ท่านประมุขหลงลืมฟื้นรัก เล่ม 2
教主走失记
Yishihuashang 一世华裳 เขียน
RML แปล
โปรย
เย่โย่ว ฟื้นคืนความทรงจำแล้ว
ที่แท้หมากสีดำผู้วางแผนเปิดโปงหมากสีขาวก็คือตัวเขาเอง
แต่ที่ทุ่มเทเสี่ยงอันตรายถึงเพียงนี้
เขาต้องการทำเพื่อยุทธภพเท่านั้นหรือ
หรือเพราะอดีตอันดำมืดที่ผลักดันให้เขาทำทุกอย่าง
ไม่ว่าเย่โย่วจะวางแผนทั้งหมดเพื่อสิ่งใด
แต่ เหวินเหรินเหิง ซึ่งในที่สุดก็ได้คนรักกลับคืนมา
ขอสาบานว่าจะไม่ปล่อยให้ศิษย์น้องหนีหายไปอีกแล้ว
“ข้าจะคอยดูอยู่ข้างๆ เจ้าชนะ ข้าก็พลอยมีความสุขไปกับเจ้า
หากเจ้าแพ้ จะเป็นหรือตายข้าก็จะติดตามไปด้วย”
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 46
หน้ากากแปลงโฉมของเย่โย่วถูกน้ำชะล้างออกไปแล้ว ยามเอียงซบเหวินเหรินเหิงจึงเผยให้เห็นดวงหน้าเต็มดวง
คนของกลุ่มเงาจันทราค้นหาทิศทางเดียวกับพวกเขา นำโดยเหรินเส้าเทียน เมื่อเห็นพวกเขาก็รีบสาวเท้าก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เห็นใบหน้าของใครบางคนก็ถึงกับชะงักไปชั่วครู่ อดมองคุณชายเสี่ยวเป็นครั้งที่สองไม่ได้ ก่อนจะถามว่า “เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
เหวินเหรินเหิงกล่าว “ยังไม่รู้เลย”
เหรินเส้าเทียนถาม “เจ้าสำนักเหวินเหรินเห็นฝูผิงหรือไม่”
เหวินเหรินเหิงตอบ “ไม่เห็น”
เหรินเส้าเทียนนึกถึงใบหน้าอันน่าสงสารของนายน้อยของตน แอบคิดในใจว่าไม่ง่ายเลยกว่านายน้อยจะทำการใหญ่สำเร็จ ทว่ากลับกลายเป็นการตักน้ำใส่ตะกร้าไม้ไผ่[1]ไปเสียได้ ในเมื่อตอนนี้พบคุณชายเสี่ยวแล้ว เขาจึงแยกจากเหวินเหรินเหิง พาคนไปค้นหาฝูผิงต่อ
คนที่มาตามหาเย่โย่วครานี้มีไม่น้อย ยกเว้นติงสี่ไหลกับบุตรชายผู้นำสหพันธ์ที่ถูกบิดากักตัวไว้สั่งสอน คนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องล้วนมาด้วยทั้งสิ้น เว่ยเจียงเย่ว์กับคุณชายสำนักต่างๆ เห็นเหวินเหรินเหิงอุ้มใครคนหนึ่งจากระยะไกล ใบหน้าพลันถอดสีเล็กน้อย แล้วรีบวิ่งเข้าไปหา
เว่ยเจียงเย่ว์เห็นคุณชายเสี่ยวหลับตานิ่งไม่ไหวติง บางคนไม่กล้าถาม เพียงเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งว่า “เขา…”
เหวินเหรินเหิงไม่ต้องการพูดให้มากความ จึงเดินผ่านพวกเขาไป
ชายหน้าบากยังรั้งอยู่ให้คำตอบอย่างละเอียด บอกพวกเขาว่านายน้อยเสี่ยวยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่รู้ว่ามีบาดแผลตามร่างกายหรือไม่ จึงต้องรีบอุ้มไปพบท่านหมอ
เว่ยเจียงเย่ว์ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที
คุณชายสำนักต่างๆ อึ้งอยู่นานพักใหญ่ คำถามแรกคือ “นั่นคือโฉมหน้าที่แท้จริงของคุณชายเสี่ยวหรือ”
ชายหน้าบากพยักหน้า เข้าใจความรู้สึกของพวกเขา เพราะเขาเองก็ยังรู้สึกว่านายน้อยเสี่ยวงามจนเป็นเภทภัยจริงๆ
คุณชายสำนักต่างๆ ตกใจมาก แทบจะคิดเหมือนอย่างติงสี่ไหลและคนอื่นๆ ว่า ‘คุณชายเสี่ยวมีรูปโฉมงดงามเช่นนี้ เหวินเหรินเหิงร่วมกินอยู่หลับนอนกับคนผู้นี้ หากบอกว่าไม่ได้นิยมไม้ป่าเดียวกัน ผู้ใดจะไปเชื่อเล่า!’
