[ทดลองอ่าน] อุ่นหัวใจด้วยไฟรัก 1.1

他从火光中走来
อุ่นหัวใจด้วยไฟรัก

เอ่อร์ตงทู่จื่อ 耳东兔子 เขียน
มู่หลินเซิน แปล

 

จากกันครั้งก่อน เขายังเป็นแค่ผู้ชายที่ไม่พร้อมรับผิดชอบชีวิตใคร
พบกันครั้งนี้ เธอตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขา
ความประทับใจที่ดาราสาวอย่างหนานชู มีต่อ หลินลู่เซียว นายทหารสังกัดกองกำลังดับเพลิง
ไม่เคยแปรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว
เธอจะทำให้เขารู้ว่า ความรักของเธอนั้น
ร้อนแรงและไม่มีทางดับลงได้ เหมือนเหตุการณ์เพลิงไหม้ที่เขาเคยพบเจอ

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ทดลองอ่านนี้ไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

บทที่ 1.1

 

รุ่งสาง หนานชูสะดุ้งตื่นขึ้นจากความฝัน เนื้อตัวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ

ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ ผ้าม่านปิดทึบ บรรยากาศมืดมิด เธอค่อยๆลุกขึ้นนั่งพิงพนักหัวเตียง เอื้อมมือหยิบบุหรี่กับไฟแช็กที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง

“พึ่บ” เสียงจุดไฟแช็กดังขึ้น ดวงไฟเล็กๆสว่างขึ้นในความมืดแล้วดับลงอย่างรวดเร็ว ควันบุหรี่ลอยอวล ประกายไฟที่ปลายนิ้วเดี๋ยวติดเดี๋ยวดับ

หนานชูสูบบุหรี่ไปพลางหลับตาครุ่นคิดไปพลาง ไม่นานนัก เธอก็เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่หัวเตียง แล้วพิมพ์ข้อความลงไปอย่างว่องไว

[ฉันฝันเห็นเขาอีกแล้ว]

เวลาเช้ามืดตีสี่ครึ่ง แต่อีกฝ่ายกลับตอบมาอย่างรวดเร็ว [ฝันเห็นเขาทำอะไร]

“…”

อีกฝ่ายเข้าใจอย่างรวดเร็ว [จินตนาการทางเพศเหรอ] [อืม] [อย่าคิดมากน่า เธอแค่มีอารมณ์ ต้องการผู้ชายสักคน]

หนานชูอ่านประโยคนั้นจบอย่างใจเย็น ก่นด่าใส่มือถือไปหนึ่งทีแล้วโยนมันทิ้งลงไปอีกฝั่ง พิงพนักหัวเตียงหลับตาลง เริ่มหวนคิดถึงภาพเหตุการณ์ในความฝัน

ร่างเปลือยเปล่าของชายหนุ่ม ผิวสีทองแดง กล้ามเนื้อกระชับแน่น ลายเส้นกล้ามเนื้อเด่นชัด ผมสั้นสีดำขลับกับดวงตาที่มีแววสุขุมนุ่มลึกสมบูรณ์แบบ

 

เวลา 6:10 น. เสิ่นกวงจง ผู้จัดการส่วนตัวของเธอเดินเข้ามาพร้อมผู้ช่วย “ลุกขึ้นมาแต่งหน้าได้แล้ว”

หนานชูลุกจากเตียง ก้มตัวลงควานหารองเท้าแตะ เสิ่นกวงจงเตะรองเท้าแตะข้างหนึ่งไปให้เธอแล้วพูดว่า “วันนี้ต้องไปกองถ่าย เดี๋ยวให้ซีกู้ช่วยเธอเก็บของแล้วกัน”

ระหว่างที่พูดก็ดันตัวเด็กสาวคนหนึ่งมายืนตรงหน้าเธอ

หนานชูใส่รองเท้าไปพลางหรี่ตาประเมินเด็กสาวตรงหน้าไปพลาง หน้าตาไม่คุ้นเลย “เด็กใหม่เหรอ” เธอถามเอื่อยๆ

เดิมทีหนานชูก็เป็นนางแบบมาตลอด เพิ่งเซ็นสัญญากับบริษัทเจียเหอเมื่อต้นปี ชื่อเสียงของเธอไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก ผู้ช่วยที่คอยอยู่ข้างกายก็เปลี่ยนมาแล้วสามสี่คน ไม่รู้เหมือนกันว่าคนก่อนหน้านั้นดวงไม่สมพงษ์กับหนานชู หรือว่าหนานชูเข้าถึงยากเกินไป

