[ทดลองอ่าน] โชคลาภหมื่นล้านบันดาลรัก ตอนที่ 49

โชคลาภหมื่นล้านบันดาลรัก
天降横财一百亿

เจียงจื่อกุย 江子归 เขียน
เหวินหรง แปล

 

— โปรย —

สวี่รุ่ย อดีตคุณหนูไฮโซต้องตกระกำลำบากทำงานทุกอย่าง
เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพและย่าผู้รักเธอสุดหัวใจ
ยังไม่ทันจบมหาวิทยาลัย เธอกลับต้องเสียชีวิตขณะขับรถรับจ้าง

สวรรค์บันดาลให้เธอย้อนเวลากลับมาเจ็ดปีก่อน
พร้อมกับระบบผลาญเงินที่แต่ละครั้งจะเพิ่มจำนวนเงิน
และระยะเวลาในการใช้เงินขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงหนึ่งหมื่นล้านหยวน!
สำหรับคุณหนูที่เคนใช้ชีวิตอู้ฟู่ การใช้เงินมือเติบอย่างนี้นับเป็นแค่เรื่องขี้ปะติ๋ว

แต่เงื่อนไขของภารกิจคือ หลังจบการทดลองระบบผลาญเงินแล้ว
จะริบสิ่งของทุกอย่างที่ใช้เงินภารกิจซื้อกลับคืน
เธอจึงต้องวางแผนหรือกระทั่งเล่นเล่ห์หาช่องโหว่ด้วยการใช้เงินต่อเงิน
เพื่อที่จะมีเงินเป็นของตัวเอง

ดังนั้นไม่ว่าธุรกิจอะไรที่เธอรู้ว่าจะเติบโตในอนาคต เธอล้วนลงทุนทั้งหมด
ขณะเดียวกันเธอยังต้องกลับมาสานสัมพันธ์กับคนในครอบครัว
ที่ชาติก่อนเธอเคยคิดว่าเกลียดเธออย่างตาและน้าชายด้วย
ชีวิตใหม่ของสวี่รุ่ยจึงยุ่งวุ่นวายอย่างช่วยไม่ได้

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

49

 

สวี่รุ่ยรับสายน้าสะใภ้ก็เดาว่าหล่อนน่าจะโทร.มาถามถึงข่าวในโลกออนไลน์

สวี่รุ่ยรู้สึกประหลาดใจตงิดๆ เพราะเธอจัดการข่าวได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ แล้วข่าวพวกนี้ดังไปถึงฮ่องกงได้อย่างไร…สุดท้ายถึงได้รู้ว่าคนที่รู้ข่าวก่อนใครไม่ใช่น้าสะใภ้แต่กลับเป็นตา

“ตารู้แล้วเหรอคะ”

ตอนสวี่รุ่ยได้ยินน้าสะใภ้พูดว่าตารู้เรื่องที่เธอกลับมาหาบิดาที่เมือง C แล้ว สวี่รุ่ยก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร

ที่เธอไม่ยอมบอกตา แท้จริงแล้วเป็นเพราะเธอแอบกลัว ว่ากันตามนิสัยใจคอของตา จะต้องขุ่นเคืองจนระงับอารมณ์ไม่ได้แน่ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สวี่รุ่ยกลัวไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เธอยังกลัวว่าตาจะขีดเส้นแบ่งแยกระหว่างเธอกับเขาเข้าจริงๆ

แรกเริ่มเดิมทีตาก็ทำแบบนั้นกับแม่ของเธอเช่นกัน ตัดความสัมพันธ์ไม่เหลือเยื่อใย

“เชอร์รี เธอฟังอยู่หรือเปล่า”

สวี่รุ่ยได้สติกลับมา “อ้อ ค่ะ หนูฟังอยู่”

น้ำเสียงของคังซูเสียนอ่อนลง “ฉะนั้นเขาถึงได้บอกว่าตาหลานไม่โกรธกันข้ามคืน หลังทราบข่าว เขาก็เป็นห่วงเธอมาก…”

สวี่รุ่ยอดเอ่ยแทรกไม่ได้ “เป็นห่วงหนูมากเหรอคะ ตาต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟมากกว่า”

ท้ายที่สุดแล้วข่าวฉาวนั่นก็ไม่มีอะไรดีเลยจริงๆ อวดร่ำอวดรวยยังพอทน ปัญหาอยู่ตรงเรื่องรักร่วมเพศ ชายชราจะยอมรับได้อย่างไร ไหนจะรูปภาพเหล่านั้นอีก…เธอชักจะวิตกเสียแล้ว

สวี่รุ่ยถามต่อ “ตาไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหมคะ”

คงไม่โกรธเธอจนอกแตกตายไปจริงๆ หรอกมั้ง

คังซูเสียนตอบเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นอะไรเลยจ้ะ เขาจะเป็นอะไรได้ล่ะ ตาของเธอบอกว่าปล่อยให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของเขา เขาจะจัดการเอง”

