ท่านประมุขหลงลืมฟื้นรัก เล่ม 2
教主走失记
Yishihuashang 一世华裳 เขียน
RML แปล
โปรย
เย่โย่ว ฟื้นคืนความทรงจำแล้ว
ที่แท้หมากสีดำผู้วางแผนเปิดโปงหมากสีขาวก็คือตัวเขาเอง
แต่ที่ทุ่มเทเสี่ยงอันตรายถึงเพียงนี้
เขาต้องการทำเพื่อยุทธภพเท่านั้นหรือ
หรือเพราะอดีตอันดำมืดที่ผลักดันให้เขาทำทุกอย่าง
ไม่ว่าเย่โย่วจะวางแผนทั้งหมดเพื่อสิ่งใด
แต่ เหวินเหรินเหิง ซึ่งในที่สุดก็ได้คนรักกลับคืนมา
ขอสาบานว่าจะไม่ปล่อยให้ศิษย์น้องหนีหายไปอีกแล้ว
“ข้าจะคอยดูอยู่ข้างๆ เจ้าชนะ ข้าก็พลอยมีความสุขไปกับเจ้า
หากเจ้าแพ้ จะเป็นหรือตายข้าก็จะติดตามไปด้วย”
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 43
ประตูห้องส่วนตัวเปิดอยู่ ได้ยินเสียงชายคนหนึ่งร้องตะโกนเกรี้ยวกราดชัดเจน “เจ้าพวกผายลมสุนัขเข้าผิดห้อง! พวกเจ้าเจตนาเป็นแน่ เจ้าพวกเด็กสารเลว!”
“ด่าใครกัน พ่อข้ายังไม่เคยดุว่าข้าเช่นนี้ด้วยซ้ำ พวกข้าจ่ายเงินชดใช้ไปหมดแล้ว เจ้ายังคิดจะ…” ติงสี่ไหลกล่าวไปได้ครึ่งหนึ่งก็เปลี่ยนคำพูดเสียดื้อๆ กลับมาใช้น้ำเสียงจริงจังกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “อืม เรื่องนี้เป็นความผิดของพวกเราโดยแท้ ถูกคนเข้ามาขัดจังหวะจนไม่อาจแสดงสมรรถภาพได้ เป็นผู้ใดก็คงอารมณ์ไม่ดีทั้งนั้น ข้าเข้าใจท่าน”
“ฮ่าๆๆๆ…” คุณชายสำนักต่างๆ มิอาจทนได้อีกต่อไป จึงระเบิดเสียงหัวเราะสนั่นหวั่นไหว
“หุบปาก หัวเราะสิ่งใดกัน!” ชายผู้นั้นยังคงแผดเสียงคำรามด้วยความโกรธขึ้ง “ข้าถูกพวกเจ้าทั้งหมดก่อกวนนะ!”
“ก็ได้ ท่านลุง หากกล่าวเช่นนี้แล้วทำให้ท่านรู้สึกดีขึ้นบ้าง ก็ถือเสียว่าพวกเราก่อกวนจะดีกว่า” บุตรชายผู้นำสหพันธ์เอ่ยแทรก แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ทว่าข้ารู้จักหมอฝีมือไม่เลวท่านหนึ่ง ท่านไม่อยากไปลองดูจริงหรือ”
“ฮ่าๆๆๆ…” คุณชายสำนักต่างๆ หัวเราะครืนอีกครั้ง
จู่ๆ เสียงของชายคนนั้นก็ดังขึ้นอีกระดับ ราวกับจะอาเจียนเป็นเลือด “เรียกผู้ใดว่าลุง ข้ามิได้แก่ขนาดนั้นนะ!”
