[ทดลองอ่าน] หุบเขาคร่าวิญญาณ บทที่ 1 แข่งเตะลูกหนัง

生死谷
หุบเขาคร่าวิญญาณ

鄭丰เจิ้งฟง
เขียน

HUNZA
แปล

 

โปรย

หุบเขาเร้นลับที่ปราศจากทางออก
เหล่าเด็กน้อยถูกพาตัวมารับการฝึกฝนอันแสนโหดเหี้ยม
เพื่อให้พวกเขาเติบใหญ่กลายเป็นนักฆ่า
เป็นอาวุธสังหารที่กุมความเป็นไปของแว่นแคว้น
ในยุคที่แผ่นดินระส่ำระส่ายนี้

เผยรั่วหลัน คุณหนูหกแห่งจวนขุนนาง
เสี่ยวหูจื่อ บุตรชายเพียงคนเดียวของเสนาบดีอู่
แม้มีชาติกำเนิดสูงส่ง หากแต่เด็กทั้งสอง
กลับถูกลักพามาได้อย่างง่ายดาย
ไม่พ้นต้องตกลงสู่นรกไร้ปราณี
ที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงพวกเขาไป

พี่น้องสองร้อยคน
ด่านทั้งสาม
มีเพียงแปดคนเท่านั้นที่จะได้กลับบ้าน!

 

ต้นฉบับนี้ยังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์

 

บทที่ 1 แข่งเตะลูกหนัง

 

ปีเจินหยวนที่สิบแปดรัชสมัยถังเต๋อจงแห่งราชวงศ์ถัง ฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น

พื้นที่ว่างหลังถนนอันอี่เมืองฉางอัน มีเด็ก ๆ ยี่สิบกว่าคนกำลังสนุกสนานกับการเตะลูกหนังพร้อมกับส่งเสียงโห่ร้องตะโกนดังไม่ขาดสาย พื้นที่ว่างแห่งนี้ไม่ได้อยู่ในความครอบครองของตระกูลใด หลายปีก่อนที่ตรงนี้ปูด้วยแผ่นหินจนกลายเป็นพื้นเรียบสม่ำเสมอ มีเศษหินและวัชพืชขึ้นบ้างประปราย เนื่องจากที่ตรงนี้ถูกปล่อยร้างมาเป็นเวลานาน พอเวลาผ่านไปก็กลายเป็นสถานที่นัดพบเพื่อเล่นเตะลูกหนังของเด็ก ๆ บริเวณนั้น

พื้นที่ว่างแห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนอันอี่ทางทิศใต้ของเมืองเขตตะวันตก ละแวกนี้ล้วนเป็นเรือนพักของเหล่าขุนนางระดับสูง ทว่าลูกหลานขุนนางตระกูลใหญ่เหล่านี้ย่อมไม่ย่างเท้าออกจากประตูใหญ่ของจวนเพื่อมาเล่นสนุกข้างนอกเป็นแน่ ดังนั้นเด็กที่มาเล่นเตะลูกหนังที่นี่ส่วนใหญ่จึงเป็นลูกหลานของบ่าวไพร่คนรับใช้ที่ทำงานในจวนหรือไม่ก็เป็นลูกของพ่อค้าแม่ขายคนหาบของในละแวกใกล้ ๆ แต่ละคนสวมเสื้อผ้าเก่าขาดซอมซ่อ มีบางคนถึงขนาดเปลือยช่วงบน รองเท้าก็ไม่ได้สวม

วันเวลาผ่านไป เด็ก ๆ ที่มาเล่นสนุกกันตรงนี้ได้แบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายที่อยู่ทางทิศตะวันออกของพื้นที่ว่างเรียกว่า ‘ค่ายมังกรเขียว’ ส่วนที่อยู่ทิศตะวันตกเรียกว่า ‘ค่ายพยัคฆ์ขาว’ วันนี้เป็นวันแข่งขันตัดสินแพ้ชนะระหว่างมังกรเขียวกับพยัคฆ์ขาว เด็ก ๆ แต่ละฝ่ายยืนถือไม้รวกอยู่คนละฝั่ง ฝั่งละสองท่อน มีแหจับปลาเก่า ๆ ผูกอยู่ระหว่างไม้รวกทั้งสองท่อนเพื่อเป็นประตูมังกร  ลูกหนังตัดเย็บด้วยแผ่นหนังทั้งหมดแปดแผ่นจนกลายเป็นเปลือกทรงกลม ด้านในยัดกระเพาะปัสสาวะหมูเอาไว้ หลังจากเป่าลมเข้าไปจะพองโตขึ้นมา มีแรงกระดอนและมีความยืดหยุ่น  เด็กส่วนใหญ่ในสนามมีอายุเพียงเจ็ดแปดปี แต่ละคนวิ่งไล่ลูกหนัง แข่งขันกันอย่างดุเดือด ทั้งสองฝ่ายผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ จนกระทั่งถึงช่วงสุดท้ายยิ่งแข่งขันอย่างดุเดือด เจ้าชิงข้าแย่ง ลูกหนังถูกเตะส่งไปมาระหว่างสองฝ่าย การแข่งขันดุเดือดเร้าใจ เด็ก ๆ ส่งเสียงตะโกนให้กำลังใจพรรคพวกของตนดังกึกก้อง

ขณะที่ทั้งสองฝ่ายทำอะไรกันไม่ได้ สถานการณ์กำลังตึงเครียดก็มีเด็กชายสวมเสื้อสีแดงคนหนึ่งแสดงฝีมืออันโดดเด่นออกมาให้เห็น เขาเร่งฝีเท้าวิ่งแซงอยู่หน้าเด็กคนอื่น เขาคล่องแคล่ว วิ่งได้รวดเร็ว ลูกหนังถูกชิงมาอยู่ใต้ฝ่าเท้าได้อย่างไรไม่มีผู้ใดรู้ เขาง้างเท้ายิงเต็มแรง ลูกหนังกระดอนขึ้นกลางอากาศตรงเข้าประตูมังกรของอีกฝ่าย

ลูกหนังลูกนี้เป็นลูกสำคัญที่ตัดสินแพ้ชนะของเด็กสองกลุ่ม เด็ก ๆ ค่ายพยัคฆ์ขาวส่งเสียงร้องด้วยความดีใจดังกึกก้อง  วิ่งกรูเข้ามาหาเด็กชายเสื้อแดงพลางส่งเสียงโห่ร้องดีใจว่า “พยัคฆ์ขาวชนะแล้ว พยัคฆ์ขาวชนะแล้ว” เด็กชายเสื้อแดงตัวไม่สูงมากแต่เนื้อแน่นเต็มตัว เสื้อผ้าหน้าผมมีแต่ฝุ่นจับอยู่เต็มไปหมด มองเห็นหน้าตาไม่ชัดเจน เขาหัวเราะเห็นฟันขาวทั้งปาก    เมื่อพิจารณาให้ดี เสื้อผ้าของเด็กชายคนนี้ดูสะอาดเรียบร้อยกว่าเด็กคนอื่นๆ มากนัก ดูคล้ายกับไม่ใช่เด็กชาวบ้านทั่วไป แต่เขากลับยกมือพาดไหล่กับพรรคพวกคนอื่น ๆ พูดคุยกันอย่างใกล้ชิดสนิทสนม เห็นได้ชัดว่าเล่นหัวกันมานาน เป็นเพื่อนเล่นที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

