他从火光中走来
อุ่นหัวใจด้วยไฟรัก
เอ่อร์ตงทู่จื่อ 耳东兔子 เขียน
มู่หลินเซิน แปล
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ทดลองอ่านนี้ไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
บทที่ 1.2
หนานชูสูบบุหรี่เสร็จก็กลับเข้าไปในห้องตรวจ ผลตรวจยืนยันแล้วว่าเหยียนไต้แพ้เครื่องสำอาง เธอชี้ตัวซีกู้แล้วโมโหโวยวาย “เธอต้องชดใช้! ช่วงหลายวันนี้ฉันทำงานไม่ได้ ถ้าผู้กำกับหักค่าตัวฉันจะทำยังไง!”
แม้เสิ่นกวงจงจะไม่ชอบเหยียนไต้ แต่เขาก็ยังนิ่งเงียบใจเย็น ยิ้มไกล่เกลี่ยสถานการณ์ตรงหน้า “เสี่ยวไต้ พวกเราอยู่บริษัทเดียวกัน ทะเลาะกันแบบนี้ คนอื่นจะหัวเราะเยาะเอาได้นะ”
เหยียนไต้กระทืบเท้า หน้าบึ้งตึง “พี่จง! แต่หน้าของฉัน…”
เธอพูดยังไม่ทันจบก็เหลือบไปเห็นว่าหนานชูเดินเข้ามา หนานชูยืนพิงกรอบประตูมองหน้าอีกฝ่าย เหยียนไต้กระแอมแล้วหยุดพูดไปดื้อๆ
แปลกชะมัด เหยียนไต้กลัวหนานชู แต่ในเวลาเดียวกันก็อิจฉาเธอ ความรู้สึกสับสนแบบนี้เจ้าตัวเองก็อธิบายไม่ถูก หนานชูเพิ่งเซ็นสัญญากับบริษัทเมื่อต้นปี เซ็นหลังเธอเกือบปีได้ ทั้งสองคนเป็นศิลปินชายขอบเหมือนกัน แต่แม่ของหนานชูเป็นถึงนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม แม้ในวงการบันเทิงจะลือกันว่าหนานชูมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับแม่ก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าพวกเธอที่ไม่มีอะไรเลย
ตอนหนานชูอายุหกขวบได้ร่วมถ่ายโฆษณาและภาพนิ่งกับหนานเยว่หรู ทำให้เธอเป็นที่รู้จักตั้งแต่เล็ก พออายุประมาณสิบหกสิบเจ็ด เธอก็มีโอกาสแสดงหนังอีกหลายเรื่อง ทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังมากขึ้นอีก เหล่านักแสดงหญิงในกองถ่ายมักจะนินทาหนานชูลับหลังอยู่บ่อยครั้ง เหยียนไต้ที่ไม่ชอบหนานชูเป็นทุนเดิม ก็อดร่วมวงนินทาด้วยไม่ได้
แต่พอเห็นหนานชูเดินผ่านไปโดยไม่สนใจเสียงนกเสียงกา เธอก็ยิ่งโกรธและโมโห ในฐานะผู้หญิงด้วยกัน จะมีคนที่ไม่สนใจชื่อเสียงของตัวเองจริงๆหรือ
เป็นอย่างที่คิด เธอกับแม่นิสัยเหมือนกันไม่มีผิด ทั้งแก่แดดแถมยังไม่แยแสคนอื่น
