที่ปรึกษาในวังบูรพาหลายสิบคนล้วนเป็นขุนนางจากตระกูลสามัญที่รัชทายาทคัดเลือกมาด้วยตัวเอง เพื่อสนับสนุนรัชทายาท ฉีฮุ่ยเหลียนทุ่มเทความรู้ที่เล่าเรียนมาทั้งชีวิต คำว่า ‘ชะตาของใต้หล้านี้ถูกกำหนดแล้ว’ ที่เขากางแขนกู่ร้องออกมาเมื่อห้าปีก่อน แต่ละคำล้วนอาบด้วยน้ำตาเลือดและความไม่ยินยอม
“เจ้าก้าวเข้ามาในถิ่นของข้าทีละก้าว ปล่อยให้ข้าหยั่งเชิงเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า จุดประสงค์ก็เพื่อค่ำคืนนี้ เพื่อลงเรือลำเดียวกับข้า” เซียวฉือเหย่โน้มตัวไปข้างหน้าช้าๆ สายตาเย็นชา “แต่หากคืนนี้ข้าสืบไม่ได้ว่าผู้บงการเบื้องหลังคือซีหงเซวียน ไม่ล่วงรู้จุดประสงค์ของเจ้า เจ้าก็จะเหยียบข้าลงไปอย่างแท้จริง ใช้ข้าเป็นแท่นเพื่อก้าวขึ้นไปใช่หรือไม่”
“เจ้าเป็นหมาป่าจมูกไว” เสิ่นเจ๋อชวนพูด “ไฉนจึงพูดเหมือนตัวเองน่าสงสารเช่นนั้นเล่า หากข้ามิใช่ข้า เจ้าไม่มีทางเปิดโอกาสให้ข้าเหยียบย่างเข้ามา พวกเราจะไม่มีแม้กระทั่งการสนทนากันด้วยซ้ำ เจ้ากับข้าเป็นคนประเภทนี้แหละ แทนที่จะมาคาดคั้นข้า ไยจึงไม่ถามตัวเจ้าเองดูก่อนเล่า”
เซียวฉือเหย่พูด “เจ้าต่างหากที่เป็นสารเลว”
เสิ่นเจ๋อชวนตอบ “สารเลวที่มีเป้าหมายเดียวกันหาไม่ง่ายนะ”
เซียวฉือเหย่ไม่อ้อมค้อมกับเขาอีก ตรงเข้าประเด็น “บัดนี้เป็นเจ้าที่ต้องการยืมอำนาจข้า ทว่าการเป็นพันธมิตรก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างจึงจะสำเร็จได้”
“พวกเรามีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน” เสิ่นเจ๋อชวนตอบ “สกุลเหยาของเจ้ากำลังจะถูกถีบออกจากกระดานแล้ว ไม่ร้อนใจหรือคุณชายรอง”
“ข้าใช้เหยาเวินอวี้ไม่ได้อยู่แล้ว” เซียวฉือเหย่พูด “เจ้ายังไม่เข้าใจเรื่องบางอย่าง สกุลเหยาเป็นมิตรกับข้ามิใช่เพื่อแย่งชิงอำนาจจริงๆ แต่เพียงเพราะเหยาเวินอวี้ผู้นี้…หากเจ้าได้เจอเขาก็จะเข้าใจเอง เขาไม่เข้ารับราชการมิใช่เพราะไห่เหลียงอี๋ตัดใจไม่ได้ แต่เป็นเพราะเขาไม่สมัครใจเอง ในอดีตสกุลเหยามีแต่ขุนนางใหญ่ จนถึงรุ่นของบิดาเขาจึงตกต่ำลง ทว่าบารมีของปู่เขายังคงอยู่ เป็นสกุลสูงศักดิ์ที่ได้รับความเคารพนับถือจากปัญญาชน ชื่อเสียงของเขาในหมู่ขุนนางฝ่ายบุ๋นหาใช่บุคคลอย่างฮวาซือเชียนจะเทียบได้ หากเขาคิดจะผงาดขึ้นอีกครั้ง ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เขากลับยินดีใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรี หากซีหงเซวียนสามารถเขี่ยสกุลเหยาออกไปได้จริง เขากลับยิ่งอิสระกว่าเดิม”
