เชิญร่ำสุรา
將進酒
ถังจิ่วชิง
唐酒卿
กอหญ้า แปล
เสิ่นเจ๋อชวนพูด “ข้าเช็ดคราบเลือดไม่ออกแล้ว”
เซียวฉือเหย่ตอบ “พวกเราจะเข้าสู่แดนอสูรด้วยกัน แนบชิดอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องทำตัวให้สะอาดอีกแล้ว”
ริมฝีปากบางของเสิ่นเจ๋อชวนเม้มเล็กน้อย “ข้า…”
เซียวฉือเหย่บีบริมฝีปากที่เม้มเข้าด้วยกันแน่นของเขาให้เปิดออก “เจ้าจะพูดอะไรกับข้า”
ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ได้ยินเสิ่นเจ๋อชวนพูดเสียงเจือสะอื้น “ข้าเจ็บเหลือเกิน”
เซียวฉือเหย่ลูบผมเสิ่นเจ๋อชวน ใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาให้เขา “เจ็บตรงไหน บอกข้า”
เสิ่นเจ๋อชวนร้องไห้โฮ แม้แต่หัวไหล่ยังสั่นเทา เขาร้องประหนึ่งจะขาดใจ
เหมือนความเจ็บปวดรวดร้าวตลอดหลายปีมานี้ถูกปลดปล่อยออกมาในค่ำคืนนี้ทั้งหมด
แต่เขาโง่เหลือเกิน เขาไม่รู้ว่าตัวเองเจ็บตรงไหนทั้งที่อดทนกับความเจ็บปวดแบบนี้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
เซียวฉือเหย่พลิกตัวกอดเสิ่นเจ๋อชวนไว้ โอบอีกฝ่ายเข้าสู่อ้อมกอดทั้งตัว
ทำให้เสิ่นเจ๋อชวนได้พบสถานที่ที่สามารถถอดเปลือกนอกอันเสแสร้งของตัวเองออกไปได้
เขาขยี้ผมเสิ่นเจ๋อชวน เอ่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า
“เจ้าจะไม่เจ็บอีกแล้ว ข้ารับรอง หลันโจวจะไม่เจ็บปวดอีกต่อไป”
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 96
พังถล่ม
ผืนฟ้ามืดมนหนักอึ้ง ลมพายุตั้งเค้า
เซียวฉือเหย่ปลดดาบหลางลี่หน้าประตูวัง ก่อนจะย่ำเท้าไปบนระเบียงทางเดินยาวอันมืดสลัว เหล่าขันทีที่คุกเข่าด้านข้างสองฝั่งก้มหน้าไม่พูดจา ภายในและภายนอกตำหนักหมิงหลี่เงียบกริบไร้เสียง ฝูหม่านก้าวนำเซียวฉือเหย่เร็วๆ เดินไปจนถึงหน้าประตูและเลิกม่าน ม่านเตียงในตำหนักบรรทมปิดอยู่ ภายในร้อนอบอ้าว มีกลิ่นคาวโลหิตเจืออยู่ขุมหนึ่ง
ฝูหม่านสะอื้นพลางพูดเสียงค่อย “ฝ่าบาททอดพระเนตรสิพ่ะย่ะค่ะ ท่านโหวมาแล้ว!”
