[ทดลองอ่าน] เชิญร่ำสุรา 將進酒 บทที่ 99 : ทางหนี

เชิญร่ำสุรา
將進酒

 

ถังจิ่วชิง
唐酒卿

กอหญ้า แปล

 

เสิ่นเจ๋อชวนพูด “ข้าเช็ดคราบเลือดไม่ออกแล้ว”
เซียวฉือเหย่ตอบ “พวกเราจะเข้าสู่แดนอสูรด้วยกัน แนบชิดอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องทำตัวให้สะอาดอีกแล้ว”
ริมฝีปากบางของเสิ่นเจ๋อชวนเม้มเล็กน้อย “ข้า…”
เซียวฉือเหย่บีบริมฝีปากที่เม้มเข้าด้วยกันแน่นของเขาให้เปิดออก “เจ้าจะพูดอะไรกับข้า”
ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ได้ยินเสิ่นเจ๋อชวนพูดเสียงเจือสะอื้น “ข้าเจ็บเหลือเกิน”
เซียวฉือเหย่ลูบผมเสิ่นเจ๋อชวน ใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาให้เขา “เจ็บตรงไหน บอกข้า”
เสิ่นเจ๋อชวนร้องไห้โฮ แม้แต่หัวไหล่ยังสั่นเทา เขาร้องประหนึ่งจะขาดใจ
เหมือนความเจ็บปวดรวดร้าวตลอดหลายปีมานี้ถูกปลดปล่อยออกมาในค่ำคืนนี้ทั้งหมด
แต่เขาโง่เหลือเกิน เขาไม่รู้ว่าตัวเองเจ็บตรงไหนทั้งที่อดทนกับความเจ็บปวดแบบนี้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
เซียวฉือเหย่พลิกตัวกอดเสิ่นเจ๋อชวนไว้ โอบอีกฝ่ายเข้าสู่อ้อมกอดทั้งตัว
ทำให้เสิ่นเจ๋อชวนได้พบสถานที่ที่สามารถถอดเปลือกนอกอันเสแสร้งของตัวเองออกไปได้
เขาขยี้ผมเสิ่นเจ๋อชวน เอ่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า
“เจ้าจะไม่เจ็บอีกแล้ว ข้ารับรอง หลันโจวจะไม่เจ็บปวดอีกต่อไป”

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 99
ของขวัญขอบคุณ

 

หานจิ้นจับกุมทหารรักษาพระองค์ที่หลบหนีออกมาได้อย่างต่อเนื่อง พวกเขาล้วนมีสภาพสกปรกมอมแมม หิวจนหน้าเหลืองผอมแห้ง หลังการสืบข่าวหลายครั้ง เขาก็รู้ถึงความยากลำบากที่ทหารรักษาพระองค์เผชิญอยู่ แต่ยังคงไม่กล้าบุ่มบ่ามเดินหน้าต่อ เพราะทหารรักษาพระองค์สองหมื่นหาใช่จำนวนน้อยๆ เขาคอยประเมินอยู่เสมอว่าหากตนเผชิญหน้ากับเซียวฉือเหย่จะมีโอกาสชนะกี่ส่วน

“ตอนอยู่ในลานล่าสัตว์หนานหลินทหารรักษาพระองค์ความสามารถไม่ธรรมดา ครั้งนั้นตอนพวกเขาแย่งอำนาจรักษาความปลอดภัยและลาดตระเวนในเมืองไปจากพวกเรา สังหารคนไปไม่น้อยทีเดียว” หานจิ้นนั่งอยู่ในกระโจม มองทหารหลบหนีเบื้องล่าง “พวกเจ้าเป็นกบฏและติดตามเซียวฉือเหย่ออกจากเมืองหลวง ไฉนจู่ๆ จึงแตกคอกันเล่า”

“เรียนใต้เท้า เพราะหนีไปได้ไม่ไกลหรอก” ทหารหลบหนีคุกเข่าพูด “พวกเราหนีมาตลอดทางจนถึงที่นี่ ด้านหน้าไม่เจอหมู่บ้าน ด้านหลังไม่มีร้านรวง ไม่มีเสบียงอาหารและไม่มีที่พักแรม มุ่งหน้าต่อไปก็เป็นฉือโจว มองไปทางใต้ยังมีทหารรักษาการณ์ฉี่ตงอีก เห็นชัดว่าพวกเรากำลังถูกล้อม”

หานจิ้นใคร่ครวญครู่หนึ่ง “ทหารที่หนีออกมามีจำนวนเยอะหรือไม่”

ทหารหลบหนีตอบ “ตอนข้าหนีออกมามีแค่ไม่กี่ร้อย ตอนนี้ทหารรักษาพระองค์เหมือนจอกแหนในบึง ถูกจู่โจมก็กระจัดกระจาย รับมือศัตรูไม่ไหว!”

