他从火光中走来
อุ่นหัวใจด้วยไฟรัก
เอ่อร์ตงทู่จื่อ 耳东兔子 เขียน
มู่หลินเซิน แปล
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ทดลองอ่านนี้ไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
บทที่ 1.4
“หืม”
หนานชูมองเขา แววตาของอีกฝ่ายนิ่งสงบไม่ต่างจากในอดีตมากนัก ทว่ามีความสุขุมเพิ่มเข้ามา เธอจำได้ว่าเมื่อก่อนแววตาของเขาจะดื้อรั้นกว่านี้เล็กน้อย ตอนที่หนานชูรั้งหลินลู่เซียว หลังจากเขาคิดทบทวนอยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็พาเด็กสาวกลับบ้าน
เขาให้หนานชูพักอยู่บ้านตัวเอง ส่วนเขากลับไปพักที่หน่วย ผ่านไปครึ่งเดือน พอถึงวันหยุดแรกที่จะได้กลับบ้าน ก็นานจนเขาลืมไปว่าที่บ้านยังมีเด็กผู้หญิงอยู่ ตอนนั้นเกิดเหตุเครื่องบินลาดตระเวนหมายเลข 618 ติดไฟลุกไหม้ ขออนุญาตลงจอดกะทันหัน ทั้งตำรวจติดอาวุธ หน่วยดับเพลิง พยาบาล หน่วยคอมมานโดต้องไปถึงสถานที่ลงจอดอย่างเร่งด่วน ไฟลุกลามเป็นบริเวณกว้าง สถานการณ์ตกอยู่ในอันตราย เมื่อการช่วยเหลือเสร็จสิ้น หน้าตาแต่ละคนก็ดำขะมุกขะมอมราวกับเพิ่งไปขุดถ่านหินมาอย่างนั้น
หลินลู่เซียวกลับถึงบ้านกลางดึก เขาตรงดิ่งไปอาบน้ำ อาบเสร็จก็ออกมาในสภาพที่มีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันรอบเอว มือถือผ้าขนหนูเช็ดผม เดินตรงไปที่เตียง พอนั่งลงก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ใต้ผ้าห่มมีอะไรนุ่มๆ
เมื่อหันไปมองก็เห็นมือนุ่มเล็กคู่นั้นจับชายผ้าห่มอยู่ โผล่ศีรษะออกมา สายตาไร้เดียงสากำลังจ้องมองเขา
กว่าเขาจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว
หญิงสาวพูดเสียงอู้อี้ “คุณนั่งทับขาฉันอยู่นะคะ”
ถึงแม้หญิงสาวตรงหน้าจะยังเด็ก แต่อกเอวบั้นท้ายมีครบสมบูรณ์
หลินลู่เซียวเป็นผู้ชายทั้งแท่ง ขณะที่เขารู้ตัวว่าสมองคิดเรื่องไม่ซื่ออยู่นั้นก็รีบลุกขึ้นยืน แต่คงลุกแรงไป ผ้าเช็ดตัวที่พันเอวอยู่จึงหลุดหล่นลงบนเตียง
เขาสวมเพียงกางเกงชั้นในขาสั้นสีเข้มตัวเดียวใต้ผ้าเช็ดตัว
หนานชูกะพริบตา พยายามจะเพ่งมองให้ชัดเจน แต่มีคนลากผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้าเธอจนมิดจึงเห็นเพียงความมืดดำ
หลินลู่เซียวหยิบเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นออกมาจากตู้ ยืนหันหลังให้เธอแล้วสวมเสื้อผ้าพลางพูดกับหญิงสาวที่อยู่ใต้ผ้าห่ม “ถ้าไม่นอนก็ยกเตียงให้ฉัน”