หลี่เจี้ยนเหิงที่อยู่ข้างในส่งเสียง “อืม” และเอ่ยว่า “เจ้าบอกให้พวกเขาถอยไปให้หมด เราจะคุยกับท่านโหว ก่อนที่เก๋อเหล่าจะมาถึง อย่าให้ใครเข้ามารบกวน”
ฝูหม่านพาคนออกไปเงียบๆ
“เช่ออัน” หลี่เจี้ยนเหิงเหมือนจะขยับตัวหนึ่งที “เจ้าเลิกม่านที”
เซียวฉือเหย่ยกมือเลิกม่านขึ้น บนเตียงมีคราบเลือดเต็มไปหมด หลี่เจี้ยนเหิงเหมือนนอนจมอยู่ในสีสันอันมอซอ หน้าอกสะท้อนขึ้นลง หอบหายใจอย่างยากลำบากเล็กน้อย
“พี่น้องข้า” ใบหน้าขาวซีดของหลี่เจี้ยนเหิงเต็มไปด้วยน้ำตาและหยาดเหงื่อ เขาเช็ดเหงื่อมือสั่น แต่กลับทำให้โลหิตเปื้อนหน้าตัวเอง “เจ้าหายไปไหนมา ข้าร้อนใจแทบแย่”
มู่หรูนอนตะแคงอยู่ข้างกายหลี่เจี้ยนเหิง สิ้นใจไปแล้ว
เซียวฉือเหย่พลันรู้สึกโดดเดี่ยวเล็กน้อย เขาเข้าวังตามคำเชิญทั้งที่รู้ว่านี่เป็นหลุมพราง เพียงเพราะคำว่า ‘พี่น้อง’ คำนี้ของหลี่เจี้ยนเหิง มิตรภาพพี่น้องในวัยเยาว์ระหว่างพวกเขาถูกอำนาจบดขยี้จนแหลกละเอียดนานแล้ว แต่ก็เหมือนประกอบกันขึ้นอีกครั้งในเวลานี้ เซียวฉือเหย่รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปในอดีต แขวนม่านและเอ่ยเสียงแหบ “บนถนนลมแรง ถนนเสินอู่มีคนมากมาย ไม่สะดวกจะขี่ม้า”
หลี่เจี้ยนเหิงยกมือที่ปิดบาดแผลออก มองจุดที่ถูกแทง “เจ้าเป็นพี่น้องที่ดี ทั้งที่รู้ว่าการมาครั้งนี้อันตรายก็ยังมา ข้าหลี่เจี้ยนเหิงได้คบหากับเจ้า ไม่เสียเปรียบ”
เซียวฉือเหย่ลากเก้าอี้ออกและนั่งลง เขามองหลี่เจี้ยนเหิง ลำคอขยับหลายครั้งก่อนพูด “ข้าบอกเจ้าตั้งนานแล้ว นางหาใช่คู่ครองที่ดีไม่”
“แต่ข้าชอบนางนี่นา” หลี่เจี้ยนเหิงเหม่อมองโลหิตบนนิ้วมือ “ข้าคิดว่านางก็ชอบข้า ให้ตายเถอะ…การถูกดาบแทง ที่แท้เจ็บถึงเพียงนี้”
เซียวฉือเหย่ถูหน้า มือยันหัวเข่า “เจ้าเรียกข้ามา มีอะไรจะพูด”
หลี่เจี้ยนเหิงกลอกตา หัวเราะฮ่าๆ ใส่เซียวฉือเหย่ผ่านม่านน้ำตา จากนั้นร้องไห้พูดสะอึกสะอื้น “ข้าเรียกเจ้ามา เจ้าก็มา บ้าเอ๊ย หัวสมองเจ้ามีปัญหาหรือไรเซียวเช่ออัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้างนอกมีแต่…มีแต่คนถือดาบรอเจ้าอยู่”
เซียวฉือเหย่พยักหน้าอย่างสุขุมเหมือนทุกครั้งที่คอยแก้ปัญหาให้เขา “ข้ารู้”
หลี่เจี้ยนเหิงข่มเสียงร้องไห้ไว้ในลำคอ “ถ้าเจ้าไม่มา ข้าย่อมไม่ต้องเอ่ยคำว่าขอโทษ”
เซียวฉือเหย่สองตาแดงก่ำ “เจ้าเป็นจักรพรรดิ จักรพรรดิไม่ต้องขอโทษ”
