ท่านประมุขหลงลืมฟื้นรัก เล่ม 2
教主走失记
Yishihuashang 一世华裳 เขียน
RML แปล
โปรย
เย่โย่ว ฟื้นคืนความทรงจำแล้ว
ที่แท้หมากสีดำผู้วางแผนเปิดโปงหมากสีขาวก็คือตัวเขาเอง
แต่ที่ทุ่มเทเสี่ยงอันตรายถึงเพียงนี้
เขาต้องการทำเพื่อยุทธภพเท่านั้นหรือ
หรือเพราะอดีตอันดำมืดที่ผลักดันให้เขาทำทุกอย่าง
ไม่ว่าเย่โย่วจะวางแผนทั้งหมดเพื่อสิ่งใด
แต่ เหวินเหรินเหิง ซึ่งในที่สุดก็ได้คนรักกลับคืนมา
ขอสาบานว่าจะไม่ปล่อยให้ศิษย์น้องหนีหายไปอีกแล้ว
“ข้าจะคอยดูอยู่ข้างๆ เจ้าชนะ ข้าก็พลอยมีความสุขไปกับเจ้า
หากเจ้าแพ้ จะเป็นหรือตายข้าก็จะติดตามไปด้วย”
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 41
เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนคาดเดาได้ว่าพวกเขาพบเบาะแสแล้ว เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลังจากกินอาหารเจเสร็จ เย่โย่วและคุณชายกลุ่มนี้ถึงกับยอมอดทนนั่งต่ออีกกว่าหนึ่งชั่วยาม จากนั้นค่อยเตรียมตัวออกจากวัดเส้าหลินด้วยข้ออ้างว่า ‘จะออกไปชุมนุมสังสรรค์ตอนเที่ยง’
มีคุณชายสำนักต่างๆ หลายคนที่ไม่ค่อยเข้าใจนักจึงถามว่า “เจ้าไม่กลัวว่าชักช้าเกินไป แล้วหมากสีขาวจะเตรียมรับมือไว้แล้วหรือ”
เย่โย่วตอบ “หากหมากสีขาวได้ข่าว เมื่อคืนนี้ต้องส่งคนไปที่นั่นแล้วเป็นแน่ อย่างไรเสียพวกเราก็ช้าอยู่ดี ไม่ต่างกันหรอก มิสู้ทำเยี่ยงนี้จะดูสมเหตุสมผลกว่า”
ทุกคนแอบคิดว่าเข้าท่าดี จึงเชื่อฟังอย่างรู้ความ
ก่อนออกเดินทาง พวกเขาไม่ลืมพาลูกน้องไปด้วยสองสามคน แต่หากพาไปด้วยมากเกินไปก็จะน่าสงสัยเช่นกัน ในท้ายที่สุดแต่ละคนจึงนำองครักษ์ไปเพียงสองคน จากนั้นให้เว่ยเจียงเย่ว์กับติงสี่ไหลเลือกคนจากกลุ่มเวหาและกลุ่มเงาจันทราบางคนมาด้วยก็เป็นอันเรียบร้อย
สำหรับเรื่องนี้ เว่ยเจียงเย่ว์ผู้รู้การรู้งานมาตั้งแต่ยังเล็กสามารถย้ายกำลังคนของกลุ่มเวหาได้โดยตรง โดยไม่ต้องบอกกล่าวเจ้าสำนักเว่ยเสียด้วยซ้ำ ในขณะที่ติงสี่ไหลไม่อาจทำเช่นนั้นได้ จึงจำต้องแบกหน้าไปหาบิดา
ประมุขติงถาม “จะเอาคนไปทำสิ่งใด”
ติงสี่ไหลยืนตัวตรงแหน็วแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “เรียนท่านพ่อ ข้ากับพวกพี่รองเว่ยไม่ได้เจอกันมานานแล้ว อยากออกไปกินอาหารร่วมกัน ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย ส่วนคุณชายเสี่ยวสูญเสียวรยุทธ์ทั้งหมด ต้องการการอารักขา ดังนั้นมีกำลังพลไว้มากหน่อยย่อมดีกว่า”
ประมุขติงทำเป็นไม่ได้ยินแล้วกล่าวว่า “บอกความจริงมา”
ติงสี่ไหลเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าว “เมื่อวานลูกเค้นถามสิ่งใดจากปากคนเป่าขลุ่ยไม่ได้เลย รู้แค่ว่านางอาศัยอยู่ที่ไหน แม้เจ้าอาวาสฉือหยวนจะส่งคนไปค้นหาแล้ว แต่คุณชายเสี่ยวบอกว่ากินอาหารเสร็จแล้วควรไปดูอีกสักรอบย่อมดีกว่า เผื่อมีสถานที่อย่างห้องลับซ่อนอยู่ ลูกกลัวว่าจะมีอันตราย จึงอยากพาคนไปเพิ่มอีกสักเล็กน้อย”
แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่เตรียมการมาล่วงหน้าแล้วเช่นกัน หากผู้อาวุโสสงสัย พวกเขาจะตอบเช่นนี้ ประมุขติงมองเขา เมื่อไม่เห็นพิรุธบนสีหน้าตึงเครียดจึงกล่าวว่า “ให้พวกเว่ยจิ้นกับเส้าเทียนตามเจ้าไป”
ทันใดนั้นติงสี่ไหลถึงกับเสียอาการไปเล็กน้อย “หา?”