“ผู้ช่วยและช่างแต่งหน้าฝึกหัด”

สามเดือนที่ผ่านมานี้เสิ่นกวงจงไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง วันๆเอาแต่ช่วยเธอหาผู้ช่วย พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็โมโห เขากลอกตามองบน แล้วเตือนเธอว่า “รบกวนเธอช่วยทำดีกับเด็กหน่อยได้ไหม”

ผู้ช่วยที่เป็นช่างแต่งหน้าด้วยอย่างนี้ ค่าจ้างราคาถูกแบบนี้ จะหาได้ที่ไหนอีก ไม่มีหรอก

หนานชูยักไหล่ จ้องเด็กสาวครู่ใหญ่ หน้าม้าตรงเป๊ะ สวมเสื้อแขนตุ๊กตาคู่กับกระโปรงตัวสั้น เธอเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นมิตร “เธออายุเท่าไร”

“ยี่สิบเอ็ดค่ะ”

“ชื่ออะไร”

“ซีกู้ค่ะ” เด็กสาวถามคำตอบคำ

หนานชูเลิกคิ้ว “มีแฟนรึยัง”

ซีกู้นิ่งไป ไม่คิดว่าจะเจอกับคำถามตรงไปตรงมาแบบนี้ “เอ่อ… ยังค่ะ”

“หน้าเด็กจัง” เด็กสาวเป็นคนเก็บตัว พอมีคนชมเข้าหน่อยเลยเขินหน้าแดง หนานชูจับใบหน้าเด็กสาว “ไปเถอะ”

ซีกู้ไม่อยู่รอให้โดนแกล้งอีก จึงรีบวิ่งออกไปด้วยความเขินอาย

พอเสิ่นกวงจงคุยโทรศัพท์เสร็จก็หันกลับมามองภาพที่เพิ่งเกิดขึ้น เขานึกว่าหนานชูจะทำเรื่องเลวร้ายอะไรอีก เลยตะโกนเสียงดังว่า “เด็กคนนี้ ประธานหานอุตส่าห์หามาให้เชียวนะ ถ้าโมโหจนหนีหายไปอีก ฉันก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้แล้วนะ!”

หนานชูแบมือ “นายจะกังวลทำไม ฉันไม่ได้จะเขมือบเด็กนั่นสักหน่อย”

ซีกู้ที่ช่วยหนานชูเก็บของได้ยินดังนั้นก็รีบหันหน้าไปพูดว่า “พี่จงคะ พี่หนานชูดีต่อฉันมากเลยค่ะ”

หนานชูกะพริบตาให้ซีกู้ เด็กสาวทนสายตายั่วเย้าของหนานชูไม่ไหวจึงหลบสายตาไม่กล้ามองหน้าอีก

“คนอื่นฉันไม่สนหรอก แต่ขอร้องว่าอย่ายุ่งกับประธานหานเลย ถ้าเขาโกรธขึ้นมาแล้วแช่แข็งเธอเข้า เธอคิดว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดในวงการนี้ได้อีกหรือไง”

หนานชูโยนลิปสติกที่เพิ่งทาเสร็จลงกระเป๋าเครื่องสำอาง ส่องกระจก เม้มปากสองที “ก็ได้”

คำตอบรับที่ออกมาจากปากของหนานชูอย่างง่ายดายแบบนี้ทำเอาเสิ่นกวงจงที่ได้ยินรู้สึกขนลุก

ก่อนออกจากบ้าน ขณะที่ซีกู้มาช่วยยกกระเป๋าเดินทาง จู่ๆหนานชูก็เอ่ยขึ้นว่า “รอเดี๋ยว” พูดจบก็ย้อนกลับไปที่ห้อง หยิบของมาจากโต๊ะหัวเตียงหนึ่งกล่อง บอกให้ซีกู้เปิดกระเป๋าเดินทางแล้วใส่เข้าไปด้านใน

ซีกู้รับกล่องถุงยางอนามัยนั้นเอาไว้ ไม่รู้จะใส่ไว้ตรงไหนดี จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังมาจากเหนือศรีษะ

“เสียบไว้ตรงช่องข้างๆนั่น”

ซีกู้หน้าแดงระเรื่อทำตามที่บอก จากนั้นรีบรูดซิปปิดกระเป๋าเดินทางอย่างรวดเร็ว

หนานชูถึงค่อยพูดขึ้นอย่างพึงพอใจ “ออกเดินทางได้”

