[ทดลองอ่าน] เชิญร่ำสุรา 將進酒 ตอนที่ 7

 เชิญร่ำสุรา
將進酒

 

ถังจิ่วชิง
唐酒卿

กอหญ้า แปล

 

สุนัขชั่ว ปะทะ สุนัขบ้า

จงปั๋วหกโจวถูกประเคนยกให้แก่ศัตรูต่างแคว้น เสิ่นเจ๋อชวนถูกคุมตัวมายังเมืองหลวง
ถูกประนามหยามเหยียดจากทุกคน เมื่อเซียวฉือเหย่ได้ข่าว ก็มิร้องขอให้ผู้ใดลงมือแทน
เขาหมายมั่นจะเตะเสิ่นเจ๋อชวนให้พิการด้วยตนเอง
ทว่าใครจะรู้เล่าว่าเจ้าคนอ่อนแอขี้โรคนี่จะแว้งกัดเขาเสียจนเลือดสาด
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความบาดหมางระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง
ที่จำต้องฉีกทึ้งกันทุกครายามเผชิญหน้ากัน

“โชคชะตาต้องการให้ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่ชั่วชีวิต แต่นี่หาใช่เส้นทางที่ข้าเลือกไม่…
ทรายเหลืองกลบฝังพี่น้องข้า ข้าไม่อยากยอมจำนนให้กับชีวิตอันว่างเปล่าอีกแล้ว
ราชโองการมิอาจช่วยเหลือทหารของข้าได้
ราชสำนักมิอาจเลี้ยงดูม้าของข้าให้อิ่มได้…
ข้าไม่อยากทุ่มเทรับใช้พวกเขาด้วยชีวิตอีกแล้ว…
ข้าจะข้ามเขาลูกนั้นไป… ข้าจะต่อสู้เพื่อตัวเองสักครั้ง”

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 7 ไท่ฟู่

 

ฉีไท่ฟู่เอ่ยวาจาไม่ออก ดึงมือกลับมา เบือนหน้าออกไปไม่มองเสิ่นเจ๋อชวน เขาถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่ ใช้ชีวิตอย่างคลุ้มคลั่งมายี่สิบปี เกลียดคนที่อยู่ข้างนอกทุกคน ทว่าคืนนี้กลับต้องโน้มน้าวตัวเองไม่ให้เกลียดชังลูกศัตรู

“บัดนี้” น้ำเสียงของฉีไท่ฟู่เศร้าสลด “บัดนี้ข้ายังจะฆ่าใครได้อีก”

หิมะโปรยปรายลงมาเงียบๆ อีกาในลานผละจากกิ่งไม้ ม่านเก่าขาดในวิหารพลิ้วไหวตามสายลม ฉีไท่ฟู่ตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนตัวสั่นเทา ยกแขนสองข้างสูง ท่าทางโศกสลดยิ่งนัก

“ชะตาของใต้หล้านี้ถูกกำหนดแล้ว! ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร ชื่อเสียงอันดีงามของเตี้ยนซย่าพลิกกลับนับแต่นี้ไป เจ้าข้ากลายเป็นโจรโฉดขุนนางชั่วที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปอีกหมื่นปี! ข้าจะฆ่าใคร ข้าอยากจะฆ่าสวรรค์ที่เลอะเลือนไร้ตาถึงเพียงนี้! ยี่สิบปีก่อนเตี้ยนซย่าโลหิตสาดกระเซ็นที่นี่ พวกเราทำผิดอันใด ฝ่าบาทถึงต้องกำจัดพวกเราจนสิ้นซากเช่นนี้!”

ฉีไท่ฟู่น้ำตาพรั่งพรู คุกเข่าหน้าประตูวิหารตัวสั่น โขกศีรษะกับพื้นไม่หยุด

“ตอนนี้ฆ่าข้าเสียเถอะ!”