เว่ยเจียงเย่ว์ไม่ได้ร่วมวง แต่รีบไล่ตามไปให้ทันเหวินเหรินเหิง มองคนในอ้อมอกอีกฝ่าย รู้สึกว่ามือที่กำหัวใจนั้นค่อยๆ คลายออก ไม่รู้สึกเจ็บปวดอย่างนั้นแล้ว ก่อนจะกล่าวเสียงเบาว่า “เขาคงไม่เป็นไรกระมัง”
เหวินเหรินเหิงตอบเพียงสั้นๆ ว่า “อืม”
เว่ยเจียงเย่ว์มองออกว่าเขาอารมณ์ไม่ดี จึงไม่เอ่ยมาก เพียงเดินผ่านป่ารกชัฏไปตามทางเล็กๆ ที่เชื่อมสู่ด้านบนกับเขา
เนื่องจากไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับคนที่ตกจากหน้าผาทั้งสองคน ชายหน้าบากจึงได้เตรียมตัวสำหรับเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดตั้งแต่ก่อนจะมาถึง โดยสั่งให้คนของสำนักซวงจี๋หารถม้ามาหนึ่งคัน ไม่ว่าจะบรรทุกคนหรือศพก็สามารถใช้การได้ทั้งสิ้น ยามนี้รถม้าได้จอดอยู่ริมถนนแล้ว
เหวินเหรินเหิงมองแวบหนึ่ง ก้าวขึ้นไปพร้อมกับคนที่อยู่ในอ้อมแขน กวาดตาเห็นเว่ยเจียงเย่ว์จะตามขึ้นมา จึงบอกเขาว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ศิษย์น้อง หยุดเขาอย่างสุภาพไว้ด้านนอก แล้วถือโอกาสสั่งให้ลูกน้องออกรถ
ชายหน้าบากรีบจูงม้าให้หันหัวกลับ ในขณะที่วางแผนจะตรงไปหาหมอเทวดาที่วัดเส้าหลิน กลับได้ยินเจ้าสำนักที่อยู่ข้างในเอ่ยว่าจะไปที่เมืองเล็กๆ ก่อน เขาจึงขานรับคำสั่ง แล้วบังคับม้าออกไป
*******
ภายในรถม้าเงียบกริบ
เหวินเหรินเหิงวางศิษย์น้องในอ้อมแขน ปลดผ้าคาดเอวออก เปลือยกายเขาอย่างรวดเร็ว แล้วถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตนที่เปียกโชก มองห่อสัมภาระบนเบาะก็รู้ว่านี่คือเสื้อผ้าและยาทำแผลที่ลูกน้องเตรียมไว้ให้
ทว่าเขายังไม่ใช้มัน กลับยื่นมือไปจับข้อเท้าศิษย์น้อง แล้วนวดคลึงลูบไล้ทีละนิ้วๆ ไต่ขึ้นมาจนถึงต้นขาด้านใน ขั้นตอนทั้งหมดดำเนินไปอย่างเชื่องช้าและเร้าอารมณ์ เต็มไปด้วยการยั่วเย้า
เขาจ้องมองคนในอ้อมแขนเขม็ง ลูบไล้ขึ้นไปอีกเล็กน้อย พิจารณาสักพักก่อนจะยอมคลายมือออก
‘ดูท่าจะหมดสติจริงๆ’ เขาคิดอย่างนั้น
จึงหยิบเสื้อผ้าออกมาสวมให้ศิษย์น้อง แล้วตรวจดูกำลังภายใน เมื่อพบว่าว่างเปล่าจริงๆ ก็วางคนนอนราบ เปิดม่านรถม้าออกไปนั่งอยู่ข้างๆ ลูกน้อง