“สกุลเหยาเคยเกี่ยวดองกับสกุลเฟ่ย เหยาเวินอวี้เป็นญาติผู้พี่ของท่านหญิงจ้าวเยวี่ย ใช่หรือไม่” เสิ่นเจ๋อชวนพลันถาม
“ถูกต้อง” เซียวฉือเหย่จับตะเกียบ “จ้าวเยวี่ยน่าจะอยากแต่งให้เขา แต่เฮ่อเหลียนโหวขี้ขลาดตาขาว เชื่อฟังไทเฮาทุกอย่าง”
“เช่นนั้นบางทีพวกเจ้าอาจได้เกี่ยวดองเป็นญาติกัน”
“เรื่องการแต่งงานยังไม่สำเร็จมิใช่หรือ” เซียวฉือเหย่พูด “เจ้าทำลายการแต่งงานของข้า ทำให้ข้าต้องเสียคนงามไป ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องชดใช้คืนให้ข้ากระมัง”
เสิ่นเจ๋อชวนขมวดคิ้วเล็กน้อย
เซียวฉือเหย่ล้างตะเกียบในน้ำชาเย็นชืด เหลือบตามองเขา “เจ้ารู้หรือไม่ว่า ‘แบ่งเรือร่วมเบียด[2]’ กับ ‘แบ่งเตียงร่วมนอน’ ต่างกันเพียงแค่สองคำ ข้าคิดว่าพูดผิดไปคงไม่เป็นไร วันหน้าหากทำผิดไปก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน”
ไอร้อนในห้องทำเอาเสิ่นเจ๋อชวนวิงเวียนเล็กน้อย เขามิได้ตอบคำ แต่หันไปเปิดหน้าต่าง
เซียวฉือเหย่ไม่ได้แตะต้องอาหารเลย กลับเอ่ยว่า “ข้าพาเจ้ามาที่นี่ ให้เจ้ากินอาหารของข้า ดื่มสุราของข้า เจ้าไม่สงสัยแม้แต่น้อยเลยหรือ”
เสิ่นเจ๋อชวนมองเซียวฉือเหย่ ลมเย็นพัดมาจนเขารู้สึกถึงความรุ่มร้อนในที่สุด เหงื่อซึมออกมาบางๆ คอเสื้อที่ปิดแน่นสนิทของเขาห่อหุ้มลำคอขาวผ่องไว้ เรือนผมดำขลับกับดอกเหมยสีแดงที่โน้มกิ่งเข้ามาตรงหน้าต่างสอดรับกันอย่างลงตัว ทำให้เขายิ่งดูงดงามเกินบรรยาย
ข้างนอกหิมะที่เหมือนเม็ดเกลือโปรยปรายลงมา ปลิวเข้ามาทางหน้าต่างและตกลงบนหลังมือของเสิ่นเจ๋อชวน ไม่นานก็ละลายกลายเป็นน้ำ ความเย็นจุดเล็กๆ นี้ทำให้ความร้อนในร่างกายชัดเจนมากยิ่งขึ้น เสิ่นเจ๋อชวนเหม่อลอย คิดฟุ้งซ่านไปถึงเรื่องอื่น ตอนนี้เขาอยากปลดกระดุม
“ในสัญญาพันธมิตรไม่มีข้อตกลงนี้” เสิ่นเจ๋อชวนพูด “ช่วงนี้ข้าไม่ขาดคนอุ่นเตียง”
เซียวฉือเหย่ยกขาขึ้น “เจ้าในตอนนี้ดูไม่เหมือนคนที่ไม่ขาดคนอุ่นเตียงสักเท่าไรนะ เรื่องงานคือเรื่องงาน เรื่องส่วนตัวคือเรื่องส่วนตัว เราคุยเรื่องงานกันจบแล้ว สามารถค่อยๆ คุยเรื่องส่วนตัวได้แล้ว คนในหอโอ่วฮวาเมื่อคราวก่อน ซีหงเซวียนเป็นคนหามาให้เจ้ากระมัง ข้าได้ยินมาว่าเขานิยมชมชอบสตรีเท่านั้น เปลี่ยนรสนิยมไปตั้งแต่เมื่อไร”
“การนิยมชมชอบบุรุษไม่ใช่เรื่องแปลกมานานแล้ว” เสิ่นเจ๋อชวนตอบ “เขาเปลี่ยนหรือไม่ข้าไม่รู้ ว่าแต่คุณชายรองเปลี่ยนแล้วหรือ”
