[ทดลองอ่าน] ท่านประมุขหลงลืมฟื้นรัก เล่ม 2 บทที่ 42

ท่านประมุขหลงลืมฟื้นรัก เล่ม 2

教主走失记

 

Yishihuashang 一世华裳 เขียน

RML แปล

 

โปรย

เย่โย่ว ฟื้นคืนความทรงจำแล้ว
ที่แท้หมากสีดำผู้วางแผนเปิดโปงหมากสีขาวก็คือตัวเขาเอง
แต่ที่ทุ่มเทเสี่ยงอันตรายถึงเพียงนี้
เขาต้องการทำเพื่อยุทธภพเท่านั้นหรือ
หรือเพราะอดีตอันดำมืดที่ผลักดันให้เขาทำทุกอย่าง

ไม่ว่าเย่โย่วจะวางแผนทั้งหมดเพื่อสิ่งใด
แต่ เหวินเหรินเหิง ซึ่งในที่สุดก็ได้คนรักกลับคืนมา
ขอสาบานว่าจะไม่ปล่อยให้ศิษย์น้องหนีหายไปอีกแล้ว
“ข้าจะคอยดูอยู่ข้างๆ เจ้าชนะ ข้าก็พลอยมีความสุขไปกับเจ้า
หากเจ้าแพ้ จะเป็นหรือตายข้าก็จะติดตามไปด้วย”

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 42

 

หลังจากเย่โย่วและพรรคพวกลงจากภูเขาก็ไปกินอาหารกลางวันกันก่อน จากนั้นตรงไปที่เมืองเสี่ยงซิ่ง

เว่ยจิ้นมองดูเส้นทางสายนี้ ขณะหยุดพักกลางทาง เขากับเหรินเส้าเทียนก็เข้าไปอยู่ตรงหน้านายน้อยที่กำลังปลดทุกข์ แล้วจ้องมองอีกฝ่ายเงียบงัน

ติงสี่ไหลเอ่ยอย่างเนิบช้า “…เรื่องนี้มีสาเหตุ”

เว่ยจิ้นหาได้ปริปากไม่ ดูเหมือนจะรอให้เขาเอ่ยก่อน

ติงสี่ไหลผูกผ้าคาดเอวด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ยืนเอามือไพล่หลัง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่คล้ายคลึงกับบิดาว่า “ครั้งที่แล้วข้าเคยไปกินขนมท้องถิ่นที่เมืองเสี่ยงซิ่ง รสชาติอร่อยถูกปาก หลังจากคุยกับพวกเขาเมื่อวาน ทุกคนต่างอยากลองชิมดูบ้าง ข้าเลยวางแผนจะพาพวกเขาไปกินสักครั้ง” เขามองไปทางเหรินเส้าเทียน “ใช่หรือไม่พี่เส้าเทียน”

เหรินเส้าเทียนยกมุมปากยิ้มเยาะเล็กน้อย

เขาอยากหัวเราะทุกครั้งที่เห็นนายน้อยเป็นเช่นนี้ แล้วเอ่ยว่า “อร่อยมากจริงๆ ให้พวกเขาไปกินเถิด”

แน่นอนว่าประโยคสุดท้ายเป็นการบอกให้เว่ยจิ้นได้ยิน เว่ยจิ้นพยักหน้า ยังไม่ปริปากเช่นเดิม ติงสี่ไหลรับรู้ได้ว่าเมื่อกลับไปแล้วหากท่านพ่อไต่ถาม คนผู้นี้จะรายงานโดยไม่ขาดตกบกพร่องสักคำแน่นอน ทว่าเมื่อถึงยามนั้น พวกเขาคงจะสร้างความดีความชอบได้สักอย่างแล้ว ท่านพ่อต้องชมเชยเขาแน่

ทันใดนั้นหัวใจเขาพลันกระตุกวูบ แล้วกล่าวเรียบๆ ว่า “หากพี่ใหญ่เว่ยกังวลว่าท่านพ่อจะคัดค้าน เช่นนั้นท่านควรไปบอกเขาก่อนสักคำจะดีกว่า”