บุตรชายผู้นำสหพันธ์ประหลาดใจ “จริงหรือ แต่ดูเหมือนแก่มากนะ”
“สามหาว พวกเจ้านี่มัน…”
เย่โย่วได้ยินสองสามคำก็ส่งสายตาสอบถามไปทางชายหน้าบาก
ชายหน้าบากยิ้มเจื่อนแล้วอธิบายสั้นๆ ว่า “พวกเขาถามชายบำเรอว่ามีลูกค้าประจำ คนแปลกๆ หรือเรื่องแปลกๆ บ้างหรือไม่ ก็ได้ความว่า มีลูกค้าคนหนึ่งจะมาทุกวันที่สิบห้าของเดือน ดูน่าสงสัย พอดีวันนี้เป็นวันที่สิบห้า พวกเขาจึงลองลอบเข้าไปในห้องของคนผู้นั้น แต่ดันเผลอส่งเสียงดัง ทำให้คนผู้นั้นตื่นตกใจ จึงเริ่มโต้เถียงกัน”
“อืม ไม่เลว” เย่โย่วหัวเราะ น้ำเสียงแฝงความขี้เล่นไว้เล็กน้อย
เป็นเพราะความบุ่มบ่ามของพวกเขา คนภายนอกจึงไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวในห้องของเย่โย่ว
ชายหน้าบากประหลาดใจ “ไม่เลว?”
เย่โย่วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “คนหนุ่มไฟแรง แม้ทำผิดพลาดก็ยังควรค่าให้ชื่นชมว่าไม่เลวไม่ใช่หรือ”
ชายหน้าบากรู้สึกว่านายน้อยเสี่ยวไม่ได้หมายความเช่นนั้น ทว่าเอ่ยไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายก็มีปากเสียงกันไปแล้ว บัดนี้มีเรื่องสำคัญกว่าจะต้องจัดการ ซึ่งเขาถือคติว่า ‘ยอมให้ท่านประมุขเย่ขุ่นเคือง แต่จะไม่ยอมให้เจ้าสำนักเสียใจ’ จึงเตรียมเข้ามาจับเย่โย่วมัดไว้เสีย
เขามองดาวเด่นอย่างกังวล แล้วคิดหาเหตุผลที่พอจะฟังขึ้น “นายน้อยเสี่ยว การไถ่ตัวดาวเด่นนั้นราคาย่อมไม่น้อยเป็นแน่ เราไม่ได้พกเงินออกมามากมายถึงเพียงนั้น มิสู้ให้เขารอที่นี่ก่อน หลังกลับถึงวัดเส้าหลิน ค่อยขอให้เจ้าสำนักส่งคนมารับตัวเขาจะดีกว่านะขอรับ”
เย่โย่วกล่าว “เจ้าไม่รู้หรือว่าดาวเด่นผู้นี้พิเศษมากนะ เขาเป็นศิลปินขายศิลปะ ไม่ได้ขายเรือนร่าง หากเขาได้พบผู้ที่อยากติดตามในอนาคต ก็สามารถติดตามคนผู้นั้นไปได้โดยไม่ต้องเสียแม้แต่สตางค์แดงเดียว เบาใจได้ ไม่ต้องใช้เงินหรอก”
ชายหน้าบาก “…”
เหตุใดบนโลกนี้ถึงมีเถ้าแก่ที่ใจกว้างถึงเพียงนี้เล่า!