พอได้ยินเสียงประตูปิดลง หนานชูถึงหลับตานอนอย่างเชื่อฟัง เธอพักอยู่แบบนี้ราวเดือนกว่า
จนกระทั่งได้พบกับแฟนของหลินลู่เซียวในขณะนั้น
วันนั้นเป็นวันหยุดของหลินลู่เซียว เขากลับมาจากหน่วยได้ไม่นานก็มีคนเคาะประตูห้องเสียงดังไม่หยุด หนานชูถือถุงมันฝรั่งทอดเดินไปเปิดประตู
เมื่อประตูเปิดออก หญิงสาวอีกคนก็ตกใจเล็กน้อย เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและใบหน้ายิ้มแย้ม “หลินลู่เซียวอยู่ไหม”
หนานชูหยิบขนมเข้าปาก พยักหน้า จากนั้นหลินลู่เซียวก็เดินออกมาจากห้องน้ำพอดี สีหน้าของหญิงสาวคนนั้นเปลี่ยนไปทันที หนานชูเป็นคนความรู้สึกไวแต่เด็ก เธอชอบสังเกตพฤติกรรมคนอื่นจึงรีบอธิบาย “ฉันเป็นแค่น้องสาวญาติห่างๆของเขา มาขออยู่ด้วยแค่ชั่วคราวค่ะ”
ตอนนั้นหนานชูยังเด็ก หญิงสาวคนนั้นคิดว่าหลินลู่เซียวคงไม่เลวร้ายถึงขนาดทำกับเด็กมัธยมปลายได้ลงคอ เธอจึงค่อยผ่อนคลายลง แต่ยังไม่วายหันมองหนานชูด้วยแววตาสงสัย
อาหารเย็นมื้อนั้นผ่านไปได้ด้วยดี ก่อนที่หญิงสาวคนนั้นจะกลับยังพูดกับหนานชูอย่างเป็นมิตร “เดี๋ยวครั้งหน้าพี่พาไปเที่ยวนะจ๊ะ”
หนานชูผงกหัวอย่างเชื่อฟัง
คืนนั้นเธอได้รับสายจากผู้ช่วยของหนานเยว่หรู บอกว่าแม่เธอจะกลับมาพรุ่งนี้
หนานชูรีบเก็บข้าวของย้ายออกจากบ้านหลินลู่เซียว เขาขับรถมาส่งเธอที่โรงแรมแถวสนามบิน รุ่งขึ้นตอนเธอไปรับหนานเยว่หรูจะได้สะดวกหน่อย
หลินลู่เซียวขับรถเงียบๆ เขาเป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว เวลาหงุดหงิดจึงยิ่งเห็นชัด
คืนวันนั้นหลินลู่เซียวอารมณ์ไม่ดีเท่าไรนัก แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกแย่ยิ่งกว่านั้นคือ ตอนที่กำลังจะลงจากรถ หนานชูยื่นเงินปึกหนาให้เขา “ตามที่ตกลงกันไว้ค่ะ นี่เป็นเงินค่าเช่าของเดือนนี้”
หน้าต่างรถเปิดกว้าง สายลมแห่งห้วงราตรีโบกพัด หลินลู่เซียวยื่นแขนไปนอกประตูสูบบุหรี่ หลับตาลง สูดควันเข้าปอดครั้งแล้วครั้งเล่า ควันบุหรี่ลอยอวล แต่ไม่ยื่นมือไปรับเงินก้อนนั้น
หนานชูเลยวางเงินไว้บนเบาะที่นั่งข้างคนขับ แล้วหันหลังลงจากรถไป
เธอยืนอยู่นอกรถ โบกมือลาเขา “ผู้กองหลินคะ ที่ผ่านมาขอบคุณคุณมากเลยนะคะ!” พูดจบก็เดินจากไป
หนานชูลาจากโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ถึงขนาดที่หลินลู่เซียวซึ่งนั่งอยู่บนรถสูบบุหรี่หมดไปแล้วสองมวนค่อยรู้สึกตัว เขาหยิบปึกเงินบนเบาะ ก้าวลงจากรถแล้วทิ้งมันลงถังขยะ