ในเวลานี้เอง เด็กชายรูปร่างกำยำสามสี่คนก้าวยาว ๆ เข้ามาหา กางแขนสองข้างขวางอยู่หน้าเด็กชายชุดแดง   เด็กชายที่เป็นหัวโจกตวาดเสียงดังใส่ว่า “ช้าก่อน เสี่ยวหูจื่อ เจ้ามันเล่นสกปรกจึงเตะลูกหนังเข้าประตูได้ พวกเราเห็นกับตา พวกเราค่ายมังกรเขียวไม่ได้แพ้  ถ้าเจ้าแน่จริงก็มาแข่งกันใหม่”

เด็ก ๆ ทั้งหลายเงยหน้าขึ้นมอง เด็กชายห้าคนนี้ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือเตะลูกหนังของค่ายมังกรเขียว พวกเขามีรูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางดุร้าย เห็นได้ว่าไม่ยอมรับความพ่ายแพ้จึงรวมตัวกันเข้ามาหาเรื่อง เด็ก ๆค่ายพยัคฆ์ขาวได้แต่มองตากัน เกิดอาการหวาดวิตก มีบางคนเอ่ยขึ้นว่า “เสี่ยวหูจื่อพวกเรารีบไปกันเถอะ” มีบางคนพูดว่า “ไปเหอะ อย่าสนใจพวกนั้นเลย” เด็กชายเสื้อแดงที่ถูกเรียกว่าเสี่ยวหูจื่อกลับเลิกคิ้วขึ้น ยกสองมือท้าวสะเอว มองไปยังเด็กชายที่เป็นหัวโจกตรง ๆ พลางเอ่ยว่า “ข้าเล่นสกปรกตอนไหนกัน ถ้าอย่างนั้นเจ้ากับข้า เรามาแข่งกันตัวต่อตัว คราวนี้มีลูกตาตั้งหลายสิบคู่ดูอยู่ ไม่ว่าใครก็เล่นสกปรกอะไรไม่ได้ เจ้าว่าอย่างไร”

เด็กหัวโจกคนนั้นชื่อว่าต้าหนิว เขายืดอกขึ้นทันทีพร้อมรับคำเสียงดังว่า“ได้ ข้าไม่กลัวเจ้าอยู่แล้ว เรามาแข่งกันตัวต่อตัว”

ในยามนี้เอง เด็กชายรูปร่างผอมคนหนึ่งจากค่ายมังกรเขียวเดินออกมา เงยหน้าขึ้นมองเสี่ยวหูจื่อ ตวัดเสียงสูงเอ่ยว่า “ให้ข้าแข่งกับเจ้าดีกว่า”

เมื่อเด็ก ๆ ของค่ายมังกรเขียวเห็นเด็กชายตัวผอมคนนี้ออกหน้า ปฏิกิริยาแรกที่เกิดขึ้นคือตกตะลึงก่อนจะตามมาด้วยเสียงปรบมือโห่ร้องชอบใจ แย่งกันพูดขึ้นว่า “ลิ่วเอ๋อ ลิ่วเอ๋อ” “จัดการมันเลย” “ลิ่วเอ๋อ สั่งสอนมันเลย”

เด็กที่ชื่อ ‘ลิ่วเอ๋อ’ เป็นเด็กตัวเล็กผอมที่หน้าตาไม่สะดุดตาใคร อีกทั้งยังตัวเตี้ยกว่าเสี่ยวหูจื่อถึงครึ่งศีรษะ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นยอดฝีมือเตะลูกหนังที่ค่ายมังกรเขียวให้การยอมรับอยู่ในระดับต้น ๆ เด็กในค่ายมังกรเขียวนับถือและชื่นชมเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ต้าหนิวยังเป็นฝ่ายถอย ไม่กล้าแย่งตำแหน่งกับเขา

เสี่ยวหูจื่อมองไปยังลิ่วเอ๋ออย่างประเมินท่าที คิดในใจว่า ลิ่วเอ๋อคนนี้ข้าเห็นมาหลายครั้ง  มีฝีเท้ารวดเร็ว การแข่งขันเมื่อครู่นี้มีแต่เขาคนเดียวที่ไล่ตามข้ามาได้ติด ๆ ถ้าหากไม่ใช่พรรคพวกของเขาไม่รู้จักเล่นเข้าขากัน เช่นนั้นเป็นไปได้มากว่าจะถูกเขายิงประตูนำไปก่อน ฮึ่ย…ถึงแม้จะเปลี่ยนจากต้าหนิวเป็นลิ่วเอ๋อมา ข้าก็ไม่กลัว เขาจึงร้องเสียงดัง ตอบไปว่า “ดี งั้นข้าจะประลองกับเจ้าสักตา ดูสิว่าใครร้ายกาจกว่ากัน”

เด็ก ๆ จากสองฝ่ายโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น ค่ายพยัคฆ์ขาวตะโกนดังๆ ว่า “เสี่ยวหูจื่อ เสี่ยวหูจื่อ”   ส่วนค่ายมังกรเขียวตะโกนว่า “ลิ่วเอ๋อ  ลิ่วเอ๋อ”

ในขณะที่เสียงโห่ร้องของเด็ก ๆ ซาลง มีเด็กคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นว่า “แล้วการแข่งตัวต่อตัวครั้งนี้จะแข่งกันอย่างไร”

เสี่ยวหูจื่อเกาะศีรษะพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “ข้าว่าโยนลูกหนังขึ้นกลางอากาศ แล้วพวกเราก็เข้าไปแย่ง ใครแย่งมันมาได้ก่อนคนนั้นก็ถือว่าชนะ เป็นอย่างไร”

ลิ่วเอ๋อส่ายหน้าทันที “ไม่ได้ ถ้าแข่งกันแบบนี้ข้าก็เสียเปรียบน่ะสิ เจ้าควบคุมได้ว่าจะโยนลูกหนังไปทางไหน แล้วจะยุติธรรมได้อย่างไร”

เสี่ยวหูจื่อตะลึงงันไปเล็กน้อย เขาไม่เคยคิดจะเล่นตุกติกมาก่อน เมื่อได้ยินคำพูดที่แฝงความข้องใจออกจากปากลิ่วเอ๋อจึงไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี ได้แต่ถามกลับไปว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าว่าแข่งยังไงกันดี”

ลิ่วเอ๋อถลึงตาใส่พลางเอ่ยว่า “ก็วางลูกหนังอยู่กลางสนาม เจ้ายืนอยู่ที่ประตูฝั่งตะวันตก ส่วนข้ายืนอยู่ฝั่งตะวันออก  พวกเราวิ่งเข้าแย่งลูกหนังพร้อมกัน ใครที่เตะเข้าประตูของอีกฝ่ายหนึ่งได้ก่อนก็ถือว่าชนะดีไหมล่ะ” คำพูดของเขาชัดเจนฉะฉาน เมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นที่เอาแต่ตะโกนร้อง พ่นคำสบถหยาบคาย ทำให้เขาดูสุภาพเฉียบคมยิ่งกว่า