ประมุขติงถาม “ทำไมรึ”
ติงสี่ไหลสงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็วแล้วพูดจาหว่านล้อม “เราแค่ไปกินอาหารกันแล้วค่อยไปเดินดู สถานการณ์ในวัดเส้าหลินวุ่นวายเช่นนี้ ให้พี่ใหญ่เว่ยอยู่ช่วยท่านพ่อเถิด”
ประมุขติงกล่าว “ไม่ต้อง”
เมื่อเห็นว่าบิดาตัดสินใจแล้ว ติงสี่ไหลก็กลัวยิ่งพูดจะยิ่งผิดแผน จึงได้แต่เห็นด้วยและยอมรับชะตากรรม
*******
ตอนนี้เย่โย่วเองก็เกือบจะพร้อมแล้ว จึงหยัดกายยืนขึ้นช้าๆ แล้วกล่าวลาศิษย์พี่
เย่โย่วแค่จะไปกินอาหาร เหวินเหรินเหิงจึงไม่อาจออกไปส่ง ทำได้เพียงนั่งอยู่เช่นนั้น เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะออกไปข้างนอก ก็เผลอจับข้อมืออีกฝ่ายไว้โดยไม่รู้ตัว
เย่โย่วผินหน้ากลับไป “มีสิ่งใดหรือ”
เหวินเหรินเหิงมองเย่โย่ว “จำคำที่ข้าเอ่ยเมื่อวานนี้ไว้ด้วย”
เย่โย่วอยากจะพยักหน้าตอบรับ แต่พลันนึกขึ้นได้จึงเอ่ยถาม “ศิษย์พี่ ท่านไม่ได้อยากแต่งงานเร็วหน่อยหรอกหรือ หากข้าได้รับบาดเจ็บจริง แล้วท่านเอาแต่ให้ข้าขลุกอยู่ข้างกายท่าน ไม่กลัวว่าจะทำให้พี่สะใภ้โกรธหรือ”
“ข้าสัญญาแล้วว่าจะลองพยายามกับเจ้าสักตั้ง ย่อมไม่ตระบัดสัตย์” เหวินเหรินเหิงกล่าวเสริม “หากว่าเป็นไปได้ ข้าก็อาจจะสู่ขอเจ้านั่นแหละ”
คำพูดนี้เรียบง่ายยิ่งนัก ไม่มีทั้งความคลุมเครือหรือแววล้อเล่นแฝงในคำนั้นแม้แต่น้อย ราวกับเอ่ยออกมาเพื่อหยุดคำพูดเมื่อครู่นี้ของเขาโดยเฉพาะ คำพูดของเย่โย่วจึงติดค้างอยู่ในปาก ในที่สุดแล้วก็อดรับลูกกล่าวตามไม่ได้ว่า “เช่นนั้นการที่ข้าออกไปข้างนอกครานี้ ศิษย์พี่จะไม่กล่าวอะไรสักหน่อยหรือ”
เหวินเหรินเหิง “…”
เย่โย่วมองเหวินเหรินเหิงก่อนเอ่ยกลั้วหัวเราะ “พูดเล่นน่ะ ข้าไปละ”
ยามประตูแง้มออกมีเสียง “เอี๊ยด” ดังขึ้นแผ่วเบา จากนั้นก็เงียบลง
เหวินเหรินเหิงอยากจะยกมือขึ้นกุมหน้าผาก
เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าศิษย์น้องทำเช่นนี้เพื่อสิ่งใด
นับตั้งแต่พวกเขาพูดคุยกันจนเข้าใจกระจ่างแจ้ง ศิษย์น้องก็หยุดทำเช่นนี้มาพักใหญ่ ไม่รู้ว่าเหตุใดยามนี้ถึงหวนกลับมาทำอีกครา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อศิษย์น้องรู้ว่าประมุขเย่กับคุณหนูเถามีความสัมพันธ์คลุมเครือกันอยู่ เหตุใดยังต้องคอยหยั่งเชิงเขาเป็นครั้งคราวอีกเล่า
