他从火光中走来
อุ่นหัวใจด้วยไฟรัก
เอ่อร์ตงทู่จื่อ 耳东兔子 เขียน
มู่หลินเซิน แปล
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ทดลองอ่านนี้ไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
บทที่ 1.3
เดือนกรกฎาคม เข้าสู่หน้าร้อนที่สุดของปี อากาศร้อนระอุไม่อาจต้านทาน จักจั่นส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว ดวงอาทิตย์อยู่เหนือศีรษะ พื้นถนนถูกแดดเผา ถึงจะมีลมพัดมาก็ยังร้อนอบอ้าวจนแทบจะขาดใจตาย
หลินลู่เซียวที่กำลังจับประตูรถอยู่หันหลังกลับก็เห็นสาวน้อยคนนั้นยืนอยู่ด้านหลัง เธอทั้งขาวผอมสูง และสวยสะดุดตา ร่างกายสะท้อนประกายเมื่อแสงอาทิตย์ส่องกระทบ
“พี่จะหนีไปไหน” หนานชูเชิดหน้าถามอีกครั้ง
หลินลู่เซียวยกมือกอดอกยืนพิงประตูรถ คิ้วขมวดเป็นเส้นบ่งบอกว่าเขากำลังรำคาญ เขามองหนานชู หยิบกล่องบุหรี่ในกระเป๋า เอาออกมาหนึ่งมวน ก้มศีรษะลงแล้วจุดไฟ ก่อนถามกลับไปว่า “เธอรู้จักหลินฉี่ด้วยเหรอ”
หนานชูพยักหน้า
เขาเขี่ยบุหรี่ ถามต่อว่า “รู้จักกันที่ไหน”
“มิลาน”
เขาสูบต่ออีก ลูกกระเดือกขยับ สายตาเบนมองไปอีกฝั่ง พูดขึ้นอย่างไม่สนใจ “โอเค ของส่งถึงมือแล้ว ฉันไปก่อนนะ”
หนานชูยื่นมือออกไปรั้งเขาไว้ ท่อนแขนของชายหนุ่มแข็งแรงมีพลัง ราวกับว่าเธอจับท่อนเหล็กอยู่ แน่นปึก แถมยังอุ่นอีกด้วย
หัวใจเธอเต้นแรง
หลินลู่เซี่ยวชักมือกลับ “มีธุระอะไรอีก”
“เอาเบอร์มือถือพี่มา” หนานชูแบมือ
หลินลู่เซียวก้มมองฝ่ามือของหญิงสาวที่ขาวราวหิมะ เส้นลายมือชัดเจน นิ้วเรียวยาวราวกับยอดหน่อไม้หลังฝน
เขาเบือนหน้าออก พูดเสียงเบา “ฉันไม่มีมือถือ”
“แล้วพี่จะหยุดอีกทีวันไหน” หนานชูยังคงจ้องมองเขาโดยไม่ปล่อยมือ
หลินลู่เซียวที่ยืนพิงประตูรถสูบบุหรี่อยู่ เมื่อได้ยินเธอพูดดังนั้นก็หรี่ตามองชั่วครู่ คีบบุหรี่ออก ก้มตัวลงให้เท่ากับระดับสายตาของหญิงสาวแล้วจ้องมองเธอ เครื่องหน้าของเขาเด่นชัดขึ้นในฉับพลัน คิ้วโก่งได้รูป ดวงตาดำมืด ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม
ไม่ได้เจอกันหลายปี กิริยาท่าทางน่ากลัวกว่าเดิมเยอะเลย
สองคนเข้าใกล้ชิดกันมากขึ้น