สวี่รุ่ยคาดไม่ถึงนิดหน่อย ทั้งยังไม่ค่อยสบายใจ “ตาบอกว่าจะจัดการเองเหรอคะ”

คังซูเสียนตอบทันควัน “ใช่จ้ะ เรื่องแบบนี้ตาของเธอพูดคำเดียวก็จบแล้ว ดังนั้นเธอไม่ต้องกังวลนะ เธอยังเด็ก เดิมเรื่องแบบนี้ก็ควรปล่อยให้ผู้ใหญ่จัดการ ครอบครัวเธอมีคนนับหน้าถือตา คนไม่ดีประเภทนั้น ไม่จำเป็นต้องให้เธอเปลืองแรงด้วยหรอก”

นานแล้วที่สวี่รุ่ยไม่ได้รับร่มบุญจากครอบครัว เจ็ดปีที่ใช้ชีวิตเพียงลำพังทำให้เธอคุ้นชินกับการเผชิญหน้ากับทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเอง

ดังนั้นแนวคิดและวิธีการย่อมจำกัด

เธอลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองยังมีที่พึ่งพิง คำถามก็คือเธอมีที่ให้พึ่งพิงจริงๆ หรือ

ตารู้ว่าเธอมาหาพ่อที่เมือง C ก็ยังไม่มาตามหาเธอ แล้วยังจะช่วยเธออีกหรือ

บางทีตาอาจเสียใจที่กดรับสายนั้นและให้เงินค่าขนมเธอก็เป็นได้

สวี่รุ่ยวางสายพร้อมจิตใจสับสนวุ่นวาย พอหันกลับมาก็เห็นลั่วหานหอบโน้ตบุ๊กไว้แนบอก สีหน้าสับสนยิ่งกว่าเธอซะอีก

“เกิดอะไรขึ้น นายดูอะไรอยู่”

สวี่รุ่ยเดินไปหา ครั้นถึงครึ่งทางก็นึกออกว่าเมื่อครู่ดูคล้ายโน้ตบุ๊กจะเปิดค้างที่หน้ารายงานที่ไป๋ฟางส่งมาให้

ลั่วหานเหลือบมอง “เธอว้าวุ่นใจเพราะเรื่องนี้งั้นเหรอ”

สวี่รุ่ยไม่ได้ว้าวุ่นใจเพราะเรื่องนี้ ถึงมันจะทำให้เธอหงุดหงิด แต่ทำอะไรเธอไม่ได้หรอก

เธอคิดถึงเรื่องที่ตารู้ความจริงทุกอย่างแล้ว เขารู้ว่าเธอไม่ได้อยู่ที่ฮ่องกง และกลับเมือง C มานานแล้ว แถมยังไม่ยอมไปเมือง B และยังมีข่าวอื้อฉาววุ่นวายเต็มไปหมด…สวี่รุ่ยพลันปวดหัว กลัวว่าเดี๋ยวจะมีปากเสียงกันอีก

สวี่รุ่ยไม่อยากทะเลาะด้วยแล้ว ตาอายุปูนนี้ ถ้ายังไม่เปลี่ยนไปจากเดิม เกิดเธอควบคุมตัวเองไม่อยู่ ทำให้คนแก่เกรี้ยวกราดจะทำอย่างไร

สวี่รุ่ยนั่งลงบนโซฟา และเอนตัวพิงพนักพลางถอนหายใจ

เดิมลั่วหานอ่านข่าวอื้อฉาวเหล่านั้นแล้วรู้สึกอึดอัด ไม่สบายตาไม่สบายใจ ไม่รู้จะวางมือไม้ไว้ตรงไหน อยากจับหลายคนในข่าวมาอัดให้น่วม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต่อสู้ไม่เป็น บางทีคงต้องไปเรียนอย่างจริงจังเสียแล้ว

ทว่าอารมณ์ด้านลบเหล่านี้ถูกกดลงไปอีกครั้งเมื่อเขาเห็นท่าทางกลัดกลุ้มของสวี่รุ่ย เขาจึงไม่ใส่ใจมันอีก

“อย่าว้าวุ่นไปเลย ฉันจะช่วยเธอแก้ปัญหาเอง”

ลั่วหานพูดจบ สวี่รุ่ยกลับหัวเราะ เธอเลิกคิ้วพลางมองเพื่อนซี้ “นายไม่ถามแม้กระทั่งว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า กลับบอกว่าจะช่วยฉันแก้ปัญหาเนี่ยนะ นายจะช่วยฉันแก้ปัญหายังไงไม่ทราบ”

ลั่วหานหรี่ตา “แล้วมันจริงไหมล่ะ”