ขณะนั้นเว่ยเจียงเย่ว์ก็เดินเข้ามาพอดี
เขาแค่กลัวว่าจะเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นอย่างเมื่อครู่ จึงสองจิตสองใจอยู่ที่หน้าประตูมาตลอด จนกระทั่งเห็นคนของสำนักซวงจี๋ยังไม่ออกมา จึงทนไม่ไหวต้องการจะไปสืบสาวมูลเหตุ เมื่อมาถึงก็มองไปยังคนบนพื้นแล้วเอ่ยถาม “เกิดสิ่งใดขึ้น”
เย่โย่วมอบคำตอบเดียวกันแก่เขาอย่างสบายๆ พร้อมบอกอย่างยินดีปรีดาว่าดาวเด่นตัดสินใจจะติดตามเขาไปด้วย
เว่ยเจียงเย่ว์ที่เพิ่งเกิดความคิดชั่วแล่นขึ้นในใจว่า ‘คุณชายเสี่ยวอาจมีจุดประสงค์อื่น’ พลันต้องปัดทิ้งไปเสีย เขาขมวดคิ้วจ้องมองฝูผิงที่กำลังสลบไสล นึกสงสัยว่าคนผู้นี้ทำให้คุณชายเสี่ยวถูกใจได้อย่างไร
เย่โย่วไม่สนใจแววตาสงสัยของอีกฝ่าย ช้อนร่างคนบนพื้นไปวางบนเตียงนุ่มที่อยู่ด้านข้าง ทั้งยังรวบผมยาวให้อย่างระมัดระวัง ชายหน้าบากเห็นแล้วหัวใจพลันเย็นเยียบ
ยามนี้ติงสี่ไหลที่อยู่ข้างนอกก็หมดความอดทนในที่สุด จึงกล่าวสั้นๆ ว่า “เส้าเทียน”
เหรินเส้าเทียนยิ้มแล้วใช้นิ้วมือสะกิดเบาๆ ที่เสาสีแดงข้างๆ นิ้วมือทั้งนิ้วพลันหายวับเข้าไปในเสาทันที ราวกับสะกิดเต้าหู้อย่างไรอย่างนั้น
ชายผู้นั้น “…”
ติงสี่ไหลกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ท่านลุง คิดเสียว่าพวกเราชดใช้ให้แล้วเถิด ยามนี้ได้เวลาแล้ว สู้เข้านอนเร็วหน่อยจะดีกว่า”
ชายคนนั้นมองไปที่เสา ข่มมาดโอหังเอาไว้ แล้วเดินจากไปด้วยความโกรธเคือง
คุณชายสำนักต่างๆ กวาดตาเห็นห้องส่วนตัวของคุณชายเสี่ยวเปิดอยู่จึงเดินไปหา เมื่อครู่นี้เถ้าแก่ยุ่งอยู่กับการห้ามคนตีกัน ยามนี้คิดถึงดาวเด่นของตัวเอง จึงรีบสาวเท้าตามไปที่ประตู ครั้นเห็นฝูผิงหมดสติ สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เขาเป็นอะไร”
เย่โย่วใบหน้าเปื้อนยิ้ม เอ่ยอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเป็นรอบที่สาม
เถ้าแก่ประหลาดใจ กล่าวว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร”
เย่โย่วกล่าว “จะใช่หรือไม่ พรุ่งนี้เจ้าถามเขาก็ได้”
เถ้าแก่สำลัก แอบคิดเรื่องนี้ในใจพลางกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นพวกท่านมิสู้กลับห้องไปก่อนจะดีกว่ากระมัง”
เย่โย่วกล่าว “ไม่ต้อง ข้าชอบห้องรับรองนี้มาก คืนนี้จะนอนที่นี่”
เถ้าแก่ลังเลครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ไม่ได้คัดค้าน สั่งให้คนนำผ้านวมมาให้แล้วออกไป เย่โย่วโบกมือเป็นสัญญาณว่าให้คนที่เหลือออกไปได้