ภายหลังตอนอยู่บนรถ หนานชูจึงอธิบายกับซีกู้ “หากมีคนคนหนึ่งลากเธอเข้าไปในพุ่มไม้แล้วพยายามขืนใจเธอ ในสถานการณ์ที่หนีไม่พ้นแบบนั้นควรทำยังไง”

“…”

“ยื่นถุงยางอนามัยให้เขาหนึ่งชิ้น ปลอดภัยยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น”

ซีกู้ “…”

 

มากองถ่ายได้สามวันแล้วแต่นักแสดงยังมากันไม่ครบสักที แม้แต่ซีกู้ก็ยังมองออกว่ากองถ่ายนี้ไม่มีความเป็นมืออาชีพเอาเสียเลย

ทีมงานหยิบของผิดตลอด ตากล้องมือสั่นไม่หยุด นักแสดงจำบทไม่ได้สักที ผู้กำกับเอาแต่ตะโกนสั่งคัต นอกจากผู้กำกับแล้ว เธอก็ไม่เคยร่วมงานกับคนที่เหลือมาก่อนสักคน จึงต้องใช้เวลาทำความรู้จักกันและกันนานกว่ากองถ่ายอื่น

ทว่าสามวันให้หลัง ผู้กำกับก็นั่งสูบบุหรี่ในสตูดิโอโดยไม่สนใจใครแล้ว

หนานชูรับบทนางรอง บทพูดจึงไม่มากนัก เวลาที่ไม่ต้องเข้าฉาก เธอนั่งอ่านหนังสืออยู่ด้านข้าง จากที่ซีกู้สัมผัสได้ หนานชูไม่ใช่คนเข้าถึงยาก เธอแค่คร้านจะผูกสัมพันธ์กับคนอื่นเท่านั้น

ในกองถ่ายมีแต่คนหน้าใหม่เสียส่วนใหญ่ แต่ละคนจึงวุ่นกับการแนะนำตัวเองแลกวีแชทกับเวยปั๋วกัน ส่วนหนานชูนั้นอยู่เฉยๆอย่างนิ่งเงียบที่สุด เอาแต่อ่านหนังสือและเล่นเกม

ในสายตาของผู้กำกับเห็นว่าผู้หญิงคนนี้มองแล้วรื่นหูรื่นตาเป็นที่สุด เวลาถ่ายทำก็แสดงได้ดี เข้าถึงบทบาทได้รวดเร็ว เวลาว่างก็อ่านหนังสือเสริมความรู้ให้ตัวเอง สมัยนี้หาผู้หญิงที่มีนิสัยสงบเสงี่ยมอย่างนี้ได้ไม่มากแล้ว

หนังสือที่หนานชูอ่านนั้นหลากหลายมาก มีทุกแนว

มีอยู่วันหนึ่ง ผู้กำกับเห็นเธออ่านหนังสือเรื่อง ตำนานสิบราตรี[1] อยู่ใต้ต้นไม้ เขานั่งลงแล้วถามว่า “ชอบนิยายของบอกกัชโช[2]เหรอครับ”

ผู้กำกับคนนี้เป็นคนจริงจังและหนักแน่น หนานชูหันมองผู้กำกับทีหนึ่งแล้วใช้นิ้วชี้พลิกกระดาษเปิดหน้าถัดไป “สนุกดีค่ะ”

“ใช่ครับ นิสัยตัวละครในนิยายของบอกกัชโชแต่ละตัวแสดงความรู้สึกออกมาได้ดีมากเลย อย่างเช่นเรื่องที่เก้าของเล่มนี้…”

ผู้กำกับพูดไม่หยุดปาก เขาเป็นพวกมีความคิดวิเคราะห์ไปถึงแก่นแท้ พอหนานชูฟังเขาพูดจนจบก็บอกว่า “ฉันอ่านแค่ผิวเผินน่ะค่ะ”

“หืม”

“ฉันอ่านแค่ฉากบนเตียงเป็นหลักค่ะ”

“…” ผู้กำกับค่อยๆลุกขึ้นยืน แสดงสีหน้าราวกับมีรถไฟโทมัส[3]เพิ่งขับผ่านหน้าไป

ซีกู้ได้ยินเรื่องราวที่ผู้คนซุบซิบหนานชูบ้างเป็นบางครั้ง

“เธอไม่มีพ่อ”