เหรินเส้าเทียนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อรู้ว่านายน้อยต้องการส่งเว่ยจิ้นกลับวัดเส้าหลิน กระนั้นเว่ยจิ้นก็ไม่ใช่คนโง่ ในเมื่อท่านประมุขมอบหมายให้อารักขานายน้อย เขาย่อมไม่จากไปไหน

ติงสี่ไหลยอมรับชะตากรรม ปีนขึ้นรถม้าอย่างวางมาด ขณะที่คิดจะหาสหายสนิทมาบ่นระบายความในใจ กลับเห็นอีกฝ่ายเอาแต่จับจ้องคนข้างๆ อย่างตะลึงพรึงเพริดจนเขาอดหันไปมองด้วยไม่ได้ สายตาปะทะกับใบหน้างดงามเกินมนุษย์ที่งามประหนึ่งจะล่มเมืองโดยไม่ทันตั้งตัว ในชั่วพริบตานั้น สมองพลันว่างเปล่า ลิ้นพันกันเป็นปม “เจ้า…เจ้า…”

เย่โย่วเลิกคิ้วอย่างเบื่อหน่าย “ข้าทำไม”

ติงสี่ไหลส่ายหน้าดิก แล้วมองเขาด้วยความตกใจ

เว่ยเจียงเย่ว์ก็เฝ้าดูอยู่ข้างๆ เช่นกัน

น้ำค้างร้อยหญ้าเป็นโอสถวิเศษ เหวินเหรินเหิงทาให้คนผู้นี้ทุกวี่วันราวกับไม่เสียดายเงินทอง ยามนี้หากไม่ดูให้ละเอียดก็แทบจะมองไม่เห็นรอยแผลเป็นอีกแล้ว คิดว่าผ่านไปอีกสองสามวันก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง ยามที่เขาเห็นคราแรกนั้น ใบหน้าของคนผู้นี้สมบูรณ์เพียงครึ่งเดียว เมื่อได้เห็นอีกในครานี้ยิ่งส่งผลกระทบรุนแรง ทำเอาผู้คนล้วนต้องประหลาดใจ

ไม่ต้องเอ่ยถึงติงสี่ไหล เขาต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะกลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเย่โย่วสวมหน้ากากปลอมตัวจึงถามด้วยความสงสัย “อยู่ดีๆ เหตุใดจึงต้องปลอมตัว”

เย่โย่วถามกลับ “เจ้าหมายถึงจะให้ข้าไปเที่ยวหอชายบำเรอด้วยใบหน้าเช่นนี้อย่างนั้นหรือ”

หากเป็นเช่นนั้น คาดว่าผู้คนจะเข้ามาห้อมล้อมต้อนรับเขาแต่เพียงผู้เดียว…ทุกคนตรงนั้นพลันเงียบกริบ

ติงสี่ไหลสบตาสหายสนิทแล้วคิดในใจเหมือนกันว่า ‘เขามีหน้าตางามเช่นนี้ เหวินเหรินเหิงยังมิกลายเป็นพวกตัดแขนเสื้อ[1]อีกจริงหรือ สงสัยเหวินเหรินเหิงคงเป็นสัตบุรุษหลิ่วเซี่ยฮุ่ย[2]กระมัง!’

 

*******

 

จากอำเภอเล็กๆ ที่เชิงเขาวัดเส้าหลินไปยังเมืองเสี่ยงซิ่งใช้เวลาเดินทางครึ่งวัน ทว่าพวกเขาโชคดีที่คืนนี้มีตลาดกลางคืนในเมืองเสี่ยงซิ่ง จึงรีบมาจนถึงก่อนประตูเมืองปิดได้สำเร็จ ขณะนี้ยังมีคนเดินขวักไขว่อยู่บนถนน รถม้าถูกบังคับให้ชะลอความเร็วลง เย่โย่วลงจากรถม้าโดยไม่ลังเล แล้วเดินลอยชายไปตามฝูงชน