หานจิ้นประหลาดใจ “เซียวฉือเหย่ไม่คิดหาหนทางบ้างหรือ ข้าได้ยินว่าเขาบังคับใช้กฎทหารอย่างเข้มงวด ทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชาหวาดกลัวเขามาก”

“ใต้เท้าไม่รู้อะไร” ทหารหลบหนีพูดไปครึ่งหนึ่งก็กลืนน้ำลาย “ท่านช่วยมอบเสบียงแห้งให้พวกเราสักเล็กน้อยก่อนได้หรือไม่ ให้ตาย ข้าวิ่งหนีมาตลอด ตอนนี้หิวจนพูดไม่รู้เรื่องแล้ว!”

หานจิ้นส่งสัญญาณให้คนมอบเสบียงแห้งให้เขาเล็กน้อย ทหารหลบหนีกินอย่างตะกละตะกลาม ทางหนึ่งเคี้ยวอาหารคำโต ทางหนึ่งพูดว่า “ก็เพราะกลัวเขานี่แหละ! แต่ก่อนตอนอยู่ในชวี่ตูเป็นเพราะพี่น้องไม่มีทางไป จำใจต้องติดตามทำงานกับเขา ต้องล่วงเกินท่านผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายในแปดกองกำลัง ตอนนี้เขากลายเป็นโจรกบฏไปแล้ว พวกเราไหนเลยจะกล้าติดตามเขาอีก”

หานจิ้นเห็นทหารหลบหนีเหล่านี้ตกอับอย่างแท้จริง ทั้งยังถูกจับกลับมา ไม่เหมือนเล่นละคร จึงอดคิดคำนวณในใจอย่างละเอียดมิได้ เขาสั่งให้คนนำตัวทหารหลบหนีออกไปก่อน จากนั้นเริ่มหารือกลยุทธ์การทำศึกกับเหล่าที่ปรึกษาในกระโจม

ในบรรดาที่ปรึกษามีคนหนึ่งชื่อเกาจ้งสยง เขาก็คือผู้นำในการก่อเรื่องที่สำนักศึกษาหลวง เนื่องจากตอนนั้นล่วงเกินพันหรูกุ้ย ทั้งยังถูกจับเข้าคุก ไม่มีใครรับรอง จึงล้มเลิกความคิดในการเป็นขุนนาง หันมาพึ่งหานจิ้นแทน เขาเป็นบัณฑิตที่เปี่ยมด้วยความฮึกเหิม ชีวิตนี้เกลียดโจรขายชาติเป็นที่สุด พวกเสิ่นเว่ยและพันหรูกุ้ยเป็นบุคคลที่เขามิอาจยอมรับได้ วันนี้เมื่อได้ยินว่าเซียวฉือเหย่ลอบปลงพระชนม์องค์เหนือหัวและกลายเป็นกบฏหลบหนี ในใจก็ยิ่งกรุ่นโกรธ มิอาจยอมรับ

เกาจ้งสยงชี้แผนที่ “ในเมื่อเซียวฉือเหย่จนตรอกแล้ว เช่นนั้นก็ไม่อาจปล่อยให้เขาลอยนวลอยู่ในเขตแดนจงปั๋วอีกต่อไป ผู้บังคับการมีกำลังทหารเข้มแข็ง ทั้งยังมีตันเฉิงเป็นที่พึ่ง ข้าว่าเรื่องนี้มิอาจรั้งรอ สามารถนำทหารออกไล่ล่าเขาได้ทันที ขอเพียงจับกุมพวกเขาได้ก่อนเข้าฉือโจว ย่อมเป็นความดีความชอบครั้งใหญ่”

หานจิ้นยังคงลังเล “แต่เซียวฉือเหย่ยังมีกำลังอีกตั้งหมื่นกว่า ล้วนเป็นผู้กล้าที่เคยผ่านเหตุการณ์ในลานล่าสัตว์หนานหลินมาก่อน หากเรื่องนี้มีอุบายแอบแฝง…”