หลี่เจี้ยนเหิงกุมบาดแผล ส่ายหน้าร้องไห้อย่างมิอาจควบคุมตัวเองได้ เขาสะอื้น “ข้า…พี่น้อง…ข้าอยากเป็นจักรพรรดิที่ดี…จริงๆ นะ หลายวันก่อนข้ายังท่องตำรา ถ้าเจ้าออกไปแล้ว ฝากบอกเก๋อเหล่าด้วย”
เซียวฉือเหย่ตอบ “เจ้าเป็นจักรพรรดิ เจ้าไปบอกเอง”
หลี่เจี้ยนเหิงหอบหายใจพลางเอ่ยเสียงแหบ “ไม่ได้ ข้าเป็นจักรพรรดิ มิอาจไปบอกเอง เสียหน้าจะตาย เขาเป็นขุนนางที่ภักดี เจ้าว่าไฉนข้าจึง ไฉนข้าจึงโง่งมถึงเพียงนี้ ข้าอยากเรียกเขาว่าบิดารองจริงๆ นะ ข้ากลัว กลัวว่าข้าตายไปแล้ว พวกเจ้าจะถูกคนอื่นแทงเหมือนกัน”
เซียวฉือเหย่ตอบเสียงแหบ “เจ้าขี้ขลาดอย่างนี้ จะไปได้อย่างไร”
หลี่เจี้ยนเหิงทำไม้ทำมือ “เสด็จพี่รอข้าอยู่ ข้ากลัวเขาจะด่าข้าอีก ข้าผิดต่อเขา”
เซียวฉือเหย่แค่นยิ้ม “ไฉนจึงปอดแหกเช่นนี้”
“ข้า…” หลี่เจี้ยนเหิงลมหายใจกระชั้นขึ้นทุกที เขาเม้มริมฝีปากแห้งผาก “ข้ายังผิดต่อเจ้าด้วย ข้าไม่มีคุณธรรมมากพอ ข้ากับเจ้าล้วนถูกสถานการณ์บีบบังคับ ข้าแค้นใจ…จริงๆ เช่ออัน เจ้าไปเถิด เจ้าออกไปแล้วจงจากไปซะ ขี่ม้าของเจ้ากลับบ้านไป ข้าไม่มีสิ่งใดจะให้เจ้า แต่ถ้าไม่ให้ก็เสียหน้า”
เซียวฉือเหย่ถูใบหน้าอีกครั้ง
หลี่เจี้ยนเหิงชูนิ้วขึ้น ชี้ไปที่ผนังห้อง พูดเสียงอู้อี้ “ธนู…ธนูคันนั้น เจ้าช่วยให้ข้าได้มาจากเสด็จพี่ แต่ให้ตาย ข้า ข้าน้าวไม่ไหว…เจ้าเอามันไปเถอะ ลูกหมาป่าก็ต้องอยู่ใน…ในทุ่งหญ้า แหวนปันจื่อวงนั้นของเจ้าจะขึ้นสนิมอยู่แล้ว”
เซียวฉือเหย่ตอบอย่างไร้ไมตรี “ข้าไม่ต้องการ นั่นเป็นธนูป้าอ๋องของบ้านเจ้า”
“เจ้าก็คือป้าอ๋อง (จอมเผด็จการ) นี่นา…” เสียงของหลี่เจี้ยนเหิงเบาหวิว เขามองธนูคันนั้น “ชาติหน้า…อย่าให้…อย่าให้ข้าเป็นจักรพรรดิอีกเลย…ข้าอยากเป็นนกนางแอ่นของต้าโจว…อาศัยอยู่ใต้ชายคาบ้านเศรษฐี…” เขามองธนูป้าอ๋องอย่างสงบ ไม่เคลื่อนไหวอีก
สายลมพัดม่านเตียงในตำหนักบรรทม เซียวฉือเหย่นั่งอยู่อย่างนั้น ฟังเสียงฟ้าร้องครืนครั่น ก่อนจะระเบิดกลายเป็นฝนห่าใหญ่
หานเฉิงดื่มชาอึกสุดท้ายและถือชามใส่ชาเดินออกจากประตู มองทหารของแปดกองกำลังที่เตรียมพร้อมเต็มที่ ก่อนจะเขวี้ยงชามลงบนพื้นและประกาศเสียงดัง “ทหารรักษาพระองค์ในชวี่ตูมีเพียงแปดพันนาย สนามฝึกเขาเฟิงซานไม่ทราบข่าวย่อมมิอาจมาช่วยเหลือได้ เซียวฉือเหย่เป็นเหมือนสัตว์ในกรงขัง วันนี้จะต้องจับกุมเขาให้ได้!”