ค่ำคืนที่หิมะตกอากาศหนาวเหน็บ ภายในวัดเก่าแก่ว่างเปล่าไร้เสียงขานตอบ ฉีไท่ฟู่คุกเข่าอยู่เช่นนี้ เหมือนรูปปั้นพระพุทธองค์ที่ชำรุดทรุดโทรม ปกคลุมด้วยหิมะสีขาวราวปุยฝ้าย ตั้งอยู่ท่ามกลางความเงียบงันกลางดึกในนครหลวงชวี่ตูอันคึกคัก

 

ครึ่งชั่วยามต่อมา จี้กังประคองฉีไท่ฟู่ สามคนนั่งล้อมวงอยู่หน้าโต๊ะบูชา

“หลายเรื่องในคืนนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะข้า ข้าขอถือโอกาสนี้ชี้แจงให้ชัดเจน” จี้กังม้วนแขนเสื้อ “ไท่ฟู่ ชวนเอ๋อร์เกิดในสกุลเสิ่น เป็นบุตรอนุลำดับที่แปด แปดปีก่อนทายาทสายตรงและสายรองในจวนเจี้ยนซิงหวังเหมือนน้ำกับไฟ เจี้ยนซิงซื่อจื่อเสิ่นโจวจี้เป็นที่รักใคร่ จึงขับพี่น้องที่เกิดจากอนุออกจากจวน ตอนนั้นชวนเอ๋อร์อายุเพียงเจ็ดขวบ มิอาจส่งกลับตวนโจวไปเป็นทหาร ดังนั้นจึงอาศัยอยู่ในบ้านพักข้างนอกโดยให้สาวใช้ของมารดาเขาเป็นผู้เลี้ยงดู แต่หญิงผู้นั้นละโมบในทรัพย์สินและมีนิสัยฟุ้งเฟ้อ มักหักค่าเลี้ยงดูของเด็กไปเสมอ พิงถิงมีไมตรีกับมารดาเขาอยู่บ้าง พอรู้เรื่องนี้จึงให้ข้าพาชวนเอ๋อร์กลับไป พวกเราจะเลี้ยงดูเขาเอง”

ฉีไท่ฟู่ยิ้มหยัน “เดิมตระกูลของเสิ่นเว่ยถือกำเนิดจากอนุ วัยเยาว์ได้รับความไม่เป็นธรรมมามาก น่าขันที่ตัวเขาเองกลับรักลูกที่เกิดจากภรรยาเอก ทว่าก็ยังมักมากในเรื่องสตรี ให้กำเนิดบุตรตั้งมากมาย หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ”

“พวกเราเขียนจดหมายส่งไปจวนหวังหลายครั้ง แต่สุดท้ายเสิ่นเว่ยก็ไม่เคยตอบจดหมายเลย ไท่ฟู่ ท่านลองคิดดูเถิด แปดสกุลใหญ่ในชวี่ตูแม้เป็นบุตรที่เกิดจากอนุ แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่าสกุลใดทอดทิ้งทายาทของตัวเองเช่นนี้” จี้กังหัวคิ้วขมวดมุ่น “ด้วยเหตุนี้ชวนเอ๋อร์จึงจับพลัดจับผลูอยู่กับพวกเราเรื่อยมา ตอนนั้นมู่เอ๋อร์อายุสิบห้า เห็นน้องชายแล้วชอบมาก นับแต่นั้นมาพวกเราครอบครัวสี่คนก็ลงหลักปักฐานที่ตวนโจว เพื่อให้ได้ขึ้นทะเบียนทหารในทะเบียนเหลือง[1]ยังต้องเปลืองแรงไม่น้อย”

ฉีไท่ฟู่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนพูด “เจ้าออกจากเมืองหลวงพร้อมความผิด คิดจะเข้าทะเบียนย่อมเป็นเรื่องยาก ในอดีตเตี้ยนซย่าทรงจัดการเรื่องการขึ้นทะเบียนในทะเบียนเหลืองอย่างเข้มงวด จุดประสงค์ก็เพื่อปราบปรามโจรผู้ร้าย ป้องกันมิให้ประชาชนก่อความวุ่นวาย”

จี้กังพูด “ข้าเข้าใจ ไท่ฟู่ ข้าจากไปแล้วชวี่ตูเกิดอะไรขึ้น เหตุใดไท่จื่อเตี้ยนซย่าจึงตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น”