เขาหันหลังเดินกลับมาสองก้าวแล้วหยุดนิ่ง ลูบผมตัวเองครู่หนึ่งก่อนจะเดินกลับไปอีกครั้ง หยิบปึกเงินขึ้นมาแล้วโยนเข้าไปในรถ ก่อนจะสตาร์ตเครื่องยนต์ขับออกไป
คืนนั้นเขาอารมณ์เสียมากถึงมากที่สุด คิดว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกอะไรกับผู้หญิงคนนั้นแม้แต่น้อย
เด็กน้อยที่ยังไม่โต ขนยังขึ้นไม่ครบเลยด้วยซ้ำ จะไปคิดอะไรกับเธอได้เล่า ถึงจะเป็นตอนนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม หลินลู่เซียวคิดแบบนั้น แต่เมื่อเขาหันหน้าไปมองหนานชู เด็กสาวก็กำลังหันหน้ามองเขาตาเป็นประกายอยู่เช่นกัน
เสียงดนตรีภายในฮอลล์ดังกึกก้อง หลินฉี่หลับตาดื่มด่ำกับการแสดง แสงไฟสาดส่องไปมา เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด
หนานชูมองคนข้างกาย กระซิบใส่หูเขา “หลังจากวันนั้นฉันไปตามหาพี่ที่หน่วยมาด้วยนะ”
หลินลู่เซียวเหล่มอง
“ทหารยามบอกว่าพี่ย้ายไปสังกัดที่เมืองอื่นแล้ว” เขาหันกลับ ตอบอืมเสียงเบา หนานชูเอียงหัว “ตอนนี้ยังโดนย้ายไปย้ายมาอยู่ไหมคะ”
“ต้องรอดูเบื้องบนสั่งการ”
“อ๋อค่ะ” หนานชูพยักหน้า ชี้นิ้วไปเบื้องหน้า “ฟังดนตรีต่อเถอะ”
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรขึ้น จวบจนการแสดงดนตรีจบลง ผู้คนค่อยๆทยอยออกไป ทั้งฮอลล์จัดแสดงเหลือเพียงหนานชูและหลินลู่เซียวที่ยังนั่งอยู่
เมื่อหลินฉี่กำชับทีมงานเรื่องอุปกรณ์เสร็จก็กระโดดลงจากเวที วิ่งกระโดดโลดเต้นมาทางที่นั่งผู้ชม พอเห็นสองคนนั่งอยู่ด้วยกันก็ตกใจ “ทำไมพวกเธอสองคนถึงอยู่ด้วยกันล่ะ”
หนานชูพูด “ฉันมาสายน่ะ ก็เลยหาที่ว่างนั่งๆไปก่อน”
หลินฉี่ผงกหัว หนุ่มน้อยไร้เดียงสาน่ารักน่าชัง ชี้นิ้วใส่หลินลู่เซียวที่นั่งอยู่ “นี่พี่ชายฉันเอง” หลินฉี่หันมองหลินลู่เซียว แล้วชี้ไปที่หนานชู “ส่วนพี่สาวคนสวยคนนี้เป็นนางแบบ ชื่อหนานชู”
หนานชูทำท่าตกใจ ร้องอ๋อหันไปทางหลินลู่เซียวแล้วพูด “เสียมารยาทแล้ว ขอโทษด้วยนะคะ”
หลินลู่เซียวไม่สนใจ พลางกลอกตา หลินฉี่นี่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย ดูไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น แถมยังช่วยปกป้องพี่ตัวเองอีก “พี่ชายฉันก็แบบนี้แหละ นิสัยไม่ค่อยดี เธออย่าไปสนใจเขาเลย”
หนานชูหัวเราะเสียงค่อย “ทำไมจะ…”
“ไปกันเถอะ พี่หว่านน่าจะมาแล้ว” หลินฉี่พูดจบก็เดินนำออกไป