“อายุแค่สิบแปดก็มีข่าวฉาวกับแฟนหนุ่มดังกระฉ่อนไปทั่ว แก่แดดมาก”

“วันก่อนฉันเห็นเธอกับผู้กำกับคุยกันเรื่องหนังสือลามกด้วยละ”

พวกคนที่ซุบซิบนินทาพวกนั้นพอเจอหน้าหนานชูก็ยิ้มให้เธอราวกับกำลังแสดงละคร พอผู้กำกับสั่งคัต สีหน้าก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ซีกู้คิดไม่ถึงว่าคนพวกนี้จะเอาวิชาการละครมาใช้ในชีวิตจริงได้คล่องแคล่วถึงเพียงนี้

ทำให้หนานชูดูเหมือนคนที่ไม่เข้าพวกที่สุด

หนานชูไม่เคยซุบซิบนินทาใคร ไม่พูดถึงเรื่องของคนอื่น ไม่สนใจเรื่องราวใดในโลก เหมือนกับที่โลกไม่สนใจเธอ

วันนี้หนานชูนั่งคุยกับซีกู้ใต้ร่มเงาไม้ แต่คุยได้เพียงครู่หนึ่ง เสิ่นกวงจงก็เดินเข้ามาหา “เสี่ยวซี เดี๋ยวเธอไปช่วยเติมแป้งให้นักแสดงหญิงพวกนั้นหน่อยสิ”

ซีกู้ปฏิเสธเด็ดขาด “ไม่ค่ะ”

เสิ่นกวงจงขมวดคิ้ว ยกมือเท้าเอว แผดเสียงดัง “ไม่ฟังคำสั่งรึไง”

ซีกู้เหลือบมองเหล่านักแสดงหญิงตรงนั้น ก่อนจะก้มหน้าลงไม่พูดจา หนานชูลูบศีรษะของเธอ “เป็นอะไรไป พวกนั้นด่าเธอเหรอ”

“เปล่าค่ะ”

“งั้นก็อย่าดื้อ รีบไปเติมแป้งให้พวกเขาเร็ว”

ซีกู้ยังอิดออด “กองถ่ายมีช่างแต่งหน้าประจำกองอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ”

หนานชูพูด “เธอไปช่วยพวกเขาหน่อยเถอะ”

ซีกู้ลุกขึ้นยืนอย่างอิดออด หนานชูยีหัวเธอ “ไม่ดื้อนะ”

สิบนาทีให้หลัง ซีกู้กลับมาหลังจากเติมแป้งให้พวกเขาเสร็จ

“บอกมา พวกเขาไปทำอะไรให้เธอไม่พอใจ” หนานชูยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม

ซีกู้นั่งลงข้างๆหนานชู “พวกเขานินทาพี่ลับหลังค่ะ”

หนานชูเกือบจะพ่นกาแฟออกมา เธอยกมือขึ้นลูบหัวซีกู้พลางหัวเราะ “เด็กน้อยนี่ช่างมีคุณธรรมจริงๆ”

“พี่ไม่สนใจเหรอคะ”

เธอไม่คิดจะสนใจเลยสักนิด “แล้วทำไมต้องสนใจด้วยล่ะ”

คนเรานิสัยไม่เหมือนกัน ก็เหมือนกับที่เรามีหน้าตาต่างกันนั่นแหละ หนานชูไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย แววตาของเธอเต็มไปด้วยความเย็นชา

“เรื่องบนโลกใบนี้ เว้นแต่การเกิดและการตายทุกอย่างที่เหลือก็ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งสิ้น ซีกู้ ในเมื่อเธอบอกคนอื่นให้หยุดพูดไม่ได้ เธอก็ต้องอุดหูตัวเองไม่ให้ได้ยิน”

 

ตกเย็น เหยียนไต้ นักแสดงหญิงอีกคนที่สังกัดบริษัทเดียวกันกับหนานชู ผู้รับบทนางรองเบอร์สาม จู่ๆก็เกิดอาการแพ้ มีผื่นแดงขึ้นเต็มใบหน้า เธอร้องไห้โวยวายกับผู้กำกับ หลายวันมานี้ผู้กำกับเองก็เคร่งเครียดกับความคืบหน้าในการถ่ายทำมากพอแล้ว เมื่อเจอเรื่องนี้ก็สั่งให้หยุดการถ่ายทำและพูดจาไม่น่าฟังออกมา “เธอไปกินอะไรซี้ซั้วมาถึงได้ผื่นขึ้นแบบนี้ เป็นนักแสดงแท้ๆ ทำไมถึงไม่รู้จักรับผิดชอบบ้างเลย”

เหยียนไต้ร้องไห้ “ฉันไม่ได้กินอะไรมาเลยนะคะ!”