เว่ยเจียงเย่ว์ไม่รู้ว่าเขาต้องการจะทำสิ่งใดจึงตามไปด้วย

เย่โย่วมองไปรอบๆ จากนั้นจึงเดินไปหาคนหาบเร่ขายของริมถนนที่กำลังร้องเรียกลูกค้า แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายๆ ประตูเมืองใกล้จะปิดแล้ว ไฉนยังไม่กลับบ้านเล่า”

“ครอบครัวของข้าอาศัยอยู่ในเมือง ไม่เป็นไรหรอกขอรับ” พ่อค้าถาม “คุณชายจะรับชาหอมหมื่นหลี่หรือไม่ หอมเชียวนะขอรับ”

เย่โย่วเอ่ยตกลงง่ายๆ ว่า “ได้ เอามาหนึ่งห่อ”

“ดียิ่ง” พ่อค้าดีใจมาก มือไม้รีบจัดของส่งให้เขาหนึ่งห่ออย่างคล่องแคล่ว เนื่องจากกำลังจะปิดแผงขาย จึงเพิ่มชาให้เขาอีกนิดหน่อย

เย่โย่วรับของมา ให้เงินพ่อค้าสองตำลึง แล้วรั้งตัวอีกฝ่ายไว้ตอนจะทอนเงิน บอกว่าตัวเองมาเมืองเสี่ยงซิ่งเป็นครั้งแรก อยากรู้ว่ามีที่เที่ยวสนุกตรงไหนบ้าง พ่อค้ารู้จักดี จึงพูดคุยกับเขาขณะเดินหาบของขายไปด้วย

เว่ยเจียงเย่ว์ติดตามอยู่ข้างๆ ฟังพวกเขาเอ่ยถึงโรงเตี๊ยม อาหารว่าง และคณะละคร จากนั้นก็มีใครบางคนชี้มาทางเขาแล้วพูดว่า “จริงสิพี่ชาย สหายของข้าผู้นี้ชอบลิ้มลองของใหม่ไปเสียทุกที่ ไม่เช่นนั้นจะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ไม่ทราบว่ามีหอชายบำเรอในเมืองเสี่ยงซิ่งหรือไม่”

เว่ยเจียงเย่ว์ “…”

พ่อค้าอุทาน “โอ้” อย่างชัดเจน ก่อนจะใช้สองตามองพินิจพิเคราะห์เว่ยเจียงเย่ว์อย่างมีเลศนัยแล้วแนะนำต่อไป เย่โย่วตั้งใจฟัง ประเด็นสำคัญคือถามให้ได้ชื่อร้านที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งนั้นออกมา จนกระทั่งรู้พอประมาณแล้วจึงกล่าวขอบคุณ ก่อนจะแยกตัวจากคนผู้นี้

เว่ยเจียงเย่ว์กล่าว “ข้าจะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวหากไม่ได้ลิ้มลองของใหม่หรือ”

เย่โย่วเงยหน้าขึ้นมองเขา เว่ยเจียงเย่ว์ก็มองกลับเช่นกัน เห็นแววตาของเย่โย่วเริ่มฉายแววลังเลสงสัย เว่ยเจียงเย่ว์กำลังคิดว่าควรอธิบายสักสองสามคำหรือไม่ กลับได้ยินเย่โย่วถามเพียงว่า “หรือว่าข้าเดาถูกแล้ว”

เว่ยเจียงเย่ว์ “…”

“คุณชายรองเว่ย อย่าถือเป็นจริงเป็นจังเกินไป อาจทำให้หมดสนุกได้มากทีเดียว” เย่โย่วพูดสั่งสอนทีเล่นทีจริง แล้วเดินไปยังสถานที่ที่มีรถม้าจอดอยู่เบื้องหน้า

เว่ยเจียงเย่ว์มองดูเย่โย่วท่ามกลางแสงไฟถนน รู้สึกเพียงว่าแม้แต่แผ่นหลังอันราบเรียบของคนผู้นี้ก็ยังเจือความสง่างามและไม่สามารถคาดเดาได้อยู่หลายส่วน ทำให้ผู้คนมิอาจมองทะลุและจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ไม่มีทางรู้เลยสักนิดว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่และคิดจะทำอันใด

 