ที่จริงแล้วชื่อเสียงของหนานเยว่หรูไม่ถือว่าแย่ เพียงแค่ตอนอายุยี่สิบหกเธอห่างหายจากวงการไปหนึ่งปีเพื่อคลอดหนานชู จนถึงตอนนี้พ่อของหนานชูคือใครก็ยังไม่มีใครรู้ ตอนนั้นสื่อบันเทิง ทั้งสำนักข่าวและนิตยสารต่างก็คาดเดานักแสดงชายที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นพ่อของหนานชูไว้เต็มไปหมด แต่สุดท้ายในช่วงเวลาไม่กี่ปีนักแสดงชายเหล่านั้นบ้างก็ประกาศว่าตนชอบเพศเดียวกัน บ้างก็แต่งงานมีครอบครัวไปกันหมด
จนถึงปัจจุบัน เรื่องนี้ยังเป็นหนึ่งในสิบเรื่องลี้ลับแห่งวงการบันเทิงอยู่เลย
หนานชูยืนพิงประตู เหลือบมองเหยียนไต้ด้วยแววตาเฉยชา
เหยียนไต้สะดุ้ง เธอทำหน้าบึ้งตึงเบะปาก พูดขึ้นอย่างดื้อรั้น “พวกเธอไปบอกผู้กำกับด้วยว่าฉันจะไม่ไปกองถ่าย”
หนานชูยิ้มตอบ “ได้สิ”
พอกลับมากองถ่าย หนานชูก็ลางานให้เหยียนไต้ เลื่อนฉากของเหยียนไต้ออกไปอีกสามวัน ผู้กำกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “มีแต่เหยียนไต้นี่แหละเรื่องมากที่สุด”
ผ่านไปสองวันเหยียนไต้ก็ได้ยินเรื่องนี้เข้า พอคนเล่ากันปากต่อปากหลายทอด เนื้อหาที่ต้องการสื่อนั้นก็เปลี่ยนไป แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เปลี่ยนไปถึงขั้นที่ว่า…
เหยียนไต้ผื่นขึ้นหน้า ไม่สามารถมาถ่ายละครได้จนทำให้กองถ่ายทำงานล่าช้า ผู้กำกับโมโหเลยจะตัดฉากของเหยียนไต้ออก แล้วเพิ่มบทให้หนานชูแทน แถมยังด่าเหยียนไต้อีกว่าเป็นคนเรื่องมาก
อีกทั้งยังได้ยินมาว่าเรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของผู้ช่วยหนานชู
ผู้กำกับที่เป็นคนจริงจังและหนักแน่นในสายตาของผู้คนคงโดนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างหนานชูหลอกแน่ ถึงได้โมโหจนพูดประโยคพวกนั้นออกมา
ในเมื่อเธอเป็นถึงนักแสดงหญิงที่กล้าคุยเรื่องหนังสือลามกกับผู้กำกับอย่างเปิดเผย ยังจะมีเรื่องหน้าไม่อายอะไรอีกที่ไม่กล้าทำ!
เพราะเหตุนี้ หนานชูเลยกลายเป็นหญิงสาวเจ้าเล่ห์ในสายตาผู้คนไปโดยปริยาย
เมื่อเสิ่นกวงจงรู้เรื่องนี้เข้าก็โมโหจนผมเผ้าชี้ชัน เขาเกือบจะบีบคอซีกู้จนตกใจตาย หนานชูลากตัวเด็กสาวออกมา แล้วอ่านหนังสือต่ออย่างใจเย็น “ถ้านายทำเธอตายจริง นายก็ถือกระเป๋าเองแล้วกัน”
ถึงซีกู้จะตัวเล็กแต่แรงเยอะมาก เธอถือกระเป๋าได้หลายใบโดยที่ไม่เหนื่อยหอบเลยสักนิด
เสิ่นกวงจงคลายมือออกจากคอเสื้อของซีกู้ แล้วทำท่าเชือดคอ
ซีกู้รีบยกมือปิดตา หนานชูลูบหัวเธอแล้วเอ่ยเตือน “เสิ่นจิ้งปิง…”
“เธอปกป้องแม่หนูนี่สินะ ถ้าเธอยังปกป้องแม่หนูนี่อีกละก็ อีกไม่กี่วันคงลือกันว่าเธอเป็นพวกรักเพศเดียวกันแล้ว!”