แรงกดอากาศเริ่มต่ำลง ลมหายใจของชายหนุ่มเป่ารดอยู่เบื้องหน้า จู่ๆเขาก็เข้ามาใกล้แบบนี้ หนานชูผงะถอยหลังไปหนึ่งก้าว ส่วนหลินลู่เซียวยังก้มตัวลงมาอีก สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง
เขาก้มหน้าหัวเราะหนึ่งที แววตาเยาะเย้ยก่อนหันมองไปที่อื่น จากนั้นก็หันหลังเปิดประตูรถแล้วนั่งลงไป
ช่วงเวลายามบ่ายอันเงียบสงบ มีเสียงเครื่องยนต์และเสียงยางล้อรถเสียดสีกับพื้นถนน ก่อเกิดคลื่นความร้อนขึ้นระลอกหนึ่ง ทันใดนั้นรถก็เคลื่อนออกจากกองถ่ายไป เหลือทิ้งไว้เพียงควันจากท่อไอเสียที่ลากเป็นเส้นยาว
หนานชูรู้จักหลินลู่เซียวตอนเธออายุสิบหกปี
ตอนนั้นหนานเยว่หรูเดินทางไปต่างประเทศบ่อย เธออยู่บ้านคนเดียว ไม่รู้ว่าสายไฟเส้นไหนช็อร์ตทำให้ไฟลุกไหม้ กว่าเธอจะตื่นเปลวเพลิงก็ลามไปทั่วแล้ว เธอสำลักควันไฟจนแสบจมูก หลินลู่เซียวเป็นคนช่วยชีวิตออกมาจากกองเพลิงนั้น
เมื่อเธอรู้สึกตัวก็มาอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว
ตอนนั้นหนานชูยังไม่มีทีมผู้จัดการ พอฟื้นขึ้นมาก็โทร.หาหนานเยว่หรูทันที
ในช่วงเวลาความเป็นความตายแบบนั้น ถึงแม้เธอจะไม่สนิทกับแม่ แต่ก็ยังอยากได้ยินเสียงแม่เป็นคนแรกอยู่ดี
“แม่คะ เมื่อกี้ไฟไหม้บ้าน แต่หนูไม่เป็นอะไรแล้ว…”เด็กสาวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นโทร.ออกบอกว่าตนปลอดภัยดีอย่างขี้ขลาด กลัวว่าพูดผิดไปสักประโยคแล้วจะทำให้แม่เป็นห่วง
ฟังไม่ออกว่าเสียงหนานเยว่หรูที่อยู่ปลายสายรู้สึกอย่างไร “บาดเจ็บหรือเปล่า”
หนานชูก้มมองข้อเท้าของตน “ไม่ค่ะ มีแผลที่เท้านิดหน่อย หมอบอกว่าอาจจะมีรอยแผลเป็น”
“ลองดูแล้วกันว่าปลูกถ่ายผิวหนังได้หรือเปล่า ฉันยุ่งอยู่ ว่างแล้วค่อยโทร.หานะ”
เป็นแบบนี้เสมอ พูดยังไม่ถึงสามประโยคก็ตัดสายไป
หนานชูวางสายอย่างผิดหวัง เธอรู้อยู่แก่ใจว่าหนานเยว่หรูไม่ชอบเธอขนาดไหน
ความน้อยใจที่อัดอั้นไว้หลายปีระเบิดออกมาทันที
เมื่อหัวหน้าพยาบาลรู้ว่าหนานชูหายตัวไป เวลานั้นก็มีอีกคนพุ่งเข้ามา “เร็วเข้า! รีบแจ้งตำรวจเร็ว ดาดฟ้ามีเด็กสาวคนหนึ่งกำลังจะฆ่าตัวตาย”
หัวหน้าพยาบาลตกใจ “ใครนะ”
คนคนนั้นลนลานจนนึกชื่อนักแสดงเด็กคนนั้นไม่ออก “คนที่สลบไปเพราะควันไฟที่เพิ่งถูกส่งตัวเข้ามาคนนั้น!”