ฝนเทกระหน่ำลงมา เสียงฝีเท้าเร่งร้อนโอบล้อมวังหลวงไว้หลายชั้น ฝักดาบเสียดสีกับชุดเกราะ แปดกองกำลังล้อมตำหนักบรรทมไว้อย่างแน่นหนา ฝูหม่านได้ยินเสียงแล้วถึงกับลุกไม่ขึ้น เหล่าขันทีขดตัวอยู่ตามมุม กลัวก็แต่ตัวเองจะถูกนำไปสังเวยดาบ
เซียวฉือเหย่ลุกขึ้นยืนในที่สุด เขาปล่อยม่านเตียงลงบดบังร่างของหลี่เจี้ยนเหิงท่ามกลางเงาแสงวูบวาบ จากนั้นหันกลับไปปลดธนูหนักร้อยชั่งลงมา ประตูตำหนักเปิดออกนานแล้ว เซียวฉือเหย่แหวกม่านพลิ้วไหวหลายชั้นออก ก้าวเข้าสู่สายฝนโดยไม่หันหลัง
หานเฉิงนำกำลังออกมาและชักดาบ เขาไม่มีวาจาใดจะเอ่ย เพราะพวกเขาชนะแล้ว พวกเขาต้องการเปลี่ยนแปลงฟ้าดินอีกครั้งท่ามกลางสายฝนในค่ำคืนนี้ ทำให้เซียวฉือเหย่คุกเข่าลงอีกครั้ง
เซียวฉือเหย่มองศีรษะดำทะมึนเหล่านั้น แล้วย่างเท้าออกไป ก้าวลงจากบันได เขาไม่มีดาบ ยามน้ำฝนชะล้างความเย็นชาออกไป เขาก็ปะทะกับคนกลุ่มนั้น ธนูป้าอ๋องขวางคมดาบไว้ เขาดันกำแพงมนุษย์ให้ถอยหลัง ท่วงทีห้าวหาญไร้เทียมทานจนเสียงครืนครั่นของพายุฝนยังดูด้อยไป
เสิ่นเจ๋อชวนควบม้าไปบนถนนใหญ่ องครักษ์เสื้อแพรและทหารรักษาพระองค์ข้างหลังประหนึ่งงูสีแดง พุ่งกระแทกประตูวังท่ามกลางประกายเจิดจ้าของดาบ ตรงดิ่งเข้าไปข้างใน
วังหลวงทั้งหมดตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของชุดเกราะ เสียงเข่นฆ่าสังหารดังก้องฟ้า การควบทะยานของอาชาทำให้การสังหารรวดเร็วยิ่งขึ้น ม้าลั่งเถาเสวี่ยจินไม่สนใจทะเลคน พุ่งตรงไปหาเซียวฉือเหย่ เซียวฉือเหย่หาจังหวะพลิกตัวขึ้นหลังม้าในชั่วพริบตา รับดาบหลางลี่ที่เสิ่นเจ๋อชวนโยนมาให้
เซียวฉือเหย่ชักดาบทันใด “ชวี่ตูหาใช่บ้านเกิดที่ข้าฝันถึง วันนี้ข้าจะกลับบ้าน ใครกล้าขวาง…ฆ่าไม่เว้น!” พูดจบก็หนีบท้องม้า ตวัดดาบจนปรากฏโลหิต
สายฝนตกซู่ลงมาปะทะใบหน้า เซียวฉือเหย่ฆ่าคนจนโลหิตไหลนองเป็นทาง สนามรบที่เดิมทีอยู่ในวังขยายออกไปบนถนนใหญ่ หานเฉิงเห็นท่าไม่ดี รีบตะโกนเสียงดัง “เฝ้าประตูเมืองไว้ คืนนี้จะปล่อยให้คนถ่อยที่ปลงพระชนม์องค์เหนือหัวหมายก่อกบฏหลบหนีไปไม่ได้เด็ดขาด!”
แปดกองกำลังหาใช่คู่ต่อสู้ของทหารรักษาพระองค์ไม่ แม้จำนวนจะมากกว่า แต่ก็กลัวตาย ถูกกำลังทหารที่ดุดันประหนึ่งพยัคฆ์และหมาป่าบีบจนถอยร่น ประตูเมืองปิดลงแล้ว เสิ่นเจ๋อชวนถือดาบขึ้นไปบนกำแพงเมือง ถีบคนที่ขวางทางออกและสั่งให้คนเปิดประตู ประตูที่ปิดแน่นสนิทถูกยกขึ้นพร้อมเสียงดังสนั่น นอกม่านฝนเป็นบ้านที่เซียวฉือเหย่เฝ้าคิดถึงมาหกปีเต็ม
หานเฉิงหันกลับไปตะโกน “รีบไปจับคน!”
ม้าของเซียวฉือเหย่ออกจากเมืองแล้ว เขายกมือส่งสัญญาณให้ติงเถาพาคนรุดไปสนามฝึกเขาเฟิงซาน ต้องการพาทหารรักษาพระองค์สองหมื่นนายไปกับตนด้วย เขาเบนหัวม้าท่ามกลางกลุ่มคน กางแขนให้เสิ่นเจ๋อชวนที่อยู่บนกำแพงเมือง เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “หลันโจว ไปกับข้า!”