คุณชายผู้หนึ่งอดถามไม่ได้ว่า “พวกเราไม่พบสิ่งใดที่เป็นประโยชน์เลย คุณชายเสี่ยวมีความเห็นอย่างไร”
เย่โย่วเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ไปค้นห้องของฝูผิง ดูว่ามีห้องลับหรือทางลับซ่อนอยู่หรือไม่”
ทุกคนถึงกับผงะ
ชายหน้าบากมองเห็นความหวังอันริบหรี่ “นายน้อยเสี่ยวรู้สึกว่าเขามีพิรุธใช่หรือไม่”
“เปล่า ข้าแค่คิดว่าฝูผิงมีสถานะค่อนข้างพิเศษในหอชายบำเรอแห่งนี้ เมื่อครู่เขาตกลงปลงใจจะตามข้าไปโดยสมัครใจ ไม่รู้ว่าคิดจะอาศัยข้าแอบเข้าวัดเส้าหลินหรือไม่” เย่โย่วหยุดชะงักแล้วกระซิบว่า “ตั้งแต่สูญเสียวิทยายุทธ์ไปจนหมด ข้าก็อยากหาใครสักคนที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยอย่างสงบและมั่นคง ไม่ง่ายเลยกว่าจะเจอคนที่ถูกใจ หวังเพียงว่าเขาจะไม่โกหกข้า”
เมื่อทุกคนได้ยินกลับไม่อยากไปค้นหาสักเท่าใดแล้ว
แต่ชายหน้าบากผู้เย็นชาและโหดเหี้ยมตัดสินใจว่าจะไปค้นหาให้ละเอียดรอบคอบสักตั้ง ถึงขั้นคิดจะขุดทางลับขึ้นมาด้วยตัวเองแล้วยัดความผิดใส่ฝูผิงเสียด้วยซ้ำ
“ไปเถิด ไม่ต้องห่วงข้า ต่อหน้าผู้กล้าชาวยุทธ์ ความรักระหว่างหนุ่มสาวจะถือเป็นกระไรได้” เย่โย่วกล่าวจริงจังอย่างยิ่ง แล้วยังฝากฝังในตอนท้ายว่า “หากเขามีความผิดจริง มิวายเถ้าแก่คงมีมลทินด้วย ยามที่ค้นหาอย่าให้เถ้าแก่จับได้ พวกเจ้ามีกันตั้งหลายคน จับตาดูเถ้าแก่ไว้สักคน เรื่องแค่นี้คงทำได้ใช่หรือไม่”
ทุกคนพยักหน้าแล้วหมุนตัวเดินจากไป ชายหน้าบากย่อมตามไปด้วย ก่อนออกไปยังเรียกหาคนของสำนักซวงจี๋ กำชับให้พวกเขาคุ้มกันนายน้อยเสี่ยวให้ดี อย่าให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดใดๆ เด็ดขาด คนในสำนักเหล่านั้นขานรับ เดิมต้องการเข้าไปในห้อง ทว่านายน้อยเสี่ยวกลับเชิญออกมาด้วยคำพูดไม่กี่คำ จึงทำได้เพียงยืนเงี่ยหูฟังอยู่นอกประตูเท่านั้น
ห้องเงียบสงบลงอีกครั้ง เย่โย่วแหวกปอยผมยาวของฝูผิงออก มองไปที่ลายนิ้วมือจางๆ สองรอยบนคออีกฝ่ายแวบหนึ่ง จากนั้นจึงหยิบน้ำค้างร้อยหญ้าออกมาทาให้หนึ่งชั้น คิดว่ารอยแผลสมควรจะหายได้ในชั่วข้ามคืน
เขากลับไปนั่งที่ จัดระเบียบความคิดของตนพลางรอข่าวอย่างอดทน เมื่อดื่มไปจนถึงถ้วยที่สาม ชายหน้าบากก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับมารายงานด้วยความตื่นเต้น