ฉีไท่ฟู่ดึงผ้าม่านเก่าขาดมาคลุมหัวไหล่ เอ่ยด้วยท่าทีหมองหม่น “…หลังเจ้าจากไป ฝ่าบาทก็หมดความไว้วางใจในตัวจี้อู๋ฝาน พันหรูกุ้ยรับใช้หวงโฮ่วจนเป็นที่โปรดปราน ได้รับตำแหน่งขันทีผู้คัดลอกฎีกาในกองซือหลี่ ฐานะขององครักษ์จิ่นอีตกต่ำลงเพราะเหตุนี้ สิบสองกองย่อยแม้ยังมีอยู่ แต่ความจริงไร้ซึ่งอำนาจ พอจี้อู๋ฝานตาย จี้เหลยเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว นับแต่นั้นมาสำนักตะวันออก[2]ก็กลายเป็นพ่อบุญธรรมขององครักษ์จิ่นอี องครักษ์จิ่นอีไม่ไปมาหาสู่กับวังบูรพาอีก หลังจากนั้นอาการป่วยของฝ่าบาทกำเริบกะทันหัน นอนซมอยู่บนเตียงเรื่อยมา เรื่องเบ็ดเตล็ดในราชสำนักล้วนมอบหมายให้สภาขุนนางและวังบูรพาเป็นผู้จัดการ คิดไม่ถึงว่าสกุลฮวาจะอาศัยความโปรดปรานจากหวงโฮ่ว วางบุคคลไร้ความสามารถไว้ในราชสำนักมากมาย ส่งผลให้ธรรมเนียมการติดสินบนของหกกรมกลับมาอีกครั้ง เริ่มเกิดหายนะและความวุ่นวายจากฝ่ายราชินิกุล[3] ไท่จื่อเตี้ยนซย่าถวายหนังสือกราบทูลหลายครั้ง แต่คิดไม่ถึงว่าพันหรูกุ้ยจะอาศัยอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติฎีกา ร่วมมือกับหวงโฮ่วยึดอำนาจในราชสำนัก หนังสือกราบทูลของเตี้ยนซย่าส่งไปไม่ถึงฝ่าบาทด้วยซ้ำ มิเพียงเท่านี้ หลังจากฝ่าบาทประชวร หวงโฮ่วยังปฏิเสธไม่ให้สภาขุนนางและวังบูรพาเข้าเฝ้าถวายบังคม”

“ขันทีทำลายบ้านเมือง” จี้กังถอนหายใจติดๆ กัน “หากรู้แต่แรกว่าพันหรูกุ้ยมีใจมักใหญ่ใฝ่สูงเช่นนี้ ตอนนั้นข้าไม่ควรบอกให้บิดายั้งมือเลย”

“ฆ่าพันหรูกุ้ยไปคนหนึ่ง ก็ยังต้องมีพันหรูสี่ พันหรูอี้ปรากฏขึ้นอีก” ฉีไท่ฟู่เอ่ยอย่างไร้ความรู้สึก “ฝ่ายในแทรกแซงการปกครอง ราชินิกุลกุมอำนาจ จี้กัง เจ้าไม่เข้าใจหรือ นี่เป็นโรคเรื้อรังที่ฝังรากลึกมานานของแปดสกุลใหญ่ ตราบใดที่ยังไม่กำจัดแปดสกุลใหญ่ในชวี่ตู เรื่องแบบนี้ก็ต้องวนเวียนเป็นวัฏจักรไม่สิ้นสุด หวงโฮ่วอยู่แต่ในวัง จะบงการเรื่องในราชสำนักได้อย่างไร ล้วนอาศัยอำนาจบารมีสกุลฮวาที่สั่งสมมานาน ในอดีตต่อให้หวงโฮ่วมิได้แซ่ฮวา เปลี่ยนเป็นแซ่อื่นในแปดสกุลใหญ่ เรื่องแบบนี้ก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี”

“แต่ว่า” เสิ่นเจ๋อชวนอดถามมิได้ “ไท่จื่อเตี้ยนซย่ามิใช่พระโอรสสายตรงหรอกหรือ”

“มิใช่” ฉีไท่ฟู่ก้มหน้า “มารดาบังเกิดเกล้าของเตี้ยนซย่าเป็นสนมในวัง หวงโฮ่วไร้บุตร ไม่เคยให้กำเนิดทายาท ทว่าเตี้ยนซย่าเป็นคนที่หวงโฮ่วเลี้ยงดูอุ้มชูมาด้วยตัวเอง ภาษิตว่าพยัคฆ์ร้ายไม่กินลูกตัวเอง…ครอบครัวกษัตริย์ไม่มีบิดาบุตร”