ผู้กำกับยังโมโหอยู่ “แล้วเธอไปทำอะไรมา ทำไมมีแต่เธอที่เป็นล่ะ คนอื่นไม่เห็นเป็นเลย”

เหยียนไต้เบะปาก รู้สึกน้อยใจมากยิ่งขึ้น “เมื่อบ่ายฉันแค่ขอให้ช่างแต่งหน้าของหนานชูช่วยเติมแป้งให้หน่อยเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลยนะคะ!”

หนานชูหันมองซีกู้ ซีกู้โบกมือปัดบอกเป็นนัยว่าตัวเองไม่รู้เรื่อง

ตกดึก ใบหน้าของเหยียนไต้ก็ยิ่งบวมเป่ง หนานชูกับเสิ่นกวงจงจึงพาเธอไปโรงพยาบาล หลังจากที่หมอตรวจดูเสร็จแล้ว ก็สรุปอาการว่าเธอเป็นผื่นแพ้ “คุณไปทาอะไรมา”

เหยียนไต้ปล่อยโฮร้องไห้อีกครั้ง หมอขมวดคิ้ว ก่อนจะบอกว่า “ทายานี่สองสามวันเดี๋ยวก็หาย ไม่ต้องร้องไห้นะ”

เหยียนไต้หยุดร้อง สะอื้นสองที “จริงเหรอคะ”

“ถามอะไรไร้สาระ” หมอพูดพลางกลอกตา

เสิ่นกวงจงลากซีกู้ไปคุยที่ระเบียงทางเดิน “เธอทาอะไรบนหน้าเขา”

“ไม่ได้ทาอะไรเลยนะคะ”

“โกหก!” เสิ่นกวงจงยกมือเท้าเอว เบิกตาโต ยกมือขวาชี้นิ้วใส่ “เธอไม่อยากทำงานนี่ต่อแล้วสินะ!”

ซีกู้กลัวจนน้ำตาไหล “ฉันไม่ได้ทาอะไรให้เธอจริงๆนะคะ พี่ให้ฉันเติมแป้ง ฉันก็เติมให้ ใครจะไปรู้ว่าเขาแพ้เครื่องสำอางอะไรบ้างหรือเปล่า”

เธอพูดจบก็โดนลากไปอีกฝั่ง หนานชูยืนพิงผนัง มองซีกู้ด้วยสายตาอ่อนโยน แต่เอ่ยถ้อยคำพูดกับเสิ่นกวงจง “พอเกิดเรื่องขึ้น นายอย่าเอาแต่หาแพะรับบาปสิ ฉันเชื่อว่าเธอไม่ได้ทำ”

ซีกู้โดนหนานชูดึงไปข้างๆทอดสายตามองออกไปไกล ภาพที่เห็นตรงสุดปลายทางเดินนั้นมีคนยืนอยู่คนหนึ่ง

คนคนนั้นอยู่ในชุดลำลอง ร่างกายสูงสง่า แข็งแรงมั่นคงราวกับต้นสน เขาซ่อนตัวอยู่ในเงามืด กลุ่มควันลอยอวลรอบตัวเขาผู้ที่กำลังยืนพิงผนังสูบบุหรี่

เมื่อลมโชยพัด ควันบุหรี่ก็พัดลอยมาทางฝั่งนี้ที่เสิ่นกวงจงกำลังอาละวาด “พวกเธอสองคนจะต่อต้านหรือไง!”

ซีกู้อธิบายเสียงค่อย “พี่จงคะ ฉันไม่ได้ทำจริงๆนะ ถ้าพี่ไม่เชื่อ พี่ค้นกระเป๋าเครื่องสำอางของฉันก็ได้ค่ะ”

หนานชูจ้องมองสุดปลายทางเดินไม่วางตา บุหรี่มวนนั้นดับลง คนคนนั้นล้วงกระเป๋าหยิบออกมาอีกมวน ก้มหน้าจุดไฟ แสงสว่างวาบขึ้นเพียงชั่วครู่ก็หายวับไป เหลือเพียงดวงไฟดวงเล็กท่ามกลางความมืดมิด