ชายหน้าบากประหลาดใจมาก “เจ้าสำนักไม่เฝ้านายน้อยเสี่ยวหรือขอรับ”
“อีกสักครู่” เหวินเหรินเหิงกล่าว “ให้คนของเราค้นหาไปเรื่อยๆ หาฝูผิงผู้นั้นให้เจอ ไม่ง่ายเลยที่ศิษย์น้องของข้าจะเจอคนที่ต้องใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจับตัวแล้วส่งมาให้เขาให้ได้”
นี่เป็นความในใจจริงหรือ
ชายหน้าบากมองเจ้าสำนัก รู้สึกว่าอีกฝ่ายยิ้มอย่างบึ้งตึงเล็กน้อย จึงไม่กล้าถามมากไปกว่านี้ แล้วเอ่ยว่า “ขอรับ”
“อีกอย่าง…” เหวินเหรินเหิงลดเสียงลง สั่งเขาอีกสองคำ ชายหน้าบากงงงวยเป็นอย่างยิ่งแต่ก็ตอบรับคำสั่ง เหวินเหรินเหิงกล่าว “เล่าเรื่องทั้งหมดอีกรอบ เริ่มตั้งแต่เมื่อพวกเจ้าออกจากวัดเส้าหลิน ห้ามพลาดรายละเอียดใดๆ ทั้งสิ้น”
ชายหน้าบากยังคงงงงวย เพราะระหว่างทางไปตามหานายน้อยเสี่ยว เขาเล่าไปแล้วหนึ่งรอบ ทว่าในเมื่อเจ้าสำนักถาม เขาก็ต้องเล่าอีกครั้ง ครั้งที่แล้วไม่รู้ว่านายน้อยเสี่ยวจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร จึงไม่เอ่ยให้มากความ คราวนี้จึงแนะนำเจ้าสำนักอย่างอ้อมค้อมว่าลองหัดเล่าเรียนเพลงพิณบ้างก็ดี บางทีนายน้อยเสี่ยวอาจชมชอบคนที่เล่นพิณก็เป็นได้
เหวินเหรินเหิงฟังจนจบอย่างเงียบเชียบ แล้วลุกขึ้นเข้าไปในรถม้า
*******
เจ้าสำนักต่างๆ ยังไม่ทราบเบาะแส ทุกคนจึงร้อนใจยิ่งนัก
คนของวัดเส้าหลินถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งมีเจ้าอาวาสฉือหยวน เจ้าสำนักเสวียนหยาง และเจ้าสำนักเว่ยเป็นหลักอยู่เฝ้าวัดเส้าหลิน อีกส่วนหนึ่งนำโดยผู้นำสหพันธ์และประมุขติง ลงจากภูเขาไปตามหาคน หลังจากได้ฟังต้นสายปลายเหตุแล้ว ติงสี่ไหลและบุตรชายผู้นำสหพันธ์ล้วนถูกบิดาของพวกเขาตำหนิสั่งสอนอย่างรุนแรง ยามนี้จึงได้แต่ขลุกอยู่ด้วยกันเหมือนนกกระทา
พวกเขาต่างกังวลความปลอดภัยของคุณชายเสี่ยวอย่างมาก ยามนี้เมื่อเห็นรถม้ามาถึง จึงมองไปทางชายหน้าบากอย่างเศร้าซึมทันที
ผู้นำสหพันธ์และประมุขติงสังเกตเห็นคนของสำนักซวงจี๋เช่นกัน ต่างรีบสาวเท้าเดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว ครั้นซักถามสถานการณ์เสร็จแล้ว ก็รีบให้พวกเขาพาคุณชายเสี่ยวไปรักษาอาการบาดเจ็บ คล้อยหลังก็ค้นหาคนต่อไป แล้วแวะไปตรวจดูหอชายบำเรอแห่งนั้นที่ลูกชายผู้ไม่เป็นโล้เป็นพายของเขาเล่าถึง