สวี่รุ่ยหลุดขำ “แล้วนายว่ามันเป็นไปได้ไหมล่ะ ฉันถูกคนหมายหัวและพยายามทำทุกวิถีทางที่จะใส่ร้ายฉันต่างหาก”

ลั่วหานปิดโน้ตบุ๊กและวางไว้ด้านข้าง “มันเป็นใคร เธอมีปัญหาทำไมไม่บอกฉัน”

สวี่รุ่ยบิดขี้เกียจครู่หนึ่ง “บอกนายก็เสียแรงเป็นห่วงฉันเปล่าๆ” สุดท้ายพอเห็นลั่วหานจ้องเธอเขม็งจึงจำใจเล่าต้นสายปลายเหตุของปัญหานี้จนได้

ลั่วหานฟังจบ ก็เม้มริมฝีปากบาง “นักร้องคนนั้นชื่อจ้าวอีอีเหรอ”

สวี่รุ่ยพยักหน้า แล้วลุกขึ้นไปรินน้ำดื่ม หลังดื่มรวดเดียวหมดก็อดบ่นปอดแปดไม่ได้ “นายว่ายายนั่นเสพติดการสาดโคลนใส่คนอื่นหรือเปล่า รอให้ฉันได้หลักฐานมาก่อนเถอะ คอยดูนะ ฉันจะฟ้องหล่อน!”

เมื่อเห็นท่าทางดุร้ายของเธอแล้ว ลั่วหานคลี่ยิ้ม “กว่าเธอจะฟ้องร้องเขา เขาคงใส่ร้ายเธอในโลกโซเชียลแปดร้อยรอบแล้ว”

สวี่รุ่ยฮึดสู้ ก่อนห่อเหี่ยวลงอีกรอบ แต่ไม่ใช่เพราะคำพูดแทงใจดำของเขาหรอกนะ

โชคดีที่เธอจ้างทีมประชาสัมพันธ์ฝีมือฉกาจไว้แต่เนิ่นๆ เพื่อเตรียมพร้อมรับกับทุกสถานการณ์ ไม่งั้นคงได้รับมือกันไม่ทัน

สวี่รุ่ยจะพูดบางอย่าง ทว่าแก้วในมือกลับถูกลั่วหานฉวยไป “เฮ้!”

“ฉันขอดื่มหน่อย”

“แต่นั่นมันแก้วของฉัน!”

ลั่วหานเติมน้ำเพิ่มอีกเล็กน้อย ทำเหมือนเป็นเรื่องปกติ “ที่นี่มีแก้วแค่ใบเดียว เธอรังเกียจฉันเหรอ”

สวี่รุ่ยอ้าปากก่อนนึกได้ว่าทำไมคำพูดนี้ถึงฟังแล้วคุ้นหูนักเป็นสิ่งที่เธอพูดเมื่อตอนดื่มกาแฟคราวนั้นไม่ใช่หรือ…ที่แท้เพื่อนซี้ยังคงจำได้และรอเอาคืนอยู่สินะ

สวี่รุ่ยเงียบเสียงไปดื้อๆ ก่อนคลี่ยิ้มจนตาหยี “จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงล่ะ ไม่เป็นไร นายดื่มเลย คนกันเองทั้งนั้น”

ในตาของลั่วหานปรากฏรอยยินดี เขากระดกน้ำดื่มครึ่งแก้ว

พอดื่มเสร็จ ลั่วหานก็ไม่ได้อยู่ในห้องนอนของเธอต่อ “วันนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย เธอรีบเข้านอนเถอะ อย่าออกไปเที่ยวเลย”

ไม่ต้องให้ลั่วหานบอก วันนี้สวี่รุ่ยก็ไม่มีอารมณ์จะออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนเหมือนกัน

เธอหาว และกล่าวราตรีสวัสดิ์กับเพื่อนซี้

ลั่วหานกล่าวราตรีสวัสดิ์แล้วกลับห้องนอนของตัวเอง ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกต้องเป็นห้องนอนของสวี่รุ่ยต่างหาก

แถมยังมีกลิ่นกายที่หอมหวนของสวี่รุ่ยด้วย

เหมือนเช่นคืนนั้น

 

ลั่วหานปิดประตู และคุยโทรศัพท์สองสาย

สายหนึ่งคือตระกูลลั่ว อีกสายหนึ่งคือบราวน์ ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับนักร้องที่ชื่อ “จ้าวอีอี” คนนั้น เขาคิดว่าสวี่รุ่ยไร้เดียงสาเกินไป เธอไม่ได้เรียนรู้ที่จะใช้ภูมิหลังของตัวเองแก้ไขปัญหา อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับประสบการณ์วัยเด็กของเธอด้วย

ลั่วหานรู้สึกแย่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาล็อกประตู และกวาดตาสำรวจห้องนอนนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง

ห้องนอนของสวี่รุ่ยไม่ใหญ่โตเมื่อเทียบกับห้องนอนของเขา และยังไม่ค่อยเป็นระเบียบ ไม่เพียงวางเสื้อผ้ากระจัดกระจายเต็มห้อง หนังสือเรียนก็กองระเกะระกะอยู่บนโต๊ะ ยังมีกระดาษข้อสอบหลายแผ่นร่วงลงบนเก้าอี้

ลั่วหานเก็บเสื้อผ้าเหล่านั้นขึ้นจากพื้น ตัวหนึ่งสีเหลืองอ่อน ตัวหนึ่งสีเทา เขารู้สึกว่าสวี่รุ่ยเหมาะกับสีสันสดใสมากกว่า เหมือนอย่างชุดแดงวันนี้ที่อบอุ่นดุจเปลวเพลิง ชวนให้ดึงดูดสายตาเป็นพิเศษ

หลังแขวนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ลั่วหานก็เดินไปหยุดข้างโต๊ะหนังสือ และเก็บหนังสือเรียนเรียงซ้อนกันให้เป็นระเบียบ จากนั้นก็ฉวยโอกาสดูกระดาษข้อสอบเหล่านั้น คะแนนวิชาคณิตศาสตร์กับภาษาอังกฤษสูงมาก ส่วนคะแนนวิชาภาษาจีนกับประวัติศาสตร์ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน

เหมือนตอนเด็กๆ ไม่มีผิด เก่งคณิตศาสตร์มาก แต่ภาษาจีนย่ำแย่เป็นที่สุด

ลั่วหานหัวเราะเบาๆ ผลการเรียนแบบนี้จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ของที่นี่ได้หรือ

ถ้าไม่ได้ก็น่าจะสมัครเข้ามหาวิทยาลัยในต่างประเทศละมั้ง มหาวิทยาลัยดังๆ ในอเมริกามีอยู่เกลื่อนกลาด…แต่ได้ข่าวว่าคนตระกูลจู้ทุกคนมักไปเรียนที่อังกฤษ ทว่าสวี่รุ่ยไม่ได้ติดต่อกับครอบครัวตระกูลจู้นานแล้ว อย่างนั้นเธอก็คงเลือกอเมริกานั่นแหละ

เพราะเขาก็อยู่ที่นั่น

ถ้าไปอเมริกา พวกเขาก็พักอยู่ด้วยกันได้ เขาจะช่วยติวบทเรียนให้สวี่รุ่ย พอถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าด้วยกัน จะซื้ออะไรก็ได้ทั้งนั้น…

ลั่วหานนึกได้ว่าเขาคิดไกลเกินไปแล้ว เขาหัวเราะเยาะเย้ยตัวเองพลางเก็บกวาดโต๊ะ จากนั้นจึงนั่งลงสุ่มหยิบปากกาบนโต๊ะขีดเขียนภาพเหมือนเล็กๆ บนสมุดฉีก

แม้เป็นการขีดเขียนคร่าวๆ แต่อากัปกิริยาของคนกลับดูเหมือนมีชีวิต ทั้งนัยน์ตาแสนงดงามและรอยยิ้มน่ารักน่าชัง

ลั่วหานเอาแต่จับจ้องจนสติหลุดลอยไปชั่วขณะ จากนั้นก็บรรจงประทับจูบลงบนรูปภาพ

ทว่าคืนนี้ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เขาถึงกับได้นอนบนเตียงของสวี่รุ่ย อันที่จริงเขาไม่ใช่คนนอนเร็ว ยิ่งหลังจากร่างกายฟื้นตัวราวปาฏิหาริย์ เขาก็ไม่ยอมเสียเวลามากมายไปกับการนอน แต่พัฒนาจุดอ่อนที่ก่อนนี้เขายังตามคนอื่นไม่ทัน เขาเพียรพยายามให้เทียบเท่าในระดับเดียวกันให้ได้

แต่วันนี้กลับต่างออกไป ลั่วหานแค่อยากเข้านอนให้เร็วกว่าเดิมเล็กน้อย เขาเอนกายลงบนเตียงซึ่งกรุ่นไปด้วยกลิ่นหอมหวานจากทุกสารทิศ

คืนนี้เขาต้องนอนหลับฝันดีแน่

เหมือนกับคืนนั้น หรือบางทีเขาควรจะเปิดประตูห้องนอนไว้ ถ้าเธอนอนละเมออีกรอบก็คงดี…

ลั่วหานอดระบายยิ้มไม่ได้ เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ

เขาคิดอะไรอยู่เนี่ย ทุกวันนี้เขาเอาแต่คิดอะไรกันแน่

 

เทียบกับลั่วหานแล้ว คืนนี้สวี่รุ่ยกลับนอนไม่ค่อยหลับ เธอฝันร้ายตลอดคืน

ในห้วงฝันมักเป็นภาพเหตุการณ์ตอนเธอทะเลาะกับตา แถมยังฝันว่าตาผลักไสน้าชายและบอกว่าจะจับเธอใส่ถุงแล้วโยนลงแม่น้ำหวงผู่ เธอโกรธจนเต้นเร่าๆ แลบลิ้นปลิ้นตาพูดจายั่วโทสะว่าเธอว่ายน้ำเป็น ไม่มีทางจมน้ำตาย เธอปีนขึ้นมาได้ก็จะกลายเป็นผู้กล้า ตาเอาชนะเธอไม่ได้หรอก!

