生死谷
หุบเขาคร่าวิญญาณ
鄭丰เจิ้งฟง
เขียน
HUNZA
แปล
โปรย
หุบเขาเร้นลับที่ปราศจากทางออก
เหล่าเด็กน้อยถูกพาตัวมารับการฝึกฝนอันแสนโหดเหี้ยม
เพื่อให้พวกเขาเติบใหญ่กลายเป็นนักฆ่า
เป็นอาวุธสังหารที่กุมความเป็นไปของแว่นแคว้น
ในยุคที่แผ่นดินระส่ำระส่ายนี้
เผยรั่วหลัน คุณหนูหกแห่งจวนขุนนาง
เสี่ยวหูจื่อ บุตรชายเพียงคนเดียวของเสนาบดีอู่
แม้มีชาติกำเนิดสูงส่ง หากแต่เด็กทั้งสอง
กลับถูกลักพามาได้อย่างง่ายดาย
ไม่พ้นต้องตกลงสู่นรกไร้ปราณี
ที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงพวกเขาไป
พี่น้องสองร้อยคน
ด่านทั้งสาม
มีเพียงแปดคนเท่านั้นที่จะได้กลับบ้าน!
ต้นฉบับนี้ยังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์
บทที่ 3 หมู่เสือดาวสาม
เสี่ยวหูจื่อถูกชายหัวโตหรือโต่วเส้าถูพาตัวมาถึงพื้นที่ราบแห่งหนึ่ง
พื้นที่ราบแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล กว้างขว้างเสียยิ่งกว่าเรือนด้านหน้าของจวนเสนาบดีสกุลอู่ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า สามารถแบ่งเป็นสนามเล่นเตะลูกหนังได้หลายสิบสนาม มีผู้คนจับกลุ่มกระจายอยู่เต็มไปหมด เมื่อเพ่งมองให้ดีจะพบว่าเป็นเด็ก ๆ ทั้งสิ้น เด็กเหล่านั้นดูแล้วอายุประมาณเจ็ดแปดขวบ เท่ากับเสี่ยวหูจื่อ พวกเขาสวมเสื้อผ้าสีดำทั้งชุดเช่นเดียวกับโต่วเส้าถู เพียงแต่ผ้าคาดเอวเป็นสีขาวไม่ใช่สีม่วง เสี่ยวหูจื่อเมื่อเห็นแวบแรกยังคิดว่าเด็กเหล่านั้นเป็นผู้ชาย แต่เมื่อตั้งใจดูให้ดี ๆ เห็นเด็ก ๆ ที่มีหน้าตาหมดจดจิ้มลิ้ม รูปร่างผอมบาง ดูคล้ายเป็นเด็กผู้หญิงอยู่ก็หลายคน แต่เขายังไม่แน่ใจนัก เพราะเด็ก ๆสวมใส่เสื้อผ้าและทำผมแบบเดียวกันหมด พวกเขาไม่ได้โกนศีรษะ แต่ใช้เชือกเส้นใหญ่ผูกผมเอาไว้ด้านหลังจึงยากต่อการแยกแยะชายหญิง
ยังมีชายสวมชุดสีดำคาดผ้าสีม่วงเช่นเดียวกับโต่วเส้าถูอีกหลายสิบคนยืนปะปนอยู่ในกลุ่มเด็ก ๆ จำนวนนับร้อย พวกเขาตะโกนด่าทอใส่เด็ก ๆ ว่าให้ตั้งใจฝึก ทำท่าทางให้ถูกต้อง ตอนนี้เองที่เสี่ยวหูจื่อพบว่า เด็กทั้งหลายกำลังฝึกฝนร่างกายอยู่ด้วยท่าต่าง ๆ มีบางคนนั่งท่าหม่าปู้[1] มีบางคนฉีกขาให้เป็นเส้นตรง บางคนกระโดดขึ้น ๆ ลง ๆ มีบางคนตีลังกากลับหัว
แม้เสี่ยวหูจื่อจะได้ยินหัวหน้าใหญ่พูดให้ฟังว่าเขารวบรวมเด็กเอาไว้ในหุบเขาสองร้อยคนเพื่อฝึกวิชา แต่เมื่อมาเห็นกับตาจริง ๆ ยังรู้สึกตื่นเต้นระคนประหลาดใจไม่ได้ ท่านหัวหน้ามิได้พูดเท็จ เขาจับตัวเด็กหลายร้อยคนมาฝึกวิชาที่นี่จริง ๆ แต่เพื่อจุดประสงค์ใดกันแน่
ไม่มีเวลาให้คิดมาก เพราะตอนนี้เองที่โต่วเส้าถูดึงตัวเขาเดินไปทางทิศตะวันตก พลางตวาดใส่กลุ่มเด็กสี่คนตรงหน้าว่า “หมู่เสือดาวสามเข้าแถว”
เด็กทั้งสี่คนกำลังนั่งท่าหม่าปู้ เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของโต่วเส้าถูจึงรีบลุกขึ้นวิ่งอย่างรวดเร็ว มาตั้งแถวเรียงหนึ่งอยู่ตรงหน้ายกมือขึ้นทำความเคารพ เปล่งเสียงพร้อมเพรียงว่า “คาราวะหัวหน้าหมู่” จากนั้นทิ้งมือแนบลำตัว ยืนนิ่งเคร่งขรึม
เสี่ยวหูจื่อไม่เคยเห็นเด็ก ๆ มีระเบียบวินัยเช่นนี้มาก่อนจึงเกิดความประหลาดใจไม่น้อย เขาประเมินอย่างพินิจพิเคราะห์ เห็นเด็กทั้งสี่มีทีท่าเคร่งขรึม สายตามองตรงไม่ว่อกแว่ก ทุกคนสวมเสื้อผ้าสีดำทั้งชุดคาดเอวด้วยผ้าแถบสีขาว หนึ่งในนั้นมีเด็กรูปร่างผอมบาง ใบหน้ากลมอิ่ม ดูท่าน่าจะเป็นเด็กผู้หญิง อีกสามคนที่เหลือเป็นเด็กผู้ชาย มีคนหนึ่งรูปร่างใหญ่ อีกคนหนึ่งตัวอ้วนหนา และคนสุดท้ายตัวผอมสูง คนที่ตัวสูงใหญ่น่าจะมีอายุเกือบเก้าขวบ
หัวหน้าหมู่พยักหน้าให้พลางเอ่ยว่า “ดีมาก ตอนนี้เรามีพี่น้องครบจำนวนแล้ว นี่คือพี่น้องคนที่ห้าของหมู่เรา ชื่อว่าเจ้าห้า ได้ยินชัดเจนหรือไม่” เขาชี้ไปยังเสี่ยวหูจื่อ
เด็ก ๆ ส่งเสียงรับพร้อมเพรียงว่า “ชัดเจน”
เสี่ยวหูจื่อเกิดความข้องใจ ‘ข้ามีชื่อมีแซ่ แล้วเหตุใดต้องเรียกข้าว่าเจ้าห้า พวกเขาก็มิได้เป็นญาติพี่น้องกับข้า ทำไมต้องเรียกว่าพี่น้องด้วย’
โต่วเส้าถูชี้ไปยังเด็กสี่คนที่เข้าแถวอยู่ตรงหน้าแนะนำกับเสี่ยวหูจื่อว่า “นี่คือเจ้าหนึ่ง เจ้าสอง เจ้าสาม เจ้าสี่ของหมู่เสือดาวสาม”
เสี่ยวหูจื่อฟังแล้วจึงเข้าใจได้ทันที คนที่อยู่ที่นี่ทุกคนไม่มีชื่อแซ่ ใช้ตัวเลขเรียกแทนชื่อ เขายังคิดต่อไปว่า เด็กที่ถูกจับมาจากเมืองฉางอันคงจะถูกส่งตัวเข้าหมู่ต่าง ๆ เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น เจ้าหนึ่ง เจ้าสองทั้งหมด ไม่รู้ว่าเลิ่งจื่อเป็นอย่างไรบ้าง