*******
ยามเย่โย่วได้สติ ท้องฟ้าก็มืดแล้ว ดูเหมือนเพิ่งย่างเข้าสู่ค่ำคืน
เขาคิดจะหยัดกายลุกขึ้น ตัวกลับแข็งทื่อ ด้วยพบว่าตนถูกคนโอบกอดเอาไว้ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต ทว่าสิ่งที่ร้ายแรงยิ่งกว่าคือไม่มีเสื้อผ้าติดกายแม้แต่ชิ้นเดียว
เหวินเหรินเหิงกล่าว “ฟื้นแล้วหรือ”
เย่โย่วเงยหน้าขึ้น มองใบหน้าอันหล่อเหลาของศิษย์พี่อย่างเงียบเชียบ หากคนผู้นี้ไม่ได้สวมเสื้อผ้าเอาไว้ คงคิดว่าพวกเขาได้ทำบางสิ่งบางอย่างกันจริงๆ เสียแล้ว
เหวินเหรินเหิงกล่าว “รู้สึกอย่างไรบ้าง”
“ไม่เป็นไร แค่ปวดตามเนื้อตามตัวเล็กน้อย” เย่โย่วถาม “เสื้อผ้าของข้าเล่า”
เหวินเหรินเหิงตอบ “เปียกโชก”
“…” เย่โย่วกล่าว “เป็นไปไม่ได้ที่สำนักซวงจี๋จะไม่มีปัญญาซื้อแม้กระทั่งเสื้อผ้าสักชุด”
เหวินเหรินเหิงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ซื้อได้ แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าใส่”
เย่โย่วอยากถามสาเหตุ ทว่าทันใดนั้นกลับรู้สึกถึงความผิดปกติ
ตามสามัญสำนึก หลังจากตกจากหน้าผาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรตัวเขาต้องถามว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับคนที่อยู่ด้วยกัน เว้นแต่เขาจะรู้ที่อยู่ของอีกฝ่ายถึงไม่รีบร้อนถาม เกือบตกหลุมพรางเสียแล้ว จึงรีบแก้ไขสถานการณ์โดยการถามด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ฝูผิงเล่า”
“ยังหาไม่เจอ” เหวินเหรินเหิงรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะผละออกไป จึงโอบเอวเขาเข้ามาแนบชิดในอ้อมแขน ถึงขั้นลากนิ้วหัวแม่มือลูบไล้ผิวบริเวณบั้นเอวของอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้า
เย่โย่วชะงัก ลมหายใจติดขัด ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของศิษย์พี่ เขาพยายามสงบสติอารมณ์ แล้วกล่าวว่า “เขาอาจเป็นคนสำคัญมากของหมากสีขาว อย่าปล่อยให้เขาตกไปอยู่ในเงื้อมมือของคนอื่น” เย่โย่วหยุดไปชั่วขณะ ในที่สุดก็อดถามไม่ได้ “ศิษย์พี่ ท่านกำลัง…”