*******

 

ติงสี่ไหลและคนอื่นๆ รอพวกเขาอยู่ เมื่อเห็นทุกคนมากันครบแล้ว จึงเข้าไปในหอชายบำเรอ

เถ้าแก่เจนจัดอย่างมาก แค่ดูก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือกลุ่มนายน้อยสูงศักดิ์ จึงรีบเข้ามาทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ขณะที่เย่โย่วคิดจะเอ่ยปาก พลันรู้สึกว่าบุตรชายผู้นำสหพันธ์กำลังดึงแขนเสื้อของเขาไว้ ครั้นเห็นสายตาเขาจ้องมองไปยังร่างติงสี่ไหลที่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ในไม่ช้าเถ้าแก่ก็รู้ว่าพวกเขาต่างกำลังมองไปที่คนคนเดียวกัน จึงมองตามไปด้วย

ภายใต้การจดจ้องของเว่ยจิ้น ติงสี่ไหลลอบสบถด่าหยาบคายอยู่ในใจ  ทว่าเขาจำต้องปั้นหน้าประหนึ่งประมุขติง เอ่ยด้วยแววตาเคร่งขรึมจริงจังว่า “เถ้าแก่ หาเด็กหนุ่มสองสามคนให้พวกเราหน่อย”

เถ้าแก่ตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ ราวกับเป็นครั้งแรกที่เห็นคนมีท่วงท่าภูมิฐานเช่นนี้ให้เกียรติมาอุดหนุนกิจการของเขา

กลุ่มคนของบุตรชายผู้นำสหพันธ์เกือบจะหลุดหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าคล้ายจู่ๆ ได้เห็นประมุขติงมาเที่ยวผู้หญิงโคมเขียว แม้แต่เหรินเส้าเทียนยังอดหลุดขำไม่ได้

เถ้าแก่ถือได้ว่าหูตาว่องไว รีบดึงสติกลับมาแล้วกล่าวว่า “ได้ขอรับ เชิญคุณชายทุกท่านด้านใน ที่นี่มีทุกอย่างครบครัน รับรองว่าท่านจะพอใจอย่างยิ่ง”

เย่โย่วถาม “ดาวเด่นของพวกเจ้าอยู่หรือไม่”

เถ้าแก่เอ่ยกลั้วหัวเราะ “อยู่ขอรับ แต่ข้าว่าพวกคุณชายยังเป็นมือใหม่ในยุทธภพ เกรงว่าคงมาเยือนเรือนทิงจู๋[3]ของเราเป็นครั้งแรก ขอแจ้งล่วงหน้าก่อนว่าดาวเด่นของพวกเราขายเฉพาะงานศิลปะ ไม่ขายเรือนร่างขอรับ”

“ข้ารู้” เย่โย่วกล่าว “ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าดาวเด่นของพวกเจ้าเล่นพิณได้ไพเราะจับใจ วันนี้จึงตั้งใจมาฟังเขาบรรเลงสักเพลง เขาไม่ได้ขายเรือนร่าง ยามนี้ก็ไม่น่าจะมีแขกมิใช่รึ”

เถ้าแก่กล่าว “ไม่มีแขกจริงๆ ขอรับ”

เย่โย่วหยิบตั๋วแลกเงินให้เขาหนึ่งใบ “ขอห้องส่วนตัวให้ข้าผู้เดียว แล้วก็ห้องส่วนตัวสำหรับพวกเขาด้วย จัดหาชายหนุ่มรู้งานสักสองสามคนพูดคุยเป็นเพื่อนพวกเขาเสีย”

เถ้าแก่ยิ้มหน้าบาน เอ่ยรับคำด้วยความยินดี แล้วพาทุกคนขึ้นไปยังชั้นบนด้วยตัวเอง พร้อมจัดห้องส่วนตัวให้พวกเขาสองห้อง จากนั้นก็ออกไปเรียกคน คิดจะเลือกคนให้นายน้อยเหล่านี้อย่างดี ทันทีที่เขาเดินออกไป ทุกคนก็มองไปทางคุณชายเสี่ยวพร้อมกัน