เย่โย่วถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “พบสิ่งผิดปกติจริงหรือ”
ชายหน้าบากมองดูท่าทีของนายน้อยเสี่ยว พยายามทำให้น้ำเสียงฟังดูสับสนเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “ขอรับ มีทางลับ ทีแรกคุณชายติงและคนอื่นๆ ปรึกษากันว่าจะเข้าไป แต่พวกเหรินเส้าเทียนขวางไว้ขอรับ”
เย่โย่วไม่แปลกใจเลยสักนิดเดียว
คนของเขาจับตามองหลีฮวามานานแล้ว รู้ว่านางมีบ้านอยู่ในเมืองเสี่ยงซิ่ง หายไปสักระยะหนึ่งก็จะมาสักครั้ง และอาจมีทางลับในบ้าน เพียงแต่ที่ผ่านมายังไม่ชัดเจนว่าเส้นทางนั้นนำไปสู่แห่งใด บ้านหลังนั้นอยู่ทางตะวันออกของเมือง ทว่าหอชายบำเรออยู่ทางตะวันตกของเมือง อยู่ห่างกันมากเกินไป อีกทั้งคนของเขาเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของดาวเด่น หลังจากสอบถามจนได้รู้ว่ามีความเกี่ยวดองทางเครือญาติกับเถ้าแก่อยู่บ้าง จึงไม่ได้คิดมาถึงเรื่องนี้
ยิ่งไปกว่านั้นคนของหมากสีขาวผู้สั่งการไปยังคุกผูถีกลับเป็นเพียงเด็กหนุ่ม จึงน่าแปลกใจอยู่บ้าง เมื่อครั้งฟังติงสี่ไหลและคนอื่นๆ เล่าจบ พลันตระหนักถึงจุดนี้จึงพาคนมาที่นี่
เขาหลับตา “อืม ข้าเข้าใจแล้ว”
ชายหน้าบากกล่าว “แล้วเขา…”
“ใช้แผนซ้อนแผน” เย่โย่วกล่าว “ไหนๆ เขาก็อยากไปวัดเส้าหลินแล้ว ข้าจะพาเขาไป มัดเขาไว้ก็พอ”
ชายหน้าบากรู้สึกสบายใจ แนะว่า “นายน้อยเสี่ยวรีบเข้านอนเร็วสักหน่อยเถิดขอรับ”
เย่โย่วกล่าว “เจ้าไปเถิด ข้าอยากอยู่เป็นเพื่อนเขาที่นี่”
เด็กหนุ่มผู้นี้มีดีอะไร จะดีเลิศเท่าเจ้าสำนักของพวกเขาได้หรือ
ชายหน้าบากไม่เข้าใจ ยืนเฝ้าอยู่ข้างนายน้อยเสี่ยวเงียบๆ จนกระทั่งเกือบรุ่งสางถึงค่อยเปลี่ยนกะ เตรียมพักผ่อนสักงีบ กลางวันจะได้ออกเดินทางได้
ทว่าเย่โย่วให้คนออกไปเฝ้าข้างนอกเหมือนเดิม แล้วเดินไปนั่งที่เตียงนุ่ม ตวัดปอยเส้นผมละเอียดของฝูผิงขึ้นมาเล่นพลางเอ่ยว่า “หากยังไม่ตื่นอีก ข้าจะไม่เกรงใจแล้วนะ”
ฝูผิงลืมตา “เจ้าให้ข้ากินสิ่งใด”
“ยังต้องถามอีกหรือ ย่อมต้องเป็นยาพิษอยู่แล้ว หากไม่กินยาแก้พิษภายในสามวันจะตายอย่างทุรนทุรายในทันที” เย่โย่วถามอย่างอ่อนโยน “เป็นอย่างไรบ้าง เมื่อใช้กำลังภายใน ช่องท้องจะเจ็บปวดอย่างรุนแรงใช่หรือไม่”
ฝูผิงไม่เปิดปากเอ่ย
เหตุผลที่เขาไม่ส่งเสียงในยามที่ฟื้นคืนสติแล้ว เป็นเพราะรับรู้ได้ว่าร่างกายไม่ค่อยปกติจึงไม่วู่วาม เขาถาม “เจ้าคิดจะทำสิ่งใด”