เกาจ้งสยงไม่เห็นด้วย เขาพูด “ทหารรักษาพระองค์จิตใจระส่ำระสาย หมื่นคนกับหนึ่งคนไม่มีอะไรแตกต่างกัน ตอนนี้พวกเขารวมตัวอยู่ด้วยกันอย่างไร้ระเบียบ ไม่น่ากังวล ผู้บังคับการไล่ตามมาถึงที่นี่แล้ว หากไม่รีบจับกุมเขากลับไปดำเนินคดี ย่อมมิอาจชี้แจงกับชวี่ตูได้”

หานจิ้นหวั่นไหวกับคำพูดนี้ทีเดียว “ถ้าเขาสมคบกับผู้ว่าการเขตฉือโจวโจวกุ้ยวางแผนทำร้ายข้า ข้าจะทำอย่างไร”

เกาจ้งสยงพูดอย่างร้อนใจเล็กน้อย “ผู้บังคับการ โจวกุ้ยผู้นั้นก็เป็นคนมีครอบครัว เขาเป็นขุนนางดีๆ ไม่ชอบ จะเอาอย่างเซียวฉือเหย่เป็นโจรกบฏทำไมกัน เขาไม่กล้าหรอก ตอนนี้หากพวกเรานำกำลังออกไป เซียวฉือเหย่ต้องตั้งรับไม่ทันแน่นอน ถึงเวลานั้นเมื่อได้ชัยชนะพวกเราค่อยรุกไล่ ย่อมสามารถคว้าชัยโดยสมบูรณ์”

หานจิ้นนอนในกระโจมติดกันหลายวันแล้ว ถูกยุงกับแมลงกัดจนรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว ใจเขายังคิดถึงชวี่ตู พี่ใหญ่หานเฉิงสนับสนุนไทเฮายึดอำนาจ ยุครุ่งเรืองของสกุลหานมาถึงแล้ว นี่เป็นเวลาที่เขาควรกลับไปชวนเพื่อนฝูงมาเลี้ยงฉลองอย่างใจกว้าง ให้อยู่ที่นี่อีกวัน เขาก็หงุดหงิดเพิ่มขึ้นอีกวัน เมื่อฟังคำพูดเกาจ้งสยง ประเมินผลได้ผลเสียแล้วจึงตกลง

 

วันต่อมาหานจิ้นตื่นแต่เช้า พาทหารฝ่าน้ำค้างออกไป อาศัยเบาะแสจากทหารหลบหนี ไล่ตามไปจนถึงบริเวณแนวป่าด้านนอกแม่น้ำหนีซา ในป่าแห่งนั้นมีการขุดเตาดินไว้มากมาย แต่ดูแล้วไม่น่าจะพอปรุงอาหารให้ทหารจำนวนสองหมื่นได้

หานจิ้นเชื่อคำพูดของทหารหลบหนีสนิทใจ นั่งอยู่บนหลังม้าด้วยอารมณ์ฮึกเหิม ชักกระบี่ตวัดไปข้างหน้า “โจรกบฏจนตรอกไร้ทางไปแล้ว ค้นป่านี้ให้ทั่ว จะต้องพบร่องรอยแน่!”

ทหารของแปดกองกำลังกรูเข้าไปพร้อมกัน

เซียวฉือเหย่ย่อตัวล้างหน้าอยู่ริมลำธาร ได้ยินเสียงก็หันไปมอง เห็นหานจิ้นกำลังควบม้าเข้ามา

หานจิ้นเห็นเซียวฉือเหย่แล้ว รีบตะโกนว่า “โจรกบฏอยู่ตรงนั้น รีบจับกุมเขา!”

เซียวฉือเหย่ผิวปากเรียกลั่งเถาเสวี่ยจินออกมา ทหารห้าร้อยนายที่กระจัดกระจายกันอยู่เหมือนทำอะไรไม่ถูก ถูกไล่ล่าในป่าจนส่งเสียงโหวกเหวก หานจิ้นเห็นดังนั้นแล้วโลหิตพุ่งขึ้นสมองอย่างห้ามไม่อยู่ หัวเราะเสียงดังหลายครั้ง จากนั้นตะโกนเสียงก้องมาจากที่ไกลๆ “ท่านโหว เจ้าก็มีวันนี้เหมือนกัน!”