ภายในวิหารเงียบงันอีกครั้ง

จี้กังพ่นไอเย็นออกมาคำหนึ่ง น้ำเสียงฝาดเฝื่อน “เป็นเพราะข้าติดสุราจนเสียการเสียงาน ทำให้บิดาสูญเสียความไว้วางใจจากฝ่าบาท หาไม่แล้ว เตี้ยนซย่าย่อมไม่มีทางตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นได้”

“เดิมข้าคิดว่ามีจี้อู๋ฝานกับเจ้าอยู่ จี้เหลยไม่มีทางแปรพักตร์ไปเข้าด้วยฝ่ายศัตรูและทำร้ายพวกเดียวกัน” ฉีไท่ฟู่จ้องผ้าม่านเก่าขาด ย้อนคิดถึงเรื่องในอดีตแล้วทุกข์ใจจนยากจะเอ่ยวาจา “แต่คิดไม่ถึงว่าเขา…”

“มีเรื่องบางอย่างที่ไท่ฟู่ยังไม่รู้” จี้กังมองเสิ่นเจ๋อชวน “ชวนเอ๋อร์ก็ไม่รู้เช่นกัน บิดาข้าจี้อู๋ฝานเป็นสหายสนิทของอดีตจักรพรรดิ ทั้งยังเป็นผู้บัญชาการกองกำลังจิ่นอี ทว่าภรรยาคนแรกของบิดาจากไปเร็ว อีกทั้งบิดาไม่มีความคิดที่จะแต่งงานใหม่ จึงรับเด็กผู้ชายมาเลี้ยงเป็นลูกสามคน นอกจากข้ากับจี้เหลยแล้ว ยังมีพี่ใหญ่อีกคน เนื่องจากพี่ใหญ่ทนเรื่องเลวร้ายในคุกหลวงไม่ได้ จึงจากเมืองหลวงไปนานแล้ว เขาไปเป็นทหารที่หอประตูเทียนเฟย ข้ากับจี้เหลยอยู่รับใช้กองกำลังจิ่นอี แสดงความกตัญญูอยู่ข้างกายบิดา วิชาหมัดมวยสกุลจี้และเพลงดาบสกุลจี้ล้วนเป็นสิ่งที่บิดาถ่ายทอดให้ ภายหลังหลายเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้บิดาคิดว่าจี้เหลยจิตใจไม่เถรตรง นิสัยประจบสอพลอ ดังนั้นจึงถ่ายทอดวิชาฝึกจิตสกุลจี้ให้ข้าเพียงผู้เดียว คิดดูก็รู้ว่าเหตุการณ์นี้ทำให้พวกเราพี่น้องแตกคอกันโดยสมบูรณ์ หลังจากบิดาตาย จี้เหลยจึงกวาดล้างลูกน้องเก่าของบิดาออกไปทั้งหมด คนเก่าคนแก่ส่วนใหญ่ล้วนถูกเนรเทศ กองกำลังจิ่นอีวันนี้…มิใช่กองกำลังจิ่นอีในอดีตอีกต่อไปแล้ว”

ฉีไท่ฟู่พึมพำ “นี่ก็คือชะตา คนในวังบูรพาร่วมแรงร่วมใจกันแล้ว ยังมิอาจปกป้องเตี้ยนซย่าได้ ฝ่าบาททรงสงสัยว่าเตี้ยนซย่าคิดก่อกบฏ ทว่าตำแหน่งที่ทรงอำนาจในแปดกองกำลัง เดิมทีผู้ดำรงตำแหน่งก็มาจากแปดสกุลใหญ่อยู่แล้ว องครักษ์จิ่นอีเจอหลักฐานเกี่ยวกับการก่อกบฏและยืนกรานว่าเป็นของเตี้ยนซย่า คนของพวกเราถูกจับเข้าคุกหลวง ตายไปจำนวนมาก คนที่ทนการลงทัณฑ์ไม่ไหวยอมรับสารภาพ ฝ่าบาทที่กำลังประชวรกริ้วจัด ประกอบกับฟังคำยุแยงของพันหรูกุ้ย ทำให้เตี้ยนซย่าหมดทางถอย”

ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยคราบน้ำตา เหมือนจะคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกครา

“เตี้ยนซย่าตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ไม่มีทางให้ถอยเลย! ไยจึงไม่ฆ่าข้าเสีย ไยจึงปล่อยให้ข้ามีชีวิตรอดอยู่คนเดียวจนถึงวันนี้! ใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานเหมือนตายทั้งเป็น แต่ข้ากลับมิได้ลงไปในปรโลกเสียที”

ทันใดนั้น เขาหันไปมองเสิ่นเจ๋อชวน เอ่ยด้วยน้ำเสียงบ้าระห่ำกว่าเดิม

“…ข้าไม่ยอม! แผนการที่ตระเตรียมมาหลายปีสูญเปล่าทั้งหมด คนในวังบูรพาบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ความไม่เป็นธรรมที่เตี้ยนซย่าได้รับยังมิอาจลบล้าง ข้าไม่ยอมเด็ดขาด!” เขาคว้าแขนเสิ่นเจ๋อชวนอีกครั้ง “เจ้าอ่อนเยาว์เช่นนี้ เจ้ายังมีโอกาส!”

“ไท่ฟู่…” จี้กังลุกขึ้นหมายจะห้าม

“เจ้าปกป้องเขาได้ชั่วคราว แต่จะสามารถปกป้องเขาได้ตลอดชีวิตหรือ?!” ฉีไท่ฟู่บีบแขนเสิ่นเจ๋อชวนแน่น “วันนี้ข้าเข้าใจจิตใจของบิดาที่รักบุตรอย่างเจ้า จึงไม่เกลียดเขา ไม่แค้นเขา แต่เจ้าสามารถทำให้ผู้คนทั่วหล้าคิดเช่นนี้ได้งั้นรึ ตราบใดที่เขายังแซ่เสิ่น ก็ต้องมีคนคิดฆ่าเขา! การมีวิชายุทธ์ติดตัวทำให้เจ้าไร้กังวลได้จริงๆ หรือ จี้กัง บิดาเจ้าเป็นยอดฝีมือที่วรยุทธ์สูงส่งเพียงใด สุดท้ายยังมิใช่ต้องป่วยตายอย่างเดียวดายตามลำพังหรือ! ในนครหลวงชวี่ตูแห่งนี้ ท่ามกลางกระแสอำนาจที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การฆ่าคนโดยมองไม่เห็นอันตรายที่สุด เจ้าจะปล่อยให้เขาเผชิญหน้ากับคนโฉดชั่วอำมหิตโดยไร้การป้องกันเช่นนี้ได้อย่างไร!”

จี้กังกำหมัดไม่พูดจา

ฉีไท่ฟู่เขย่าตัวเสิ่นเจ๋อชวน แต่แล้วกลับคุกเข่าทั้งสองข้างลง เขามองเสิ่นเจ๋อชวน เอ่ยเสียงสั่นเจือแววสะอื้น “ข้าคือฉีฮุ่ยเหลียนจากอวี๋โจว เจ้าไม่รู้จักข้าไม่เป็นไร ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง ข้าสอบ สอบได้ที่หนึ่งของสามหยวน[4]ในรัชศกหย่งอี๋ที่สิบห้า ตั้งแต่ต้าโจวก่อตั้งบ้านเมืองมาจนบัดนี้ ผู้ที่ได้ที่หนึ่งในการสอบแข่งขันทั้งสามรอบมีเพียงห้าคนเท่านั้น ข้าเคยเป็นที่ปรึกษาในวังบูรพา ทั้งยังเคยดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมปกครอง ควบตำแหน่งรองราชเลขาธิการสภาขุนนาง ข้าเคยสอนไท่จื่อ บัดนี้ข้า ข้าจะสอนเจ้า! ข้าจะสอนสิ่งที่ข้าเล่าเรียนมาทั้งชีวิตให้กับเจ้าทั้งหมด…ดีหรือไม่”