เว่ยเจียงเย่ว์ถาม “เจ้าอยากได้ห้องส่วนตัวแยกต่างหากหรือ”

เย่โย่วตอบอย่างที่ควรจะเป็น “ข้าสูญเสียวรยุทธ์ทั้งหมด พวกเจ้าคงไม่ได้คาดหวังให้ข้าติดตามไปค้นหาเบาะแสด้วยกันใช่หรือไม่ เรื่องนี้ต้องอาศัยยอดจอมยุทธ์ทุกท่านแล้ว ข้าจะไปฟังเพลงสักเล็กน้อย หากมีอันใดก็เรียกข้าได้ทุกเมื่อ”

ทุกคน “…”

“พวกเจ้าคุยเล่นกับพวกเด็กหนุ่มสักสองสามคำ จากนั้นก็ถามว่ามีสิ่งใดไม่ชอบมาพากลบ้าง เมื่อสบโอกาสจงเดินไปให้ทั่ว ข้าเชื่อใจพวกเจ้า” ขณะที่เย่โย่วกล่าวก็เห็นเถ้าแก่พาคนกลุ่มหนึ่งเข้าประตูมา จึงทำทีเป็นเกี้ยวหยิกแก้มเด็กหนุ่มที่อยู่ใกล้เขาที่สุดหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ปล่อยพวกเขาทิ้งไว้

ทุกคน “…”

 

*******

 

ชายหน้าบากเดินตามไปอย่างซื่อสัตย์ เห็นนายน้อยเสี่ยวเพิ่งรินสุราไปหนึ่งจอก ประตูก็เปิดออก

ผู้มาเยือนสวมเสื้อคลุมยาวสีคราม เส้นผมสีดำตรงดกหนาสยายลงมาอย่างนุ่มนวล นัยน์ตาทั้งคู่ยาวรี รูปงามคมคาย ริมฝีปากยิ้มนิดๆ ท่าทางเป็นคนอารมณ์ดี

เขามองคุณชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาผู้นี้แล้วเอ่ยว่า “คารวะคุณชาย”

เย่โย่วเอ่ยกลั้วหัวเราะ “อืม”

ดาวเด่นนั่งลงตรงหน้า แล้วถามว่า “คุณชายอยากฟังเพลงใดขอรับ”

เย่โย่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงละมุน “เพลงใดก็ได้ ขอเพียงเจ้าบรรเลง ข้าล้วนชอบฟังทั้งสิ้น”

ชายหน้าบาก “…”

เขาเริ่มเคลือบแคลงแล้วว่าครั้งนี้นายน้อยเสี่ยวออกมาเพียงเพื่อดื่มสุราหาความสำราญหรือไม่

ดาวเด่นผู้นี้มีนามว่าฝูผิง เขาคุ้นเคยกับบทสนทนาเช่นนี้เป็นอย่างดี จึงส่งยิ้มให้เย่โย่ว เมื่อตั้งพิณเรียบร้อยก็เริ่มดีดอย่างเบามือ เย่โย่วจิบสุราหนึ่งอึก หรี่ตาพริ้มอย่างสำราญใจ ระหว่างนี้เว่ยเจียงเย่ว์มาหาเขาถึงสองครั้ง เมื่อเห็นว่าเขาเอาแต่จดจ้องดาวเด่น ก็คิดเป็นจริงเป็นจังว่าเย่โย่วไม่สนใจเรื่องราวความคืบหน้า จึงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะจากไปโดยไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดทั้งสิ้น

เย่โย่วนั่งอย่างสบายอารมณ์ครู่หนึ่ง จนได้ยินเสียงวุ่นวายข้างนอกจึงสั่งว่า “ไปดูหน่อยสิว่าเกิดอะไรขึ้น”

ชายหน้าบากละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นเห็นนายน้อยเสี่ยวชำเลืองมองเขาอีกครั้ง ในที่สุดก็พยักหน้า หยัดกายขึ้นแล้วออกไป

มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ แล้วในห้องก็เหลือเพียงเย่โย่วกับดาวเด่นเท่านั้น เสียงพิณไพเราะเสนาะโสตราวกับคำรักอ้อยอิ่งแว่วหวาน เย่โย่ววางจอกสุราลง แล้วลุกขึ้นเดินไปหาดาวเด่นที่อยู่เบื้องหน้า เชยคางเขาข้ามผ่านพิณที่กั้นขวางอยู่ พลางถามว่า “คนงาม ไม่ขายเรือนร่างจริงหรือ”

ฝูผิงเอนหลังเพื่อให้หลุดจากมือเย่โย่ว “ขอรับ หากคุณชายต้องการ สามารถไปหาคนอื่นได้ จะเลือกคนที่ถูกใจได้อย่างแน่นอน”

“แต่ข้าถูกใจเจ้าเข้าแล้ว จะทำอย่างไรดีเล่า” เย่โย่วนั่งลงข้างๆ โอบไหล่ฝูผิง พลางดีดสายพิณเล่นไปมา “ตอนที่เพิ่งมาถึงเมืองเสี่ยงซิ่ง ข้าได้ยินมาว่าคุณชายฝูผิงโดดเด่นสันทัดด้านเพลงพิณ ไม่นึกเลยว่าแม้กระทั่งคนก็จะมีหน้าตางดงามถึงเพียงนี้ ทำให้ข้ามีใจให้ตั้งแต่แรกพบจริงๆ ต้องไขว่คว้ามาให้ได้จิตใจจึงจะสงบ”

ฝูผิงหลุบตาต่ำ “แต่คุณชาย…”

“เจ้าวางใจได้ ข้าเป็นคนรักยืนยาว ไม่มีวันได้ใหม่ลืมเก่าเป็นอันขาด” เย่โย่วขัดจังหวะแล้วกล่าวต่อ “อาชีพเช่นนี้ไม่มั่นคง ไม่ช้าก็เร็วควรลงหลักปักฐานให้ตัวเอง ศิษย์พี่ของข้าเป็นเจ้าสำนักซวงจี๋ เจ้าเคยได้ยินชื่อสำนักซวงจี๋หรือไม่ เป็นสำนักหนึ่งที่ทรงอิทธิพลมากในยุทธภพ หากเจ้าติดตามข้าไป ย่อมไม่มีทางถูกเอาเปรียบแน่นอน”

ฝูผิงมองไปที่เขา

เย่โย่วประสานสายตากับคนผู้นี้ ความรู้สึกลึกซึ้งในดวงตาดูราวกับจะเอ่อล้นออกมา เพียงครู่เดียวเขาก็จับไหล่ฝูผิงไว้ แล้วดันเบาๆ ให้คนผู้นั้นเอนลงบนเบาะนุ่ม มืออีกข้างหนึ่งลูบแก้มสีชมพูของอีกฝ่ายไปด้วย

ฉับพลันนั้นเอง ชายหน้าบากกับเว่ยเจียงเย่ว์ก็เปิดประตูเข้ามา จ้องมองไปที่ท่าทางของทั้งสองคน ต่างตะลึงงันไปพร้อมกัน

เย่โย่วไม่ได้หันกลับไป แต่ค่อยๆ ใช้นิ้วหัวแม่มือลูบไล้แก้มของฝูผิงครู่หนึ่ง ฝูผิงกัดริมฝีปาก ผินหน้าหนีเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ปฏิเสธ เย่โย่วหัวเราะแผ่วเบา ครานี้จึงค่อยมองไปยังคนทั้งสองที่ประตู “ยังไม่ออกไปอีก อยากชมภาพร่วมอภิรมย์สดๆ หรือ”

ชายหน้าบากกับเว่ยเจียงเย่ว์ถอยออกไปราวกับท่อนไม้ แล้วปิดประตูอีกครั้ง

เย่โย่วพอใจมาก ขยับนิ้วลงหมายจะปลดผ้าคาดเอวของฝูผิง ทว่าคนผู้นี้กลับรั้งเอาไว้

ฝูผิงเอ่ยถาม “คุณชายไม่กลับห้องหรือ”

เย่โย่วตอบ “กลับห้องอะไรกัน ข้าอยากทำที่นี่”