ทั้งสามคนเดินลงมาจากชั้นบน หลินฉี่กับหนานชูเดินอยู่ข้างหน้า หลินลู่เซียวมือล้วงกระเป๋าเดินตามอยู่ข้างหลัง ระหว่างที่เดินออกจากฮอลล์นั้น ที่อีกฝั่งถนนก็มีรถออดี้สีขาวเพิ่งหยุดจอดพอดี
หลินฉี่ตาดีเห็นเป็นคนแรกก็ชี้ไปยังผู้หญิงที่เพิ่งลงจากรถคันนั้นแล้วบอกให้หนานชูฟังว่า “ผู้หญิงคนนั้นชื่อเซี่ยหว่าน เป็นหมอ”
ถ้าเป็นแฟนกัน หลินฉี่คงแนะนำว่า…นี่พี่สะใภ้ผมเองครับ งั้นแสดงว่าเธอเป็นแค่เพื่อนสินะ
หนานชูเห็นอีกฝ่ายมาในชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อน สองขาเรียวยาว ยังคงเป็นเสียงรองเท้าส้นสูงที่คุ้นเคยซึ่งเธอได้ยินเมื่อคืนนั้น
เซี่ยหว่านถือกล่องใบหนึ่งเดินมาตรงหน้าทั้งสามคน ยกมือจัดผมหน้าม้า แล้วพูดเสียงหอบ “เมื่อกี้วิ่งไปเอาเค้กมาน่ะ ไม่งั้นฉันอาจจะมาทันนายเล่นเพลงสุดท้าย…”
พูดไปได้ครึ่งเดียวก็ได้ยินเสียงหนานชูที่ยืนอยู่ข้างกายหลินฉี่กระแอมหนึ่งครั้ง หลินฉี่รีบยื่นมือไปรับเค้กจากเซี่ยหว่าน แล้วพูดแนะนำ “นี่เพื่อนที่ผมรู้จักที่มิลานครับ ชื่อหนานชู”
เซี่ยหว่านมองเธอชั่วครู่แล้วยิ้มกว้าง “ฉันรู้จักคุณ คุณสวยกว่าในโทรทัศน์อีก หุ่นดีมากเลย”
คำพูดชื่นชมตามมารยาทของผู้หญิงพูดเท่าไรก็ไม่เคยพอ
หนานชูกำลังจะพูดว่าคุณก็สวยมากเลยเหมือนกัน แต่โดนหลินฉี่ลากตัวให้เดินต่อ “ไม่ต้องพูดชมกันไปชมกันมาแล้ว ฉันยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย หิวจะแย่แล้วเนี่ย!”
หลินฉี่เป็นคนตัวเล็ก แต่แรงเยอะกว่าหนานชูมาก อยู่ๆโดนฉุดลากแบบนี้เธอก็เซเหมือนกัน เธอเหลือบไปเห็นว่าเซี่ยหว่านซึ่งสวมกระโปรงสั้นเดินเข้าไปหาคนที่อยู่ด้านหลัง
สี่คน สองคู่ คู่หนึ่งเดินอยู่หน้า คู่หนึ่งเดินอยู่หลัง หนานชูโดนหลินฉี่ลากตัวไป แต่ใจยังสนใจคนด้านหลังอยู่
จันทร์เสี้ยวส่องแสงสว่างกลางค่ำคืน เงาคนทอดยาว ลมพัดผ่านข้างหูไม่หยุด
เซี่ยหว่านเดินเข้าไปหาหลินลู่เซียว “วันนี้คุณเลิกงานไวเหรอคะ”
“วันหยุดน่ะ” ลมพัดแรงเลยได้ยินเสียงไม่ค่อยชัด
หลินฉี่เดินไปสองก้าว เห็นว่าหนานชูตามไม่ทันจึงหันไปพูดว่า “เธอก็ขายาว ทำไมเดินช้าจัง”
หนานชูไม่สนใจเขา เดินทอดน่องต่อ เสียงจากด้านหลังดังขึ้นอีก
“วันนี้หมอที่แผนกของฉันคนหนึ่งโดนญาติผู้ป่วยทำร้ายด้วย ตอนนั้นฉันตกใจแทบตายแน่ะ”
เซี่ยหว่านเหมือนนกขมิ้นที่ร้องเจื้อยแจ้ว มีเรื่องให้พูดไม่รู้จบ เฉียดเรื่องอันตรายนี้ทีนู้นทีไม่หยุดหย่อน แต่ผู้ชายข้างกายกลับไม่รู้ว่าเธอต้องการจะสื่ออะไร