เสิ่นเจ๋อชวนจ้องตาของฉีไท่ฟู่ ท่าทางสุขุมมั่นคงผิดปกติ หลังจากเงียบไปชั่วครู่สั้นๆ เขาก็คุกเข่าลงบนพื้นดังตึง โขกศีรษะให้ฉีไท่ฟู่สามที

“เซียนเซิง[5]สอนวิชาความรู้ข้า ข้าจักสังหารศัตรูให้เซียนเซิง”

 

เก่อชิงชิงออกจากบ้านยามเหม่า[6] มุ่งหน้าไปวัดเจาจุ้ย ระหว่างทางอากาศหนาวเย็น ทั้งยังมีหิมะตก เขาเป่าลมหายใจใส่มือ เดินไปพลางมองหาแผงขายซาลาเปาไปพลาง

ได้ยินเสียงร้องตะโกนดังมาแต่ไกล ร่มแดงคันหนึ่งกางอยู่กลางหิมะ คนใต้ร่มเดินโซเซเล็กน้อยตรงมาทางนี้ ผู้ที่สามารถกางร่มแดงในนครหลวงชวี่ตูได้ ล้วนเป็นชนชั้นสูงยศขั้นห้าขึ้นไปทั้งนั้น

เก่อชิงชิงหลบไปริมทาง ถือดาบทำความเคารพ ยามคนผู้นี้เดินมาตรงหน้า กลิ่นสุราเข้มข้นพุ่งปะทะจมูก

“ทหารถีฉี[7]” คนผู้นี้หยุดเดิน ยื่นมือไปกระชากป้ายห้อยเอวของเก่อชิงชิงมาพิจารณาดูครู่หนึ่งและถาม “อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ นายกองร้อยเก่อจะไปไหนหรือ”

เก่อชิงชิงจ้องรองเท้าหุ้มแข้งสีดำของคนผู้นี้ ตอบว่า “เรียนใต้เท้า วันนี้ผู้น้อยเข้าเวรที่สำนัก กำลังจะไปวังหลวงขอรับ”

เซียวฉือเหย่ดื่มสุรามาทั้งคืน เสื้อผ้าอาภรณ์ไม่เรียบร้อย เขาแกว่งป้ายห้อยเอวเล่น “ทางนี้ไม่เหมือนทางไปวังหลวงนี่”

เก่อชิงชิงเงยหน้า เผยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน “เอ้อร์กงจื่อเป็นผู้สูงศักดิ์ ไม่รู้ว่าตรอกซอยที่ชาวบ้านใช้กันมีความสลับซับซ้อน จากนี่เดินทะลุไปไม่กี่ตรอกก็ถึงถนนเสินอู่ได้ ตรงสู่ประตูวัง”

เซียวฉือเหย่ฟังแล้วยิ้ม คืนป้ายห้อยเอวให้เขา “รู้จักข้าหรือไม่”

เก่อชิงชิงรับป้ายห้อยเอวกลับมาและตอบอย่างนอบน้อม “ทหารม้าเหล็กหลีเป่ยห้าวหาญเชี่ยวชาญการรบ ซื่อจื่อกับเอ้อร์กงจื่อล้วนมีความดีความชอบในการคุ้มกันฝ่าบาท ในชวี่ตูใครบ้างจะไม่รู้จักท่าน เอ้อร์กงจื่อจะกลับจวนหรือ ถนนหนทางลื่น ผู้น้อยขอบังอาจส่งท่านกลับจวนได้หรือไม่”

เซียวฉือเหย่มองเขา “ข้าดูเหมือนผีขี้เมาหรือไร เจ้าไปเถอะ”

เก่อชิงชิงทำความเคารพอีกครั้งก่อนจากไป

ตอนเจาฮุยมาถึง เห็นเซียวฉือเหย่เคาะร่มแดงขณะเร่งพ่อค้าแผงขายซาลาเปาให้เร็วๆ หน่อย เขาก็เดินเข้าไปใกล้ “ในจวนเตรียมอาหารเช้าไว้ ไฉนกงจื่อจึงมายืนกินอยู่ตรงนี้เล่าขอรับ”

เซียวฉือเหย่ตอบ “ข้าหิว เดินไม่ไหวแล้ว”