เขาเห็น ‘พี่น้อง’ ทั้งสี่มีสีหน้าเคร่งขรึม คิดในใจว่า ไม่รู้ว่าต้องอยู่กับเด็ก ๆ พวกนี้อีกนานแค่ไหน ควรจะมีไมตรีต่อกันไว้เป็นดี เขาจึงยกมือทักทายเด็กทั้งสี่คนพลางเอ่ยว่า “พี่น้องทั้งสี่ยินดีที่ได้รู้จัก”
เด็กทั้งสี่กลับยืนนิ่งเงียบ สายตามองตรงไม่เหลือบแลมาที่เขาแม้แต่น้อย พวกเขามิได้ตอบรับหรือยกมือทักทายกลับแต่อย่างใด
เสี่ยวหูจื่อหน้าร้อนผ่าวด้วยความอับอาย นิ่วหน้าคิดในใจว่า เจ้าพวกนี้ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย หากโต่วเส้าถูตวาดใส่ด้วยเสียงดุดัน “เจ้าโง่ หุบปากเดี๋ยวนี้ หลังจากมาอยู่ในหุบเขาแห่งนี้แล้วจะพูดจาอะไรไม่ได้นอกจากตอบคำถามของข้าเท่านั้น ห้ามไม่ให้พูดคุยกับคนอื่นด้วย เข้าใจหรือไม่”
เสี่ยวหูจื่อยืนนิ่งอย่างคาดไม่ถึง เขาคิดจะเอ่ยถามว่าทำไมถึงไม่ให้พูด พลันฉุกคิดขึ้นได้ว่านี่เป็นกฎที่เพิ่งถูกสั่งห้าม จึงหุบปากโดยเร็ว
ตอนนี้เองที่โต่วเส้าถูหยิบเสื้อและกางเกงสีดำเก่า ๆ ออกมาจากลังไม้ข้างผนังหิน พร้อมกับผ้าคาดเอวสีขาวโยนใส่เสี่ยวหูจื่อ “รีบเปลี่ยนเสีย แล้วไปยืนต่อจากเจ้าสี่ เร็ว”
เสี่ยวหูจื่อยื่นมือรับเสื้อผ้ามาถือเอาไว้พลางมองซ้ายมองขวา คิดว่าควรจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ไหนดี หากโต่วเส้าถูตวาดขึ้นเสียก่อน “เปลี่ยนตรงนี้ อย่าได้ชักช้า”
เสี่ยวหูจื่อสะดุ้งโหยงรีบถอดเสื้อสีแดงที่ใส่ออกมาจากบ้านเปลี่ยนเป็นเสื้อสีดำ เมื่อมัดผ้าคาดเอวสีขาวดีแล้วก็รีบวิ่งไปเข้าแถวอยู่ต่อจากเจ้าสี่ เวลาที่เขาออกไปเล่นลูกหนังก็ถอดเสื้อผ้าต่อหน้าพวกพ้องอยู่เป็นประจำ จึงไม่รู้สึกเก้อเขินแต่อย่างใด อีกทั้งเด็กสี่คนก็มองตรงไปข้างหน้า ไม่มีใครว่อกแว่กเหลือบตามองเขาเลยสักคน พวกเขาดูเหมือนทหารที่ผ่านการฝึกอย่างเข้มงวด
โต่วเส้าถูกวาดตามองเด็กทั้งห้าคน หน้าตาของเขาดุร้าย น้ำเสียงที่พูดก็ดุดัน “ข้าจะพูดอีกครั้งเดียวจงฟังให้ดี ๆ นอกจากตอบคำถามของข้าแล้ว ไม่ว่าเวลาใดก็ห้ามพูดกับพี่น้องในหมู่หรือพี่น้องคนอื่นในหุบเขาเป็นอันขาด และห้ามทำมือทำไม้หรือแสดงสีหน้าใด ๆ ทั้งสิ้น ใครที่ฝ่าฝืนจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก ฟังเข้าใจหรือยัง”
เด็กสี่คนรับคำพร้อมเพรียงกัน “เข้าใจแล้ว”
เสี่ยวหูจื่อรีบเปล่งเสียงตามอย่างรวดเร็ว ความสงสัยเพิ่มพูนทวีคูณ ห้ามไม่ให้พูดคุยกับคนอื่น แม้แต่ทำมือทำไม้ก็ไม่ได้ แบบนี้มันไม่สะดวกเอาเสียเลย ทำไมที่นี่ถึงได้มีคำสั่งห้ามที่แปลกประหลาดเช่นนี้
ไม่มีเวลาให้เสี่ยวหูจื่อได้คิดมากไปกว่านี้ โต่วเส้าถูตะโกนเสียงดังขึ้นว่า “หมู่เสือดาวสามจงฟังคำสั่ง”
เด็กทั้งห้าคนรับคำอย่างพร้อมเพรียง “หมู่เสือดาวสามฟังคำสั่ง”
โต่วเส้าถูสั่งว่า “เมื่อกี้พวกเจ้าฝึกกำลังขาไปแล้ว ตอนนี้ให้ฝึกทักษะการวิ่ง พี่น้องทุกคน พวกเจ้าจงวิ่งรอบหุบเขาแห่งนี้ห้ารอบ ใครกลับมาช้าที่สุดจะถูกทำโทษด้วยการตีสิบที เข้าใจไหม”
ทั้งห้าคนตอบรับอย่างพร้อมเพรียง “เข้าใจแล้ว”
โต่วเส้าถูยกมือพร้อมพูดขึ้นว่า “ไปได้”
เด็กทั้งสี่คนก้าวขาตรงไปริมสนามฝึก เสี่ยวหูจื่อยืนนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนลนลานวิ่งตามพวกเขาไปด้วยกลัวว่าจะอยู่รั้งท้าย
หุบเขาแห่งนี้กว้างขวางเสียยิ่งกว่าที่เสี่ยวหูจื่อคะเนเอาไว้ พวกเขาวิ่งผ่านไปในเวลาหนึ่งถ้วยชาจึงมาถึงริมหุบเขา ที่ตรงนี้มีทางดินกว้างประมาณห้าหกฉื่อ ดินที่จับตัวบนพื้นดูแน่นหนา คาดว่าคงจะถูกเด็ก ๆ เดินย่ำกันจนแน่น
ตอนนี้พวกเขาอยู่ห่างจากการมองเห็นของหัวหน้ากองอย่างโต่วเส้าถู เด็ก ๆ เริ่มผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง มีบางคนถึงขนาดหยุดวิ่งพักหายใจ เสี่ยวหูจื่อเห็นเด็กทั้งสี่คนแม้ไม่กล้าพูดคุยกันแต่ดูจะรู้ใจกันเป็นอย่างดี ตอนนี้พวกเขายืนรอให้อีกคนหนึ่งหายเหนื่อยดีแล้ว จึงเริ่มต้นวิ่งไปตามทางดิน
วิ่งไปได้ระยะหนึ่งเห็นน้ำตกแห่งหนึ่งอยู่ข้างทาง มีแอ่งน้ำเล็ก ๆ อยู่ใต้น้ำตกหลายแอ่ง เด็กสี่คนหยุดดื่มน้ำกันอยู่แถวนั้น เสี่ยวหูจื่อเห็นแล้วจึงพลอยหยุดไปด้วย เขาก้มตัวลงวักน้ำเย็นขึ้นมาดื่มติด ๆกันหลายอึก จึงค่อยรู้สึกมีเรี่ยวมีแรงสดชื่นขึ้นมา