หัวหน้าพยาบาลกดเบอร์โทร.หาตำรวจมือสั่น
ตอนที่หนานชูถูกช่วยลงมาจากดาดฟ้าเธอยังมึนงงอยู่เลย แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เจอเข้ากับใบหน้าอันหล่อเหลาของหลินลู่เซียว เขาใส่ชุดพนักงานดับเพลิงสีเข้ม สวมหมวกนิรภัย สีหน้าเย็นชา พอเห็นหนานชูก็ตกใจ “ทำไมเป็นเธออีกแล้วล่ะ”
หลังจากที่หนานชูวางสาย เธอคิดแต่จะฆ่าตัวตายเท่านั้น แต่พอไปยืนอยู่บนขอบดาดฟ้า มือและเท้าก็เริ่มสั่น ไม่กล้าขยับ ยืนนิ่งอย่างนั้นถึงครึ่งชั่วโมง
“รบกวนคุณแล้วนะคะ” หนานชูก้มหัว
หลินลู่เซียวเข้าใจสถานการณ์ทันทีว่าเจอคนเปลี่ยนใจไม่ฆ่าตัวตายอีกแล้ว เขากระตุกยิ้มมุมปาก “ไม่เป็นไร”
รอจนถึงเวลาแยกย้าย จู่ๆหนานชูก็รั้งเขาไว้ หลินลู่เซียวหันมองเธอ เด็กสาวลืมตากลมโต พูดเสียงอู้อี้ “ที่หน่วยของพวกคุณมีที่พักสำหรับผู้ป่วยบาดเจ็บหรือเปล่าคะ หรือไม่งั้นคุณช่วยพาฉันกลับบ้านได้ไหม เดี๋ยวฉันจ่ายเงินให้”
เธอเองก็ไม่รู้ว่าตนเอาความกล้าที่ไหนมาขอร้องผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ แต่ตอนนั้นเธอรู้สึกได้ว่าความรู้สึกปลอดภัยเวลาอยู่กับหลินลู่เซียวนั้นเป็นสิ่งที่เธอปรารถนามาตลอด
หลินลู่เซียวคิดเพียงแค่ว่าเด็กคนนี้ตลกดี ไม่มีความตระหนักรู้ในวิกฤตอันตรายเลย จึงจงใจพูดหยอก “ให้ฉันพาเธอกลับบ้านเนี่ยนะ เธอกล้าเหรอ”
ใครจะไปคิด เด็กสาวยืดอกเชิดหน้าพูดตอบอย่างมั่นใจ “กล้าค่ะ!”
เพื่อนร่วมทีมหัวเราะ หลินลู่เซียวค่อยๆหุบยิ้ม
ตอนนั้นหลินลู่เซียวอายุยี่สิบสี่ เป็นแค่คนคนหนึ่งที่ยังดูแลตัวเองได้ไม่ดีนัก
วันเสาร์ รถตู้สีเทาขับมุ่งหน้าไปยังชานเมืองเป่ยสวิน ผ่านถนนผานซานที่คดเคี้ยววกวน ทิ้งรอยล้อรถไว้เต็มผืนดิน
แปดโมงเช้า รถจอดที่ตีนเขา เธอลงจากรถ ค่อยๆเดินขึ้นไปตามขั้นบันไดหิน
ยอดเขาจิ่วหมาง สถานที่บำเพ็ญเพียรทางศาสนา
แสงยามเช้าส่องทะลุหมอกเป็นเส้น หนานชูแต่งตัวเรียบง่าย เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขายาวสีดำ ขาเล็กเรียวยาวเป็นแท่งตรง สวมหมวกแก๊ปสีเทาปักพยัญชนะภาษาอังกฤษ เธอเดินวกวนเลาะเลียบไปตามแนวภูเขา ลึกเข้าไปเรื่อยๆ