“ข้าไม่อยากให้เจ้าจากข้าไปอีกแล้ว” เหวินเหรินเหิงมองเขาตาไม่กะพริบ ดูราวกับส่งสายตาสื่อความรักครอบคลุมเขาไว้ทั้งร่าง แล้วกระซิบว่า “ตอนได้ยินว่าเจ้าประสบอุบัติเหตุ ข้าเกือบคิดจะกระโดดลงไปพร้อมกับเจ้า”
เย่โย่วขบคิดอย่างฉับไว ไม่ได้สมองงุนงงเพราะเรื่องน่ายินดีและน่าประหลาดใจนี้
ระหว่างทางเขามีพิรุธไม่น้อย เป็นไปไม่ได้ที่ศิษย์พี่ผู้รู้ทันเขามาตลอดจะเริ่มต้นพูดจาพลอดรักโดยไม่ถามสักคำ เขาจึงเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยเองก่อน “ท่านไม่ถามเกี่ยวกับฝูผิงหรือ”
เหวินเหรินเหิงตอบ “ก่อนที่พวกเจ้าจะออกเดินทาง ข้าสัญญาว่าจะลองคบกับเจ้าแล้ว เจ้าไม่ใช่คนโลเลหลายใจเช่นนั้น ที่ต้องไปพัวพันอยู่กับฝูผิงเพราะรู้ว่าเขามีพิรุธ”
เย่โย่วพยักหน้า “ศิษย์พี่ ข้าเป็นหมากสีดำจริงๆ”
เหวินเหรินเหิงถาม “ไยกล่าวเช่นนั้น”
เย่โย่วตอบ “ตอนกินข้าวอยู่ในเมืองเล็กๆ ลูกน้องของข้าเคยมาตามหาข้า ทั้งยังส่งสารเล็กๆ ให้ บอกข้าว่าฟากเมืองเสี่ยงซิ่งพร้อมแล้ว ลงมือได้ทุกเมื่อ ทั้งยังบอกว่าจับตาดูมานานแล้วด้วย”
เหวินเหรินเหิงกล่าว “เจ้าจึงรู้ว่าฝูผิงมีพิรุธงั้นหรือ”
เย่โย่วตอบรับ “อืม ข้าอ่านกระดาษแผ่นนั้นแล้ว มันเป็นลายมือของข้า”
เหวินเหรินเหิงถาม “กระดาษอยู่ไหนเล่า”
เย่โย่วตอบ “ข้าทำลายไปแล้ว”
เหวินเหรินเหิงถาม “เขียนว่าหมากสีขาวเป็นใครหรือไม่”
“ไม่ได้เขียนต้นสายปลายเหตุ เพียงบอกว่าต้องจับฝูผิงไว้” เย่โย่วอธิบายจุดที่อาจจะทำให้ตนน่าสงสัย “ต่อมาข้าทำให้ฝูผิงสลบในหอชายบำเรอได้ก็เพราะลูกน้องช่วยเหลือ และที่ฝูผิงยินดีตามกลับมา เป็นเพราะข้าให้เขากินยาพิษ”
เหวินเหรินเหิงกล่าว “แล้วที่กระโดดลงจากหน้าผานั่น เจ้าก็คำนวณไว้เสร็จสรรพด้วยใช่หรือไม่”
เย่โย่วส่ายหน้า “เปล่านะ ตอนนั้นม้าได้รับบาดเจ็บ ข้าเห็นหน้าผาอยู่ข้างหน้า เดิมทีอยากจะดึงฝูผิงกระโดดลงจากรถม้า แต่เมื่อเราออกไปรถม้าก็หยุดกะทันหัน จึงทรงตัวไม่ได้แล้วพลัดตกลงไปตรงๆ”
เหวินเหรินเหิงกอดเขาแน่น “โชคดีที่เจ้าไม่เป็นไร”
ครานี้ศิษย์พี่ของเขาจะเชื่อหรือไม่นะ
เย่โย่วถูกกอดอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าคิดเรื่องอื่นใดอีก เพียงเอ่ย “ศิษย์พี่ มีอาหารบ้างหรือไม่”