เซียวฉือเหย่ไม่สนใจทหาร ควบม้าหนีไปตามลำพัง หานจิ้นกลัวเขาจะหนีไป จึงรีบนำคนไล่ตาม แปดกองกำลังควบม้าตามสุดกำลัง ตามหานจิ้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนืออย่างรีบเร่ง หานจิ้นยิ่งตามยิ่งร้อนใจ ตะโกนไล่หลัง “เซียวฉือเหย่! เจ้าจนตรอกแล้ว ยังไม่รีบยอมจำนนแต่โดยดีอีก?!”

เซียวฉือเหย่ที่อยู่บนม้าหันกลับไป นำกำลังพยายามต้านทานไว้ แต่กลับมิอาจสู้ความดุดันของแปดกองกำลังได้ ทหารห้าร้อยถูกไล่ตามจนมีสภาพอเนจอนาถ พริบตาเดียวก็วิ่งออกจากป่า ตรงไปยังแม่น้ำหนีซา สุดท้ายถูกขวางไว้ริมแม่น้ำ

“เซียวฉือเหย่!” หานจิ้นรั้งเชือกบังเหียนสะบัดแขนเสื้อ “เจ้ามองดูรอบด้านสิ ล้วนเป็นทหารจากแปดกองกำลังของข้า! บัดนี้เจ้าถูกล้อมไว้ทั่วทุกทิศแล้ว ยังจะขัดขืนอีกทำไม ตอนนี้หากเจ้าขอความเมตตา ข้าจะละเว้นเจ้าสักครั้ง!”

ลั่งเถาเสวี่ยจินใช้กีบเท้าตะกุยดินอยู่กับที่ เซียวฉือเหย่เอ่ยเสียงเย็น “เจ้าจะให้ข้าตาย ได้ ข้าขอถามเจ้าว่าไฉนหานเฉิงจึงไม่มาเอง”

“ตอนนี้พี่ชายข้าเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ งานกิจมีมากมาย ไหนเลยจะมีเวลามารับมือเจ้าที่นี่” หานจิ้นใช้กระบี่ชี้เซียวฉือเหย่ “ลงจากม้าและให้ข้าจับกุมแต่โดยดี พวกเจ้าสกุลเซียวจะยังมีทางรอด เจ้าก่อความผิดมหันต์นี้เพียงคนเดียว บัดนี้จะให้ครอบครัวเจ้าทั้งหมดชดใช้ด้วยชีวิตรึ”

“ข้าทำผิดไปมากมายก็จริง” เซียวฉือเหย่แหงนหน้าเล็กน้อย มองหานจิ้น “แต่พวกเจ้าสกุลหานยังไม่มีสิทธิ์มาเจรจากับข้า”

สิ้นกระแสเสียงของเขา สองฝั่งจู่ๆก็มีคนหลายร้อยลุกขึ้น ถานไถหู่ควบม้านำ ล้อมหานจิ้นไว้แน่นหนา นำเหล่าทหารฟาดฟันศัตรู จู่โจมแปดกองกำลังจากข้างหลังจนม้าและคนล้มระเนระนาด องครักษ์ซ้ายขวาของหานจิ้นล้วนเป็นองครักษ์เสื้อแพรที่หานเฉิงตั้งใจส่งมาคุ้มกันเขาโดยเฉพาะ องครักษ์เสื้อแพรเห็นดังนั้นก็รู้ว่าพวกตนหลงกลอีกฝ่ายแล้ว จึงสะบัดแส้หวดม้าของหานจิ้นทันที หมายจะพาเขาฝ่าออกไปทางป่าไม้ด้านข้าง

หานจิ้นหรือจะเคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ สมัยก่อนตอนเขาฝึกแถวในสนามฝึกชวี่ตูก็เป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง แต่เขาไม่เคยทำสงครามจริงมาก่อน ยามนี้จึงตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก อาชาใต้ร่างวิ่งพล่านไปทั่วด้วยความเจ็บ ในที่สุดก็พุ่งไปถึงชายป่าภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์เสื้อแพร

เสิ่นเจ๋อชวนยืนถือดาบรออยู่ที่นั่น มองหานจิ้นใต้เงาไม้

หานจิ้นยังคิดจะบุกไปข้างหน้า แต่กลับถูกองครักษ์เสื้อแพรที่มือไวตาเร็วรั้งเชือกบังเหียนไว้ คนกลุ่มใหญ่เผชิญหน้ากันท่ามกลางเหงื่อเย็นและโลหิต สุดท้ายบุรุษที่เป็นหัวหน้าของเหล่าองครักษ์เสื้อแพรพูด “ใต้เท้ารองผู้บัญชาการ วันนี้ท่านข้าพบกันนับเป็นวาสนา เห็นแก่ไมตรีของพวกเราในอดีต ละเว้นพวกเราสักครั้งเป็นอย่างไร!”