เขาเห็นเด็กคนอื่น ๆ เก็บอะไรจากพื้นขึ้นมาใส่ปาก จึงก้มหน้าลงดู ที่แท้เป็นลูกท้อที่ตกกระจัดกระจายอยู่บนพื้น จึงค่อยก้มตัวลงไปเก็บลูกท้อที่ยังไม่เน่าเสียขึ้นมากิน กัดกร้วมๆ ไม่กี่คำก็หมดไปหนึ่งลูก ตอนนี้ยังเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ ลูกท้อยังไม่สุกดี ทั้งเปรี้ยวทั้งฝาด แต่เขากลับกินอย่างเอร็ดอร่อย
เสี่ยวหูจื่อเมื่อได้ของตกถึงท้องก็รู้สึกมีแรงขึ้นมาหน่อย เงยหน้าขึ้นมองเห็นลูกท้ออยู่บนต้นอีกไม่น้อย คิดในใจว่า “ต่อไปถ้าเกิดท้องหิวเมื่อไรก็มาเด็ดลูกท้อกินได้”
เด็กคนอื่น ๆ หลังจากดื่มน้ำกันจนพอแล้วก็เริ่มวิ่งกันไปเรื่อย ๆ เสี่ยวหูจื่อพยายามฝืนตัวให้กระฉับกระเฉง ยกเท้าวิ่งตามหลังพวกเขาไป เด็ก ๆ วิ่งไปเรื่อย ๆ ผ่านชายป่าที่มืดครึ้มและวังเวง พวกเขาวิ่งกันนานครึ่งชั่วยามกว่าจะครบหนึ่งรอบ
ตอนนี้เสี่ยวหูจื่ออยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย รอบกายมีแต่คนแปลกหน้า แม้แต่ทิศไหนเป็นทิศไหนก็ยังไม่ชัดเจน จึงได้แต่ก้มหน้าวิ่งตามหลังเด็กคนอื่น ๆ ไปเรื่อย ๆ เขาไม่กล้าวิ่งนำหน้า แต่ก็ไม่กล้ารั้งท้ายด้วยเกรงว่าจะพลัดหลงกัน ตอนนี้เขามีคำถามคาใจมากมายนับไม่ถ้วนอยากจะถามเด็ก ๆ เหล่านี้ แต่เมื่อคิดถึงคำสั่งห้ามของโต่วเส้าถูแล้ว จึงพยายามเก็บความสงสัยไว้เต็มกำลัง
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยามจึงวิ่งได้ครบรอบที่สอง เสี่ยวหูจื่อเป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่ง ปกติจะกระโดดโลดเต้นไปโน่นมานี่ ทุก ๆ วันจะเถลไถลเตะลูกหนังนอกบ้านจนกระทั่งฟ้ามืดจึงค่อยกลับ แต่กระนั้นเขายังไม่เคยวิ่งระยะทางไกลโดยไม่หยุดพักเช่นนี้มาก่อน เขาเริ่มหายใจหอบรู้สึกเนื้อตัวและกระดูกใกล้จะแยกออกเป็นชิ้น ๆ คำนวณในใจว่า ‘วิ่งแต่ละรอบจะต้องใช้เวลาครึ่งชั่วยาม ถ้าวิ่งห้ารอบไม่ต้องวิ่งถึงสองชั่วยามครึ่งหรือ ข้าจะวิ่งนานขนาดนั้นได้อย่างไร เมื่อครู่ข้าเพิ่งกินลูกท้อไปแค่ห้าลูกแล้วยังจะมีแรงวิ่งต่อไปอย่างไร’ เขาเงยหน้ามองไปเห็นเด็กคนอื่น แม้ไม่ได้พูดคุยกัน ไม่ได้มองหน้ากันก็จริงอยู่ แต่ทุกคนต่างหายใจเหนื่อยหอบ เห็นได้ชัดว่ากำลังจะหมดแรงกันอยู่แล้ว
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดหัวหน้าใหญ่จึงส่งตัวมายังหุบเขาแห่งนี้ ไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องทำตามคำสั่งของโต่วเส้าถูหัวโตคนนี้ด้วย ตอนนี้เขามีแต่ความหวาดกลัวและหวาดวิตก ยิ่งคิดยิ่งไม่แน่ใจว่าตนเองจะสามารถวิ่งได้ครบห้ารอบหรือไม่ ได้แต่ฝืนร่างกายเต็มที่ คิดในใจว่าเจ้าหัวโตนั่นบอกว่าคนที่กลับไปเป็นคนสุดท้ายจะต้องโดนตีสิบไม้ ข้าไม่อยากเป็นคนสุดท้าย เขาพยายามบังคับให้ตัวเองวิ่งต่อไปด้วยกำลังที่มีทั้งหมด
เด็กผู้ชายตัวอ้วนใหญ่ที่ถูกเรียกว่าเจ้าสองหน้าตาซีดขาว เริ่มมีน้ำลายฟูมปากหลังจากวิ่งผ่านรอบที่สอง ตอนนี้เขาวิ่งเป็นคนสุดท้าย ทิ้งระยะห่างจากคนอื่น ๆ ค่อนข้างมากเสี่ยวหูจื่อเห็นแล้วค่อยสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย อย่างน้อยคนที่ถูกตีก็ไม่ใช่ข้า
จนกระทั่งวิ่งไปถึงรอบที่สี่ มีแต่เจ้าหนึ่งที่รูปร่างสูงใหญ่ เจ้าสี่ที่รูปร่างผอมสูง และเสี่ยวหูจื่อที่ยังวิ่งจับกลุ่มกันอยู่ได้ ส่วนเจ้าสองกับเจ้าสามไม่รู้หายไปไหน มองไม่เห็นแม้แต่เงา เสี่ยวหูจื่อจำได้ว่าเจ้าสามเป็นเด็กผู้หญิงย่อมมีกำลังน้อยกว่าจึงคลายความกังวลลงได้เล็กน้อย
เมื่อทั้งสามคนวิ่งครบห้ารอบในเวลาเที่ยงวัน โต่วเส้าถูยืนรออยู่ที่เดิมถือแผ่นไม้แผ่นหนาในมือ เขาส่ายหน้าตะโกนด่าไปว่า “ช้าไปแล้ว ช้าไปแล้ว พวกเจ้าวิ่งเป็นเต่าคลานอย่างนี้แล้วจะผ่านด่านได้อย่างไร” เขาถามต่อไปว่า “คนอื่น ๆ ล่ะ”
เจ้าหนึ่งตอบไปหอบไปว่า “เรียนหัวหน้า พวก พวกเขา …พวกเขายัง…. อยู่ข้างหลัง”
หัวหน้าหมู่ตีไม้ในมือดังเพี้ยะ ๆ ด้วยสีหน้าไม่น่าดูยิ่งนัก
ผ่านไปอีกชั่วเวลากินข้าว เจ้าสามที่เป็นเด็กผู้หญิงวิ่งกลับมาถึง หัวหน้าหมู่ถลึงตาใส่นางพร้อมกับก่นด่าว่า “อย่าคิดว่าเจ้าเป็นเด็กผู้หญิงแล้วข้าจะใจอ่อน ถ้าครั้งต่อไปยังวิ่งอืดอาดอย่างนี้ข้าจะตีเจ้าสิบไม้เหมือนกัน เข้าใจไหม”
เจ้าสามเหนื่อยเสียจนพูดอะไรไม่ออก ใบหน้ากลมอิ่มแดงก่ำได้แต่ยืนหอบอยู่ตรงหน้า เมื่อได้ยินเสียงตวาดดังของหัวหน้าหมู่จึงรีบยืดตัวตรง รับคำดัง ๆ ว่า “เข้าใจแล้ว”