เสี่ยวหูจื่อลอบคิดในใจ  ‘เขาคงถือว่าตนเองวิ่งเร็วจึงได้เสนอวิธีแข่งขันเช่นนี้ แต่ฝีเท้าข้าก็ไม่ช้าหรอก คิดว่าข้าจะกลัวหรือไร’ จึงได้ตอบกลับไปว่า “ได้ งั้นก็แข่งกันอย่างที่เจ้าว่ามา แพ้แล้วจะมาโทษข้าอีกไม่ได้ แล้วจะหาเรื่องตีรวนไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้แล้วนะ”

ลิ่วเอ๋อขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นว่า “ยังจะพูดพล่ามอะไรอีก เริ่มได้เลย”

เสี่ยวหูจื่อชูลูกหนังในมือขึ้น เป่าลมผ่านเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะหมูที่ซ้อนอยู่ชั้นใน ลูกหนังพองลมมากขึ้นกว่าเดิมอีกเล็กน้อย มีแรงกระดอนเพิ่มขึ้น  เขาวางลูกหนังกลางสนามอย่างระมัดระวังจนแน่ใจว่าอยู่ห่างจากประตูทั้งสองฝั่งเท่ากันดีแล้ว จึงเดินกลับไปอยู่หน้าประตูฝ่ายของตนพร้อมกับลิ่วเอ๋อ

ต้าหนิวเสนอตัวเป็นผู้ตัดสินยืนอยู่กลางสนาม ยกมือสองข้างขึ้นสูงร้องตะโกนว่า “ข้าจะนับหนึ่งถึงสามเป็นสัญญาณนะ หนึ่ง สอง สาม”

คำว่า”สาม”ยังไม่ทันหลุดจากปาก ลิ่วเอ๋อก็วิ่งพรวดเข้าใส่ลูกหนังทันที เสี่ยวหูจื่อเองก็ไม่ยอมอ่อนข้อ ขยับตัววิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนวิ่งมาจากทางซ้ายและขวา พุ่งเข้าหาลูกหนังกลางสนามทันที

ลิ่วเอ๋อตัวค่อนข้างเล็กแต่ว่ามีฝีเท้าว่องไวยิ่งนัก เขาวิ่งมาอยู่ข้างลูกหนังก่อนเสี่ยวหูจื่อก้าวหนึ่ง แย่งมันไปครองได้ก่อน เสี่ยวหูจื่อเร่งความเร็วตรงเข้าไปแย่งลูกหนัง  ยื่นเท้าขัดข้อเท้าของลิ่วเอ๋อคิดจะแย่งลูกหนังกลับมา ลิ่วเอ๋อมีปฏิกิริยาตอบสนองฉับไวจึงเตะลูกหนังลอยขึ้นกลางอากาศ พร้อมกับฉากตัวหนีการเกี่ยวของเสี่ยวหูจื่อ จากนั้นหมุนตัวยื่นเท้ารับลูกหนังไว้ได้ เตะไปทางประตูทิศตะวันตก เสี่ยวหูจื่อวิ่งตามอย่างรีบร้อน พุ่งตัวเต็มแรงจนมาดักอยู่หน้าลิ่วเอ๋อ เขายื่นเท้าเกี่ยวทีหนึ่งลูกหนังก็เปลี่ยนที่ไปอยู่ใต้เท้าเขาแทน ทั้งสองคนเตะกันไปแย่งกันมาอยู่กลางสนามในระยะประชิดตัว เด็ก ๆ ที่ยืนดูอยู่ข้างสนามเห็นแต่เงาร่างเคลื่อนไหวไปมาไม่หยุด จนคนดูตาลาย แต่กระนั้นเสียงร้องตะโกนให้กำลังใจของแต่ละฝ่ายยังดังไม่ขาดสาย

แย่งกันไปมาพักหนึ่ง ลิ่วเอ๋อเห็นว่าไม่มีทางแย่งลูกกลับมาได้ จึงยื่นเท้าขวาออกไปเตะเข้าที่น่องของเสี่ยวหูจื่อเต็มแรง เสี่ยวหูจื่อร้องเจ็บขึ้นมาคำหนึ่ง ชะงักฝีเท้าไปเล็กน้อย ลิ่วเอ๋อฉวยจังหวะนี้แย่งลูกหนังกลับมา มุ่งหน้าไปทางประตูฝั่งตะวันตกอย่างรวดเร็ว

เสี่ยวหูจื่อก่นด่าด้วยความโมโหก่อนจะรีบไล่ตามไป เมื่อไล่ตามหลังลิ่วเอ๋ออยู่หนึ่งก้าว เขาย่อตัวลงกวาดขาใช้ปลายเท้าเตะลูกหนังให้มันกลิ้งออกไปด้านข้าง กระบวนท่านี้แม้อันตรายแต่ใช้ได้ผลดี  ตำแหน่งที่กวาดเท้าทำให้ลูกหนังกลิ้งออกจากเท้าลิ่วเอ๋อ เขาใช้จังหวะนี้กลิ้งตัวไปข้างหน้ายื่นเท้าเกี่ยวลูกหนังเอาไว้ จากนั้นวิ่งเตะมันไปยังฝั่งประตูตะวันออกอย่างไม่คิดชีวิต  ลิ่วเอ๋อวิ่งไล่ตามไม่ลดละ เสี่ยวหูจื่อรู้ว่าจะให้ลิ่วเอ๋อชิงมันไปครองอีกไม่ได้เป็นอันขาด ในระยะประมาณสิบฉื่อ[1]ก่อนถึงประตูของอีกฝ่าย เขาจึงง้างเท้าเตะเต็มแรง ลูกหนังพุ่งเข้าประตูมังกรฝั่งตะวันออกจัง ๆ

เด็ก ๆ ค่ายพยัคฆ์ขาวโห่ร้องกึกก้อง ส่วนค่ายมังกรเขียวส่งเสียงร้องโอดครวญกันทั่วหน้า

เสี่ยวหูจื่อเข้าไปเก็บลูกหนังในตาข่าย ก่อนวิ่งกลับมากลางสนามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

สีหน้าของลิ่วเอ๋อซีดขาว ชี้นิ้วใส่หน้าพร้อมกับร้องอย่างไม่พอใจ “เจ้าเล่นสกปรก ไม่นับ”

เสี่ยวหูจื่อฟังเขาพูดเช่นนี้แล้วให้โมโหเสียจนหน้าตาแดงก่ำ คิดในใจว่า ทั้ง ๆ ที่เจ้าจงใจเตะน่องข้าชัด ๆ ยังจะหาว่าข้าเล่นสกปรก จากนั้นเขาตอบกลับอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เจ้าจงใจเตะข้า พอแพ้แล้วก็ยังไม่ยอมรับอีก”

ลิ่วเอ๋อท่าทางเคร่งเครียดไม่สนใจคำตำหนิของอีกฝ่าย เอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่ยอมแพ้ พรุ่งนี้ตอนบ่ายยามเก้า มังกรเขียวและพยัคฆ์ขาวมาตัดสินแพ้ชนะกันอีกครั้ง เจ้าอย่าหนีไปไหนเสียล่ะ” พูดจบส่งเสียงฮึ่มคราหนึ่งก่อนหมุนตัวจากไป