หลายวันมานี้เสิ่นเจ๋อชวนผอมลงมาก เขาถือดาบ เผยให้เห็นกระดูกข้อมือที่ดูเหมือนจันทร์เสี้ยว ยามอยู่ในแขนเสื้อสีขาวเปล่งประกายเยียบเย็น ดวงตาเขาคล้ายมีน้ำแข็งที่ไม่เคยละลายอยู่ ทว่าใบหน้ากลับค่อยๆ ระบายยิ้มอบอุ่นเหมือนอากาศในเดือนห้า เขาพูด “พี่น้องทั้งหลายล้วนได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติภารกิจ ไม่ทำไม่ได้ ข้ารู้”

ชายผู้นั้นรู้นิสัยโหดเหี้ยมอันตรายของเสิ่นเจ๋อชวน เมื่อเห็นเขาผลิยิ้ม ก็กลับคุ้มกันหานจิ้นถอยหลังไปหลายก้าว ด้านหลังเสียงฆ่าฟันดังกึกก้อง เซียวฉือเหย่กำลังประชิดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เหงื่อไหลออกจากจอนผมขององครักษ์เสื้อแพรผู้นั้น “ใต้เท้ารองผู้บัญชาการอนาคตไร้ขีดจำกัด ไยต้องมาลำบากกับโจรกบฏด้วย หากท่านยอมปล่อยผู้บังคับการหานกลับเมืองหลวง ผู้บัญชาการต้องไม่ถือสาเรื่องในอดีต ยินดีต้อนรับใต้เท้ารองผู้บัญชาการกลับสู่เมืองหลวงแน่นอน!”

เสิ่นเจ๋อชวนหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงเขาเนิบช้า เวลาหัวเราะน่าฟังมาก ผิวพรรณขาวซีดยามอยู่ใต้แสงแดดที่กระจายเป็นจุดๆ ดูเนียนละเอียดเป็นพิเศษ เขาชักดาบออกมาช้าๆ คมดาบบางยาวของดาบหย่างซานเสวี่ยเสียดสีฝักดาบ

“ข้าซาบซึ้งใจหานเฉิงมาก” เสิ่นเจ๋อชวนพลิกมือกำด้ามดาบ เงียบไปครู่หนึ่ง “ความซาบซึ้งที่ข้ามีต่อเขามิอาจบรรยายเป็นคำพูดได้ ครั้งนี้พวกเจ้ากลับไป ช่วยนำของขวัญขอบคุณไปมอบให้เขาแทนข้าที”

หานจิ้นรู้สึกเย็นวาบที่หลัง เกือบร่วงตกจากหลังม้า

 

เซียวฉือเหย่ล้างคราบเลือดบนดาบสองเล่มที่ริมน้ำ เสิ่นเจ๋อชวนนั่งยองอยู่ข้างหลังกำลังล้างมือ เขาจุ่มฝ่ามือลงในลำธาร จวบจนเซียวฉือเหย่ล้างดาบเสร็จก็ยังไม่ยกขึ้นมา เซียวฉือเหย่นั่งยองอยู่ตรงข้ามเขา แม้สูงกว่าเขามาก แต่ศีรษะยังชนกับเขาได้ ฝ่ามือของสองคนสัมผัสกันในน้ำ เซียวฉือเหย่จับปลายนิ้วเขาไว้

เสียงร้องไห้ของเสิ่นเจ๋อชวนเหมือนความฝันตอนกลางคืน ยามอยู่ใต้แสงตะวันเขาทั้งสะอาดและสุขุม นิ้วชี้ของเขาถูมือเซียวฉือเหย่ช้าๆ แทรกผ่านช่องว่างระหว่างนิ้วมือไปประสานฝ่ามือกับเซียวฉือเหย่ นำพาความเย็นเยียบจากสายน้ำและความนุ่มละมุนมาให้