สรุปคือทะเลาะกันอยู่อย่างนั้น ทว่าพอตื่น สวี่รุ่ยกลับนึกถึงตอนตากล่อมเธอที่ฝันร้ายให้นอน น้อยครั้งนักที่ตาจะอดทนกับเธอ สวี่รุ่ยจับผมของตาไม่ยอมปล่อย และออกแรงดึงอย่างแรง ต้องการให้ตาซื้อเดือนซื้อดาวให้ ไม่เช่นนั้นก็จะร้องไห้ ดึงดันจะไปหายายให้ได้

ตาจึงสั่งให้คนไปหาซื้อมาให้ ดาวเดือนของเล่นสารพัดรูปแบบกองอยู่เต็มห้อง แม้กระทั่งโคมระย้าในห้องนอนยังปรับเปลี่ยนกันเจ็ดแปดรอบ วอลเปเปอร์ผนังก็เปลี่ยนสีอยู่หลายครั้ง…

คิดไปคิดมา ในใจของสวี่รุ่ยทั้งสับสนและรู้สึกแย่ เป็นอย่างนี้ตั้งแต่ฟ้าเกือบสางจนกระทั่งตะวันขึ้น

ทันทีที่รุ่งอรุณเยื้องกราย สวี่รุ่ยก็ตัดสินใจว่าจะโทร.ไปอธิบายให้ตาฟังสักหน่อย ไม่งั้นตาคงเดือดจนอกแตกตายแน่

หากตาดุด่าว่ากล่าวเธออีก แค่ทำเป็นไม่ได้ยินก็แล้วกัน อย่างน้อยก็อดทนไม่โต้เถียงเขาสักห้านาที

สวี่รุ่ยคิดแล้วคิดอีก ถือมือถือไว้นานหลายนาทีถึงยอมกัดฟันกดเบอร์โทร.ตา

อาจเพราะยังเป็นเวลานอน ครั้งนี้ตาจึงรับสายด้วยตัวเอง เสียงของตาฟังแล้วแหบแห้ง “สวี่รุ่ยรึ”

เมื่อสวี่รุ่ยได้ยินเสียงนี้พลันรู้สึกขนหัวลุกนิดๆ “ค่ะ ตา”

น้ำเสียงจากปลายสายไม่สบอารมณ์มาก “แกยังรู้นี่ว่าต้องโทร.มาหาฉัน ฉันนึกว่าแกยังเล่นสนุกไม่พอซะอีก”

สวี่รุ่ยกลืนน้ำลายลงคอ รู้ว่านี่คือบทโหมโรงของการดุด่าว่ากล่าว ปรากฏว่ารออยู่ครู่ใหญ่กลับไม่ได้ยินเสียงต่อว่าต่อขานมากมาย หากได้ยินเสียงหอบหายใจหนักๆ พร้อมกับเสียงสะกดกลั้นอาการไอแทน

เธอเคร่งเครียดโดยพลัน “ตาไม่สบายเหรอคะ”

จู้หงเซินกดกริ่งข้างเตียงพลางยิ้มหยัน “แกดีใจที่ฉันป่วยละสิ แกสาปแช่งฉันไว้ไม่ใช่น้อยๆ นี่ บอกว่าถ้าฉันแก่ตัวไปหรือถ้าฉันป่วยก็จะไม่มีใครเข้าใกล้ฉัน ตอนนี้สมใจแกหรือยังล่ะ”

สวี่รุ่ยเกือบพูดโพล่งว่าตาเองก็เคยบอกว่าจะจับเธอโยนลงแม่น้ำหวงผู่ให้เป็นอาหารปลาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งเหมือนกัน

แต่เธอหยุดไว้ได้ ไม่จำเป็นจะต้องโต้เถียงกับคนป่วย แถมยังแสดงความกังวลให้เห็นด้วย “ป่วยเป็นอะไรคะ ร้ายแรงไหม”

จู้หงเซินไม่ตอบ เขารับแก้วน้ำที่พยาบาลยื่นให้ แล้วกินยา

สวี่รุ่ยนึกว่าตายังโกรธเรื่องข่าวอื้อฉาวของเธอจึงสาธยาย “ข่าวในเน็ตเป็นข่าวปลอมทั้งหมดนะคะ หนูไม่ได้เลี้ยงดูนักร้องสาวอะไรนั่น และไม่ได้เป็นพวกรักร่วมเพศ…”