เด็ก ๆ ค่ายมังกรเขียวเมื่อเห็นว่ายอดฝีมือของตนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างไม่อาจโต้แย้ง ในใจร่ำร้องว่าไม่ยุติธรรม ปากก็ก่นด่าไปแต่ไม่กล้าเข้าไปหาเรื่องอีก

เด็ก ๆ ทั้งหลายไม่มีใครสนใจเลยว่ามีนักพรตรูปร่างสูงผอมผู้หนึ่งยืนอยู่ริมสนาม เสื้อนักพรตสีดำทั้งชุดส่งให้เขาดูสูงส่งไม่แปดเปื้อนในโลกโลกีย์  หากใบหน้าเคร่งขรึมกลับแฝงความอำมหิตที่ยากบรรยาย ดวงตาล้ำลึกของนักพรตจับจ้องอยู่บนร่างของลิ่วเอ๋อและเสี่ยวหูจื่อ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ ราวกับมีความมาดหมายบางประการ

ขณะที่เด็ก ๆ ในค่ายพยัคฆ์ขาวรุมล้อมเสี่ยวหูจื่อร่วมแสดงความยินดีกันอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงตึก ๆ ดังขึ้น เด็กชายรูปร่างสูง ๆ อ้วน ๆ วิ่งจ้ำพรวดมาทางพวกเขา เด็กคนนี้มีน้ำหนักตัวมาก ขณะที่วิ่งเข้ามาเหมือนแผ่นดินสะเทือนไหว เด็กในค่ายพยัคฆ์ขาวเมื่อเห็นแล้วต่างถอยห่างอย่างไม่รู้ตัว  เด็กชายตัวอ้วนใหญ่วิ่งตรงมาข้างหน้า กางแขนสองข้างออก กอดตัวเสี่ยวหูจื่อเอาไว้แน่นพร้อมกับเปล่งเสียงหัวเราะเหอะๆ “พี่หู่ชนะแล้ว พี่หู่ชนะแล้ว”

เสี่ยวหูจื่อกำหมัดทุบลงบนศีรษะเด็กชายตัวอ้วนใหญ่คนนั้นทีหนึ่งเปล่งเสียงหัวเราะไปด่าไป “เลิ่งจื่อปล่อยมือนะ พี่ของเจ้าไม่แพ้ให้คนอื่นแต่จะถูกเจ้ากอดจนหายใจไม่ออกแล้ว” เด็กชายตัวอ้วนจึงค่อยปล่อยมือ หัวเราะแหะ ๆ แววตาเลื่อนลอย ดูเหมือนคนปัญญาอ่อน แค่ดูรูปร่างของเขาจะคิดว่าเด็กชายคนนี้น่าจะมีอายุสิบสามสิบสี่ปี  แต่ถ้าดูหน้าตาท่าทางของเขาก็รู้ได้ว่ายังอายุน้อยอยู่มาก น่าจะมีอายุประมาณเดียวกับเสี่ยวหูจื่อ เด็กคนอื่น ๆ ในค่ายพยัคฆ์ขาวยืนอยู่ห่างออกไปหลายฉื่อ  เหล่ตามองเด็กชายตัวอ้วนใหญ่คนนี้ พวกเขารู้ว่าเจ้าอ้วนที่ชื่อเลิ่งจื่อมีรูปร่างอ้วนใหญ่ พละกำลังมหาศาลและยังเป็นเด็กปัญญาอ่อนคนหนึ่ง เพราะยากจะคาดเดาการเคลื่อนไหวได้ ดังนั้นจึงทำให้เขายิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่

เสี่ยวหูจื่อสนิทสนมกับเลิ่งจื่อยิ่งนัก เขากอดคอเลิ่งจื่ออย่างไม่ใส่ใจสายตาผู้อื่น หัวเราะคิกคักเอ่ยกับเด็กคนอื่นๆ ว่า “ไป พวกเราไปกินของอร่อย ๆ ในตลาดกันดีกว่า วันนี้ข้าเลี้ยงเอง”

เลิ่งจื่อหัวเราะเหอะ ๆ ยื่นมือใหญ่ ๆ รัดเอวเสี่ยวหูจื่อ ยกตัวเขาชูขึ้นสูง ๆ ก่อนวางลงบนหัวไหล่ก้าวอาด ๆ ออกไป   เด็กทั้งหลายได้ยินว่ามีของให้กินต่างส่งเสียงตบมือโห่ร้องด้วยความดีใจ เดินตามอยู่ด้านหลังของเลิ่งจื่อและเสี่ยวหูจื่อไปทางทิศเหนือกันอย่างร่าเริง แต่ยังไม่ลืมหันไปทำหน้าทะเล้นใส่เด็กค่ายมังกรเขียวพร้อมกับเย้ยหยันอีกหลายประโยค

ลิ่วเอ๋อยืนมองศัตรูเดินจากไปอย่างหยิ่งผยองอยู่มุมหนึ่งของพื้นที่ว่าง ทั้งรู้สึกโกรธแค้นและอับอายถึงกับยกเท้าเตะก้อนหินที่อยู่บนพื้นไม่กี่ก้อนนั้นอย่างไม่สบอารมณ์

เด็กค่ายมังกรเขียวหลายคนเดินขึ้นมาตบไหล่ของเขาเบา ๆ พลางเอ่ยปลอบใจว่า  “เจ้าเสี่ยวหูจื่อมันน่าแค้นนัก ต้องมีสักวันที่พวกเราจะเอาคืนจากมันให้ได้”  มีบางคนเอ่ยขึ้นว่า “ลิ่วเอ๋อ อย่าโมโหเลยนะ พรุ่งนี้พวกเรามาแข่งกันใหม่จะต้องเอาชนะพวกนั้นได้แน่”

ลิ่วเอ๋อกัดริมฝีปากเงยหน้าถามขึ้นว่า “เสี่ยวหูจื่อคนนั้นมาจากที่ไหน”

มีเด็กคนหนึ่งตอบกลับไป “คนในค่ายเสือถ่อยล้วนมาจากทางตะวันตก แต่ไม่มีใครรู้ว่าเสี่ยวหูจื่อมาจากบ้านไหน”  เด็กอีกคนหนึ่งกล่าวว่า“ได้ยินมาว่าเขาอยู่ละแวกถนนชินเหรินแถวจวนเสนาบดีอู่ อาจมาจากบ้านใดบ้านหนึ่งที่อยู่ลงไปทางใต้ก็ได้”

ลิ่วเอ๋อพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร เด็ก ๆ นัดแนะกันว่าจะมาแข่งขันให้รู้แพ้ชนะอีกครั้งในบ่ายวันพรุ่งนี้เรียบร้อยแล้วจึงแยกย้ายกันไป

รอจนกระทั่งเด็กคนอื่น ๆ กลับไปกันหมดแล้ว ลิ่วเอ๋อค่อยก้าวเร็ว ๆ ไปทางตะวันออก เดินผ่านตรอกเล็กซอยน้อยไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งกลับเข้าบ้านจากประตูด้านหลัง นั่นเป็นจวนขุนนางที่ใหญ่โตหรูหราที่สุดในถนนจิ้งฟง  —  จวนเผยจิ้นซื่อ