ทว่าเหล่าองครักษ์เสื้อแพรยืนนิ่งไม่ขยับ เสิ่นเจ๋อชวนยืนค้ำเชิงกำแพงท่ามกลางฝนที่ตกหนัก มองเซียวฉือเหย่ราวกับต้องการจดจำเขาไว้ให้ชัดๆ
แปดกองกำลังกรูเข้ามาอีกครั้ง กำลังจะไล่ตามมาถึงประตูเมือง ประตูเมืองที่แขวนตัวสูงส่งเสียงทึบทุ้มเพราะแบกรับน้ำหนักไม่ไหว โซ่เหล็กย้อนกลับอย่างรวดเร็ว ประตูเมืองหล่นกระแทกลงมาทันที
“เช่ออัน” เสิ่นเจ๋อชวนตะโกนเสียงดัง บอกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนผ่านสายฝนที่เทกระหน่ำ “กลับบ้านเถอะ”
เซียวฉือเหย่รู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นราดรดหัวใจ เขากำเชือกบังเหียนแน่น ควบม้าย้อนกลับไป ทว่าประตูเมืองกระแทกพื้นดินดัง “โครม” เสียก่อน ขวางทหารของแปดกองกำลังที่ไล่ตามมาไว้หลังประตูและปิดกั้นเซียวฉือเหย่ไว้นอกเมืองเช่นกัน
เซียวฉือเหย่แผดเสียงจนเสียงแหบ เหมือนสัตว์ที่ถูกยั่วโมโหจนโกรธจัด “เสิ่นหลันโจว!”
เสิ่นเจ๋อชวนไม่มองเซียวฉือเหย่อีก แต่หันกลับไปเผชิญหน้ากับหานเฉิงและทหารของแปดกองกำลังที่เบียดเสียดกันเต็มพื้นที่
หานเฉิงหันไปด้านข้างและถ่มน้ำลายหนึ่งที เอ่ยเสียงแค้น “เสิ่นเจ๋อชวน เจ้าทำลายการใหญ่ของข้า!”
“เจ้าคู่ควรที่จะเรียกตัวเองว่าองครักษ์เสื้อแพรด้วยรึ” เสิ่นเจ๋อชวนหลุบตามองเขาจากตำแหน่งที่สูงกว่า พูดเสียงเย็น “องครักษ์เสื้อแพรนับตั้งแต่สมัยของจี้อู๋ฝานเป็นต้นมาล้วนสง่าผ่าเผย เป็นชายชาตรีที่ปราศจากความละอายแก่ใจ วันนี้พวกเจ้าวางแผนเอาชีวิตโอรสสวรรค์ หานเฉิง ข้าสังหารเจ้าย่อมเป็นเรื่องที่ชอบด้วยคุณธรรม!”
หานเฉิงแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง “เจ้าเป็นตัวอะไร เชื้อชั่วสกุลเสิ่น! ข้าดีต่อเจ้าไม่น้อย สนับสนุนเจ้าหลายหน แต่เจ้ากลับตอบแทนข้าเช่นนี้หรือ มา! พาคนออกมาให้รองผู้บัญชาการเสิ่นดูหน่อย!”
ฉีฮุ่ยเหลียนถูกลากตัวออกมา เขาผมเผ้ายุ่งเหยิง ร่างกายเซล้มกลางสายฝนพลางร้องด่า “โจรสุนัขเจ้าเล่ห์!”
หานเฉิงดึงโซ่และกระตุ้นม้าไปข้างหน้า ลากฉีฮุ่ยเหลียนไปตามถนน เขาชี้ฉีฮุ่ยเหลียนและพูดกับเสิ่นเจ๋อชวน “เจ้าตามหาอยู่นานมากใช่หรือไม่ อยู่นี่อย่างไรเล่า! เสิ่นเจ๋อชวน ยังไม่รีบมารับคนอีก!”
“โจรสุนัข ไอ้โจรสุนัข!” ฉีฮุ่ยเหลียนเดือดดาลยิ่งนัก ถูกลากไปบนพื้นจนใบหน้าเต็มไปด้วยโคลน
หานเฉิงมองใบหน้าขาวซีดของเสิ่นเจ๋อชวน จากนั้นจ้องแววตาหม่นหมองของเขา “พี่ชายเจ้าคือรัฐทายาทเจี้ยนซิง ข้าจำได้ว่าเขาถูกทหารม้าเปียนซาลากไปบนพื้นจนกระทั่งตาย ทว่าพวกเจ้าไม่ผูกพันกัน ดังนั้นเจ้าจึงไม่เจ็บปวดแม้แต่น้อย วันนี้ถึงคราวเซียนเซิงของเจ้าบ้าง เจ้าเจ็บหรือไม่”
“หานเฉิง!” เสิ่นเจ๋อชวนกัดฟันเค้นคำพูดออกมา “เจ้าทำทุกวิถีทางเพื่อซ่อนเซียนเซิงไว้ในมือ เจ้าคิดจะทำสิ่งใด”
“เดิมทำประโยชน์ได้มากทีเดียว!” สีหน้าของหานเฉิงเปลี่ยนไปกะทันหัน “แต่เจ้าปล่อยเซียวฉือเหย่ไป ทำลายแผนการของข้า เจ้าจึงไม่มีประโยชน์อีกแล้ว เขาก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน! หากเจ้ายังอยากได้ชีวิตเขา ก็ลงมาโขกศีรษะยอมรับผิดกับข้าซะ! คุกเข่าและตะโกนเรียกข้าว่าบิดาดังๆ สามครั้ง แล้วข้าจะละเว้นชีวิตเขา ละเว้นชีวิตเจ้า!”