เสิ่นกวงจงเดินจากไปด้วยความโมโห
ซีกู้มองหนานชู เห็นว่ากำลังอ่านหนังสืออีกแล้ว เลยเข้าประชิดตัวอย่างอดไม่ได้ “พี่อ่านอะไรอยู่เหรอคะ”
หนานชูยกหนังสือตั้งชันไว้บนขา ให้เธอดูหน้าปก
“บะ…บุปผาในกุณฑีทอง[1]”
“อ่าฮะ”
ซีกู้มองหนานชูที่มีสีหน้าสงบเสงี่ยม ท่วงท่างดงาม ประหนึ่งมีกำแพงกั้นโลกภายนอกไว้ แต่ทำไมเธออ่านหนังสือต้องห้ามแบบนี้ กลับให้ความรู้สึกเหมือนสวีจื้อหมัว[2]เลยล่ะ
วันที่สี่ พระรองที่เคยได้รับรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมเมื่อปีที่แล้ว หรือหร่านตงหยางแฟนหนุ่มที่เคยมีข่าวฉาวกับเหยียนไต้เข้ากองถ่าย ในที่สุดนักแสดงก็มากันครบสักที
พอเหยียนไต้ถ่ายฉากกลางคืนซึ่งเป็นฉากสุดท้ายเสร็จ ระหว่างที่เดินออกจากกองถ่ายก็เห็นแผ่นหลังของคนสองคนที่นั่งอยู่ภายในเต็นท์ของกองถ่าย
หร่านตงหยางพิงเก้าอี้ “ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง”
หนานชูก้มอ่านบทละคร ตอบเสียงค่อย “ก็ดี กินอิ่มนอนหลับ”
หลายปีก่อน พวกเขาสองคนเคยแสดงหนังด้วยกันหนึ่งเรื่อง
หร่านตงหยางโน้มตัวไปข้างหน้า เอื้อมมือจะไปลูบหัวหนานชู แต่เธอเบี่ยงหลบอย่างเยือกเย็น มือของเขาจึงชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ได้แต่หัวเราะเก้อเขิน “เธอเป็นอะไร ทำไมเปลี่ยนเป็นคนละคนแบบนี้”
หนานชูไม่เงยหน้า เพียงแต่กระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา
หร่านตงหยางลากเก้าอี้ไปนั่งข้างเธอ “ถึงเมื่อก่อนเธอจะเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่อย่างน้อยตอนนั้นก็ยังอ่อนโยนกว่านี้ ทำไม เราไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ปี ดอกกุหลาบแทงหนามแล้วหรือไง”
หนานชูไม่สนใจเขา วางบทละครในมือลงบนโต๊ะเสียงดัง หยิบปากกาวงเนื้อหาในเล่มไปหนึ่งท่อน แล้วพูดขึ้นอย่างไร้เยื่อใยว่า “ก่อนนายจะกลับมาต่อบทฉากนี้กับฉันอีกครั้ง ช่วยทำตัวให้สบายหน่อย ปล่อยอารมณ์ให้ลื่นไหลกว่านี้ด้วย”
หร่านตงหยางประสานมือพาดไว้หลังศีรษะ เอนหลังพิงเก้าอี้ “เธอเนี่ยนะ นิสัยเสียแบบนี้ คนอื่นเลยไม่ชอบขี้หน้า”
หนานชูเงยหน้าปรายตามองเขาอย่างเย็นชา แต่เธอเหลือบไปมองเห็นเงาตะคุ่มซ่อนอยู่ใต้ต้นฉัตรจีนที่อยู่ห่างออกไปหลายเมตร
หร่านตงหยางหุบยิ้ม นั่งหลังตรง วางมือไปบนโต๊ะ “เธออย่ามองฉันแบบนี้สิ ตอนนั้น…”