ลิ่วเอ๋อวิ่งตรงไปยังห้องเก็บฟืนของเรือนด้านหลัง ถอดเสื้อผ้าเนื้อหยาบที่สกปรกมอมแมมออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นหยิบชุดกระโปรงสีม่วงหลังกองฟืนมาเปลี่ยน สลัดรองเท้าหนังคู่เก่าที่ใส่อยู่ออกไป ล้วงเอารองเท้าปักพื้นสีม่วงมีลายดอกไม้สีเหลืองจากหลังถังไม้มาสวมใส่อย่างรีบร้อน หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านแล้ว รูปลักษณ์ของลิ่วเอ๋อเก็ปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคน ดูเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ แท้จริงแล้วนางเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

ในเวลานี้เอง มีเสียงสตรีดังขึ้นบริเวณเรือนด้านหลัง “คุณหนูหก คุณหนูหก ฮูหยินเรียกหาเจ้าค่ะ คุณหนูหก ท่านอยู่ไหนเจ้าคะ ฮูหยินต้องการพบท่านเจ้าค่ะ”

ลิ่วเอ๋อตะลึงยกมือลูบหน้าสางเส้นผมอย่างร้อนใจ ส่งเสียงรับไปว่า “ป้าเย่ ข้าอยู่ที่นี่”

หญิงรับใช้ที่ถูกขานนามว่าป้าเย่ถอนใจด้วยความโล่งอก รีบเดินตามเสียงมาจนถึงหน้าประตูห้องเก็บฟืน เห็นลิ่วเอ๋อยืนอยู่ภายในห้องมืดสลัว แม้เสื้อผ้าบนร่างจะสะอาดเรียบร้อยก็จริง แต่หน้าตาดูสกปรกมอมแมมไปด้วยเหงื่อไคลและฝุ่นละออง ป้าเย่มองปราดเดียวก็รู้ว่านางแอบหนีออกไปวิ่งเล่นข้างนอกอีกแล้ว ป้าเย่หน้าตาตื่นตกใจ ปากก็พึมพำหาพระหาเจ้า ไม่กล้าเสียเวลาให้นานไปกว่านี้ก็รีบวิ่งไปที่ห้องครัวหยิบผ้าขนหนูหมาด ๆ มาเช็ดใบหน้านางให้สะอาด จากนั้นหยิบหวีไม้ออกจากอกเสื้อหวีผมไปพลางเอ่ยไปพลาง “คุณหนูหก โธ่ ท่านแอบหนีออกไปเล่นข้างนอกอีกแล้ว ฮูหยินเคยบอกตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง บ่าวจะช่วยท่านปิดเรื่องเอาไว้ตลอดไปไม่ได้นะเจ้าคะ”

สีหน้าของลิ่วเอ๋อเต็มไปด้วยความดื้อดึงเอ่ยขึ้นว่า“จะกลัวอะไร ป้าก็บอกกับท่านแม่ไปตามความจริงสิ ท่านแม่จะทำอะไรข้าได้”

ป้าเย่ส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ “คุณหนูคนดีของบ่าว อย่าได้พูดอะไรเช่นนี้นะเจ้าคะ นายท่านและฮูหยินมีคุณชายถึงห้าคนกว่าจะมีคุณหนูได้สมใจ ทั้งรักทั้งตามใจอย่างกับอะไรดี แต่คิดไม่ถึงว่าคุณหนูไม่ต่างอะไรจากเด็กผู้ชาย ยังจะซุกซนเอาแต่ใจกว่าคุณชายคนอื่น ๆ เสียด้วย แล้วฮูหยินจะไม่กังวลใจได้อย่างไร อีกอย่างหนึ่ง ต่อไปคุณหนูจะต้องถวายตัวเข้าวังนะเจ้าคะ”

ลิ่วเอ๋อได้ยินคำว่า “ถวายตัวเข้าวัง”เท่านั้นก็ทำตาขวางใส่ป้าเย่ตัดบทนางเสียก่อน “ไม่ต้องพูดเรื่องนี้”

แม้ป้าเย่จะมีอายุสามสิบกว่าปี แต่กลับยำเกรงเด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้ยิ่งนัก จึงรีบสงบปากสงบคำ ลงมือแต่งตัวให้นางจนเรียบร้อยแล้วเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูรีบไปพบฮูหยินเถอะเจ้าคะ”

ลิ่วเอ๋อเชิดคอก้าวเร็ว ๆ ออกจากห้องเก็บฟืน

เด็กหญิงที่มีชื่อเล่นว่า “ลิ่วเอ๋อ”นั้นแซ่เผย นามว่ารั่วหลัน เป็นบุตรคนที่หกและเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของเผยตู้ เพราะบิดามารดาและพี่ชายรักและตามใจมาตั้งแต่เด็ก นางจึงมีนิสัยเอาแต่ใจ อยู่ในบ้านไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดิน ไม่ว่าบิดามารดาหรือพี่ชายก็ไม่มีใครบังคับได้ ยามว่างนางจะแอบเปลี่ยนเอาเสื้อผ้าเก่าของพี่ชายมาสวมใส่ แล้วแอบหนีออกไปเล่นเตะลูกหนังกับเด็กข้างถนนทางประตูด้านหลังจนฟ้ามืดจึงจะกลับบ้าน มารดาของนาง เผยฮูหยินมีนิสัยอ่อนโยนนุ่มนวล ยิ่งไม่มีทางควบคุมบุตรีที่เอาแต่ใจคนนี้ได้เลย วัน ๆ ได้แต่ถอนหายใจหนักอกแต่ไม่อาจทำอะไรได้แม้แต่น้อย

ยามนี้เผยรั่วหลันเดินตรงมายังห้องโถงด้านนอกของเรือนพักมารดา ส่งเสียงร้องเรียกอยู่หน้าประตูว่า “ท่านแม่ ลูกมาแล้ว”

เผยฮูหยินเงยหน้าขึ้นมองไปหน้าประตู  แม้จะเห็นเสื้อผ้าผมเผ้าของบุตรีดูเรียบร้อยเป็นระเบียบ แต่แก้มสองข้างเป็นสีแดงระเรื่อ หน้าผากยังดูคล้ายมีคราบเหงื่อจับอยู่ เห็นได้ชัดว่าแอบไปเล่นข้างนอกเพิ่งกลับมา นางอดถอนหายใจไม่ได้  แต่ไม่รู้จะตำหนิอย่างไร จึงเรียกให้บุตรสาวเข้ามาใกล้ ๆ ดึงมือเอาไว้เอ่ยเตือนด้วยความหวังดีว่า “รั่วหลัน ลูกอายุเต็มเจ็ดปีแล้ว เมื่อเดือนที่แล้วมีหนังสือสมรสส่งมาจากวังหลวง บอกว่าเจ้าผ่านการคัดเลือก อีกไม่กี่ปีจะต้องถวายตัวเข้าวังหลวงอย่างเป็นทางการ เจ้าควรทำตัวให้ดี เพลา ๆ พฤติกรรมลงบ้าง จะเอาแต่เที่ยวเล่นตามแต่ใจอย่างนี้ไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะเจ้าจะต้องระวังอย่าได้หกล้มหกลุกเป็นอันขาด ถ้าเกิดได้รับบาดเจ็บจนหน้าตาเป็นแผลขึ้นมาจะทำให้อนาคตเจ้าหมดสิ้น” กล่าวถึงตรงนี้เสียงของเผยฮูหยินสั่นขึ้นน้อย ๆ อย่างมิอาจควบคุมได้ นางไม่กล้าจินตนาการว่าจะเกิดเภทภัยร้ายแรงเพียงใด ถ้าหากใบหน้าบุตรสาวเป็นแผลจนเสียโฉมหรือได้รับบาดเจ็บอะไร