พูดจบก็ปัดมือฝูผิงออก แล้วคลายผ้าคาดเอวต่อไป ฝูผิงสีหน้าหม่นลงเล็กน้อย เย่โย่วรีบสกัดจุดหลายแห่งบนตัวเขาอย่างฉับไว ควบคุมเขาไว้ได้อย่างง่ายดาย จากนั้นจึงปลดปล่อยพลังปราณแท้ออกมา ตรงเข้าปิดผนึกจุดชีพจรใหญ่จุดหนึ่งเอาไว้

“เจ้า…” ในที่สุดฝูผิงก็หน้าถอดสี ดวงตาเรียวยาวย้อมด้วยแสงเย็นเยียบ เจือกลิ่นอายข่มขู่หลายส่วนในทันที แตกต่างจากการสงวนท่าทีเมื่อครู่นี้โดยสิ้นเชิง

“ข้าอะไร” เย่โย่วเอนตัวเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้มกริ่ม แล้วถามแทนอีกฝ่าย “ฝีเท้าของข้าอ่อนแรงเช่นนี้ เหตุใดถึงมีวรยุทธ์งั้นหรือ”

ฝูผิงกล่าว “เจ้าแสร้งทำใช่หรือไม่”

เย่โย่วไม่ตอบ เขาหยิบยาลูกกลอนหนึ่งเม็ดออกมายัดเข้าปากอีกฝ่ายอย่างไร้ความปรานี แล้วหยัดกายขึ้นยืน เดินไปหยิบกาสุราท่ามกลางสายตาประหนึ่งอยากจะสังหารคนของฝูผิง พลางฟังเสียงเคลื่อนไหวแสนบางเบาบนคาน ก่อนจะเดินกลับไปอย่างใจเย็น

เพิ่งจะสาวเท้าไปได้เพียงก้าวเดียว เงาดำร่างหนึ่งก็ตกลงมาอย่างไร้สุ้มเสียง

เงาดำถือกระบี่ หลังจากตกถึงพื้นก็พุ่งตรงเข้าหาเย่โย่ว ทว่ากลับสัมผัสเขาไม่ได้แม้แต่ชายผ้า อีกฝ่ายเห็นเพียงเงาคนแวบหายไป พลันรู้สึกเจ็บที่หลังคอ จากนั้นก็ไม่รับรู้สิ่งใดอีกเลย

เย่โย่วไม่ได้มองด้วยซ้ำ เขาคว้าอีกฝ่ายขึ้นมา แล้วโยนออกไปทางหน้าต่าง

ฝูผิงก็เห็นการเคลื่อนไหวของเขาไม่ชัดเจนเช่นกัน สีหน้าจึงเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก “เจ้าเป็นใครกันแน่”

เย่โย่วเดินกลับไปข้างกายฝูผิง จับคางแล้วกรอกสุราลงไป ครั้นแน่ใจว่าฝูผิงกลืนยาลงไปแล้ว ก็ออกแรงบีบรัดคอจนแน่น ใบหน้าฝูผิงค่อยๆ เหยเก แม้จะโดนสกัดจุดไว้ ทว่าก็ยังบิดเบี้ยวได้เล็กน้อยเพราะขาดอากาศหายใจ เย่โย่วยกมุมปากขึ้นแล้วกระซิบว่า “หากข้านับสามแล้วพวกเจ้าไม่ถอนตัว ก็ทำได้เพียงเก็บศพเขาเท่านั้น หนึ่ง สอง…”

เสียงบนขื่อคานจากไปอย่างไม่เต็มใจ เย่โย่วชักมือกลับมา มองฝูผิงไอเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ไม่ได้บอกเจ้าหรือ ว่าข้าเป็นศิษย์น้องของเจ้าสำนักซวงจี๋ หากเจ้าอยากรู้ก็ตามข้าไปที่วัดเส้าหลินสักเที่ยว หลีฮวาก็คงคิดถึงเจ้าเหมือนกันเป็นแน่ จริงสิ นางถูกคนจับตัวไปกักขังที่วัดเส้าหลินแล้ว เจ้ารู้หรือไม่”