คงไม่ใช่ว่ากำลังยั่วเย้าเพราะมีใจให้เขาจริงๆ กระมัง
เหวินเหรินเหิงรินชาถ้วยหนึ่ง พลางตรึกตรองลึกซึ้งอย่างเงียบๆ
*******
เมื่อเย่โย่วมาถึง เว่ยเจียงเย่ว์และบรรดาคุณชายเจ้าสำนักต่างก็อยู่ที่นั่นกันครบแล้ว
พวกเขารอสักพักก็เห็นบุตรชายผู้นำสหพันธ์กับติงสี่ไหลทยอยปรากฏตัว คนแรกเม้มปาก ดูเหมือนอยากหัวเราะแต่ข่มกลั้นเอาไว้ คนหลังไม่มีท่าทีของลูกผู้ลากมากดีเหมือนวันก่อน สีหน้าตึงเครียดเล็กน้อย ดูสงบและน่าเชื่อถือ
คุณชายจากสำนักต่างๆ พลันประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าเมื่อเห็นคนข้างหลังติงสี่ไหลชัดเจน จู่ๆ ก็อดขำออกมาไม่ได้ แม้แต่แววตาของเว่ยเจียงเย่ว์ยังเผยให้เห็นรอยยิ้มอยู่เล็กน้อย
เย่โย่วมองปราดเดียวก็จำได้ว่าคนที่ติดตามติงสี่ไหลคือเว่ยจิ้น หัวหน้าของกลุ่มเงาจันทรา เมื่อประมุขติงได้รับแผนที่ส่วนแรกก็โยนภาระให้คนผู้นี้เป็นแนวหน้านำทางไป ข้างกายเว่ยจิ้นยังมีคนอีกผู้หนึ่ง สวมหน้ากากปิดใบหน้าครึ่งบนไว้ เผยเพียงมุมปากที่เผยอขึ้นเล็กน้อย มองดูคล้ายแสยะยิ้มอยู่หลายส่วน
เย่โย่วถาม “เขาคือ?”
เว่ยเจียงเย่ว์ตอบ “เหรินเส้าเทียน เป็นรองหัวหน้าของกลุ่มเงาจันทรา มีหน้าที่คุ้มกันคุณชายติงเกือบตลอดเวลา พวกเขาน่าจะมาถึงวัดเส้าหลินพร้อมกันเมื่อวานนี้ เจ้าจึงไม่เคยเห็นมาก่อน”
เย่โย่วพยักหน้า รอจนกระทั่งพวกเขาเดินเข้ามาใกล้เส้นทางที่จะออกจากวัดเส้าหลินด้วยกัน
รถม้าเตรียมพร้อมนานแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกันขึ้นไป
เว่ยเจียงเย่ว์ บุตรชายผู้นำสหพันธ์ และติงสี่ไหลย่อมอยู่ในรถม้าคันเดียวกัน ส่วนเย่โย่วซึ่งเป็นเสาหลักของพวกเขาก็ได้รับเชิญเข้ามาเช่นกัน
ทันทีที่เย่โย่วนั่งลง บุตรชายผู้นำสหพันธ์ผู้ซึ่งอดทนมานานในที่สุดก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะเสียจนร่างล้มลงท่ามกลางสายตาพิฆาตของติงสี่ไหล ร่างทั้งร่างยังกระตุกไม่หยุด
เย่โย่วถาม “ขำอะไรรึ”
“ข้า…ข้าเล่าเอง เรื่องนี้สุดยอดจริงๆ” บุตรชายผู้นำสหพันธ์ตะกายลุกขึ้นมา อาศัยจังหวะที่ยามนี้ติงสี่ไหลไม่อาจต่อยใครได้ ยิ้มพลางอธิบายคลายความสงสัย “เพราะเว่ยจิ้นก็ตามมาด้วย”
เย่โย่วเลิกคิ้ว “แล้ว?”