เผยรั่วหลันฟังมารดาตักเตือนยืดยาวก็รู้ว่านางเริ่มยกเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาอบรมสั่งสอนตนเองอีกแล้ว คำพูดเหล่านี้นางได้ยินมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ไม่มีแก่ใจอยากจะฟังอีก ดังนั้นสายตาของนางจึงอดปรายมองไปนอกหน้าต่างไม่ได้   คิดในใจว่า ‘พวกเด็กค่ายพยัคฆ์ขาวพวกนั้นไม่รู้ไปตลาดตะวันออกหาอะไรอร่อยกินกันนะ’

เผยฮูหยินเห็นสีหน้าของนางเฉยเมย ก็รู้ชัดว่าคำตักเตือนมิได้เข้าหูของบุตรสาวแม้แต่น้อย จึงอดถอนหายใจอีกครั้งไม่ได้  “รั่วหลันเอ๊ย แม่เลี้ยงพี่ชายทั้งห้าของเจ้ามากับมือ แต่ละคนต่างมีความรู้มีมารยาท สุภาพเรียบร้อย   เจ้าเป็นบุตรสาวคนเดียวของตระกูลเผยเรา แม่ไม่อาจให้เจ้าทำลายชื่อเสียงของตระกูลเราลงได้ ยิ่งกว่านั้นต่อไปภายหน้าเจ้าจะต้องเข้าวัง ในวังหลวงมีกฎระเบียบเคร่งครัดมากมาย หากเจ้าก่อเรื่องอะไรขึ้นมานั่นอาจทำให้ครอบครัวของเราต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย ถ้าเจ้ายังซุกซนไม่รู้จักโตอย่างนี้ แล้วจะให้แม่ทำอย่างไร จางกงกงผู้ส่งหนังสือสมรสจากราชสำนักได้กล่าวไว้แล้วว่าในเวลาไม่กี่ปีต่อจากนี้เจ้าควรเตรียมพร้อมเพื่อเข้าวังหลวงด้วยการร่ำเรียนสี่คุณธรรมของสตรี ขนบธรรมเนียมพิธีการ  ทำจิตใจและร่างกายให้เพียบพร้อม ดูแลภาพลักษณ์ของตนเองให้ดี  ถ้าหากเจ้ายังเอาแต่ออกไปเล่นสนุกข้างนอกทั้งวันอย่างนี้มันจะได้อย่างไร”

เผยรั่วหลันยังคงมองไปนอกหน้าต่างไม่โต้ตอบ ในใจนางคิดอยู่ว่า ‘ถ้าพรุ่งนี้เจอเจ้าเสี่ยวหูจื่อน่ารังเกียจนั่นอีกข้าจะต้องหาวิธีเอาชนะเขาให้ได้’

เผยฮูหยินเอ่ยต่อไปว่า “เมื่อวานป้าสะใภ้ของเจ้ามาหา แม่ได้คุยเรื่องของเจ้ากับนาง นางคิดได้วิธีหนึ่ง บอกให้ส่งเจ้าไปพำนักอยู่ที่คฤหาสน์นอกเมืองฉางอันของนางจากนั้นเชิญอาจารย์หญิงมาช่วยกันสั่งสอนชี้แนะเจ้าหลาย ๆ คน ที่นั่นเงียบสงบ ผู้คนไม่พลุกพล่านเหมาะจะให้เจ้าเก็บตัวสงบจิตใจได้เป็นอย่างดี”

เผยรั่วหลันเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ค่อยรู้สึกตัวขึ้น นางเคยไปคฤหาสน์นอกเมืองหลวงของป้าสะใภ้ รู้ว่าที่นั่นนอกจากภูเขาจำลอง สระน้ำ และดอกไม้ใบหญ้าแล้วก็ไม่มีอะไรอีกเลย ยิ่งไม่มีเด็ก ๆ เล่นเตะลูกหนังกับนางด้วยแล้วยิ่งน่าเบื่อหน่ายเหลือเกิน นางไม่อยากออกไปจากเมืองฉางอันอยู่แล้วจึงรีบเอ่ยว่า “รั่วหลันไม่เล่นซนอีกแล้ว ท่านแม่วางใจได้ อย่าส่งลูกไปอยู่นอกเมืองเลยนะ ให้ลูกอยู่ข้างกายท่านแม่ก็เพียงพอที่จะร่ำเรียนสี่คุณธรรมและความรู้ทั้งหลายแล้ว”

แม้เผยฮูหยินจะรู้ว่าบุตรสาวมิได้พูดจากใจจริง คำสั่งสอนของนางไม่มีทางทำให้บุตรสาวยอมปรับปรุงตนเองได้ง่าย ดาย แต่เมื่อเห็นนางรับปากว่าจะทำตัวให้ดี จึงจำเป็นต้องยุติการตักเตือนลงเพียงเท่านี้ พยักหน้าให้พลางเอ่ยว่า “ลูกแม่เป็นเด็กดี เรื่องนี้เราคุยกันวันหลังเถอะ รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วตามแม่ไปไหว้พระที่อารามเมฆขาว”

เผยรั่วหลันเอ่ยขึ้นอย่างไม่เต็มใจ “เปลี่ยนอะไรกัน เสื้อผ้าชุดนี้ของลูกสะอาดจะตาย”

เผยฮูหยินนิ่วหน้าเอ่ยขึ้นว่า “มีแต่กลิ่นเหงื่อเต็มไปหมดแล้วจะไปไหว้พระโพธิสัตว์ได้อย่างไร รีบไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อชุดใหม่เถอะ”

แม้เผยรั่วหลันไม่เต็มใจเพียงใดแต่ก็จำเป็นต้องฟังคำสั่งของมารดา กลับมาให้ป้าเย่ใช้ผ้าขนหนูหมาด ๆ เช็ดหน้าเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดกระโปรงยาวสีม่วงอ่อนปักลายดอกซิ่งสีขาวดูงดงามสูงส่ง เกล้าผมเป็นมวยคู่ ประดับด้วยดอกไม้สดสีม่วง  จากนั้นนั่งเกี้ยวไปอารามเมฆขาวที่อยู่บนภูเขาทิศตะวันออกพร้อมกับมารดา