จู้หงเซินตัดบท “แล้วค่าประชาสัมพันธ์หนึ่งล้านนั่นล่ะ ไม่ใช่ว่าแกเอาไปอุ้มชูใครหรอกเหรอ อุ้มชูแม่นั่นแล้วเหยียบหัวอีกคน อีกคนเขาถึงได้อยากทำลายแก”

สวี่รุ่ยพบว่าตารู้ตื้นลึกหนาบางค่อนข้างมาก “หนู…”

จู้หงเซินแค่นเสียงเย็น “ใช้ชีวิตเป็นคุณหนูอยู่ดีๆ ไม่ชอบ ดันทุรังจะออกไปเผชิญกับความลำบากให้ได้ ตอนนี้ถูกพวกตัวประกอบกลั่นแกล้งจนร้องไม่ออกแล้วล่ะสิ แกไม่หงุดหงิดบ้างเหรอ แกไม่หงุดหงิด แต่ฉันหงุดหงิดแทนแกเอง”

สวี่รุ่ยรีบแย้ง “หนูหาทีมประชาสัมพันธ์ดีๆ ได้นานแล้วค่ะ และกำลังรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับหล่อนอยู่ ใครที่กลั่นแกล้งหนู หนูจะเอาคืนด้วยตัวเอง!”

จู้หงเซินถามเสียงสูง “แกจะเอาคืนยังไง จะเอาคืนได้เมื่อไหร่ กว่าแกจะเอาคืน คนทั้งประเทศคงรู้กันหมดแล้วว่าหลานสาวของจู้หงเซินเป็นพวกรักร่วมเพศ เลี้ยงดูพวกเต้นกินรำกิน เสียดายที่ประคบประหงมแกอย่างดี สุดท้ายกลับถูกคนนอกย่ำยี ถ้ายายแกรู้ว่าแกถูกคนอื่นเล่นงานแบบนี้ มีหวังได้โมโหจนกระโดดออกจากโลงแน่”

เมื่อสวี่รุ่ยได้ยินตาเอ่ยถึงยายก็ลืมความคิดที่จะอดทนอดกลั้นก่อนหน้านี้สิ้น เธอโต้กลับด้วยความกรุ่นโกรธ “นอกจากตาแล้ว ยังจะมีใครทำให้ยายของหนูโมโหจนกระโดดออกจากโลงได้อีกเหรอคะ!”

“สวี่รุ่ย!”

สวี่รุ่ยตกใจชั่วขณะเมื่อได้ยินเสียงตะคอกนี้ แวบหนึ่งราวกับย้อนกลับไปวัยเด็กอีกครั้ง

จู้หงเซินขว้างแก้วทิ้งจนแตกละเอียด พยาบาลกับผู้ช่วยได้แต่มองกัน ไม่มีใครกล้าพูดอะไรทั้งนั้น จะมีก็แต่แพทย์ที่ทนดูต่อไปไม่ไหว ทำใจกล้าเอ่ยเตือน “ท่านประธานจู้ครับ ขณะนี้คุณไม่ควรอารมณ์เสียนะครับ”

สวี่รุ่ยไม่ยอมส่งเสียง เธอเงียบมาก และปลายสายก็เงียบเช่นกัน เป็นธรรมดาที่เสียงไม่เบาแต่ไม่ได้ดังมากนี้จะลอยมาเข้าหู

เธอนึกเสียใจอีกหน แม้ตาจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่เธอก็ไม่ควรทะเลาะกับคนป่วย ทั้งที่ใครๆ ต่างพากันพูดว่าเธอเป็นคนปากหวาน ทว่าพออยู่กับตา ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด จะโทษใครดีล่ะ

“ตาคะ” สวี่รุ่ยอึกอัก น้ำเสียงอ่อนลง “อย่าโมโหเลยค่ะ”

จู้หงเซินสูดลมหายใจเข้าช้าๆ ก่อนเอ่ยเย้ยหยัน “ถ้าฉันโมโหจนอกแตกตายก็สาแก่ใจแกแล้วไม่ใช่เหรอ”

สวี่รุ่ยย่นคิ้ว “ทำไมตาพูดแบบนี้ล่ะคะ ที่หนูโทร.หาตาไม่ใช่เพราะกลัวว่าตาจะโมโหจนอกแตกตายหรือไง”

ลมหายใจของจู้หงเซินสะดุด กลับเป็นสวี่รุ่ยที่รับรู้ทันทีว่าถ้อยคำเมื่อกี้ฟังกำกวมจึงไม่รอช้า เธอรีบแก้สถานการณ์ “หนูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นค่ะ หนูจะบอกว่าตาอายุมากแล้ว สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง หนูกลัวว่าตาจะคิดว่าข่าวเท็จเป็นเรื่องจริงแล้วโมโหจนล้มป่วย ไม่คุ้มกันหรอกนะคะ”