เย่โย่วตอบ “เชิญเจ้าไปวัดเส้าหลิน เจ้าอาวาสฉือหยวนปฏิบัติต่อผู้คนอย่างดีเสมอมา อย่างไรเสียก็คงไม่สังหารเจ้าหรอก”
ฝูผิงจ้องเขาเขม็ง “ยาถอนพิษเล่า”
เย่โย่วกล่าว “เดี๋ยวเจ้าบอกเถ้าแก่ว่าเต็มใจจะไปกับข้า ข้าจะให้เจ้าเมื่อออกจากเมือง ข้าเอ่ยคำไหนคำนั้น”
ฝูผิงกล่าว “เหตุใดข้าต้องเชื่อเจ้า”
เย่โย่วยิ้มระรื่น วางปอยผมลง ลูบใบหน้าอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบายิ่ง “ยอดรัก ตอนนี้เจ้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ทำได้เพียงเชื่อใจข้าเท่านั้น”
ฝูผิงนิ่งเงียบ
เย่โย่วคลายจุดชีพจรแล้วปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว
*******
เช้าวันรุ่งขึ้น ติงสี่ไหลและพรรคพวกเห็นดาวเด่นมองเถ้าแก่เดินเข้าประตูมา ก่อนจะสารภาพว่าตกหลุมรักคุณชายเสี่ยวตั้งแต่แรกพบ เชื่อว่าคุณชายเสี่ยวเป็นบุพเพสันนิวาสของตน จะติดตามเขาไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
เถ้าแก่อ้าปากค้าง ทว่าไม่ได้ขัดขวาง “ถ้าเช่นนั้นก็ไปเถิด”
ติงสี่ไหลและคนอื่นๆ รู้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าฝูผิงหลอกใช้คุณชายเสี่ยว ทว่าเพื่อประโยชน์ของแผนการใหญ่ พวกเขาจึงไม่เปิดโปง เพียงแสร้งทำเป็นไร้เดียงสา แล้วพาฝูผิงไปวัดเส้าหลิน ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็คือคนของหมากสีขาว จึงถือว่าพวกเขาได้สร้างความดีความชอบเช่นกัน
ทว่า…พวกเขาอดมองคุณชายเสี่ยวด้วยความเห็นใจไม่ได้
เย่โย่วมองฝูผิงอย่างเงียบเชียบ แววตาดูสับสนเจือความเจ็บปวดรวดร้าวใจอยู่ในทีเล็กน้อย
ทุกคนพลันเป็นทุกข์ไปด้วย ต่างพากันเชื้อเชิญให้เขาขึ้นรถม้า
เย่โย่วกล่าว “ไม่เป็นไร ข้าไปคันเดียวกับเขาได้”
โอ๊ย ช่างน่าอึดอัดเสียนี่กระไร!
ทุกคนอดเกลี้ยกล่อมไม่ได้ ทว่าเย่โย่วตัดสินใจแล้ว ไม่สนใจว่าผู้ใดจะห้ามปราม ก้าวเข้าไปในรถม้าที่เถ้าแก่เตรียมไว้ให้ฝูผิง
*******
ฝูผิงมองเขาอย่างเฉยเมย “เจ้าพูดสิ่งใดกับพวกเขา”
เย่โย่วยิ้มพลางกล่าว “เจ้าเดาสิ”
ฝูผิงไม่อยากใส่ใจจึงเบือนหน้าหนีไปทางอื่น จนกระทั่งรถม้าแล่นออกจากประตูเมืองถึงมองไปทางชายผู้นั้นอีกครั้ง เย่โย่วเข้าใจแจ่มแจ้งจึงหยิบยาให้เขาหนึ่งเม็ด ฝูผิงลังเลครู่หนึ่งก่อนจะกินเข้าไปในชั่วพริบตา หลังจากนั้นไม่นานเมื่อรู้สึกได้ว่าอาการดีขึ้นแล้วก็เอ่ยถาม “เมื่อวานเจ้าถูกเปิดโปงแล้ว ไม่กลัวว่าคนของข้าจะส่งข่าวกลับไปที่วัดเส้าหลินแล้วหรือ”