หลายปีก่อน เผยตู้ บิดาของเผยรั่วหลันสอบได้ตำแหน่งจิ้นซื่อ[2]  เข้าเป็นขุนนางรับราชการ เขาถูกส่งไปรับตำแหน่งอยู่ต่างถิ่น เผยฮูหยินคิดถึงสามี แต่ละเดือนจะต้องแวะมาไหว้พระที่อารามเมฆขาวเพื่ออธิษฐานขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองสามีที่อยู่ต่างถิ่นให้ทำงานราบรื่น ปลอดภัย เนื่องจากมาไหว้พระอยู่บ่อยครั้ง เผยฮูหยินจึงคุ้นเคยกับแม่ชีเย่ว์ซินผู้ดูแลอารามเป็นอย่างดี หลังจากไหว้พระขอพรเสร็จแล้ว จึงได้มานั่งสนทนากับแม่ชีเย่ว์ซินอยู่ที่อารามด้านหลัง

เผยรั่วหลันนั่งฟังมารดาสนทนาเรื่องสัพเพเหระกับแม่ชีก็รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก กำลังคิดจะหนีออกไป พลันเห็นแม่ชีเฒ่าที่ไม่คุ้นหน้าผู้หนึ่งเดินเข้ามา แม่ชีเย่ว์ซินและแม่ชีน้อยคนอื่น ๆ รีบลุกขึ้นแสดงความเคารพ เรียกขานแม่ชีเฒ่าว่า “อาจารย์”  เผยฮูหยินเห็นแม่ชีเฒ่ามีบุคลิกไม่ธรรมดา คิดว่าคงจะเป็นแม่ชีผู้มากด้วยบารมีจากที่อื่น จึงได้ลุกขึ้นแสดงความเคารพเช่นกัน

แม่ชีเฒ่าทักทายเผยฮูหยินตามมารยาทอยู่หลายประโยค ก่อนสายตาจะจับจ้องอยู่ที่ร่างของเผยรั่วหลัน จ้องนางไม่วางตา พลันเอ่ยกับเผยฮูหยินว่า “เผยฮูหยิน ข้ามีคำพูดที่ไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไรขอฮูหยินอย่าได้ถือสา บุตรสาวของท่านมีหน้าตาฉลาดเฉลียว แต่เสียดายที่ชาตินี้เกิดมาอยู่ในร่างของเด็กหญิง เผยฮูหยิน ขอท่านมอบบุตรสาวให้กับข้าเถิด”

เผยฮูหยินเมื่อได้ยินแล้วมีสีหน้าตื่นตระหนกขึ้นมาทันที รีบยืนบังตัวบุตรสาวเอาไว้ เอ่ยปากขึ้นว่า “ขอบคุณความปรารถนาดีของซือไท่ แต่ว่าพวกเรามีบุตรสาวเพียงคนเดียว บิดาของนางไม่มีทางให้นางออกจากบ้านเป็นแน่”

แม่ชีเฒ่ายิ้มน้อย ๆพลางเอ่ยว่า“ถึงแม้ท่านและเผยจิ้นซื่อจะจับนางขังไว้ในกรงเหล็ก นางก็ต้องถูกคนอื่นลักตัวไปอยู่ดี”

สีหน้าของเผยฮูหยินแปรเปลี่ยน เอ่ยอย่างตื่นตระหนกว่า“เหตุใดซือไท่จึงกล่าวเช่นนี้ บุตรสาวของข้าได้รับคัดเลือกเข้าวังหลวง อีกไม่กี่ปีจะต้องเข้าวังถวายตัวรับใช้ฮ่องเต้ ซือไท่เอ่ยวาจาเยี่ยงนี้ไม่กลัวว่าจะผิดศีลหรือไร”

สีหน้าของแม่ชีเฒ่าปรากฏความเวทนา ประนมสองมือเข้าหากันพลางเอ่ยว่า “การได้รับคัดเลือกเข้าวังหลวงเกรงว่าจะเป็นโชคร้ายมากกว่าโชคดี  ให้ข้าพาตัวนางไปดีกว่าส่งตัวนางเข้าวัง หรือให้ผู้อื่นลักพาตัวนางไป อย่างไรขอให้เผยฮูหยินพิจารณาให้ถี่ถ้วน” กล่าวจบแล้วนางค้อมตัวเล็กน้อยก่อนหมุนตัวเดินออกจากห้อง

เผยฮูหยินจิตใจกระวนกระวายสับสนรีบไต่ถามแม่ชีเย่ว์ซิน  “ซือไท่ผู้นั้นเก่งกาจอย่างไร จึงได้กล่าวคำพูดไร้มารยาทเยี่ยงนี้”

แม่ชีเย่ว์ซินประนมมือรวดเร็ว กล่าวขออภัยว่า “ขอฮูหยินมีจิตใจกว้างขวางอย่าได้ถือสา ซือไท่ชราผู้นี้เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดต้าเป้าเอิน มีฐานะสูงส่งอยู่ในแวดวงพุทธศาสนา นางมาพำนักอยู่ที่อารามแห่งนี้เป็นการชั่วคราว นี่ใกล้จะจากไปแล้ว   ซือไท่อายุมาก บางครั้งพูดจาเพ้อเจ้อ ขอฮูหยินอย่าได้ถือสา”

เผยฮูหยินได้ยินเช่นนั้นแล้วจึงค่อยคลายความวิตก เอ่ยอย่างไม่พอใจ “ข้าตั้งใจมาไหว้พระโพธิสัตว์ไม่คิดเลยว่าจะมาพบคนประหลาดและเรื่องประหลาดเช่นนี้”

แต่จิตใจนางยังไม่อาจสงบนิ่ง ไม่มีแก่ใจสนทนากับแม่ชีเย่ว์ซินต่อ รีบร้อนพาบุตรสาวกลับ เมื่อถึงบ้านก็คิดถึงคำพูดแปลกประหลาดของแม่ชีเฒ่า อีกทั้งคิดถึงเรื่องที่เคยได้ยินคนพูดถึงคดีประหลาดที่เด็ก ๆ ถูกลักพาตัวไปไม่นานมานี้ก็ให้เกิดความหวาดวิตกจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รีบไต่ถามไปยังญาติสนิทมิตรสหายว่าจะสามารถฝากตัวบุตรสาวไว้ในสถานที่เร้นลับใดได้บ้างเพื่อป้องกันมิให้แม่ชีเฒ่ามาลักตัวไป

เผยรั่วหลันกลับไม่ใส่ใจ ไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย นางเป็นฝ่ายบอกมารดาว่า “ท่านแม่ ท่านอย่ากังวลใจไปเลย ถึงจะมีคนลักตัวข้าไป ข้าก็จะหนีออกมาและหาทางกลับบ้านเอง”

เผยฮูหยินถอนหายใจ ยื่นมือลูบศีรษะบุตรสาวพลางเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเป็นเด็กผู้หญิง แต่นิสัยกลับเข้มแข็งกว่าพี่ชายทั้งหมดของเจ้า” นางอดคิดในใจขึ้นมาไม่ได้ว่า ‘เกรงว่าคำพูดของแม่ชีเฒ่าจะถูกต้อง นิสัยของรั่วหลันแข็งกร้าวเกินไปจนไม่เหมือนเด็กผู้หญิงเลยสักนิด เกรงว่าจะเป็นโชคร้ายมากกว่าโชคดี’