จู่ๆหนานชูก็หัวเราะใส่เขา เธอง้างมือขึ้น นิ้วเรียวยาวขาวใสดุจหยก ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิดในฤดูร้อน คนในกองถ่ายต่างทยอยกันเก็บของ ดวงจันทร์สีนวลส่องแสงกระทบกับผิวขาวผ่องของหนานชูจนส่องประกายระเรื่อ
หร่านตงหยางเห็นแล้วใจก็เต้นตุ้มต่อมไม่หยุด เขาโผเข้าหาเธออย่างไม่ทันได้คิดราวกับว่าผีสั่งให้ทำ แต่ใครจะไปคิด หนึ่งวินาทีหลังจากนั้น เสียง “ตึง” ก็ดังขึ้น เธอยึดด้านหลังศีรษะของเขาแล้วกระแทกหน้าผากเข้ากับมุมโต๊ะเต็มแรง
“บ้าเอ๊ย!” เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น หน้าผากก็ปูดเหมือนลูกมะนาวไม่มีผิด
หร่านตงหยางแยกเขี้ยวด้วยความเจ็บปวด หนานชูเก็บของเสร็จแล้วลุกขึ้น กอดบทละครไว้ในอ้อมอก ชุดกระโปรงสีดำตัวยาวขับให้หุ่นของเธอยิ่งผอมเพรียวเด่นชัดขึ้นไปอีก เธอก้มศีรษะอย่างเย็นชาประดุจหงส์ดำสูงศักดิ์
เธอก้มตัวลง ว่ากันว่าอัตลักษณ์ของบุรุษย่อมลดลงในยามค่ำคืน แต่ค่ำคืนที่ท้องฟ้ามืดมิดนี้กลับทำให้ผู้หญิงตรงหน้าน่ากลัวขึ้นหลายเท่าตัว หนานชูรูปร่างผอมบาง โครงร่างเล็ก หางตาเรียวยาว คิ้วเป็นทรงสวย ปากเป็นรูปกระจับ ไม่ค่อยโมโหใครง่ายๆ ส่วนใหญ่แทบไม่มีสิ่งใดส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเธอได้เลย
หากเธอโมโหเมื่อไร ความน่ากลัวกลับเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
เหมือนอย่างตอนนี้ ที่ดวงตาคู่นั้นกำลังจ้องมองอย่างดุดัน
“ถ้านายพูดถึงเรื่องตอนนั้นอีกละก็ ฉันจะทำให้นายต้องเสียใจที่ได้รู้จักฉันแน่”
พอกลับถึงโรงแรม หนานชูอาบน้ำเสร็จนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินออกมา โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนเตียงก็สั่น หน้าจอแสดงข้อความจากวีแชทที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน หนานชูเหลือบมองทีหนึ่งแล้วดึงผ้าเช็ดตัวออก เผยร่างเปลือยเปล่าผิวพรรณผ่องใสของหญิงสาว เรือนร่างอรชรสะท้อนบนกระจกบานใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า
หนานชูเป็นคนผิวขาว แขนเรียวเล็ก ขาตรงยาว ผิวพรรณขาวนวล เนียนนุ่มหาที่ใดเปรียบ
ดั่งที่บทกลอนกล่าวไว้…
ผิวพรรณผุดผ่องงามตา ท่วงท่าอ่อนช้อยงดงาม[3]
เธอสวมชุดกระโปรงยาวสีเข้มเสร็จก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาปลดล็อกหน้าจอ แอปวีแชทเด้งขึ้น ข้อความนั้นส่งมาจากคนชื่อหลินฉี่
หลินฉี่เป็นนักไวโอลินมากพรสวรรค์ทั้งที่อายุแค่สิบเก้าปี หนานชูรู้จักอีกฝ่ายที่งานมิลานแฟชั่นวีค
“วันเสาร์นี้ฉันมีแสดงไวโอลิน ต้องมาให้ได้นะ”