ฝูผิงพยายามผ่อนลมหายใจอย่างเต็มที่ ขณะกำลังจะปริปาก กลับถูกปิดด้วยฝ่ามือ

ฝูผิงมองไปที่ดวงตาทั้งสองข้างของคนผู้นี้ รู้สึกเพียงว่าลูกนัยน์ตาสีอ่อนนั้นคมกริบและขี้เล่น ทว่ามองคนได้ทะลุปรุโปร่ง

เย่โย่วยิ้มแล้วกล่าว “หากข้าเป็นเจ้า ยามนี้ควรจะร้องเสียงดังขอความช่วยเหลือสิ”

ฝูผิง “…”

“ยอมแพ้เถิด คนที่ข้าถูกใจ ย่อมไม่ปล่อยให้หนีไปง่ายๆ หรอก” เย่โย่วยิ้มให้เขาหนึ่งหน ทว่าในดวงตากลับไม่ยิ้มตามสักเท่าไร กว่าฝูผิงจะคิดได้ถี่ถ้วน ก็ถูกชายผู้นี้อุ้มขึ้นมา จากนั้นโดนทุบจนหมดสติไป

            ชั่วขณะต่อมา ชายหน้าบากผลักประตูห้องออกอย่างกะทันหันด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว

เขามองทั้งสองคน เห็นนายน้อยเสี่ยวอุ้มฝูผิงไว้ อีกทั้งดาวเด่นผู้นั้นยังแก้มแดงระเรื่อ มีน้ำตาคลอเบ้า ราวกับถูกทำลายจนป่นปี้ไปแล้วก็มิปาน ดวงตาเขาพลันมืดหม่นลงทันที ด้วยรู้สึกผิดต่อเจ้าสำนักจึงกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “ท่าน…เขา…”

เย่โย่ววางฝูผิงลง มองเขาที่หายใจไม่ออกจนน่าเวทนา จากนั้นจึงค่อยๆ จัดเสื้อผ้าอย่างเนิบช้า แล้วกล่าวอย่างแสนเสียดายว่า “เฮ้อ เขาน่ะ เมื่อครู่ถูกข้าเล้าโลมมากไปหน่อย เลยเป็นลมไปเสียแล้ว”

ชายหน้าบากรีบคว้าหญ้าช่วยชีวิตไว้อย่างว่องไว “ไม่…ไม่ได้ทำ?”

เย่โย่วเลิกคิ้ว “เจ้าคิดว่าข้าจะเร็วถึงเพียงนี้เลยหรือ”

“…” ชายหน้าบากไม่ต้องการสนทนาเรื่องนี้กับเขา ขณะที่กำลังจะเกลี้ยกล่อมให้พอแค่นี้ กลับได้ยินอีกฝ่ายกล่าวว่า “เขาสัญญาว่าจะตามข้าไป ข้าจะพาเขาไปด้วย”

ชายหน้าบาก “…”

 

[1] ใช้เรียกผู้รักเพศเดียวกันของชาวจีนสมัยโบราณ มาจากตำนานรักตัดแขนเสื้อในสมัยราชวงศ์ฮั่น เมื่อฮ่องเต้ฮั่นอายกับคนรักหนุ่มรับใช้นาม ต่งเสียน นอนหลับกลางวันด้วยกัน ต่งเสียนนอนทับแขนเสื้อของฮ่องเต้ ครั้นฮ่องเต้ตื่นบรรทมก่อน ไม่อยากรบกวนคนรัก จึงทรงตัดแขนเสื้อตัวเองทิ้งแล้วลุกขึ้น จนกลายเป็นวลีอันโด่งดัง

[2] สัตบุรุษสมัยชุนชิวจ้านกั๋วผู้เลื่องลือว่ามีคุณธรรมสูงส่ง ไม่ล่วงเกินอิสตรีหรือแสดงกิริยาลวนลามแต่อย่างใด แม้จะอาศัยอยู่ในห้องเดียวกันก็ตาม

[3] แปลว่า สดับเสียงไผ่

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า