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม จึงเห็นเจ้าสองวิ่งกลับมาถึงจุดเริ่มต้น ท่าทางของเขาจะว่าไปก็ยังเหมือนการเดิน แต่ถ้าจะบอกว่าเดินก็เหมือนจะยังไม่ใช่ ตอนนี้ตัวของเขาแทบจะพับเป็นสองท่อน ขาแต่ละข้างราวกับถูกลากมาอย่างไม่เต็มใจ
โต่วเส้าถูหน้าเขียวด้วยความโมโห เมื่อเห็นเจ้าสองมาถึงก็ไม่พูดไม่จา ชี้นิ้วลงกับพื้น เจ้าสองวิ่งจนหมดแรงเดินต่อไปแทบไม่ไหว เมื่อเห็นหัวหน้าหมู่ก็เหมือนหนูที่เห็นแมวขู่ฟ่ออยู่ตรงหน้า ร่างกายไร้เรี่ยวแรงฟุบลงกับพื้นทันที
โต่วเส้าถูยกแผ่นไม้ขึ้นฟาดลงไปบนก้นของเจ้าสองอย่างไม่ออมมือ เจ้าสองส่งเสียงร้องโหยหวน แต่แผ่นไม้ก็ยังคงฟาดลงมาไม่ยั้ง ตอนนี้เจ้าสองเจ็บจนร้องไม่ออกได้แต่บิดตัวด้วยความเจ็บปวดบนพื้นดิน หลังจากถูกตีไปสิบที ร่างอ้วนใหญ่ของเจ้าสองก็นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
เสี่ยวหูจื่อเที่ยวเล่นอยู่ข้างถนนกับพรรคพวก เคยเห็นเด็ก ๆ ถูกผู้ใหญ่ด่าทอหรือไล่ตีด้วยมือเปล่าหรือด้วยอาวุธอยู่เป็นประจำ แต่ยังไม่เคยเห็นใครที่ลงมือหนักหน่วงและไร้ปรานีเช่นนี้มาก่อน ยามนี้เจ้าสองหน้าตาขาวซีด หน้าท้องมีแต่ไขมันขยับเป็นระลอกคล้ายคนจะอาเจียน เขาคิดจะเข้าไปดูอาการว่าเป็นอย่างไร มีลมหายใจอยู่หรือไม่แต่ก็ไม่กล้า เขาลอบมองคนอื่น ๆ เห็นเจ้าหนึ่ง เจ้าสาม เจ้าสี่ต่างยืนตัวตรงอยู่กับที่ แม้สายตาจะมองไปที่เจ้าสองแต่ใบหน้ากลับไม่มีความรู้สึกใด
เสี่ยวหูจื่อตระหนักได้ว่า ‘ถ้าไม่มีเจ้าสองรั้งตำแหน่งบ๊วย คนที่โดนตีจะต้องเป็นหนึ่งในพวกเรา’ เมื่อคิดถึงข้อนี้จึงรู้สึกว่าตนเองยังโชคดี ทำให้ความสงสารที่มีให้เจ้าสองลดน้อยลงไปหลายส่วน
โต่วเส้าถูด่าอย่างหงุดหงิด “เจ้าพวกไม่เอาไหน เจ้าหนึ่งเจ้าสี่ ลากตัวมันกลับไปที่ถ้ำ เจ้าสาม เจ้าห้า ตามข้าไปฝึกทักษะกระโดดที่เสาไม้”
เจ้าหนึ่งและเจ้าสี่รับคำ เข้ามาลากตัวเจ้าสองที่หมดสติไม่รู้เป็นหรือตายออกไป
เสี่ยวหูจื่อมองตามร่างของเจ้าสอง ลอบกลืนน้ำลายอย่างหวาดวิตก ‘หวังว่าครั้งต่อไปคนที่ถูกตีจนสลบแล้วโดนลากออกไปจะไม่ใช่ข้า’ เขาคิดต่อไปว่า ‘เมื่อกี้พวกเขานั่งท่าหม่าปู้เรียกว่าฝึกกำลังขา ตอนหลังให้ไปวิ่งรอบหุบเขาเรียกว่าทักษะการวิ่ง ตอนนี้ให้ไปฝึกการกระโดดจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้’
เสี่ยวหูจื่อยังคิดไม่ตก โต่วเส้าถูก็พาเขาและเจ้าสามมาถึงพื้นที่ว่างทางตะวันตกแห่งหนึ่ง มีเสาไม้ตั้งเรียงสูง ๆ ต่ำ ๆ อยู่ประมาณสี่ห้าสิบต้น มีบางต้นที่สูงขนาดตัวผู้ใหญ่ ต้นที่เตี้ยจะมีความสูงเท่ากับเด็ก ๆ อย่างพวกเขา เสาแต่ละต้นมีความกว้างประมาณสามนิ้วพอให้ยืนสองเท้าชิดติดกัน
โต่วเส้าถูชี้ไปยังเสาต้นหนึ่งพลางเอ่ยว่า “ขึ้นไป แล้วกระโดดไปตามหมายเลขที่กำกับอยู่บนเสาแต่ละต้น และห้ามหยุดเด็ดขาด ถ้าใครหยุดหรือตกลงจากเสากลางคันมันผู้นั้นจะต้องถูกทำโทษ”
เสี่ยวหูจื่อและเจ้าสามรับคำหนักแน่น เจ้าสามกระโดดขึ้นเสาไม้เป็นคนแรก นางก้มหน้าหาตัวเลขอันดับต่อไปก่อนกระโดดด้วยท่าทางเงอะงะ
เสี่ยวหูจื่อไม่รู้ว่าจะกระโดดอย่างไรให้ขึ้นไปอยู่บนเสาไม้นั้นได้ เขาทำได้แต่ปีนป่ายขึ้นไปด้วยความทุลักทุเล เมื่อขึ้นไปถึงแล้วยืนโงนเงนอยู่บนนั้นพร้อมกับก้มหน้าหาตัวเลข จึงเห็นว่ามีตัวเลขเขียนอยู่บนเสาไม้แต่ละต้น ต้นที่เขาเหยียบอยู่มองไม่เห็นว่าเป็นเลขอะไรแต่คิดว่าจะต้องเป็นเลขหนึ่ง เพราะเสาต้นข้าง ๆ มีเลขสอง เลขสามเขียนเอาไว้จนกระทั่งถึงเลขห้าสิบ เขายืนหาตัวเลขไปพร้อม ๆ กับกระโดดไปตามลำดับ เสาไม้บ้างต้นอยู่ห่างกันแค่ครึ่งฉื่อ กระโดดข้ามไปได้ไม่ยาก แต่มีบางต้นที่อยู่ห่างกันถึงสามสี่ฉื่อ ห้าหกฉื่อก็ยังมี ซึ่งระยะห่างเช่นนี้กระโดดได้ยากมาก ขณะที่เขากำลังจะกระโดดจากหมายเลขสิบสองไปยังหมายเลขสิบสาม เพราะมันอยู่ห่างจากกันค่อนข้างมากจึงลังเลไปเล็กน้อยเท่านั้น แผ่นไม้ในมือของโต่วเส้าถูก็ฟาดเข้าที่ก้นอย่างแรงจนทำให้พลัดตกลงมา โต่วเส้าถูฟาดไม่ออมแรง เสี่ยวหูจื่อรู้สึกเจ็บก้นราวกับมีกองไฟลุกโชน ปวดแสบปวดร้อนจนถึงกับต้องส่งเสียงร้องออกมา โต่วเส้าถูตะคอกใส่ว่า “ร้องหาอะไร ร้องโอดโอยก็ไม่มีประโยชน์ รีบขึ้นไปบนเสาไม้เดี๋ยวนี้”