ไม่นานนักก็มีข้อความส่งมาอีก “ต้องมาให้ได้นะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันฝากคนเอาบัตรไปส่งให้”
หนานชูตอบ “คงไปถึงช้าหน่อย”
วันรุ่งขึ้น หนานชูเพิ่งถ่ายฉากช่วงเช้าเสร็จ เธอถือพัดลมพกพานั่งอยู่ในเต็นท์ พลางใช้หนังสือธรรมะช่วยพัดอีกมือ
พอเสิ่นกวงจงเห็นเธอเป็นแบบนี้ก็โมโหขึ้นมาทันที เดินเข้าไปหาอย่างเอาผิด “แผลบนหัวหร่านตงหยางนั่นผลงานชิ้นเอกของเธอใช่ไหม”
หนานชูยอมรับอย่างเปิดเผย “ใช่”
เสิ่นกวงจงเดาไม่ผิด เขาโมโหจนควันออกหู “ถ้าเธอไม่ชอบขี้หน้าเขา ก็แค่ทนหน่อยไม่ได้หรือไง”
หนานชูส่ายหน้า “เขาพูดจาคุกคามฉัน ทนไม่ได้หรอก”
“เฮ้อ…เรื่องอื่นเธอยังทนได้ ทำไมเรื่องแค่นี้ทนไม่ได้ล่ะ” เสิ่นกวงจงกอดอก ตาเบิกโพลงด้วยความโกรธ ชี้นิ้วรัวแล้วพูดต่อ “ฉันจะช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ อย่าสร้างปัญหาให้ฉันอีกล่ะ รู้ตัวว่าจะต้องโดนประณามก็อย่าสร้างเรื่องเลย”
ที่จริงแล้ว ตอนอายุสิบห้าสิบหกปีนั้นเธอมีโอกาสได้เล่นละครเรื่องหนึ่ง ลำพังแค่ฝีมือการแสดงของเธอ ผู้คนก็เอาไปพูดถึงก่นด่ากันอยู่หลายปี อีกทั้งทีมผู้จัดการส่วนตัวที่ไร้ฝีมือในงานประชาสัมพันธ์ ณ เวลานั้นยังชอบประโคมข่าวลือทางเพศอีก ทำให้ที่ผ่านมาหนานชูต้องลำบากไม่น้อย โพสต์สถานะเวยปั๋วแต่ละทีก็หาคอมเมนต์ดีๆที่พอจะอ่านได้ไม่มีสักอัน เสิ่นกวงจงเลยตั้งค่าปิดไม่ให้คนคอมเมนต์โพสต์ของเธอไปเสีย
พวกแอนตี้แฟนเลยย้ายไปรุมด่าในเวยปั๋วของเสิ่นกวงจง ผู้จัดการส่วนตัวของเธอแทน
“หนานชูอำลาวงการไปซะ”
“หนานชู ยายโสเภณี โดนคนเอาจนพรุนหมดแล้ว”
“ตายไปซะให้หมดทั้งโคตรเหง้าตระกูลเลย”
บางครั้งเสิ่นกวงจงก็รู้สึกสงสารหนานชู เธอเริ่มทำงานตั้งแต่เด็ก แถมยังต้องแบกรับอะไรไว้ตั้งมากมาย แต่แทบไม่เคยได้ยินเธอบ่นเลย งานที่มอบหมายให้ทำแต่ละอย่างเธอก็ตั้งใจทำจนเสร็จ ไม่ต่อรองไม่ร้องขอสิ่งใดสักนิด
เธอแค่ไม่ยอมใคร
เธอมีความหยิ่งผยองในตัว ไม่ก้มหัวให้คนแปลกหน้า ผู้กำกับบอกว่าเธอเป็นเหมือนหงส์ดำ ทั้งสง่างามและโดดเดี่ยว
แต่เสิ่นกวงจงไม่ทันได้ฟังประโยคสุดท้าย
ผู้กำกับเสริมต่ออีกประโยคว่า เป็นหงส์ดำที่ขับรถไฟโทมัสผ่านหน้าไป
แสงแดดสาดส่องไปบนร่างเล็กผอมบางของหญิงสาว เสิ่นกวงจงถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วนั่งลงข้างเธอ ก้มดูหนังสือธรรมะในมือของอีกฝ่าย “นี่ พระท่านได้บอกหรือเปล่าว่าเมื่อไหร่เธอจะดังสักที”