อย่างเช่น…เซี่ยหว่านพูดว่า “วันนี้ตอนฉันกินยา ฉันอ่านเจอข่าวหนึ่งด้วย คุณอยากรู้ไหมคะ”
หลินลู่เซียวพูด “ข่าวอะไร”
เซี่ยหว่านเล่าต่อ “มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งออกกำลังกายตอนกลางคืนแล้วหายตัวไป วันหลังฉันคงไม่กล้าวิ่งตอนกลางคืนแล้ว หรือครั้งหน้าเราไปวิ่งด้วยกันดีไหมคะ”
หลินลู่เซียวตอบ “ฉันไม่ชอบวิ่งตอนกลางคืน”
เซี่ยหว่าน “คืนนี้หนาวจังเลย”
“…” เงียบไร้ซึ่งเสียงตอบรับ
เซี่ยหว่านพูดขึ้นอีกว่า “คืนนี้ทำไมถึงได้หนาวจังเลยนะ”
หลินลู่เซียวพูด “ไม่หนาวนะ”
หลินฉี่หันมองหนานชูที่อยู่ด้านข้าง “ทำไมอยู่ๆถึงหัวเราะขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผลล่ะ”
“งั้นเหรอ”
“ฉันเห็นฟันกรามของเธอหมดแล้วเนี่ย!”
“อยู่ๆฉันก็คิดว่าวันนี้นายหล่อมากเลย”
“เธอบ้าหรือเปล่า!” หลินฉี่ว่าเธอ
โรงแรมที่หลินฉี่จองไว้อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน เมื่อทั้งสี่คนเดินเข้าไปในร้านก็มีพนักงานเดินมาต้อนรับ หลินฉี่ส่งเค้กให้พนักงานพลางบอกพวกเขา “เดี๋ยวกินอาหารเสร็จค่อยเสิร์ฟนะครับ” พูดจบก็ลากหนานชูเดินเข้าห้องส่วนตัวในร้าน
หนานชูแกะมือเขาออก ถามอีกฝ่าย “วันเกิดนายเหรอ”
เธอเพิ่งรู้จักเขาเมื่อปลายปีที่แล้ว ไม่เคยได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงวันเกิดมาก่อน
พอเข้ามาในห้องส่วนตัว เด็กหนุ่มลากเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง ตบเบาะเก้าอี้ด้านข้าง เชื้อเชิญให้หนานชูมานั่ง สีหน้าท่าทางของเขาเหมือนพี่ชายอย่างกับแกะ
หนานชูนั่งลง หลินฉี่หยิบแก้วตรงหน้าเธอแล้วรินน้ำให้ เขารินน้ำไปพูดไป “เธอไม่ต้องกดดันนะ ฉันไม่ได้หวังของขวัญจากเธออยู่แล้ว แค่ทุกคนมากินข้าวพร้อมหน้ากันก็ถือว่ามาฉลองวันเกิดให้ฉันแล้วละ”
รินน้ำเสร็จก็ดันแก้วส่งให้ “ดื่มสิ ไม่มียาพิษหรอก”
หนานชูยกมือสัมผัสแก้วน้ำ หลินฉี่พูดเสริมต่อ “เธอไม่รู้หรอกว่าพี่ชายฉันนัดยากแค่ไหน สิบกว่าวันถึงจะได้เจอสักครั้ง เธอลองเดาดูว่าเขาทำงานอะไร”
หนานชูกุมแก้วแล้วส่ายหน้า
“ดับเพลิงน่ะ” หน้าของหลินฉี่เต็มไปด้วยความนับถือและภูมิใจ “เป็นไง อึ้งเลยละสิ!”
“…” งี่เง่า หนานชูคิด ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกัน อีกสองคนก็เดินเข้ามาดุจหอยทากเชื่องช้าสองตัว
หลินฉี่หันไปมองหลินลู่เซียวแล้วชี้ไปยังที่นั่งฝั่งตรงข้าม “พี่ พี่นั่งตรงนี้!”