ถานไถหู่กำลังนำคนเก็บกวาดสนามรบ พวกเขายังต้องพักอยู่ในป่าแห่งนี้อีกคืน รอบด้านไม่ไกลไม่ใกล้ล้วนเป็นทหาร แต่เสิ่นเจ๋อชวนกลับแนบฝ่ามืออยู่อย่างนั้น ลูบไล้ช้าๆ อย่างไม่ตั้งใจ เหมือนกำลังเล่นสนุกด้วยท่าทางผ่อนคลาย ขณะเดียวกันก็เหมือนกำลังยั่วยวน

เขายังมีกลิ่นคาวเลือดติดตัวอยู่

เซียวฉือเหย่ปล่อยให้เขาลูบจนพอใจ “เหลือทหารกลับไปเพียงคนเดียว ไม่แน่ว่าเขาจะยอมนำความกลับไปแจ้งจริงๆ”

เสิ่นเจ๋อชวนมองผิวน้ำระยิบระยับในลำธาร “เขาเป็นองครักษ์เสื้อแพร ขอเพียงหัวยังไม่ขาด ย่อมต้องปฏิบัติภารกิจจนเสร็จสิ้นแน่ หานจิ้นตกอยู่ในมือของพวกเรา หากเขามิอาจนำข่าวกลับไป ย่อมเท่ากับภารกิจล้มเหลว ถึงอย่างไรก็ต้องตาย มิสู้ตายอย่างมีเกียรติ อีกทั้งหัวคนในกระสอบใบนั้นล้วนเป็นหัวขององครักษ์เสื้อแพรที่ห้อยป้าย เขาต้องช่วยให้พี่น้องทั้งหลายเป็นใบไม้ร่วงที่ได้คืนสู่ราก”

เซียวฉือเหย่อยากเช็ดหยดเลือดบนข้อมือให้เสิ่นเจ๋อชวน แต่รอบด้านมีแต่คน สองคนจ้องตากันครู่หนึ่ง เขาพลิกมือกุมมือเสิ่นเจ๋อชวนกะทันหัน โน้มตัวไปข้างหน้าช้าๆ “ต่างหูถูกทิ้งอยู่ในชวี่ตู ถึงหลีเป่ยเมื่อใดข้าจะสั่งทำให้เจ้าใหม่”

“เงินหลายพันตำลึงยังติดค้างผู้อื่นอยู่” เสิ่นเจ๋อชวนมองเขา “ประหยัดมัธยัสถ์และตั้งใจหาเงินก่อนเถิดคุณชายรอง”

“ข้าสามารถแต่งเข้าบ้านคนมีเงิน ใช้กายเคียงคู่ ฉวยโอกาสนี้หาเงินได้” เซียวฉือเหย่กดเสียงเบา

เสิ่นเจ๋อชวนใช้มือยันดินทรายอ่อนนุ่มใต้ลำธาร กระซิบเสียงแผ่วข้างหูเซียวฉือเหย่ “คืนละห้าร้อยตำลึง…”

ความรู้สึกอ่อนละมุนอบอุ่นยังไม่ทันแผ่ออกไป เสิ่นเจ๋อชวนก็หันกลับไปกะทันหัน พูดกับถานไถหู่ที่อยากเดินเข้ามาแต่ไม่รู้จะปั้นท่าอย่างไรดีว่า “หานจิ้นยังคิดที่จะกลับชวี่ตูโดยเร็ว ทั้งยังมีตันเฉิงคอยเสริมเสบียงให้ เสบียงอาหารที่เขานำมาครั้งนี้ต้องมีไม่มากแน่ คืนนี้บอกให้ทุกคนติดเตาทำอาหารกินซะ พรุ่งนี้เช้าพวกเรา…”

เสิ่นเจ๋อชวนชะงักไปพริบตาหนึ่ง ปรายตามองเซียวฉือเหย่อย่างรวดเร็วและพูดต่อ “…เดินหน้าต่อไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้”

เซียวฉือเหย่ไม่เอ่ยอันใด หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาด้วยท่าทางขึงขัง ถือโอกาสนี้ถูมือเสิ่นเจ๋อชวนที่อยู่ใต้ผ้าจนแดงเรื่อ

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า