หนานชูก้มหน้าก้มตาแล้วตอบว่า “สิ่งปรุงแต่งทั้งปวงล้วนเป็นมายา”
“มายาบ้าอะไร” เสิ่นกวงจงกลอกตา “ชื่อเสียงเหม็นโฉ่จนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ยังมีอารมณ์มาอ่านอะไรพวกนี้อีก เธอไปบวชเลยไป”
หนานชูพลิกหน้าถัดไป หรี่ตาคิดอยู่ชั่วครู่แล้วตอบไปว่า “เป็นความคิดที่ดี”
“จะบ้าตาย” เสิ่นกวงจงส่ายหัวเดินออกไป
ตกกลางวัน ซีกู้เดินถือซองจดหมายเข้ามาหา “พี่หนานชูคะ เมื่อกี้มีคนเอาสิ่งนี้มาให้พี่ค่ะ”
หนานชูเหลือบตามอง พยักหน้า “อืม ขอบใจนะ”
แสงแดดร้อนแรงเนื่องจากดวงอาทิตย์อยู่เหนือศีรษะ ซีกู้หยิบทิชชู่ออกมาซับเหงื่อ พลางเอ่ย “เป็นพี่ชายรูปหล่อคนหนึ่งค่ะ หล่อมาก แต่เย็นชาไปหน่อย” พูดจบซีกู้ก็ทำท่าตัวสั่น
หนานชูวางหนังสือในมือลงแล้วเงยหน้าขึ้น “ใครนะ”
ซีกู้พยักหน้า “อืม หล่อมากเลย ฉันบอกให้เขาอยู่รอก่อน แต่เขาไม่ยอมรอ หันหลังเดินกลับไปเลย”
“ตอนนี้เขายังอยู่หรือเปล่า”
“ฉันเห็นเขาเดินไปทางร้านขายของชำค่ะ”
บางครั้งภาพใบหน้าของคนคนหนึ่งในความทรงจำมักจะหวนคืนมา ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก็อดพิสูจน์ไม่ได้ และความจริงก็แสดงให้เห็นแล้วว่าสัมผัสที่หกของผู้หญิงมักถูกต้องถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์
เป็นอย่างที่คาด พอเธอวิ่งตามออกไปก็เห็นแผ่นหลังกว้างอันคุ้นเคย ภาพในความทรงจำนั้นคือหางตาของดวงตารูปดอกท้อยกขึ้นสูงคล้ายกำลังยิ้ม แววตาสุขุมนุ่มลึก เวลาเคร่งขรึมจึงมักทำให้คนหวาดกลัว แต่ใบหน้าหล่อเหลายามอยู่ภายใต้แสงแดดที่สาดส่องนั้นกลับอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก
ลายเส้นกล้ามเนื้อสวยงามได้รูป พอเหมาะพอเจาะ ไม่ขาดไม่เกิน
เขาถือขวดน้ำที่เพิ่งดื่มหมด ปิดฝาแล้วโยนใส่รถที่เปิดหน้าต่างเบาะหลังไว้ ทว่าเพิ่งเปิดประตูรถฝั่งคนขับก็ไม่รู้ว่าโดนใครฟาดใส่จากด้านหลังเสียงดัง “เพียะ”
เขาขมวดคิ้วจนติดกันเป็นเส้น ถึงทนไม่ไหวแต่ก็ต้องอดทน
จากนั้นก็ได้ยินเพียงเสียงใสที่แฝงไปด้วยน้ำเสียงหยอกล้อดังมาจากหลังว่า “หลินลู่เซียว พี่จะหนีไปไหน”
เหมือนเมื่อหลายปีก่อน…
[1] บุปผาในกุณฑีทอง หรือ 金瓶梅 (จินผิงเหมย) วรรณกรรมสมัยราชวงศ์หมิง ซึ่งประพันธ์ขึ้นด้วยสำนวนภาษาที่ละเมียดละไม แต่มีฉากพรรณนาบทสังวาสจำนวนมากจนถูกเรียกว่าเป็นหนังสือโลกีย์
[2] กวีโรแมนติกชาวจีนในยุคต้นศตวรรษที่ 20
[3] บทหนึ่งจากกลอนชมความงาม มงกุฎของสตรี-ความงามชดช้อยและรอยยิ้ม (女冠子•含娇含笑) โดยเวินถิงอวิ๋น กวีสมัยถัง