เธอเดินผ่านป่าไผ่เขียวชอุ่ม มองเห็นชายคาสีน้ำตาลแดงอยู่รำไร เมื่อถึงปากทางก็เจอกับป้ายสีน้ำตาลแดงห้อยอยู่หน้าประตู ลมพัดฝนตกเนิ่นนาน ข้าวของเสียหายไม่เหลือชิ้นดี ตรงกลางป้ายมีตัวอักษรสลักเอาไว้ตัวใหญ่
วัดชิงฉาน
เขาจิ่วหมาง วัดชิงฉาน อยู่ห่างไกลผู้คน เงียบสงบไร้ซึ่งสิ่งรบกวน
ลัทธิเต๋า พุทธศาสนา และโชคชะตา
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นโชคชะตา
หนานชูหยิบธูปมาจากทางเข้าสามดอกแล้วเดินขึ้นไป จนมาถึงเรือนเล็กที่ตั้งอยู่หลังวัดซึ่งเป็นเรือนสี่ประสาน แม่ชีน้อยถือถังน้ำเดินผ่านและทำความเคารพเธอ
ตรงกลางเรือน มีกระถางธูปใหญ่สีดำตั้งอยู่ ควันธูปลอยอวล
หนานชูจุดธูป ยกถือขึ้นสูงแล้วเดินเข้าไปในอาคาร ภายในไม่มีผู้ใด กลิ่นไม้จันทน์หอมฟุ้ง หน้าประตูทางเข้ามีเบาะรองนั่งวางไว้สามอัน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองกลางตัวอาคาร ก็พบกับสายตาของพระพุทธรูปที่เปี่ยมล้นไปด้วยเมตตากรุณา
ปักธูปเสร็จ หนานชูเดินมาถึงห้องโถงปัวเหร่อ มีคนนั่งอยู่บนเบาะแล้วหนึ่งคน
หนานชูรีบก้มหัวค้อมตัวทำความเคารพ คนที่นั่งอยู่บนเบาะลืมตาขึ้น กวักมือให้หนานชูแล้วยื่นเบาะรองนั่งให้
“ดูจากสีหน้าของคุณแล้ว ช่วงนี้มีความสุขดีสินะ” นักพรตหญิงเอ่ย
ภายในห้องโถงหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นไม้จันทน์ หนานชูนั่งขัดสมาธิลงตรงข้ามนักพรตหญิง ตอบกลับ “ก็ดีค่ะ”
นักพรตหญิงท่านนี้อายุใกล้จะหกสิบแล้ว หน้าตาเป็นมิตร “หลับสบายดีใช่ไหม”
หนานชูพยักหน้า “ดีขึ้นมากแล้วค่ะ”
นักพรตหญิงครองผ้าสีเข้ม สอดมือไว้ในแขนเสื้อ หลับตาลง “มีเรื่องกวนใจเหรอ”
หนานชูส่ายศีรษะ ราวกับนักพรตหญิงสัมผัสบางอย่างได้ จึงพูดเสียงเบาทั้งที่ยังคงหลับตาว่า “ทุกครั้งที่คุณกลับมามักจะมีเรื่องกวนใจตลอด”
“ฉันเอาหนังสือมาคืนค่ะ” พูดจบหนานชูก็ยื่นหนังสือธรรมะในมือส่งให้
นักพรตหญิงเหลือบมองแว่บหนึ่งแต่ไม่ได้สนใจ “พวกคนที่ทำร้ายคุณอีกแล้วสินะ”
“ไม่ใช่ค่ะ”
นักพรตหญิงหลับตาถอนหายใจ ไม่เอ่ยคำใดต่อ
ภายในห้องโถงเงียบไปพักใหญ่ นักพรตหญิงถามขึ้นอีกครั้ง “เป็นเพราะผู้กองหลินใช่หรือไม่”
คำถามนี้ทำให้หนานชูอึ้งไป “คุณยังจำเขาได้?”