หลายวันต่อมาเผยฮูหยินยังคงคิดถึงคำพูดของแม่ชีเฒ่า จนเกิดความหวาดวิตกกังวลยิ่งนัก แต่ยังดีที่ผ่านไปสิบกว่าวันโดยไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นแม้แต่น้อย เผยรั่วหลันเห็นมารดาเป็นกังวล  อีกทั้งเกรงว่านางจะคล้อยตามคำพูดของป้าสะใภ้ ส่งตนเองไปยังคฤหาสน์นอกเมืองที่อยู่ห่างไกลจริง ๆ ดังนั้นในสิบกว่าวันมานี้จึงพยายามอดกลั้น ไม่หนีออกไปเล่นเตะลูกหนังอีกเลย แม้นางยังคิดถึงการแข่งขันระหว่างค่ายมังกรเขียวกับพยัคฆ์ขาว ต้องการหาเสี่ยวหูจื่อเพื่อล้างอายเพียงใด ก็ทำได้เพียงระงับความอยากออกไปข้างนอก อยู่บ้านอย่างว่านอนสอนง่าย

แต่ทว่า ในคืนหนึ่งหลังจากเวลาผ่านไปสิบห้าวัน เผยรั่วหลันพลันหายตัวไปไร้ร่องรอย

หญิงรับใช้และสาวใช้ที่คอยดูแลปรนนิบัติล้วนแต่กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ทั้งคืนไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวใด ๆ เตียงนอนของคุณหนูหกยังปูเรียบร้อยคล้ายกับไม่มีใครนอน แต่ตัวของนางกลับหายไปไร้ร่องรอย

เผยฮูหยินกลัดกลุ้มจนแทบเสียสติ คาดเดาว่านางจะต้องถูกแม่ชีเฒ่าประหลาดผู้นั้นจับตัวไปแน่ วันรุ่งขึ้นจึงรีบเดินทางไปยังอารามเมฆขาว ไต่ถามถึงเบาะแสของแม่ชีเฒ่า แต่คาดไม่ถึงว่าแม่ชีเย่ว์ซินกลับบอกว่า “เหตุใดเผยฮูหยินจึงได้ถามถึงแม่ชีเฒ่าขึ้นมา นางมรณภาพไปเมื่อสามวันก่อน ร่างของนางยังอยู่ที่อารามเมฆขาวกำลังเตรียมการเพื่อทำพิธีเผาร่างก่อนนำไปฝังบนเขา”

เผยฮูหยินยังไม่เชื่อ จนกระทั่งแม่ชีเย่ว์ซินพานางไปดูร่างไร้วิญญาณของแม่ชีเฒ่าด้วยตาตนเอง ถ้าเช่นนั้นใครลักพาตัวบุตรสาวไป แล้วลักพาไปเพราะเหตุใด

นางรีบส่งข่าวให้กับเผยตู้ผู้เป็นสามีได้รับทราบ จากนั้นก็รีบร้อนหาพี่สะใภ้ของสามีหรือป้าสะใภ้ของรั่วหลันเพื่อปรึกษาเรื่องนี้

เมื่อป้าสะใภ้ของรั่วหลันรู้ข่าวหลานสาวหายตัวไปให้ตกใจไม่น้อย คู่สะใภ้ทั้งสองตระหนักดีว่าเรื่องนี้มิอาจแพร่งพรายให้คนนอกรู้ได้ โดยเฉพาะเผยรั่วหลันเพิ่งได้รับคัดเลือกเข้าวังหลวงแต่กลับมาหายตัวไปอย่างลึกลับ ย่อมสร้างความโกลาหลมาก  หากราชสำนักดำเนินการสืบสวนเรื่องนี้ขึ้นมาอาจก่อให้เกิดคำโจษจันไปต่าง ๆ นานา เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่ออนาคตการรับราชการของเผยตู้ ดังนั้นทั้งสองคนจึงปรึกษาหารือในจวนตระกูลเผยอย่างลับ ๆ และตัดสินใจปิดบังเรื่องนี้ต่อไปโดยมิอาจให้ผู้ใดล่วงรู้

ป้าสะใภ้ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงแนะนำขึ้นว่า “พวกเราก็บอกกับคนภายนอกว่า เพื่ออนาคตของบุตรสาว เจ้าจึงส่งตัวรั่วหลันมาพำนักอยู่ที่คฤหาสน์นอกเมืองของข้าระยะยาว เพื่อหาอาจารย์หญิงมาให้การอบรบสั่งสอนวิชาต่าง ๆ รั่วหลันต้องตั้งใจร่ำเรียน ไม่ออกไปไหนและไม่พบเจอผู้ใด เมื่อเป็นเช่นนี้คาดว่าคนภายนอกคงจะไม่เกิดความสงสัย”

เผยฮูหยินอดร่ำไห้ไม่ได้  “แต่หากเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ สุดท้ายจะลงเอยอย่างไร  รั่วหลันหายตัวไปแล้ว เรื่องนี้ปิดบังได้แค่ระยะหนึ่งแต่คงไม่อาจปิดบังได้ตลอดไป”

ป้าสะใภ้เยือกเย็นมากกว่า นางบีบมือเผยฮูหยินเอาไว้เป็นการปลอบใจ “น้องสะใภ้อย่าได้วิตกเลย  หลานสาวเป็นคนมีบุญวาสนา อาจจะกลับมาอย่างปลอดภัยวันใดวันหนึ่งก็ไม่แน่นะ”

เผยฮูหยินยังคงร่ำไห้อย่างมิอาจควบคุมได้ เอ่ยปนเสียงสะอื้นว่า “ถ้าหาก  … ถ้าหากนางไม่กลับมาเล่า”

ป้าสะใภ้ถอนหายใจกดเสียงต่ำตอบกลับว่า “ชานเมือง ผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่าน เด็ก ๆ เจ็บป่วยไม่สบายกะทันหันอาการหนักจนลุกไม่ขึ้นก็เป็นไปได้ ถ้าหากผ่านไปอีกหลายปียังหาตัวรั่วหลันไม่พบ พวกเราก็รายงานกับทางวังหลวงเช่นนี้ก็แล้วกัน”

เผยฮูหยินได้ยินแล้วน้ำตายิ่งไหลพรากไม่หยุด ราวกับเห็นภาพบุตรสาวนอนป่วยลมหายใจรวยรินอยู่บนเตียงอย่างคนใกล้ตายขึ้นมา ในใจของนางขัดแย้งกันยิ่งนัก ไม่อาจแน่ใจว่าตนเองยินดีให้บุตรสาวป่วยหนักจนลุกไม่ขึ้น หรือยังหวังว่าบุตรสาวยังคงมีชีวิตอยู่บนโลกอันแสนวุ่นวายใบนี้โดยไม่รู้เบาะแสแน่ชัด นางได้แต่ร่ำไห้

 

 

[1] เป็นหน่วยความยาวแบบจีนดั้งเดิม  1 ฉื่อ = 10 นิ้วจีน = 22.7 – 23.1 เซนติเมตร

[2]จากระบบการสอบคัดเลือกข้าราชการพลเรือนในประเทศจีนในยุคราชวงศ์ ผู้สอบได้จะได้รับตำแหน่งจิ้นชื่อ หมายถึงตำแหน่งบัณฑิตชั้นสูง

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า