เขาพิงผนัง พ่นควันบุหรี่ ก้มหน้าเล่นไฟแช็กในมือตัวเอง ราวกับกำลังรอใครบางคนอยู่

ทางด้านนี้ เสิ่นกวงจงไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับซีกู้ แม้รู้ว่าเด็กนี่ไม่มีทางกล้าทำถึงขั้นนั้น แต่คิดว่าอย่างน้อยเธอควรจะไปขอโทษเหยียนไต้สักหน่อย เขาเลยลากซีกู้ให้เดินเข้าไป

หนานชูยืนรออยู่หน้าประตูสักพัก คล้ายว่าคนคนนั้นเงียบหายไปแล้ว เธอหมดความอดทนลงอย่างสิ้นเชิง แต่ขณะที่หันกลับไปก็ได้ยินเสียงเรียกจากทางด้านหลังดังขึ้น “ผู้กองหลิน!”

หนานชูหันมอง ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังขึ้นจากบริเวณทางเดินที่ว่างเปล่า หมอสาวในชุดกาวน์สีขาววิ่งตรงเข้าไปทางนั้น ฝ่ายชายสูงกว่าหมอสาวหนึ่งช่วงศีรษะ เธอเงยหน้าแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “รอนานแล้วใช่ไหมคะ”

ชายคนนั้นยืดตัวขึ้นตรงเดินออกมาจากความมืด เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลา เงาคนทอดเป็นเส้นยาวอยู่บนพื้น

ใบหน้าเรียว ผมสั้นสะอาดสะอ้าน แววตาสุขุมนุ่มลึก โครงหน้าคมชัดได้รูป หางตาตวัดขึ้น จมูกโด่งเป็นสัน ชุดเครื่องแบบทหารยิ่งขับให้สันกรามของเขาเด่นมากขึ้น ระหว่างที่คุยกับหมอสาวคนนั้น หางตาของเขายกขึ้นเล็กน้อย ให้ความรู้สึกไม่สนใจไยดี ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

มีทั้งความเกเรนิดๆและความเป็นสุภาพบุรุษ แต่กลับไม่รู้สึกขัดแย้งกันเลยสักนิด หลินลู่เซียวก้มศีรษะ ดับบุหรี่แล้วโยนทิ้งลงในถังขยะด้านข้าง สองมือล้วงกระเป๋า “เพิ่งมาถึงน่ะ”

ทางเดินมืดมิดทำให้เสียงแหบพร่านั้นฟังดูเย็นชาขึ้นกว่าเดิม

“ทำไมถึงใส่ชุดนี้มาล่ะคะ”

“เพิ่งประชุมเสร็จ”

หมอสาวยิ้ม “คุณใส่ชุดนี้หล่อกว่าจริงๆด้วย ไปกันเถอะค่ะ ฉันพาคุณไปเอง”

เสียงฝีเท้าของคนสองคนค่อยๆไกลออกไป หนานชูนั่งยองลงกับพื้น จุดบุหรี่ สูดเข้าปอดเฮือกหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าแล้วค่อยๆพ่นควันออกมา เธอมองควันบุหรี่สีขาวที่ฟุ้งกระจายอยู่รอบตัว พลางคิดว่า

เวลาช่างผ่านไปไวเหลือเกิน เดี๋ยวเดียวก็ผ่านมาห้าปีแล้ว

 

[1] The Decameron หรือ ตำนานสิบราตรี ประพันธ์โด โจวันนี บอกกัชโช ชาวอิตาลี ผู้เขียนเริ่มด้วยการบรรยายถึงกาฬโรคที่ระบาดในยุโรป มีตัวละครเป็นชายหนุ่มสามคนกับหญิงสาวอีกเจ็ดคนซึ่งหลบหนีจากโรคระบาดในฟลอเรนซ์ ไปพำนักอยู่ที่คฤหาสน์ในเนเปิลส์ สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มต่างเล่าเรื่องราวเพื่อฆ่าเวลาคืนละหนึ่งเรื่องระหว่างที่พักในคฤหาสน์ เป็นเรื่องราวความรักแบบต่างๆ ตั้งแต่รักที่เย้ายวนไปจนถึงรักที่จบลงด้วยโศกนาฏกรรม

[2] โจวันนี บอกกัชโช (Giovanni Boccaccio) นักเขียน กวี และนักมนุษยนิยมชาวอิตาลี

[3] มุกตลกชาวเน็ตจีน ในการ์ตูนเวลารถไฟขับผ่าน จะมีเสียงร้อง “ปู๊น” ซึ่งคล้ายเสียงเซ็นเซอร์

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า