“เว่ยจิ้นมีอุปนิสัยเถรตรงและเป็นคนจริงจัง ไม่ว่านายน้อยของเขาจะทำสิ่งใด หากประมุขติงเอ่ยถาม เขาก็จะตอบตามความจริงทั้งหมด หากจะให้เล่าตั้งแต่แรกนั้น…” บุตรชายผู้นำสหพันธ์ลดเสียงลง เขายิ้มแล้วเล่าเรื่องราวในอดีตของติงสี่ไหลที่คุณชายสำนักต่างๆ ล้วนรู้กันดี
ครั้งหนึ่งติงสี่ไหลติดตามประมุขติงออกไปข้างนอก ทว่าไม่ต้องการกินอาหารร่วมโต๊ะ จึงหาข้ออ้างสักข้อเผ่นหนีไป
ยามนั้นเหรินเส้าเทียนไม่อยู่ ประมุขติงจึงส่งเว่ยจิ้นไปตามดูติงสี่ไหล เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายไปวุ่นวายที่ใด ติงสี่ไหลคิดอย่างไร้เดียงสาว่าคนของกลุ่มเงาจันทราล้วนว่าง่าย จึงสั่งให้เว่ยจิ้นเก็บเป็นความลับ แล้วมุ่งหน้าไปยังหอคณิกา เว่ยจิ้นย่อมแจ้งประมุขติง เมื่อประมุขติงบุกมาถึง ติงสี่ไหลอยู่ในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มพอดี ครั้นเห็นบิดาก็ลุกขึ้นยืนอย่างเคร่งขรึมโดยสัญชาตญาณ ทว่าทั้งร่างเปลือยเปล่าล่อนจ้อน ช่วงล่างยังแข็งค้างอยู่เสียด้วยซ้ำ ประมุขติงโกรธเกรี้ยวมากจนหวิดจะสับสิ่งนั้นของเขาทิ้งเสีย
เย่โย่วหลุดหัวเราะ
ติงสี่ไหลเศร้าโศกและขุ่นเคืองยิ่งนัก “เล่าพอหรือยัง ต้องหัวเราะอีกกี่ปีถึงจะพอ”
“ข้าหัวเราะได้อีกครึ่งค่อนชีวิตเลยละ” บุตรชายผู้นำสหพันธ์หัวเราะเยาะเย้ย ก่อนจะมองไปทางคุณชายเสี่ยวแล้วกล่าวปิดเรื่อง “ตั้งแต่นั้นมา ยามอาไหลเห็นเว่ยจิ้นจะรู้สึกเกรงกลัวเล็กน้อย ไม่กล้าทำซี้ซั้วต่อหน้าเขา”
เย่โย่วกระจ่างแจ้ง “เข้าใจแล้ว”
ติงสี่ไหลพึมพำแล้วเบือนหน้าหนี คร้านจะสนใจพวกเขาอีก
*******
หลังจากเย่โย่วและพรรคพวกออกไป เหวินเหรินเหิงที่นั่งได้เพียงครู่หนึ่งก็มีคนของวัดเส้าหลินมาเรียกตัว
เพราะหมอเทวดาจี่และหมอเทวดาน้อยฟางพบจดหมายที่เขียนด้วยลายมือในกองของจิปาถะพวกนั้น หลังจากอ่านดูแล้วก็ได้รู้เรื่องที่น่าสะพรึงกลัว เจ้าอาวาสจึงส่งคนมาเรียกพวกเขาทุกคนให้มารวมตัวกัน
ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้เที่ยงวันแล้ว เจ้าอาวาสจึงตัดสินใจจัดสถานที่ในห้องอาหาร วางแผนจะกินอาหารไปด้วยเสียเลย
เมื่อฉินเย่ว์เหมียนได้ยินก็ปวดศีรษะ จึงโบกมือกล่าว “ขืนกินผักอีกข้าคงได้กลายเป็นผัก ไม่ต้องห่วงข้า เจ้าไปเถิด ข้าจะหาคนออกไปดื่มด้วยสักสองสามคน”
เหวินเหรินเหิงย่อมปล่อยฉินเย่ว์เหมียนไป แล้วเดินเข้าไปในห้องอาหารคนเดียว เมื่อมองไปทางหมอเทวดาจี่ที่ยืนอยู่ตรงกลาง เห็นอีกฝ่ายที่ใบหน้าใจดีเสมอมากลับเคร่งขรึมอย่างหาได้ยาก จึงคาดว่าสถานการณ์น่าจะรุนแรงไม่น้อยทีเดียว