หลินลู่เซียวล้วงกระเป๋าเดินตรงไป ส่วนเซี่ยหว่านที่เดินตามหลังมาโมโหฮึดฮัด “หลินฉี่ ทำไมนายไม่เรียกฉันนั่งล่ะ”
หลินฉี่ลืมตาโตทำท่าไร้เดียงสา “ก็พี่ไม่ใช่พี่ชายผมสักหน่อย”
เซี่ยหว่าน “…”
หนานชูอดเห็นใจเซี่ยหว่านไม่ได้ พี่น้องสองคนนี้อีคิวต่ำพอกันเลยจริงๆ พอหลินลู่เซียวนั่งลง หลินฉี่จึงหันกลับมองมองหนานชู “เมื่อกี้ฉันเล่าถึงไหนแล้วนะ”
“นายบอกว่าพี่ชายของนายเป็นเจ้าหน้าที่ดับเพลิง แล้วถามฉันว่าอึ้งเลยใช่ไหม”
หนานชูพูดพลางเหลือบมองหลินลู่เซียว อีกฝ่ายคว่ำปากอย่างที่น้อยนักจะได้เห็น
“…”
หลินฉี่พยักหน้า “ใช่ๆๆ! ฉันน่ะ มีความฝันอยากเป็นเจ้าหน้าที่ดับเพลิงมาตั้งแต่เด็กแล้ว”
หนานชูพูด “ฉันจำได้ว่านายเคยให้สัมภาษณ์ บอกว่าความฝันตั้งแต่เด็กของนายคือเป็นนักไวโอลินนี่”
หลินฉี่ตอบ “ฉันยังเคยให้สัมภาษณ์ว่าอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้วย คำพูดพวกนั้นเชื่อได้ที่ไหนกัน” พูดจบถึงค่อยรู้สึกตัว ตบขาแล้วพูด “โห ว่าแต่เธอไปค้นดูสัมภาษณ์ของฉันด้วยเหรอ นี่แอบรักฉันหรือเปล่าเนี่ย”
แอบรักกับผีน่ะสิ หนานชูกลอกตาใส่เขา หลินฉี่เห็นว่าคุยไปก็มีแต่จะแย่ลง “ไม่คุยกับเธอแล้ว เดี๋ยวมีคนปล่อยข่าวลือเรื่องเราสองคน เธอจะโดนคนด่าอีก”
ภาพลักษณ์ของหลินฉี่ในวงการบันเทิงถือว่าเป็นที่รักของผู้คน ชอบพูดจาขำขันล้อเล่นบ้างบางครั้ง เขาอายุน้อย แถมยังหน้าตาน่ารัก ประกอบกับมีนิ้วมือสะอาดเรียวยาวอย่างกับผู้หญิงเลยมีคนชอบเยอะพอสมควร แม้วงการไวโอลินจะค่อนข้างแคบ มีคนรู้จักหลินฉี่ไม่มากนัก แต่ไม่กี่คนนั้นก็เป็นแฟนพันธุ์แท้ทั้งหมด คะแนนนิยมสูงมากเลยทีเดียว
การจะฉีกทึ้งหนานชูให้แหลกลาญย่อมทำได้ทุกเมื่อ
หลินฉี่มองหลินลู่เซียวก่อนจะพูดขึ้นอย่างเสียดาย “ร่างกายของฉันไม่ได้แข็งแรงเหมือนพี่ชาย เลยสอบไม่ติดโรงเรียนทหารน่ะ สมัยเขาเรียนอยู่ในโรงเรียนทหาร มีแต่คนเรียกเขาว่า ‘หมาป่าเหล็ก’ เพราะกล้ามเนื้อเขาแข็งยิ่งกว่าหินอีกนะ”
พูดถึงตรงนี้ หลินลู่เซียวส่งสายตาเตือนหลินฉี่ไปหนึ่งครั้ง แต่หลินฉี่กลับยิ้มกว้างอย่างไม่รู้ความ “พี่ครับ พี่ถลกเสื้อโชว์ซิกซ์แพ็คหน่อยสิ”