“ข้าไม่แน่ไม่นอน” เซียวฉือเหย่จับผมเสิ่นเจ๋อชวนที่ทิ้งตัวอยู่บนหัวเข่าขึ้นมา “แต่ไรมาล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์”
เสิ่นเจ๋อชวนใช้นิ้วเกี่ยวผมตัวเองกลับมา เหงื่อซึมออกมาไม่น้อย “คนบางคนวาจาสง่าผ่าเผย ดูมีระเบียบแบบแผน แต่ความจริงแล้วกลับกินอย่างตะกละมูมมาม คงขาดการฝึกฝนกระมัง”
เซียวฉือเหย่ผลักโต๊ะเล็กออก คว้าข้อมือเขาที่กำลังจะหดกลับไป “…คนบางคนเหงื่อกาฬแตกพลั่ก ดูแล้วช่างน่าสมเพชเหลือเกิน”
ไอร้อนของเสิ่นเจ๋อชวนยังไม่สลายไป บริเวณที่ถูกเซียวฉือเหย่กุมไว้ยิ่งรู้สึกร้อนลวก แขนข้างหนึ่งของเขายันอยู่หน้าหัวเข่า ถามเซียวฉือเหย่ “เจ้าใส่ยาใดลงไปในอาหาร”
“เดาสิ” เซียวฉือเหย่ดึงข้อมือเสิ่นเจ๋อชวนเข้ามา น้ำเสียงเปลี่ยนไป “จี้กังไม่มีทางสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้าได้ อาจารย์ของเจ้า หรือควรเรียกว่าเซียนเซิงของเจ้าเป็นใครกันแน่”
เสิ่นเจ๋อชวนหางตาแดงเรื่อ ตอบเสียงแผ่ว “ข้าไม่บอกเจ้า”
เซียวฉือเหย่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย สูดดมเบาๆ พลันเอ่ยว่า “เจ้าหอมเหลือเกิน”
เสิ่นเจ๋อชวนลมหายใจถี่กระชั้น “เจ้าถึงขั้นต้องใช้แผนคนงามเช่นนี้แล้วหรือ”
เซียวฉือเหย่ตอบ “คำว่าคนงามไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับข้า อย่างไรกัน แค่พูดคุยเท่านั้นเจ้าก็ประหม่าเสียแล้ว”
เหงื่อเปียกเสื้อตัวใน ไอร้อนถูกเล้าโลมด้วยบรรยากาศคลุมเครือที่เกิดขึ้นกะทันหัน แปรเปลี่ยนเป็นความเปียกชื้นที่เหนอะหนะกว่าเดิม เสิ่นเจ๋อชวนอยากเช็ดเหงื่อของตัวเอง เขานิ่วหน้าถาม “เจ้าใส่สิ่งใดลงไปกันแน่”
เซียวฉือเหย่หัวเราะร่า ตอบอย่างชั่วร้าย “ข้าหลอกเจ้า นั่นเป็นเพียงสุรายาเท่านั้น”
เสิ่นเจ๋อชวนรู้สึกว่าสายตาเขาอันตรายเหลือเกิน จนอดหลับตาลงมิได้ ฝืนตั้งสติเอ่ยว่า “เซียวเอ้อร์…”
เซียวฉือเหย่กระดกจอกดื่มสุราเย็นจนหมดรวดเดียว ทันใดนั้นก็ก้มหน้าลงประกบปากเสิ่นเจ๋อชวน เสิ่นเจ๋อชวนถูกดันตัวไปติดหน้าต่าง กิ่งเหมยถูกชนจนสั่นไหว เสิ่นเจ๋อชวนหงายตัวไปข้างหลังเล็กน้อย รู้สึกว่าเอวถูกบีบจนใกล้หักเต็มที หิมะที่ทับถมอยู่บนกิ่งเหมยตกลงบนหลังคอเซียวฉือเหย่ แต่เขาไม่สนใจสักนิด ลำตัวท่อนบนแทบจะกดทับเสิ่นเจ๋อชวนไว้ นิ้วมือทั้งห้าดันนิ้วมือเสิ่นเจ๋อชวนให้แยกออกจากกัน แล้วใช้กำลังกุมประสานนิ้วมือเขา