เจาฮุยสะบัดคลี่เสื้อคลุมตัวใหญ่ “สุรากับสตรีล้วนทำร้ายคน กงจื่อ พวกเรากลับกันเถิด”

เซียวฉือเหย่คลุมเสื้อคลุม แต่กลับไม่ขยับเท้า เขากินซาลาเปาไปสองคำโดยไม่สนใจสายตารอบด้านแม้แต่น้อย ถามเจาฮุย “จากตรงนี้สามารถทะลุไปถนนเสินอู่ได้หรือไม่”

“ได้น่ะได้ขอรับ แต่ทางไม่ดี” เจาฮุยตอบ “ล้วนเป็นตรอกที่ชาวบ้านอยู่อาศัยและเป็นพื้นที่ของคูระบายน้ำ ยิ่งตรอกแคบยิ่งมีน้ำสกปรกขังอยู่มาก สองสามปีมานี้ชวี่ตูไม่ได้ซ่อมคูระบายน้ำ พื้นที่แถวนี้จึงเละเทะจนดูไม่ได้ เมื่ออากาศกลับมาอุ่นอีกครั้ง พอหิมะละลายหรือฝนตกลงมา น้ำสกปรกจะเอ่อขึ้นมาเต็มถนน ท่านลองคิดดู ถนนแบบนี้จะเดินได้ที่ไหนกัน”

เซียวฉือเหย่พูด “ข้าถามแค่คำเดียว ไฉนเจ้าจึงตอบมากมายเช่นนี้”

เจาฮุยตอบ “ความหมายก็คือท่านโปรดใช้ทางตรงเถิดขอรับ กงจื่อ ดื่มสุราไม่ต้องรีบร้อน อ้อมไปอีกทางจะเร็วเสียกว่า”

เซียวฉือเหย่เช็ดมือ ส่งสายตาบอกให้เจาฮุยจ่ายเงิน “เช่นนั้นก็ประหลาดแท้ เจ้าไปสืบดูว่าองครักษ์จิ่นอีทั้งสิบสองกอง วันนี้มีคนที่ชื่อเก่อชิงชิงเข้าเวรหรือไม่…ท่านลุง เปลี่ยนอาชีพเถอะ ซาลาเปานี้รสชาติแย่ยิ่งนัก”

 

[1] ทะเบียนเหลืองเป็นระบบการจัดการทะเบียนราษฎร์ในสมัยโบราณของจีน บันทึกรายละเอียดด้านภูมิลำเนา ชื่อแซ่ อายุ อาชีพ จำนวนสมาชิกในครัวเรือน จำนวนไร่นา และทรัพย์สินของพลเมืองแต่ละคน

[2] สำนักตะวันออก หรือตงฉ่าง เป็นหน่วยงานที่ควบคุมดูแลโดยขันที มีอำนาจพิเศษในการตรวจสอบบุคคลต้องสงสัยและรวบรวมข่าวกรองเสมือนกระทำการแทนกษัตริย์ ใช้รับมือและจับกุมผู้ที่คิดก่อกบฏโดยเฉพาะ

[3] ราชินิกุล คือเชื้อพระวงศ์หรือพระญาติที่นับทางฝ่ายพระมเหสี ต่างจากราชนิกุลที่หมายถึงเชื้อพระวงศ์ที่สืบเชื้อสายมาจากวงศ์สกุลของกษัตริย์โดยตรง

[4] สามหยวน คือเจี้ยหยวน ฮุ่ยหยวน และจ้วงหยวน เป็นคำเรียกบัณฑิตที่สอบขุนนาง (เคอจวี่) ได้อันดับหนึ่งในสนามสอบระดับมณฑล สนามสอบในเมืองหลวง และสนามสอบหน้าพระที่นั่งตามลำดับ

[5] เซียนเซิง เป็นคำที่ใช้เรียกผู้ที่มีความรู้มากกว่าหรืออาวุโสกว่าตนในเชิงยกย่อง

[6] ยามเหม่า คือช่วงเวลา 05.00-07.00 น.

[7]ทหารถีฉี เป็นคำเรียกองครักษ์จิ่นอีที่มักสวมเครื่องแบบทหารม้าสีแดง มีหน้าที่ติดตามขุนนางสูงศักดิ์หรือขบวนเกียรติยศ

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า