เสิ่นเจ๋อชวนก้าวออกไป “ตกลง!”
“ผายลมน่ะสิ!” ฉีฮุ่ยเหลียนเงยหน้าจากโคลนตม เขาเช็ดคราบสกปรกออก ตะเกียกตะกายลุกขึ้น จ้องเสิ่นเจ๋อชวนเขม็ง “ข้าสอนตำราและโคลงกลอนให้เจ้า มิใช่เพื่อให้เจ้ายอมให้ผู้อื่นดูแคลนเช่นนี้! ข้าฉีฮุ่ยเหลียนแม้แต่ฟ้าดินยังไม่คุกเข่าให้ แล้วเจ้าจะคุกเข่าให้คนพาลต่ำช้าอย่างเขาได้อย่างไร?!”
สายโซ่ส่งเสียงดังแกรกกราก
ฉีฮุ่ยเหลียนซวนเซ ตะโกนเสียงดังท่ามกลางสายฝน “เวลาร้อยปีดั่งฝันถึงผีเสื้อ[1] ข้าไปมาอิสระ! ชีวิตนี้ของข้า ลาภยศสรรเสริญเคยผ่านมาหมดแล้ว ชื่อเสียงผลประโยชน์ก็เคยได้รับมาแล้ว ข้า…” เขาหัวเราะดังลั่นอย่างคลุ้มคลั่ง ดึงกระชากโซ่บนลำคอ “ข้าเยาะหยันผู้กล้าทั่วหล้า ผู้มีคุณธรรมคนใดก็มิอาจสูงส่งไปกว่าข้า! ใครจะประชันขันแข่งกับข้าฉีฮุ่ยเหลียนได้ ข้าผู้มาจากอวี๋โจวชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว! ตอนที่ข้าพูดคุยหัวเราะหน้าพระพักตร์ ให้คำชี้แนะในการปกครองแผ่นดิน หานเฉิง เจ้าอยู่ที่ใด ตอนนั้นเจ้ายังเป็นหนูในคูระบายน้ำอยู่เลย!”
ฉีฮุ่ยเหลียนเดินตากฝน ท่าทางประหนึ่งคนเมา
“หนูอย่างพวกเจ้าถือรองเท้าให้ข้ายังไม่คู่ควรด้วยซ้ำ! ตระกูลสูงศักดิ์เปรียบเสมือนโรคเรื้อรังของใต้หล้านี้ บอกไห่เหลียงอี๋ด้วยว่า อาณาจักรต้าโจวป่วยหนักไร้ทางเยียวยาแล้ว เขากับข้าล้วนมิอาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรได้!” ฉีฮุ่ยเหลียนหมุนตัวอย่างคลุ้มคลั่งท่ามกลางเสียงหัวเราะ เขาถ่มน้ำลายใส่หานเฉิงและพูดต่อ “แต่ข้าจะไม่ยอมแพ้ ชีวิตนี้ข้าจะเป็นเพียงพระอาจารย์จักรพรรดิเท่านั้น! หลันโจว! กรงขังพังทลายแล้ว กลียุคต้องเริ่มต้นขึ้นแน่ สิ่งที่เซียนเซิงถ่ายทอดให้เจ้าได้ ล้วนถ่ายทอดให้เจ้าไปหมดแล้ว ฟ้าดินที่เน่าเฟะเช่นนี้…”
ฉีฮุ่ยเหลียนหันหลังให้เสิ่นเจ๋อชวน พลันเงียบไปและสะอื้น สายฝนกระหน่ำใส่ร่างกายเขาจนเปียกโชก แต่กลับมิอาจดับความรุ่มร้อนในโลหิตที่แผดเผามานานหลายปีได้ ที่ผ่านมาเขามักเรียกขานแต่รัชทายาท ทว่าเวลานี้ เขากลับมิอาจแข็งใจหันกลับไปมองเสิ่นเจ๋อชวน
“ฟ้าดินที่เน่าเฟะเช่นนี้ มิสู้โค่นล้มมันเสียและไปสร้างฟ้าดินของเจ้าเอง หลันโจว ไปเถิด อย่าหันหลังกลับอีกเลย เซียนเซิงจะแบกรับวิญญาณสามหมื่นที่ตายอย่างไม่เป็นธรรมแทนเจ้าเอง เจ้าไม่ต้องกลัว เจ้า…” โลหิตเขาสาดกระเซ็นกลางสายฝน หงายหลังล้มลงบนพื้น มองท้องฟ้าและพึมพำว่า “ไม่ต้องกลัวนะ…”