“มีโอกาสได้พบหนึ่งครา หากโชคชะตากำหนดย่อมจำได้”
เขาและเธอเคยมาจุดธูปไหว้พระด้วยกันหนึ่งหน หลินลู่เซียวไม่เชื่อเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ตอนนั้นเขาไม่ได้เดินเข้ามาด้วยซ้ำ แต่นักพรตหญิงยังจำเขาได้
พูดจบแม่ชีน้อยก็เดินเอาน้ำชาเข้ามา รอจนอีกฝ่ายกลับออกไปและปิดประตูลงแล้ว หนานชูจึงเอ่ยถามขึ้น “ในพุทธศาสนามีคำกล่าวถึงบุพเพสันนิวาสหรือเปล่าคะ”
ได้ยินดังนั้น นักพรตหญิงหันมองเธอชั่วขณะ “มีสิ”
“ว่าไว้อย่างไรหรือคะ” หนานชูตั้งใจฟัง
“ความรักใดๆล้วนอนิจจัง ไม่ยั่งยืน เพราะรักถึงได้เจ็บปวด เพราะรักถึงได้กลัว หากคนเราไม่มีรักก็จะไม่เจ็บปวดหวาดกลัวเช่นเดียวกัน”
ตะเกียงน้ำมันถูกจุดขึ้น เห็นเปลวไฟสีเหลืองทอง หนานชูเผลอจ้องมองอย่างไม่รู้ตัว “…ยังมีต่ออีกหรือเปล่าคะ”
นักพรตหญิงกล่าวต่อ “มนุษย์เรามีความเจ็บปวดอยู่แปดอย่าง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เลิกรา โกรธแค้น ไม่ได้อย่างหวัง ปล่อยวางไม่ลง สี่ข้อในนี้ล้วนมาจากความรัก”
หนานชูยกมือก่ายหน้าผาก “ไม่มีข้อดีสักอย่างเลยเหรอคะ”
“ความสัมพันธ์ชายหญิงเป็นสิ่งต้องห้ามในพุทธศาสนา คุณอยากฟังข้อดีจากฉันงั้นหรือ”
“…”
“วันนี้มีสวดมนต์ มานั่งฟังด้วยกันเถอะ ยังคงยืนยันคำเดิม ในเมื่อบอกคนอื่นให้หยุดพูดไม่ได้ คุณก็ต้องอุดหูตัวเองไม่ให้ได้ยิน เมื่อนั้นเสียงของคนที่ว่าร้ายคุณก็จะหายไป กรรมจะตามสนองคนชั่วเอง”
ทั้งสองคนลุกขึ้นจากเบาะรองนั่งแล้วเดินออกมา เมื่อมาถึงทางออก หนานชูที่ก้าวข้ามธรณีประตูก็ถามขึ้น “แล้วผู้กองหลินล่ะคะ”
นักพรตหญิงไม่หันมอง “คุณถามเพื่อตัวเขา หรือถามเพื่อตัวคุณเอง”
“ตัวเขาค่ะ”
นักพรตหญิงหยุดเดินแล้วหันหน้ากลับมาแล้วมองเธอ “เขาเป็นคนดื้อดึงมากนะ”
หนานชูที่เดินตามออกไปติดๆ เจอกับผู้มาใหม่เข้าพอดี เป็นผู้หญิงสองคน คนหนึ่งผมสั้น อีกคนผมยาว คนผมยาวหน้าตาจิ้มลิ้ม รวบผมไว้ด้านหลัง สวมชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อน มองแล้วแสบตานิดหน่อยเวลาแดดส่อง
สองคนนั้นทำความเคารพนักพรตหญิง ผู้หญิงผมยาวหันมองหนานชู จากนั้นก็ถามนักพรตหญิง “ท่านนักพรตคะ วันนี้ขอปรึกษาเรื่องความรักได้หรือไม่คะ”
หนานชูรู้สึกคุ้นหน้าหญิงสาวคนนี้เหลือเกิน จึงมองดูอีกสองครั้ง แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเป็นหมอสาวที่โรงพยาบาลเมื่อคืนวันนั้นนั่นเอง
นักพรตหญิงพนมมือขึ้นแล้วตอบกลับ “เวลาแห่งบุพเพสันนิวาสผ่านไปแล้ว คุณค่อยมาใหม่วันหลังเถอะ”
สองคนนั้นหันมองหน้ากันไม่ยอมกลับ “ท่านนักพรตคะ คุณพูดแบบนี้ทุกครั้งเลย!”
“ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนพึ่งโชคชะตา” ทั้งสองคนเกือบจะเข้าใจ แต่พวกเธอก็หงุดหงิด ผู้หญิงผมสั้นถลกแขนเสื้อขึ้นต้องการจะคุยกับนักพรตหญิงให้รู้เรื่อง แต่โดนผู้หญิงผมยาวรั้งไว้ “จะเวลาอะไรก็เถอะ ท่านนักพรตคิดเองเออเองหรือเปล่าคะ”
นักพรตหญิงยิ้มบาง “เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”
นักพรตหญิงใจแข็งไม่ให้พวกเธอปรึกษา ทั้งสองคนจึงกลับไปด้วยความขุ่นเคือง “หมอสองคนนี้มาหลายรอบแล้ว”
“ทำไมคุณไม่ช่วยดูให้พวกเขาไปล่ะคะ”
“ธรรมะนั้น หากเราเชื่อมันก็มี หากไม่เชื่อก็ไร้ซึ่งความหมาย พวกเขาไม่เชื่อในธรรมะ แต่กลับมาขอพรพระ คุณว่าพระท่านจะสนใจไหมเล่า”
…
หลังจากฟังบทสวดมนต์จบ นักพรตหญิงเชื้อเชิญเธอให้กินอาหารเจด้วยกัน กว่าหนานชูจะลงจากเขาก็เย็นพอดี
ดวงอาทิตย์ตกดิน แสงสุดท้ายสะท้อนขอบฟ้าและก้อนเมฆ ก่อเป็นสีสันละลานตา
งานแสดงไวโอลินเริ่มตอนหกโมงเย็น หนานชูมาถึงตอนงานเริ่มพอดี แสงไฟฝั่งที่นั่งของผู้ชมดับลง เธอชะเง้อมองก็พบว่าหลินฉี่ยกไวโอลินขึ้นนั่งอยู่บนเวทีแล้ว
หนานชูมองไปรอบด้าน สายตาจับจ้องไปยังที่นั่งแถวสุดท้าย เธอกดปีกหมวกลง งอตัวค้อมหลังเดินเข้าไป พูดกับคนที่นั่งอยู่ริมนอกสุดว่า “รบกวนช่วยขยับเท้าหน่อยค่ะ”
คนคนนั้นนิ่งไม่ขยับ หนานชูขมวดคิ้ว หันไปมองก็เห็นว่าเป็นหลินลู่เซียวที่กำลังนั่งกอดอกอยู่ เขากางขายาวทั้งสองข้างอย่างผ่อนคลาย มองเธอด้วยสายตาเฉยชา
บังเอิญชะมัด
“ผู้กองหลิน ขยับเท้าออกหน่อยค่ะ”
เขาเหลือบมองเธอสองสามวินาที แล้วค่อยๆขยับเท้าออก หนานชูเดินเข้าไป นั่งลงด้านข้างเขา
การแสดงเริ่มขึ้น
สายตาของคนด้านข้างกลับไปจดจ้องที่เวที หนานชูหันข้างมองเขา เขาสวมชุดลำลอง เสื้อยืดสีขาวกางเกงสีดำ มองดูแล้วสะอาดสะอ้านสบายตา เพียงแต่สันกรามคมชัดนั้นราวกับมีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า “ไม่รู้จักอย่าเข้าใกล้”
อย่างเธอคงไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าหรอกมั้ง หนานชูปลอบใจตัวเอง
เธอใช้ศอกดันเขา เขาไม่ขยับ หนานชูดันอีกครั้ง เขาก็ยังไม่สนใจอยู่ดี ชายหนุ่มนิ่งไม่ขยับราวกับรูปปั้น
ครั้งที่ห้า หลินลู่เซียวขมวดคิ้วเป็นเส้นหันมองเตือนเธอด้วยสายตาที่บอกว่า อยู่นิ่งๆซะ แต่สุดท้ายกลับเห็นเธอดึงเสื้อของเขาไว้ พูดจาทะเล้นอย่างได้ใจ
“ผู้กองหลิน เสื้อคู่นะคะเนี่ย”
หลินลู่เซียวก้มมอง จริงด้วย
เสื้อยืดสีขาวกางเกงสีดำ หมวกแก๊ปที่หนานชูสวมอยู่บดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งของเธอไว้ แต่บดบังรอยยิ้มมุมปากไม่มิด