เสี่ยวหูจื่อตะลีตะลานกระโดดขึ้นเสาไม้ เขาและเจ้าสามถูกโต่วเส้าถูฟาดไปสามสี่ครั้งเพราะหยุดชะงักนานเกินไปบ้างหรือไม่ก็พลัดตกลงจากเสาไม้บ้าง เจ้าสามเป็นเด็กผู้หญิงถูกตีเสียจนหน้าตาแดงก่ำ น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม เดิมทีเสี่ยวหูจื่อเจ็บจนอยากร้องไห้ออกมาเหมือนกันแต่เมื่อเห็นสภาพเจ้าสามที่ร้องไห้หน้าตาย่ำแย่แล้วจึงพยายามสะกดความเจ็บปวดเอาไว้ กัดฟันกระโดดไปพร้อมกับบอกตัวเองว่าต้องระวังให้ดีอย่าได้พลัดตกลงไป
เจ้าหนึ่งและเจ้าสี่กลับมารวมกลุ่มหลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ โต่วเส้าถูคอยจับตาดูเด็กทั้งสี่กระโดดข้ามเสาไม้อยู่ตลอดเวลา เขายกไม้ขึ้นฟาดเด็กที่หยุดชะงักหรือพลัดตกจากเสาไม้ ไม่ยอมให้หยุดจนกระทั่งถึงพลบค่ำก็ยังไม่ให้พวกเขาได้พักผ่อน เสี่ยวหูจื่อมักออกไปเที่ยวเล่นในเมืองหรือไม่ก็เตะลูกหนังกับเด็กคนอื่น ๆ ขณะอยู่เมืองฉางอันเป็นประจำ นับว่ายังมีความคล่องแคล่วว่องไวอยู่พอตัว ให้กระโดดเสาไม้ก็ยังพอไหว แต่กระนั้นเขายังถูกตีหลายสิบครั้งจนก้นบวมแดงทั้งสองข้าง
หลังจากท้องฟ้ามืดสนิทจนมองไม่เห็นตัวเลขบนเสาไม้แล้วโต่วเส้าถูจึงให้พวกเขาหยุดฝึก พาเดินมาที่ถ้ำคูหาหนึ่ง เสี่ยวหูจื่อเห็นเจ้าสองยังนอนสลบอยู่บนเสื่อเก่า ๆ ภายในถ้ำ โต่วเส้าถูไม่สนใจจะเดินเข้าไปดูอาการแต่อย่างใด แสดงว่าไม่สนใจว่าเจ้าสองจะเป็นหรือตาย
โต่วเส้าถูสั่งให้เด็ก ๆนั่งลง เด็กทั้งสี่นั่งลงฟากหนึ่งของถ้ำพร้อมกับส่งเสียงร้องโอดโอย บางคนปวดขาจนทนไม่ไหว มีบางคนเจ็บก้นจนเป็นรอยเขียวช้ำ พอนั่งลงกับพื้นก็ยิ่งเจ็บปวดเข้าไปใหญ่
โต่วเส้าถูตะโกนด่าอย่างโมโห “หุบปากเดี๋ยวนี้ ถ้าใครกล้าส่งเสียงร้องออกมาจะไม่ได้กินข้าว” ทุกคนรีบหุบปาก ไม่มีใครกล้าส่งเสียงร้องแต่อย่างใด
โต่วเส้าถูล้วงขนมเปี๊ยะแห้ง ๆ ออกมาจากถุงกระสอบป่านใบหนึ่งแจกให้เด็กแต่ละคนกินคนละสามชิ้นเพื่อเป็นอาหารเย็น
เสี่ยวหูจื่อรับขนมเปี๊ยะมาแล้วจึงพบว่าตนเองหิวเสียจนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี กินขนมในมืออย่างตะกละตะกลาม ขนมเปี๊ยะทำมาจากแป้งสาลีโม่หยาบไม่ได้ใส่เครื่องปรุงรส จืดชืดไม่มีรสชาติใด ๆ อีกทั้งยังมีกลิ่นหืนเนื่องจากเก็บเอาไว้นานเกินไป รวม ๆ เรียกได้ว่ารสชาติเหลือรับประทาน แต่ตอนนี้เขาหิวเสียจนคิดว่ากินให้อิ่มท้องก่อนแล้วค่อยว่ากัน ขนมเปี๊ยะแห้ง ๆ แข็ง ๆ และเหม็นหืนทั้งสามชิ้นจึงถูกกินหมดในเวลาอันรวดเร็ว แต่ท้องยังส่งเสียงร้องโครกครากอยู่ ดูแล้วโต่วเส้าถูไม่มีทีท่าจะให้เพิ่ม เขาเองก็ไม่กล้าเอ่ยปากขอเพิ่ม
เด็ก ๆ ยังกินกันไม่เสร็จโต่วเส้าถูก็ออกคำสั่งว่า “ไปอาบน้ำที่บ่อน้ำ อาบเสร็จแล้วให้รีบกลับมานอน”
เด็กทั้งสี่คนตอบรับอย่างพร้อมเพรียงว่า “ทราบแล้ว” ก่อนรีบยกมือเช็ดปากวิ่งออกไปยังบ่อน้ำทันที
เสี่ยวหูจื่อวิ่งตามเด็ก ๆ คนอื่นออกจากถ้ำไปไกลประมาณเจ็ดแปดจั้งก็มาถึงบ่อน้ำแห่งหนึ่ง บ่อน้ำแห่งนี้มีน้ำใสเย็น กว้างประมาณห้าหกจั้ง เด็ก ๆ ถอดเสื้อผ้ากระโดดลงไปในบ่อน้ำเย็นเฉียบ เสี่ยวหูจื่อกระโดดลงไปตาม อาบน้ำล้างหน้าในบ่อน้ำจนสะอาดหมดจด หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่ ผูกผ้าคาดเอวดีแล้วก็วิ่งแยกย้ายไปห้องส้วมที่สร้างอยู่ไม่ไกลนักเพื่อปลดทุกข์ จากนั้นค่อยวิ่งกลับไปยังคูหา
โต่วเส้าถูยืนรออยู่หน้าปากถ้ำ พร้อมกับขยับแผ่นไม้ในมือไปเรื่อยๆ ตวาดเสียงดุดันว่า “เร็วหน่อย เร็วหน่อย นอนลงไป นอนลงไปให้หมดแล้วก็ห้ามขยับตัว ถ้าใครขยับตัวจะโดนตี”
เด็กทั้งสี่ทิ้งตัวนอนลงบนเสื่อที่ปูอยู่บนพื้นหิน ไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย ถ้ำแห่งนี้ไม่กว้าง เพียงพอให้กับเด็ก ๆ ห้าคนนอนเท่านั้น
ตอนนี้เสี่ยวหูจื่อรู้สึกเหนื่อยล้าจนถึงขีดสุด ร่างกายทุกส่วนไร้เรี่ยวแรงจนแม้อยากจะขยับตัวก็ไม่มีแรงเพียงพอ อีกทั้งยังไม่มีแรงเหลือให้ขบคิดอะไรได้เลย พอล้มตัวลงกับพื้นก็หลับผล็อยไม่รู้เรื่องรู้ราว
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นฟ้ายังไม่สว่าง โต่วเส้าถูมายืนตะโกนอยู่หน้าถ้ำ “พวกหนอนขี้เกียจ รีบลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้”
เด็ก ๆ ทั้งห้าคนรู้สึกตัว ลนลานลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียง เจ้าสองที่หมดสติไปตั้งแต่เมื่อวานตกใจตื่นผุดลุกขึ้นด้วยสีหน้าหวาดกลัวพร้อมกับคนอื่น ๆ เสี่ยวหูจื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ประดังเข้ามา ขาสองข้างทั้งปวดทั้งเจ็บ แค่จะเดินก็ยังรู้สึกว่าลำบาก เขาลอบมองไปยังเด็กคนอื่นๆ เห็นพวกเขาก็ไม่ได้มีสภาพที่ดีไปกว่าตนเองสักเท่าไร