เซียวฉือเหย่อยากจุมพิตเขาตั้งแต่เห็นเขาในงานเลี้ยงเหล่าขุนนางแล้ว หลังจากคุยกันในคืนนี้ เขายิ่งรู้สึกเช่นนั้น เขาอดทนมาตลอดทั้งคืน ครั้นเห็นเสิ่นเจ๋อชวนโหดเหี้ยมไร้ความปรานี อีกทั้งความคิดยังว่องไว คาดเดามิได้โดยสิ้นเชิง ทำให้เขานึกอยากกดอีกฝ่ายลงไปและจูบให้รอยแดงปรากฏทั่ว จูบจนดวงตาคู่นั้นฉายอารมณ์ปรารถนา
เสิ่นเจ๋อชวนหน้าอกสะท้อนขึ้นลง เหงื่อบนตัวถูกลมพัดใส่ หนาวจนเขาสั่นสะท้าน ปากเขามิอาจปิดกั้นสุราที่เซียวฉือเหย่ป้อนให้ได้ เมื่อสุราไหลล่วงเข้าไปในลำคอก็สำลัก ทว่าเซียวฉือเหย่กัดปลายลิ้นเขาไว้ ทำให้ไอไม่ออก ได้แต่อดทนจนดวงตาสองข้างมีน้ำตาคลอ ยามนี้ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย เซียวฉือเหย่ก็ไม่ยอมปล่อยเขา
ข้างบนเกิดเสียงดังโครม จากนั้นคนคนหนึ่งก็กลิ้งตกลงมา ติงเถาหัวทิ่มลงไปในหิมะและยกหัวขึ้นมาโดยเร็ว หนาวจนต้องถูแขนไม่หยุด ขณะกำลังจะด่าคน เขาเงยหน้ามองเข้าไปในหน้าต่าง อดมิได้ที่จะปากอ้าตาค้าง วิญญาณหลุดลอยออกไปนอกโลก
เสิ่นเจ๋อชวนถีบเซียวฉือเหย่ออกทันที ยันหน้าต่างไอสำลัก หลังหูแดงเป็นวงกว้าง โพรงปากเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของสุรา ส่วนเซียวฉือเหย่ลมหายใจกระชั้น สายตาอึมครึมมองออกไปนอกหน้าต่าง
ติงเถาฟันกระทบกัน เขาชูนิ้วชี้ออกมาอย่างสั่นเทา ค่อยๆ ชี้ขึ้นข้างบน เอ่ยเสียงเบาหวิว “ขอ ขอโทษขอรับคุณชาย…”
เฉียวเทียนหยากับกู่จินกลั้นลมหายใจอยู่ข้างบน แสร้งทำเหมือนมิได้อยู่ตรงนั้นอย่างชาญฉลาด ติงเถาไม่รอให้เซียวฉือเหย่เอ่ยปาก กระโดดผลุงหนีไปทันที เขาปีนขึ้นต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว เพียงพริบตาก็กลับขึ้นไปบนหลังคาแล้ว
[1] ระบบถุนเถียน หรือระบบกสิกรรมใหม่ ถูกโจโฉนำมาใช้อย่างแพร่หลายในสมัยฮั่นตะวันออก แรกเริ่มถูกใช้ภายในกองทัพเท่านั้น โดยเมื่อกองทัพเดินทางไปที่ใด ทหารที่ไม่ต้องทำศึกจะมีหน้าที่บุกเบิกที่ดินบริเวณนั้นให้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม จุดประสงค์หลักเพื่อให้กองทัพมีเสบียงอาหารเพียงพอ การทำนาแบบนี้เรียกว่านาทหาร (จวินถุน) นอกจากนี้ยังมีนาชาวบ้าน (หมินถุน) โดยรัฐจะแบ่งสรรที่ดินให้ประชาชนและเป็นฝ่ายสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ รวมถึงเครื่องไม้เครื่องมือในการทำนา แต่เมื่อเก็บเกี่ยวแล้ว ประชาชนจะต้องแบ่งผลผลิตไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งคืนให้รัฐเป็นค่าเช่านา
[2] แบ่งเรือร่วมเบียด มีความหมายเหมือนกับลงเรือลำเดียวกัน