ผู้คนต่างทยอยมาจนครบ ครั้นหมอเทวดาจี่เห็นทุกคนมองมาที่เขา ก็อธิบายเรื่องนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป
ทุกคนจึงได้รู้เรื่องราวว่า หมอเทวดาจี่และลูกศิษย์เจอจดหมายโดยบังเอิญ ในนั้นมีบันทึกบางอย่างเกี่ยวข้องกับยา หลังจากพวกเขาวิเคราะห์อยู่สักพัก ก็สรุปได้ว่าเป็นยาที่ปรุงสำเร็จตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว
หลายคนสีหน้าเปลี่ยนไป “ว่าอย่างไรนะ”
เจ้าสำนักเก่อประหลาดใจจึงเอ่ยขึ้นว่า “หากปรุงสำเร็จตั้งนานแล้ว หมากสีขาวจะเสี่ยงภัยอยู่ในคุกผูถีต่อเพื่ออันใดกัน”
“หมากสีขาวกำลังปรุงยาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง” หมอเทวดาจี่ถอนหายใจแผ่วเบาพลางกล่าว “ยาปรุงสำเร็จขั้นต้นใช้ได้ผลกับคนธรรมดาเท่านั้น หลังจากนั้นจึงเริ่มควบคุมผู้ฝึกยุทธ์ได้ ทว่าหากกำลังภายในสูงเกินไปก็จะยังไม่ได้ผล”
ไม่จำเป็นต้องพูดส่วนที่เหลือ
การที่หมากสีขาวอยู่ในคุกผูถีต่อ เขาต้องคิดจะผลิตยาที่ได้ผลดียิ่งขึ้น เพื่อควบคุมยอดฝีมือที่แข็งแกร่งขึ้นไปอีกเป็นแน่
“ยังมีอีกอย่างหนึ่ง” หมอเทวดาจี่เล่าต่อ “หมากสีขาวพัฒนาผงกักเก็บวิญญาณในโอสถนั้นเป็นพิเศษโดยใช้ตัวยาหลายขนาน ในจดหมายมีบันทึกอยู่บางส่วน สิ่งสำคัญคือหากเด็กถูกจับไปทดลองยา ในช่วงที่เด็กกำลังสับสน พวกนั้นจะสร้างตัวตนและภูมิหลังใหม่ช่วงหนึ่งให้แก่เด็กโดยละเอียด ซึ่งอาจทำให้ความทรงจำก่อนหน้าเลือนราง แล้วค่อยๆ ลอบกล่อมเกลาจนเขากลายเป็นอีกคนหนึ่งโดยไม่รู้ตัว หมากสีขาวน่าจะเคยลองใช้กับเด็กสักคนมาแล้ว”
ทุกคนสูดหายใจเย็นวาบทันที ยังไม่ทันได้แสดงความคิดเห็น ก็เห็นศิษย์วัดเส้าหลินวิ่งเข้ามาบอกพวกเขาว่ามีคนส่งจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับ
พวกเขาจึงรีบหยัดกายลุกขึ้นเดินออกไป
*******
เมื่อตรวจดูลายมือบนซองจดหมายครู่หนึ่ง พบว่าหมากสีดำเป็นผู้ส่งมา ทั้งยังให้คนอื่นมาส่งจดหมายเหมือนครั้งก่อนๆ เจ้าอาวาสฉือหยวนปล่อยคนที่มาส่งจดหมายไป แล้วเปิดออกอ่าน ประโยคแรกในจดหมายคือ ถามไปก็ไร้คำตอบสินะ
“…” ทุกคนได้แต่หน้าแดงก่ำ
พวกเขาก้มลงอ่านประโยคที่สอง หากได้คำตอบแล้ว ให้ถือว่าข้ามิได้กล่าวประโยคด้านบนนั่นแล้วกัน
“…” ไม่รู้ว่าทุกคนอยากเฆี่ยนตีหมากสีดำกี่ครั้งกี่หนแล้ว ทว่าทำได้เพียงอ่านต่อไปอย่างเงียบเชียบ กระทั่งเห็นหมากสีดำบอกว่าจดหมายฉบับนี้ส่งมาเพื่อเตือนสติว่า คนตายยังมีชีวิตลอยนวลอยู่