มีหรือที่คนอย่างจู้หงเซินจะไม่เข้าใจ แค่เอื้อนเอ่ยวาจานุ่มนวลได้ขนาดนี้ก็ถือว่าถึงขีดจำกัดของยายตัวแสบแล้ว

เขาโมโหเหลือเกิน ทว่าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับถ้อยคำอ่อนโยนของหลานสาว ได้แต่พูดว่า “เอาเถอะ ฉันไม่ได้อ่อนปวกเปียกอย่างที่แกคิด เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก ไม่ต้องห่วงเรื่องยายนักร้องตัวประกอบนั่นแล้ว ต่อจากนี้มันไม่มีโอกาสสร้างปัญหาให้แกอีก”

สวี่รุ่ยยังอยากถามว่าตาจัดการอย่างไร แต่ได้ยินปลายสายพูดต่อ “แล้วแกก็เกลือกกลั้วกับวงการบันเทิงพรรค์นั้นให้มันน้อยๆ หน่อย มีแต่เรื่องวุ่นวาย แกกับไอ้โอวหยางอะไรนั่นกอดกันกลมหมายความว่ายังไง”

สวี่รุ่ยถูกใส่ความเรื่องนี้ เธอรีบอธิบาย “พวกปาปารัซซี่ฮ่องกงพูดจาไร้สาระกันไปเรื่อย หนูแค่ดื่มกาแฟกับลุงโอวหยางเสร็จแล้วกอดลากันตอนเดินออกมาเท่านั้นค่ะ”

จู้หงเซินกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ไม่มีธุระแล้วกอดลากันหาอะไร จะไปดื่มกาแฟด้วยทำไม ผู้ชายคนนั้นไม่ได้เรื่อง แกไม่ต้องไปสนใจมันหรอก”

สวี่รุ่ยคิดในใจ ไม่ได้เรื่องเท่าตาหรือเปล่าคะ

“แกพูดอะไร”

“เปล่าค่ะ เปล่า”

น้ำเสียงของจู้หงเซินกลับมาราบเรียบดังเดิม “งั้นก็ตามนี้ ช่วยทำตัวให้มันดีๆ หน่อย ถ้าเบื่อนักก็ไปช็อปปิงซะ อย่าเที่ยวไปนอนกับใครมั่วๆ”

สวี่รุ่ยยังมีเรื่องจะอธิบายอีก แต่ฝั่งนั้นกลับวางสายใส่

เธอยังไม่ทันได้ระบายความไม่พอใจ แล้วอะไรคือเที่ยวไปนอนกับใครมั่วๆ

อย่าว่าแต่ภพนี้ แม้แต่ภพก่อนเธอมีชีวิตอยู่จนอายุยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองปีโดยที่ยังไม่เคยนอนกับใครมั่วๆ เลยสักครั้ง!

ตาต่างหาก ทั้งชีวิตมีแต่ความสัมพันธ์ยุ่งเหยิง ยังกล้ามาสอนคนอื่นอีก

สวี่รุ่ยตำหนิในใจ แต่จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งได้

เมื่อกี้คุยกันอยู่นานสองนาน ตากลับไม่พูดถึงเรื่องที่เธอมาหาบิดาที่เมือง C เลยสักคำ นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญหรอกเหรอ

หรือตาลืมแล้ว

ไม่มีทาง สวี่รุ่ยรู้นิสัยตาดี หากชอบก็จะชอบตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ แต่ถ้าชิงชังก็จะชิงชังไปทั้งชีวิตเช่นกัน ตาเป็นพวกแค้นฝันหุ่นที่สุดแล้ว

เธอมีลางสังหรณ์ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ ไม่แน่ว่าอาจกำลังรอเธออยู่ที่ไหนสักแห่งก็เป็นได้

ยามนี้อย่าเพิ่งคิดถึงมันเลย สวี่รุ่ยขยี้ตา ทั้งที่อยากร้องไห้ แต่กลับโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก

แม้ตาจะไม่ได้พิศวาสเธอมากเท่าไร ทว่าก็ยังปกป้องเธอ

ดูคล้ายว่าเธอจะมีที่พึ่งพิงจริงๆ

ความรู้สึกนี้ไม่แย่เลย

นอกจากนี้ความเป็นไปของเรื่องนี้ก็ไม่เลวร้าย ไม่กี่วันต่อมา ในโลกออนไลน์มีการเปิดโปงว่าบริษัทการตลาดที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่แห่งหนึ่งถูกสำนักงานอุตสาหกรรมบุกยึด ต่อมาไม่นานจ้าวอีอีก็ถูกศิลปินหลายคนร่วมกันฟ้องร้อง มีการแฉข้อมูลเลวร้ายไม่หวาดไม่ไหว…