สายอสนีผ่าเปรี้ยง เสิ่นเจ๋อชวนแผดเสียงขณะทรุดลงบนพื้น เขาปล่อยให้สายฝนซัดกระหน่ำอย่างนิ่งงัน ท่ามกลางความเงียบงันอันยาวนาน เปลือกนอกที่เสแสร้งแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ในที่สุดเขาก็แผดเสียงคำรามอย่างสิ้นหวังเป็นครั้งแรกในรอบหกปี นัยน์ตาแดงก่ำยามนี้ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ เขากำดาบหย่างซานเสวี่ยและชักออกมากะทันหัน
“หานเฉิง…!”
เขาแค้นฟ้าดินนี้เหลือเกิน ทั้งยังโกรธแค้นใบหน้าเหล่านี้ด้วย
เสิ่นเจ๋อชวนยันพื้นลุกขึ้น ดาบหย่างซานเสวี่ยกรีดผ่าเม็ดฝน สาดโลหิตออกไปรอบทิศ เขาฆ่าคนหนึ่งคน และอีกคน เขาก้าวข้ามศพเหล่านั้น แต่กลับรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสัตว์ร้ายที่ถูกทอดทิ้ง ดาบปาดลำคอ ไวดุจปรอท โลหิตสาดใส่ใบหน้าของเสิ่นเจ๋อชวนครึ่งแถบ
เขาหมดอาลัยตายอยาก โลหิตที่ไหลลงมาตามแก้มเหมือนน้ำตาอย่างไรอย่างนั้น
หานเฉิงถอยแล้วถอยอีก ตวาดสั่ง “ฆ่าเขาซะ!”
เม็ดฝนกลางสายลมพลันแตกออก ลูกธนูยาวดอกหนึ่งพุ่งมาตรงหน้าหานเฉิงในชั่วพริบตา เซียวฉือเหย่กระโดดลงมาตามโซ่เหล็กบนกำแพงเมือง ถีบคนจนล้มลง ชักดาบแทงอีกฝ่ายจนทะลุ จากนั้นก็ดันศพก้าวไปข้างหน้า กระแทกคมดาบออกไป ตอนชักดาบออกมาโลหิตชุ่มฝ่ามือ
เซียวฉือเหย่ใช้แขนข้างเดียวดึงตัวเสิ่นเจ๋อชวนกลับมาและผิวปากเสียงดัง เหมิ่งสยายปีกบินตรงเข้ามา จิกตาขวาของหานเฉิงจนบาดเจ็บท่ามกลางความชุลมุน หานเฉิงกุมหน้าอย่างลนลาน ได้ยินเสียงกีบเท้าม้านอกเมืองดังกระหึ่ม ติงเถานำกำลังรุดมาแล้ว
“กระแทกประตู!” ติงเถาแผดเสียงสั่ง
ทหารรักษาพระองค์กรูเข้าไป แต่พวกเขายังไม่ทันลงมือ กลับได้ยินเสียงทุ้มหนักดังมาจากประตูเมืองอีกครั้ง ประตูถูกดึงขึ้นช้าๆ
เฟ่ยเซิ่งดึงโซ่เหล็ก หอบหายใจหลายที นำองครักษ์เสื้อแพรออกแรงถอยไปข้างหลัง เขาสบถ “ให้ตาย! หนัก…ชะมัด ท่านโหว…! ขึ้นม้าหนีไป!”
ม้าลั่งเถาเสวี่ยจินควบทะยานผ่านช่องว่างออกมา เสียงฆ่าฟันดังอื้ออึงกลบนครหลวงชวี่ตู
เปียนจวิ้นที่เสียงห้ำหั่นดังสะเทือนไปถึงท้องนภาก็กำลังทำศึกชี้เป็นชี้ตายเช่นกัน ลู่ก่วงไป๋ใกล้จะถือทวนไม่ไหวแล้ว ตอนล่าถอยกลับมา เขาตะโกนถาม “กองหนุนเล่า?!”