เจ้าสำนักเว่ยกล่าว “คนตายยังมีชีวิตอยู่หรือ”
คนอื่นๆ ต่างพากันขบคิด อยากรู้ว่าหมากสีดำหมายถึงผู้ใด
เหวินเหรินเหิงคาดเดา “จะเป็นคนอย่างตาแก่ผีดิบหรือไม่ โอสถที่ปรุงจากคุกผูถีถึงขั้นสามารถควบคุมยอดฝีมืออย่างหลี่ตาเดียวได้ หากหมากสีขาวยังไม่พอใจ คนที่เขาคิดจะควบคุมย่อมเป็นยอดฝีมือไร้เทียมทานที่เหนือกว่าตาแก่ผีดิบนั่น และหากหมากสีดำไม่ได้หมายถึงยอดฝีมือที่แกล้งตาย ก็น่าจะสื่อถึงบุคคลสำคัญบางคน หากรู้ว่าผู้ใดที่ไม่ได้ตายจริงๆ ก็จะค้นพบตัวตนของหมากสีขาว”
ผู้นำสหพันธ์ขมวดคิ้วจนติดเป็นนิสัย “แต่ในช่วงสิบกว่าปีมานี้ มีคนตายในยุทธภพมากมายเหลือเกิน”
“อืม…” ทุกคนปวดศีรษะ การคาดเดาจากคนตายไม่ต่างกับการงมเข็มในมหาสมุทร
จู่ๆ เจ้าสำนักเก่อก็เอ่ยขึ้นว่า “น้ำหมึกนี้เพิ่งแห้งนี่”
ทุกคนมองไปทางเจ้าสำนักเก่อ เห็นเขาชี้ไปที่จดหมายในมือเจ้าอาวาสฉือหยวน แล้วกล่าวซ้ำ “น้ำหมึกเพิ่งแห้ง”
ประมุขติงได้สติขึ้นมาก่อน “หมายความว่าหมากสีดำเพิ่งเขียนได้ไม่นาน เขียนเสร็จก็หาคนข้างนอกส่งมาให้ วันนี้มีผู้ใดออกจากวัดเส้าหลินบ้าง”
ดวงตาของทุกคนเป็นประกาย รีบร้อนส่งลูกน้องไปถามหา
ผลที่ได้ช่างน่าผิดหวังอย่างยิ่ง วันนี้บรรดาจอมยุทธ์ที่ขลุกอยู่ในวัดเส้าหลินมาเป็นเวลาหลายวันล้วนออกไปข้างนอกจำนวนมาก ไม่ต้องเอ่ยถึงใครอื่น ลำพังแค่คุณชายสำนักต่างๆ ก็ออกไปเป็นกลุ่มใหญ่แล้ว
“ทำบัญชีรายชื่อ” ประมุขติงเสนอ “อย่างน้อยก็จำกัดขอบเขตให้แคบลงได้”
ทุกคนไม่คัดค้าน ต่อให้ผู้ที่เขียนจดหมายนี้จะไม่ใช่ตัวหมากสีดำเอง ก็ต้องเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา หากเขียนจดหมายถึงพวกเขาได้หลายครั้งหลายหน ย่อมมีโอกาสรู้จักตัวตนของหมากสีดำอย่างยิ่ง และหากเจอตัวหมากสีดำ ก็จะถามถึงหมากสีขาวได้ เรื่องราวจะได้คลี่คลายสิ้นสุดลงเสียที
*******
เมื่อพวกเขากลับไปที่ห้องอาหาร เห็นหมอเทวดาจี่ยังอยู่ จึงนึกถึงถ้อยคำก่อนหน้านี้ พลันตระหนักได้ว่าตอนที่คนเป่าขลุ่ยรู้จักกับเต๋อหรูต้าซือคราแรกก็มีอายุเพียงไม่กี่ขวบเท่านั้น
เจ้าอาวาสฉือหยวนถาม “เป็นไปได้หรือไม่ที่นางจะกินยาเข้าไป”
หมอเทวดาจี่ส่ายหน้า “เอ่ยยากยิ่ง ต่อให้กินยาเข้าไป ทว่าผ่านมานานหลายปีถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าจะแก้ได้หรือไม่”
เจ้าอาวาสฉือหยวนกล่าวอมิตาภพุทธ หารือกับทุกคนพักหนึ่งแล้วตัดสินใจลองให้หมอเทวดาจี่รักษา จากนั้นค่อยเริ่มนำอาหารขึ้นโต๊ะ