เย่โย่วยิ้มเล็กน้อย ไม่ตอบเขา
ยามนี้ผู้คนในวัดเส้าหลินต้องการเพียงหาวิธีจับตัวหมากสีขาวให้อยู่หมัด บรรดาเจ้าสำนักเหล่านั้นต่างจับตามองกันเอง หมากสีขาวถูกกดดันจากรอบด้าน ย่อมไม่กล้ารับข่าวสารส่งเดช ส่วนเจ้าเมืองเสี่ยงซิ่งก็ถูกจับไว้แล้ว พวกเขาปราศจากผู้นำ เกรงว่าไม่อาจกระทำการบุ่มบ่ามได้ชั่วคราว ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคืนนี้ประตูเมืองปิดแล้ว หากพวกเขาคิดจะส่งข่าวไปข้างนอก ก็ทำได้เพียงใช้นกพิราบสื่อสารเท่านั้น ทว่าเย่โย่วมีลูกน้องอยู่ในเมืองเสี่ยงซิ่งไม่น้อย ไม่มีทางปล่อยให้นกพิราบบินออกไปได้แม้แต่ตัวเดียว
สิ่งสำคัญที่สุดคือ เมื่อรุ่งสางฝูผิงเอ่ยปากด้วยตนเองว่าจะออกไปกับพวกเขา เถ้าแก่คงคิดว่าฝูผิงอยากจะลอบเข้าวัดเส้าหลินเป็นแน่ จึงยิ่งไม่กล้าวู่วาม
ฝูผิงรออยู่พักใหญ่กลับไม่เห็นอีกฝ่ายปริปาก จึงมองเขาสองสามครั้งแล้วเปลี่ยนคำถาม “เจ้าจับข้ากลับไป ไม่กลัวข้าจะเปิดโปงว่าเจ้าคือหมากสีดำหรือ เจ้า…”
ทันใดนั้นเย่โย่วใช้มือสกัดจุดชีพจร ครานี้ฝูผิงมิอาจหลบหนีได้เช่นเดิม เขารู้ดีว่าวิทยายุทธ์ของชายผู้นี้สูงส่งเหลือเกินจึงจำต้องหุบปากเอาไว้ แม้อยากรู้ว่าเขาจะทำสิ่งใดต่อไปก็ตาม เย่โย่วยิ้มให้อีกครา ช้อนคนผู้นี้ไว้ในอ้อมแขน แล้วเริ่มปลดเปลื้องเสื้อผ้าของอีกฝ่าย
ฝูผิงจ้องตาเขม็ง
“อย่าตกใจไป” เย่โย่วกล่าว “ข้าแค่อยากค้นดูว่าเจ้ามีสิ่งของที่เป็นประโยชน์ติดตัวมาหรือไม่ หากข้าหาป้ายหยกได้สักชิ้นแล้วนำไปลวงหลีฮวาสักหน่อย นางน่าจะถูกหลอกล่อง่ายกว่าเจ้ามากทีเดียว”
“…” หากฝูผิงขยับได้ ย่อมขอสู้ตายอย่างแน่นอน
*******
ทั้งสองคนใช้กำลังภายในระงับเสียงพูดคุยไว้ ชายหน้าบากที่นั่งอยู่ข้างนอกจึงไม่ได้ยินเสียง
เขาเพียงรู้สึกว่าในรถม้าเงียบสนิทไปชั่วขณะ จึงอดเหลียวหลังแล้วยกผ้าม่านรถม้าขึ้นแอบดูแวบหนึ่งไม่ได้ ครั้นเห็นนายน้อยเสี่ยวอุ้มคนไว้ในอ้อมแขนก็สลดในทันใด
เย่โย่วเหลือบมองออกไปด้านนอก
ชายหน้าบากลดม่านลงด้วยความเศร้าระทม
*******
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เถ้าแก่ก็พบสัญลักษณ์ขอความช่วยเหลือบนพิณของฝูผิง ใบหน้าพลันเปลี่ยนสี รีบส่งคนไล่ตามไป ไม่สนว่าต้องลงทุนลงแรงเท่าใด ขอเพียงช่วยฝูผิงกลับมาให้ได้
กลุ่มคนจากเงามืดพุ่งร่างราวสายลมพัดแรงไปตามทิศทางที่คุณชายสำนักต่างๆ จากไปในทันใด