โต่วเส้าถูไม่สนใจกับสภาพย่ำแย่ของพวกเขา ยังคงเร่งทุกคนให้ไปล้างหน้าบ้วนปากที่บ่อน้ำข้าง ๆ จากนั้นพาเด็กห้าคนเดินมาหยุดใต้หน้าผาสูงแห่งหนึ่ง พูดว่า “วันนี้เราจะฝึกการปีนป่าย พวกเจ้าจงปีนขึ้นไปให้ถึงพื้นที่ราบที่อยู่กลางภูเขา จากนั้นปีนลงมา ขึ้นลงทั้งหมดสิบรอบ ไปได้”
เด็ก ๆ ทั้งห้าใช้แรงมือแรงขาเพื่อปีนป่ายขึ้นหน้าผา เสี่ยวหูจื่อมักปีนเล่นอยู่ตามกำแพงบ้าน บนต้นไม้ ศาลาพักร้อนที่จวนอยู่เป็นประจำ การปีนขึ้นที่สูงจึงไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่เขายังไม่เคยปีนหน้าผาที่สูงขนาดนี้มาก่อน ไม่นานเขาก็จับหลักการปีนหน้าผาได้ นั่นก็คือมองหาแง่หินที่ยื่นออกมาเพื่อใช้เป็นที่ยึดพร้อมกับเป็นจุดส่งแรงขณะปีนป่ายได้ก่อนล่วงหน้าจากนั้นปีนไปตามเส้นทางที่หมายตาเอาไว้เรื่อย ๆ เมื่อเคยชินกับพื้นที่พักเท้าแล้วการจะปีนขึ้นไปถึงที่ราบด้านบนก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ขณะปีนหน้าผาเสี่ยวหูจื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ‘ถ้าหากข้าปีนขึ้นไปเรื่อย ๆอาจจะออกไปจากหุบเขาแห่งนี้แล้วหนีกลับบ้านได้’ แต่เมื่อเขาปีนขึ้นมาถึงที่หมาย มองหน้าผาที่ลาดชันจนเกือบจะเป็นเส้นตรงบนศีรษะและยังสูงนับร้อยจั้งแล้ว รู้สึกได้ทันทีว่าหน้าผาที่เพิ่งปีนขึ้นมายังปีนง่าย หน้าผาด้านอื่น ๆ และที่อยู่เหนือศีรษะเขาตรงนี้ลาดชันและอันตรายมาก แม้จะให้ปีนขึ้นไปในระยะใกล้ๆ ก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องเลิกล้มความคิดหลบหนีออกจากที่นี่ ปีนขึ้นปีนลงพร้อมกับเด็กคนอื่น ๆ เป็นเวลากว่าสองชั่วยามกว่าจะทำครบตามกำหนด โต่วเส้าถูให้พวกเขากลับไปที่ถ้ำ แจกข้าวต้มเขละ ๆ เย็นชืดให้เป็นอาหารเช้า จากนั้นก็เป็นการฝึกฝนตลอดทั้งวัน เริ่มด้วยการแบกก้อนหินใส่หลังวิ่งไปรอบหุบเขาสองรอบ ซึ่งเขาเรียกว่า”การแบกน้ำหนัก” จากนั้นให้พวกเขาว่ายน้ำไปกลับกลางลำธารที่เย็นเฉียบหนึ่งร้อยรอบ เรียกว่า”การว่ายน้ำ” วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่พวกเขาต้องฝึกตั้งแต่เช้าจนถึงฟ้ามืดจึงจะได้หยุดพัก
คืนนี้เสี่ยวหูจื่อนอนบนเสื่อที่ปูอยู่กับพื้นถ้ำด้วยความรู้สึกอ่อนล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และที่เขารู้สึกล้ามากที่สุดก็คือสมอง เพราะตอนนี้มีคำถามนับไม่ถ้วนวนเวียนหาคำตอบไม่ได้ เมื่อไม่มีใครให้ถามเพื่อคลายความสงสัย คำถามที่มีจึงมากขึ้นเป็นทวีคูณจนทำให้เขารู้สึกราวกับหัวสมองพองโตแทบจะระเบิดออกมา เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงถูกจับตัวมาที่นี่ แล้วทำไมเด็กคนอื่น ๆถึงต้องมาฝึกวิชากันตั้งแต่เช้าจรดเย็น แล้วเลิ่งจื่อสหายสนิทของเขาไปอยู่ที่ใด เด็กอีกสี่คนในหมู่เสือดาวสาม และเด็กคนอื่น ๆ อีกนับร้อยคนมาจากที่ใด ถูกจับตัวมาจากบ้านเช่นเดียวกับเขาหรือไม่ แล้วพวกเขาคิดถึงบ้าน ีคิดถึงพ่อแม่หรือไม่ ตอนนี้เขาต้องอยู่ในหุบเขาอีกนานเท่าไร แล้วจะมีทางกลับบ้านหรือต้องตายอยู่ที่นี่
ตอนนี้เสี่ยวหูจื่อตระหนักแล้วว่า ‘ข้าถูกโจรถ่อยพวกนี้ลักพาตัวจากบ้านมาอยู่ในหุบเขาลึกลับซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ห่างจากบ้านเท่าไร ต้องฝึกวิชาตลอดทั้งวันภายใต้การควบคุมของหัวหน้าหมู่หัวโต พอตกเย็นก็เหนื่อยเสียจนไม่มีแรงจะลุกไปไหน คิดจะหนีออกจากหุบเขาเพื่อกลับบ้านนับเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้’
เมื่อคิดถึงตรงนี้ทำให้เขาสิ้นหวังและหดหู่อย่างมิอาจบรรยายเป็นคำพูดได้ นอนคิดอยู่บนเสื่ออย่างไม่อาจข่มตานอนหลับ มีเสียงร้องไห้ของเด็กคนอื่นดังแว่วมาแต่ไกล ๆ ยิ่งทำให้เขาเศร้าหมองมากขึ้นจนอยากจะส่งเสียงร้องไห้โฮอย่างคับแค้นใจ แต่กระนั้นยังกลัวว่าโต่วเส้าถูหรือเด็กคนอื่นจะได้ยิน จึงพยายามสะกดความรู้สึกเอาไว้ เขาคิดในใจเพียงว่า ข้าอยากกลับบ้าน ข้าคิดถึงห้องนอน คิดถึงเตียงนอน คิดถึงผ้าห่มของข้า ข้าอยากจะกลับบ้าน แม้แม่ใหญ่จะไม่ดีกับข้า แต่ก็ยังดีกว่าเจ้าบ้าหัวโตที่ดุร้ายและโหดเหี้ยมไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร อย่างน้อยแม่ใหญ่ยังไม่เคยตีข้าด้วยแผ่นไม้แบบนี้