จากข่าวฉาวเรื่องการสานสัมพันธ์กับคนรวยกระเป๋าหนักไม่เลือกหน้าคราวก่อนมาสู่ข่าวฉาวเรื่องการตลาดมุ่งร้ายต่อคู่แข่งในตอนนี้ ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน จากที่เคยโดดเด่นเหนือคนอื่น มีแฟนคลับนับไม่ถ้วน เวลานี้กลับตกอับจนกลายเป็นคนที่ใครๆ ในโลกออนไลน์ต่างตะโกนด่า

อุปนิสัยต่ำทรามกลายเป็นวลียอดนิยมในสื่อสังคมออนไลน์

 

ทางด้านจ้าวอีอียังไม่รู้ว่าตัวเองหาเรื่องใส่ตัวเข้าแล้ว เธอติดต่อหาเส้นสายไปทั่ว หมายจะดิ้นรนให้หลุดพ้นจากสถานการณ์นี้

“ผู้อำนวยการซุน ฉันขอร้องเป็นครั้งสุดท้าย ช่วยฉันหน่อยนะคะ คุณจะให้ฉันทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!”

“อีอี ไม่ใช่ว่าฉันไม่ช่วยเธอ ก่อนหน้านี้ฉันช่วยเธอแล้ว ฉันบอกให้เธอทำตัวดีๆ สักระยะ หลังจากนั้นบริษัทจะช่วยทำให้เธอกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง…แต่ดูเธอสิ เธอทำอะไรลงไป”

จ้าวอีอีได้ยินน้ำเสียงเย็นชาจากปลายสายแล้ว เธอรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม “ฉัน…ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”

“เธอยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าไปยั่วโมโหใครเข้า ถ้าเธอตายจริงๆ ก็คงตายเพราะความโง่เขลาแท้ๆ”

จ้าวอีอีมีลางสังหรณ์ไม่ดี “ผู้อำนวยการซุน…”

“เธอจัดการตัวเองให้ดี ครั้งนี้ยอมรับได้แล้ว มีคนหลายกลุ่มจ้องเล่นงานเธอไม่ให้ได้ผุดได้เกิด อย่าคาดหวังว่าจะได้กลับมาอีกเลย เธอหาทนายดีๆ สักคนแล้วอยู่เงียบๆ สักสองสามปีเถอะ”

จ้าวอีอียังต้องการจะร้องขอความช่วยเหลืออีก แต่ปลายสายมีเพียงเสียงสัญญาณวางสายแล้วดังแว่วมา

ใบหน้าสะสวยของเธอหมองหม่นทันใด ไม่รู้ว่าควรจะนึกเสียใจกับครั้งไหนดี ทั้งๆ ที่หลายครั้งก็ผ่านไปด้วยดี สุดท้ายแล้วเป็นครั้งไหนกันแน่…หรือจะเป็นครั้งนั้นที่เธอไม่ได้เอะใจเลย

ชั่วขณะนั้น จ้าวอีอีพลันคว้ามือถือแล้วกดโทร.ออกไปยังหมายเลขหนึ่ง เสียงหลัวจื่อเย่ว์ที่ปลายสายติดจะรำคาญนิดๆ

“ฮัลโหล ฉันกำลังยุ่ง ถ้าไม่มีธุระอะไรฉันจะวางแล้วนะ”

“เดี๋ยวก่อน ฉันขอถามอะไรหน่อย”

“ว่ามา”

“สรุปว่ายายคนที่ชื่อสวี่รุ่ยคนนั้นเป็นหลานสาวของจู้หงเซินจริงๆ หรือเปล่า”

ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนบอกไม่เต็มเสียงนัก “…คงใช่ละมั้ง จะใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอสักหน่อย ฉันวางแล้วนะ”

ในหัวของจ้าวอีอีมีเสียงดังหึ่งราวกับสะดุ้งตื่นทันใด ก่อนหน้านี้คิดแต่จะแก้แค้นราวกับคนเสียสติ อาจเป็นเพราะเมื่อก่อนวิธีการประเภทนั้นใช้ได้อย่างราบรื่นจนเธอคิดว่าจะใช้ไปได้ตลอด

ไม่เคยคิดเลยว่าสุดท้ายแล้วเรื่องด่างพร้อยทั้งหมดในอดีตจะทำให้เธอล้มลงหลังจากประมาทเลินเล่อแค่ครั้งเดียว

จ้าวอีอีไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรต้องรู้สึกเสียใจกับอะไร จะโทษใครได้ ทุกอย่างมันสายเกินแก้แล้ว

เธอได้รับบทเรียนจากเหตุการณ์ครั้งนี้หนักหนาสาหัสทีเดียว

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า