หญิงสาวสวมกางเกงขาสั้น เผยให้เห็นเรียวขายาวขาวนวล หลินลู่เซียวค่อยๆละสายตาออกจากขาของเธอ
เด็กน้อยโตขึ้นเยอะแล้ว
“อืม” ท่ามกลางเสียงดนตรีดังกึกก้อง หากไม่ตั้งใจฟังให้ดี ยากที่จะได้ยินเสียงตอบรับของเขาคำนั้น
หนานชูรู้สึกว่าคำพูดของตนได้รับการสนับสนุน สีหน้าท่าทางของคนข้างกายเย็นชาสงบนิ่ง ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด เธอจึงเริ่มมองเขาอย่างซุกซน
ผมสั้นสีดำขลับ เขามักจะไว้ผมทรงสกินเฮดมาตรฐานเสมอ เส้นผมขึ้นตรงราวกับเหล็กเข็ม ดวงตากลมโต ลูกตาดำดำสนิท หางตาตวัดขึ้นเหมือนกำลังยิ้ม จมูกโด่งเป็นสัน สันกรามคมชัด
เขานั่งดูการแสดงดนตรีอย่างสบายอารมณ์ ไม่ปริปากพูดจา
ภายในฮอลล์จัดแสดงดนตรีแทบไม่มีแสงไฟ มีเพียงแสงสปอตไลท์จากเวทีสาดมาบ้างเป็นระยะ เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด
พอสปอตไลท์ส่องผ่านเขา ทั้งตัวของเขาก็สว่างไสว ผมสีดำวาวสะท้อนแสงจนเห็นเป็นสีขาว เห็นขนตาชัดเจนจนนับเส้นได้
เมื่อแสงมืดลงก็ยังพอเห็นโครงหน้าเด่นชัดนั้นอยู่ ทั้งร่างกายของผู้ชายคนนี้ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งบึกบึนราวกับเหล็กกล้า เธอคิดภาพไม่ออกเลยว่าเวลาใจเต้นเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง เขาจะมีปฏิกิริยาแบบไหน
“เธอจ้องฉันทำไมอยู่ได้” หลินลู่เซียวจ้องมองคนตรงหน้า เอ่ยถามขึ้นเสียงเบา
“ก็พี่หล่อ” หนานชูเอียงคอจ้องเขาตอบอย่างไม่ต้องคิด
“ปัญญาอ่อน” หลินลู่เซียวสบถ
หนานชูเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างมีความสุข แอบหันมองเขาบ้างเป็นระยะ จู่ๆก็เรียกเขาขึ้นว่า “นี่”
ในที่สุดหลินลู่เซียวก็หันมองเธอ สายตาของหนานชูจับจ้องไปที่เวที พร้อมทั้งชี้นิ้วออกไป ถามเสียงค่อย “พี่กับเด็กนั่นเป็นอะไรกันเหรอ”
เด็กนั่น? หลินลู่เซียวเลิกคิ้ว พูดเสียงทุ้มต่ำ “เธออายุมากกว่าเขาไม่กี่ปีเองนะ”
หนานชูขมวดคิ้ว พูดจาขึงขัง “มากกว่าตั้งเยอะ”
หลินลู่เซียวหัวเราะประชด เปิดฝาขวดน้ำที่วางอยู่ข้างกาย ยกดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง หมุนปิดฝาขวดแล้วถามกลับไปว่า “แล้วเธอคิดว่าเป็นอะไรกันล่ะ”
หนานชูจ้องลูกกระเดือกที่กำลังเคลื่อนไหวตาไม่กะพริบ ใจของเธอร้อนรุ่ม ทำเป็นพูดอย่างตกใจ “ไม่ใช่ลูกของพี่หรอกใช่ไหม”
หลินลู่เซียวกลอกตามองเธอ “ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนสมองเธอปกติดีนะ”
เป็นอย่างที่เธอคิด หนานชูถือโอกาสพูดต่อ “ทำไมพี่ถึงย้ายบ้านล่ะ”
หลินลู่เซียวเอนตัวพิงเบาะ มองเธอหน้านิ่ง