เด็ก ๆ ที่เที่ยวเล่นอยู่ข้างถนนในเมืองฉางอันต่างไม่รู้ว่าที่จริงแล้วเสี่ยวหูจื่ออยู่ที่จวนเสนาบดีอู่ที่ตรอกชินเหริน บิดาบังเกิดเกล้าของเขาก็คือเสนาบดีอู่ อู่หยวนเหิงผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ เพียงแต่มารดาบังเกิดเกล้าของเขามิใช่ฮูหยินผู้ตบแต่งเป็นภรรยาหลวงของเสนาบดีอู่หรืออู่ฮูหยินแต่อย่างใด หลังจากเสี่ยวหูจื่อรู้ความ เขาจึงรู้ว่าบิดาของตนหรือเสนาบดีอู่ถูกส่งตัวไปรับหน้าที่เป็นผู้ว่าการมณฑลเขตซีชวนในดินแดนเสฉวนอันห่างไกล ไม่ได้กลับมายังเมืองฉางอันเป็นเวลาหลายปีแล้ว เสี่ยวหูจื่อถือกำเนิดที่เสฉวน เป็นเพราะมารดาฝันเห็นเสือขาวระหว่างตั้งครรภ์ เมื่อคลอดเขาออกมาจึงตั้งชื่อเล่นให้ว่า ‘เสี่ยวหูจื่อ’ ขณะที่เขายังเป็นทารกก็ถูกบิดาส่งตัวกลับเมืองฉางอันเพื่อให้ฮูหยินใหญ่เป็นผู้เลี้ยงดูให้การอบรมสั่งสอน อู่ฮูหยินไม่มีบุตรธิดา การที่เสนาบดีอู่รับอนุภรรยาเพื่อมีทายาทสืบทอดสกุลต่อไปนั้นถือเป็นเรื่องที่สมควร แต่ทว่าเรื่องที่สร้างความเคียดแค้นชิงชังให้กับอู่ฮูหยินยิ่งนักก็คือ เมื่อเสนาบดีอู่ไปถึงมณฑลเสฉวนก็ไปมาหาสู่กับนักกวีหญิงที่มีชื่อเสียงนามว่าเสวียเทาบ่อยผิดปกติ มีบทกวีที่เนื้อหาค่อนข้างล่อแหลมซึ่งทั้งสองแต่งตอบโต้กันไปมาเล็ดลอดกลับมาสร้างความฮือฮาจนกลายเป็นขี้ปากชาวเมืองหลวง สุดท้ายก็หนีไม่พ้นที่จะลอยเข้าหูอู่ฮูหยิน สร้างความอับอายให้กับนางจนแทบไม่อาจสู้หน้าผู้คนได้เลย
ดังนั้นเมื่อเด็กทารกที่คาดว่าเป็นบุตรชายของเสวียเทาถูกส่งตัวกลับมายังจวนเสนาบดีเมืองฉางอัน อู่ฮูหยินมิได้ลงมือบีบคอเด็กน้อยให้ตายเพราะความเคียดแค้นในตัวคนทั้งสองก็นับว่าควบคุมตนเองได้อย่างดีเยี่ยม มิต้องคาดเดาเลยว่าอู่ฮูหยินจะเกิดความรังเกียจเดียดฉันท์ในตัวทารกน้อยที่มีผู้ให้กำเนิดไม่ชัดเจนมากมายเพียงใด นางเลี้ยงดูเขาอย่างเข้มงวดกวดขัน ดุด่าว่ากล่าว และปฏิบัติตัวกับเขาอย่างเหินห่าง ไม่เพียงไม่ให้เขาเรียนหนังสือหรือวิชาความรู้ แม้แต่อาหารการกินหรือข้าวของเครื่องใช้ก็ยังไม่แตกต่างไปจากคนงานหรือคนรับใช้ในจวน บุตรธิดาที่เกิดจากอนุภรรยาในจวนขุนนางขณะนั้นมีฐานะต่ำต้อยอย่างยิ่ง นับประสาอะไรกับเด็กที่แม้มารดาบังเกิดเกล้าเป็นใครก็ยังไม่แน่ชัดเช่นเขา กอปรกับเด็กคนนี้ยังพูดได้ช้า มีการตอบสนองไม่รวดเร็ว ดูท่าทางเงอะงะ ดังนั้นตั้งแต่อู่ฮูหยินลงมาจนถึงบ่าวชายหญิงรับใช้ไม่ว่าใครในจวนเสนาบดีอู่ก็ไม่เคยให้ความสำคัญและมองไม่เห็นเด็กน้อยผู้นี้อยู่ในสายตา ไม่เคยมีใครเห็นว่าเขาเป็นเจ้านายคนหนึ่ง ถึงขนาดบางครั้งยังหัวเราะเยาะเย้ยกันต่อหน้าต่อตา
นับตั้งแต่เสี่ยวหูจื่อเริ่มรู้ความ เขาก็รู้ดีว่าแม่ใหญ่และคนในจวนเสนาบดีทุกคนล้วนแต่รังเกียจ อยากเห็นเขาหายสาบสูญไปในเร็ววัน มิให้อยู่เป็นที่ขัดหูขัดตา แม้เขาจะเป็นคนความรู้สึกช้า แต่ก็เข้าใจถึงสภาพของตนเองเป็นอย่างดี เขาหนีออกไปเล่นนอกบ้านตั้งแต่เด็กๆ เพื่อหลบหนีจากเสียงหัวเราะเยาะและอาการรังเกียจของคนในสกุลอู่ วัน ๆ เอาแต่ขลุกอยู่กับเด็กข้างถนน ฟ้าไม่มืดก็ไม่ยอมกลับบ้าน อู่ฮูหยินไม่เคยสนใจไยดีจึงปล่อยให้เขาเที่ยวเล่นอยู่นอกบ้าน ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
จากนั้นมาเสี่ยวหูจื่อจึงกลับไปนอนที่บ้านเฉพาะเวลากลางคืนเท่านั้น ส่วนเวลากลางวันก็เที่ยวเล่น หาเรื่องขลุกอยู่กับพรรคพวกข้างถนนกันได้ตลอดทั้งวัน เขาไม่มีบุคลิกเหมือนคุณชายจากตระกูลใหญ่หรือลูกหลานขุนนางที่ถูกอบรมเรื่องกิริยามารยาทมาตั้งแต่เล็ก เขาดูเหมือนเด็กชาวบ้านทั่วไปมากกว่า ดังนั้นพรรคพวกข้างถนนจึงไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นบุตรชายนอกสมรสของเสนาบดีอู่ เขาไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่เคยอ่านตำราใด ๆ นอกจากตำรา ‘รวมบทกลอนหลินหวาย’ ของบิดา และ ‘บทกวีแม่น้ำจิ่นเจียง’ ที่รวมบทกวีของเสวียเทามารดาบังเกิดเกล้าของเขาเท่านั้น เสนาบดีอู่ได้ไหว้วานให้คนนำตำราสองเล่มมาพร้อมกับพาตัวเขาออกจากดินแดนเสฉวน เสี่ยวหูจื่อเดินทางมาเมืองหลวงตั้งแต่ยังแบเบาะย่อมไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับตำรารวมบทกวีสองเล่มนี้ หลังจากอายุห้าขวบ เริ่มรู้เรื่อง เริ่มเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว จึงค่อยตระหนักว่าตำรารวมกวีสองเล่มนี้เป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงตัวเขากับบิดามารดาบังเกิดเกล้าที่อยู่ดินแดนห่างไกลเอาไว้ จึงได้แอบขโมยออกมาพลิกอ่านอยู่ประจำ พร้อมกับขอร้องให้นักบัญชีที่ทำงานอยู่ในห้องบัญชีอ่านให้เขาฟังทีละประโยค เขารู้ดีว่าตนเองไม่ใช่คนที่มีสติปัญญาเป็นเลิศ จึงอาศัยความขยันขันแข็ง ท่องบทกลอนรอบแล้วรอบเล่า ท่องจนเป็นพันเที่ยวจึงค่อยจำมันได้ขึ้นใจ เพราะเหตุนี้ แม้เขาจะยังเป็นเด็กอายุน้อย แต่ก็สามารถท่องบทกวีที่มีชื่อของบิดา ไม่ว่าจะเป็น‘รังนกกระสาทั้งเงียบทั้งงันจักจั่นกรีดร้องกลบเสียงจอแจ ลมพาใบไม้ไหว น้ำฝนไหลเซาะเข้าบ้าน’ หรือบทกวีของมารดาที่ว่า ‘กล้วยไม้ส่งกลิ่นหอมขจร ยวนยางนอนคลอคู่กันไปไม่สนใจวันเคลื่อนคล้อย ยวนยางน้อยลอยรื่นรมย์’บทกลอนเหล่านี้สามารถทำให้เขาลดความคิดถึงบิดามารดาที่อยู่ไกลสุดขอบฟ้าอีกทั้งยังเพิ่มพูนความรู้ให้ได้อีกไม่น้อย
นักบัญชีประจำจวนสกุลอู่สงสารเด็กน้อยที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวเช่นเขา จึงปฏิบัติตัวกับเขาไม่เลว ยอมสอนเขาอ่านหนังสือ อธิบายความหมายบทกลอนให้เขาฟัง แต่เพราะงานบัญชีค่อนข้างยุ่ง จึงไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนักอีกทั้งกลัวว่าจะถูกอู่ฮูหยินตำหนิติเตียนหากรู้เรื่องเข้า ดังนั้นเมื่อเสี่ยวหูจื่อโตขึ้นอีกหน่อยนักบัญชีจึงเริ่มตีตัวออกห่าง ไม่สนใจเขาอีก
คนทำบัญชีมีลูกชายอยู่คนหนึ่งเป็นเด็กปัญญาอ่อนมาแต่กำเนิด ซึ่งก็คือเลิ่งจื่อ เลิ่งจื่อเป็นคนเดียวในจวนสกุลอู่ที่ดีต่อเสี่ยวหูจื่ออย่างจริงใจ ในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างทำตัวราวกับเขาเป็นเชื้อโรคร้าย หลบลี้หนีหน้าทันทีที่เห็น มีแต่เลิ่งจื่อเท่านั้นที่ยิ้มดีใจจูงมือเสี่ยวหูจื่อเดินเล่นอยู่ในจวนอย่างไม่เข้าใจอะไร อีกทั้งยังให้เขานั่งอยู่บนหัวไหล่ ไล่จับจักจั่นบนกิ่งไม้มาเล่น
เลิ่งจื่ออายุมากกว่าเสี่ยวหูจื่อเพียงหนึ่งปี เขาโตแต่ตัวแต่หัวสมองไม่ได้พัฒนาตามไป เลิ่งจื่อตัวสูงกว่าเสี่ยวหูจื่อถึงสองช่วงศีรษะ ตัวหนากว่าถึงสามเท่า แต่ละครั้งที่พวกเขาเดินไปตามถนนในเมือง ขอเพียงมีเลิ่งจื่ออยู่ข้างๆ ไม่มีเด็กแถวนั้นกล้าเข้ามารังแกเสี่ยวหูจื่อ มีบางครั้งที่เด็กเหลือขอบางคนหัวเราะเยาะหาว่าเลิ่งจื่อเป็นเด็กปัญญาอ่อนบ้างโยนก้อนหินใส่เขา บ้างทำหน้าทำตาล้อ เสี่ยวหูจื่อจะเดินตรงไปจัดการกับเด็กซนพวกนั้นด้วยความโมโหทันที เขาไม่ยอมให้ใครล้อเลียนเลิ่งจื่อ สร้างความซาบซึ้งใจให้กับเด็กที่โตแต่ตัวอย่างเลิ่งจื่อยิ่งนัก แม้เด็กสองคนจะมีสถานะเป็นนายและบ่าว แต่ทว่าสนิทสนมรักใคร่กลมเกลียวกันยิ่งกว่าพี่น้องคลานตามกันมาเสียอีก
ตอนนี้เสี่ยวหูจื่อนอนอยู่ในถ้ำที่มีแต่ความมืดมิด คิดถึงเพื่อนเล่นข้างถนนเหล่านั้น คิดถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่ต้องกังวลสิ่งใด คิดถึงนักบัญชีและเลิ่งจื่อที่ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร สุดท้ายแล้วยังกลั้นน้ำตาไม่ไหว ร้องไห้ออกมาในที่สุด เขาเป็นคนนิสัยง่าย ๆ ความคิดไม่ซับซ้อน ไม่ค่อยมีเรื่องทำให้ร้องไห้มากนัก แต่ครั้งนี้เมื่อร้องออกมาแล้วก็ไม่อาจหยุดลงได้ เขายังได้ยินเสียงร้องไห้ดังแว่วจากนอกถ้ำ เสียงร่ำไห้ด้วยความเศร้าและหวาดกลัวของเด็ก ๆ ดังประสานกันอยู่ในราตรีอันมืดมิด
โต่วเส้าถูไม่ได้เข้ามาตะโกนด่าหรือตวาดให้หยุด เด็กในถ้ำอีกสี่คนฟังเสียงร้องไห้ของเสี่ยวหูจื่อเงียบ ๆ โดยไม่แสดงความสนใจแต่อย่างใด
ผ่านไปอีกพักใหญ่ ๆ ได้ยินเสียงห้าว ๆ ของหัวหน้าหมู่ตวาดอยู่หน้าปากถ้ำ “ถ้าอยากจะกลับบ้านก็จงตั้งใจฝึกวิชาให้ดี ๆเพื่อจะได้ผ่านด่านทั้งสามไปได้ ใครที่ผ่านด่านทั้งสามไม่ได้ก็อย่าคิดว่าจะได้กลับบ้าน”
เสี่ยวหูจื่อร้องไห้ไปก็คิดไปว่า หัวหน้าใหญ่คนนั้นก็พูดถึงสามด่านอะไรนี่ บอกว่าถ้าผ่านด่านสามด่านได้แล้วจะได้กลับบ้าน พวกเราถูกขังอยู่ในหุบเขาร้างห่างไกลเช่นนี้ เมื่อไรจะฝ่าด่านทั้งสามไปได้ แล้วเมื่อไรจะได้กลับบ้าน ข้าอยากจะไปเล่นเตะลูกหนังกับพวกพ้องอีกเหลือเกิน จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวสิ้นหวัง จึงร้องไห้หนักมากขึ้นกว่าเดิม
เสี่ยวหูจื่อร้องไห้นานเท่าไรไม่รู้ แต่รู้สึกว่าร้องจนเหนื่อย สุดท้ายผล็อยหลับไปไม่ทันรู้ตัว ในความฝันมีแต่คำว่า ‘ผ่านสามด่าน ผ่านสามด่าน’ ดังวนไปวนมาไม่หยุด
[1]เป็นท่าฝึกกำลังขาโดยกางขาให้ขนานกัน แล้วย่อตัวลงให้ขาตั้งเป็นฉากกับพื้น หลังตรง