“…”
หนานชูส่งสายตาบอกหลินฉี่เป็นนัยว่าสุดยอดมาก
เซี่ยหว่านหูแดง “หลินฉี่ มีใครที่ไหนทำให้พี่ชายตัวเองขายขี้หน้าอย่างนายบ้าง”
หลินฉี่พูด “ผมเปล่าสักหน่อย พวกดาราในวงการบันเทิงชอบโชว์ซิกซ์แพ็คโพสต์ลงไอจีกันนี่ ตัดต่อเนียนมาก ตอนอยู่มิลานผมกับพี่หนานชูเจอคนอเมริกันที่บาร์ เขาจะโชว์กล้ามให้เราดูใหญ่เลย ทำให้ผมกินข้าวไม่ลงไปครึ่งเดือนแหนะ พูดถึงกล้าม จะมีใครที่ไหนกล้ามสวยไปกว่าพี่ชายผมอีกล่ะ”
หนานชูจำได้ว่าตอนนั้นหนุ่มใหญ่ชาวอเมริกันยั่วหลินฉี่ จะลากเขาไปเปิดห้องให้ได้ ทำเอาหลินฉี่ตกใจกลัวจนไม่กล้านัดเธอไปเจอที่บาร์นั้นถึงครึ่งเดือน
หลินฉี่พูดจบกำลังเหยียดมือออกไป แต่โดนหลินลู่เซียวจับยึดไว้แล้วสะบัดกลับมา “อย่าทำอะไรบ้าๆ”
ปกติหลินลู่เซียวไม่ค่อยใส่ใจอะไรเท่าไร ล้อเล่นบ้างก็ไม่เป็นไร แต่เวลาจริงจังขึ้นมา ดวงตามักไร้อารมณ์ ทำให้คนที่เห็นแล้วกลัวไม่เบา หลินฉี่ไม่กล้าทำอีกจึงเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างเคอะเขิน
พนักงานเริ่มยกอาหารมาเสิร์ฟ บรรยากาศเงียบงัน อย่างไรเสีย หลินฉี่ก็กลัวหลินลู่เซียว โดนสั่งห้ามก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ทำได้แค่แลบลิ้นใส่หนานชู แล้วนั่งหน้าเศร้าเบะปากอยู่ข้างๆ
เซี่ยหว่านมองหลินลู่เซียว อีกฝ่ายกำลังก้มหน้ากินอาหาร หญิงสาวเรียกเขา “หลินลู่เซียว”
หลินลู่เซียวยังคงก้มหน้า “หืม”
เซี่ยหว่านลังเลอยู่นาน ก้มหน้าพูด “ช่วงนี้ฉันเจอเรื่องมาเรื่องหนึ่งน่ะ”
หลินลู่เซียวตอบ “อืม”
เซี่ยหว่านถือตะเกียบเขี่ยข้าวในชามไปมาไม่หยุด หนานชูมองหลินลู่เซียว จู่ๆก็รู้สึกว่าตานี่ไอคิวต่ำแบบนี้ก็ถือเป็นเรื่องดีเหมือนกัน
เซี่ยหว่านพูดหยั่งเชิงอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง “คนไข้คนนั้นของฉันน่ะ ช่วงนี้เอาแต่ส่งดอกไม้มาให้ที่แผนก จนคนอื่นคิดว่าเขาเป็นแฟนฉันแล้ว ตอนนี้เวลาฉันไปทำงานก็รู้สึกไม่ค่อยดีเลย คุณว่าฉันควรทำยังไงดี”
หลินฉี่หัวเราะเสียงดังพลางตบโต๊ะ “พี่ถามพี่ชายผมเหรอ พี่หมายความว่ายังไงกันแน่เนี่ย!”