รองขุนพลถูกฟันหลายแผล “ยัง…ยังไม่มาขอรับ”
เสียงฝนดังกระหึ่ม ลู่ก่วงไป๋หันกลับไปยังทิศทางของค่ายทหาร
เซียวฉือเหย่ขึ้นม้าและกดเสิ่นเจ๋อชวนไว้ด้านหน้า ห้อตะบึงฝ่าสายฝนไปยังประตูเมือง
ฟ้าแลบฟ้าร้อง ท้องฟ้าเหมือนถูกกรีดเป็นแผล ฝนเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ลู่ก่วงไป๋กระชากเสื้อคลุมกันลมเก่าขาดออก ปักทวนไว้ข้างเท้า เขาพูดกับพายุทรายและสายฝน “สู้ไม่ไหวแล้ว”
รองขุนพลยืนอยู่ข้างเนินทรายจ้องมองเขา
“โชคชะตาต้องการให้ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่ชั่วชีวิต แต่นี่หาใช่เส้นทางที่ข้าเลือกไม่” ลู่ก่วงไป๋ถอดชุดเกราะที่มีตราสัญลักษณ์ของต้าโจวออก เขาถูใบหน้าอันอ่อนล้า ดวงตาเต็มไปด้วยแววอิดโรย พูดด้วยน้ำเสียงเยาะหยันตัวเองเล็กน้อย “ทรายเหลืองกลบฝังพี่น้องของข้า ข้าไม่อยากยอมจำนนให้กับชีวิตอันว่างเปล่าอีกแล้ว ราชโองการมิอาจช่วยเหลือทหารของข้าได้ ราชสำนักมิอาจเลี้ยงดูม้าของข้าให้อิ่มได้”
เซียวฉือเหย่ควบทะยานออกจากชวี่ตู ข้างหลังมีทหารไล่ตามนับไม่ถ้วน พวกเขาพุ่งไปข้างหน้า คล้ายกำลังฉีกทึ้งม่านฝนสีดำสนิท
“ข้าไม่อยากทุ่มเทรับใช้พวกเขาด้วยชีวิตอีกแล้ว”
ลู่ก่วงไป๋หลับตาทั้งสองข้างลง โลหิตไหลไปตามนิ้วมือและหยดลงบนทรายเหลือง ลูกกระเดือกเขาขยับเล็กน้อย ในที่สุดเมื่อลืมตาอีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นก็ฉายความหม่นหมอง
เวลาเดียวกัน โลหิตบนแก้มของเสิ่นเจ๋อชวนถูกชะด้วยน้ำฝน ลำคอเปล่งเสียงสะอื้นอย่างรวดร้าว
ท่ามกลางการหลบหนีอย่างอเนจอนาถครั้งนี้ ความว่าง่ายเชื่อฟังที่เคยมีถูกโยนทิ้งไป พวกเขาเหมือนกระบี่คมเล่มหนึ่งที่ทะลวงฝ่าสายฝน
ลู่ก่วงไป๋ล้างมือสองข้างกลางสายฝนจนสะอาดและหยิบทวนยาวขึ้นมาอีกครั้ง
พวกเขาล้วนเป็นนักโทษที่ถูกโชคชะตาไล่ตาม พวกเขาเคยยอมถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน แต่พายุฝนซัดถล่มหอสูงจนพังทลาย เศษซากเหล่านั้นจู่โจมเข้ามาประหนึ่งน้ำไหลบ่า
พุ่งไปข้างหน้า พุ่งไปข้างหน้า!
“ข้าจะข้ามเขาลูกนั้นไป”
“ข้าจะต่อสู้เพื่อตัวเองสักครั้ง”
จบภาคต้น
[1] เวลาร้อยปีดั่งฝันถึงผีเสื้อ เป็นท่อนหนึ่งของบทกลอน ‘ล่องเรือราตรี ความคิดคำนึงในสารทฤดู’ ผลงานประพันธ์ของหม่าจื้อหย่วน กวีสมัยราชวงศ์หยวน เนื้อหาหมายถึงชีวิตมนุษย์สั้นเพียงร้อยปี ประหนึ่งจวงจื่อฝันถึงผีเสื้อ คล้ายความฝันและเหมือนความจริง