หนานชูมองหลินฉี่ หรือว่าเจ้าเด็กนี่มองออกแล้วสินะ
เซี่ยหว่านคิดว่าตัวเองโดนจับได้อย่างง่ายดาย รีบพูดขึ้น “ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น… ฉันแค่อยากปรึกษาปัญหานี้กับทุกคนเฉยๆ หนานชูก็อยู่ด้วยนี่ เธอสวยมากขนาดนี้คงเจอเรื่องพวกนี้บ่อยแน่ นายอย่าคิดเลยเถิดเชียวนะ!”
หลินฉี่พูด “ผมไม่ได้คิดเลยเถิดสักหน่อย พี่ชายผมเหรอ เขาจะไปรู้เรื่องอะไร! ส่วนหนานชู พี่ก็คิดมากเกินไป ในวงการบันเทิงไม่มีคนกล้าจีบเธอสักคน”
เด็กบ้า หนานชูคิดในใจ
เซี่ยหว่านค่อยสบายใจขึ้นหน่อย หันหน้ามองหลินลู่เซียว เขากลับไม่แสดงสีหน้าอาการ เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าว
เซี่ยหว่านเคาะโต๊ะ “นี่ คุณจะไม่พูดอะไรสักหน่อยเหรอว่าฉันควรจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดี!” พูดจบก็ย้ำอีกรอบ “มีคนจีบฉัน! ส่งดอกไม้มาที่ห้องทำงานฉันทุกวัน! จนคนอื่นคิดว่าฉันมีแฟนแล้ว! ฉันต้องทำยังไง”
คำว่ามีคนจีบฉัน สี่พยางค์นี้พูดย้ำเสียงดังหนักแน่นมาก! หนานชูคิดว่าถ้าหลินลู่เซียวยังไม่สนใจอีก เซี่ยหว่านคงพูดต่อไปว่ามีคนบังคับขืนใจเธอแน่ๆ
หลินลู่เซียวกินข้าวไวมาก แค่สองสามคำก็หมดชามแล้ว เขาเอื้อมมือหยิบกระดาษทิชชู่ “ก็ดีแล้วนี่”
เซี่ยหว่านหันมองเขาอย่างเหลืออด “อะไรนะ”
เมื่อหลินลู่เซียวเช็ดปากเสร็จก็โยนกระดาษทิชชู่ทิ้งลงถังขยะ มือล้วงกระเป๋ากางเกง เอนหลังพิงเบาะ นั่งอย่างสบายอารมณ์แล้วพูดขึ้น “คุณก็ยังไม่มีแฟนไม่ใช่เหรอ”
เซี่ยหว่านกำตะเกียบเคาะลงบนโต๊ะสองที “แต่คุณก็ยังไม่มีแฟนเหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ!”
หลินลู่เซียวไม่ตอบ หนานชูอดพูดแทรกขึ้นไม่ได้ว่า “ผู้กองหลินยังแก้ปัญหาชีวิตตัวเองไม่ได้เลยนี่”
เซี่ยหว่านพูดอย่างดื้อดึง “ใช่ นิสัยแบบนี้จะมีใครที่ไหนยอมแต่งงานกับเขา!”
หนานชูยิ้มให้เซี่ยหว่าน พูดเอื่อยๆ “ฉันว่ามีเยอะเลยนะคะ”
เซี่ยหว่านหุบยิ้ม มองเธอด้วยท่าทีระแวดระวัง หลินลู่เซียวยืนขึ้น
หลินฉี่รีบพูดรั้งเขา “พี่ พี่จะไปไหน”
“สูบบุหรี่” เขาเดินไปโดยไม่หันมามองสักนิด หลินลู่เซียวเดินออกไปแล้ว ในห้องเหลือแค่พวกเขาสามคน ไม่นานนักหนานชูก็ลุกขึ้นยืน
เซี่ยหว่านมองเธอ “คุณจะไปไหน”
นี่คือข้อแตกต่างระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย ความรู้สึกเป็นภัยของผู้หญิงเพียงแค่มองแววตาก็รู้ หนานชูยิ้มบางๆพูดเชื้อชวนเธอเสียงเป็นมิตร “ไปห้องน้ำค่ะ ไปด้วยกันไหมคะ”