“มี ข้าจะให้คนไปทำ” เหวินเหรินเหิงปล่อยให้เขาลุกขึ้น พลางยื่นเสื้อผ้าให้ “ใส่เองได้หรือไม่”
เย่โย่วขานรับ “ได้”
เหวินเหรินเหิงบอกให้เขารอก่อน จากนั้นก็ออกไป
เย่โย่วเริ่มใส่เสื้อผ้า ค่อยๆ หวนคิดบางอย่างมาได้ครึ่งทาง
หากว่าไปตามเหตุผล ศิษย์พี่เกิดหวาดกลัวเพราะเหตุการณ์นี้จริง จึงตัดสินใจคบกับเขา เมื่อเห็นเขาฟื้น ก็ควรปลอบโยนกันก่อนสักพักไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงฟังเขาเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างสงบเช่นนี้
ศิษย์พี่สงสัยเขาจริงดังคาด เกรงว่าที่ถอดเสื้อผ้าเขาออกเช่นนี้จะเป็นการหยั่งเชิงเสียมากกว่า แล้วที่ศิษย์พี่บอกว่าไม่อยากให้เขาจากไปอีกนั้นจริงหรือเท็จกันแน่
ขณะครุ่นคิดเรื่องนี้ เย่โย่วแสร้งทำเป็นเดินไปที่โต๊ะแล้วนั่งลงอย่างอ่อนแรง จึงพบว่าที่นี่ไม่ใช่วัดเส้าหลิน ครั้นจะลุกออกไปก็เห็นศิษย์พี่กลับเข้ามาแล้ว ในมือยังถือชามบะหมี่มาวางไว้ตรงหน้าเขาด้วย
เขาถาม “ที่นี่ที่ไหน”
เหวินเหรินเหิงกล่าว “ในเมือง”
เย่โย่วถามต่อ “เหตุใดไม่กลับวัดเส้าหลิน”
เหวินเหรินเหิงตอบ “ตอนนั้นเจ้าหมดสติ ข้าร้อนใจ จึงให้หมอที่นี่ตรวจดูอาการของเจ้าก่อน พอเขาบอกว่าไม่มีสิ่งใดร้ายแรงจึงพักอยู่ที่นี่เสียเลย ซื้อของในเมืองสะดวกกว่า ข้าจะดูแลเจ้าเอง”
เย่โย่วกล่าว “ไม่ต้องหรอก ข้าสบายดี พรุ่งนี้เรากลับวัดเส้าหลินกันเถิด…จริงสิ ข้าวของของข้าเล่า”
เหวินเหรินเหิงกล่าว “ข้าเก็บรวบรวมไว้ทุกอย่างแล้ว”
เย่โย่วกล่าว “เห็นป้ายหยกสักชิ้นบ้างหรือไม่”
เหวินเหรินเหิงหยิบออกมาสองชิ้นแล้วส่งให้เขา ชิ้นหนึ่งเป็นชิ้นที่เหวินเหรินเหิงเคยมอบให้ด้วยตัวเอง ส่วนอีกชิ้นไม่เคยเห็นมาก่อน เพิ่งจะค้นเจอยามนี้ เย่โย่วรับทั้งคู่ไปเก็บไว้อย่างสบายใจ เหวินเหรินเหิงเฝ้าดูอยู่ข้างๆ จนกระทั่งเขากินบะหมี่เสร็จแล้ว ก็ถามว่า “เรื่องนี้ ไม่มีสิ่งใดจะบอกข้าจริงหรือ”
เย่โย่วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วตอบ “ไม่มี”
เหวินเหรินเหิงอุ้มเขาวางลงบนเตียง
เย่โย่ว “…”
เหวินเหรินเหิงจับเตียงด้วยมือข้างหนึ่ง ลูบไล้ใบหน้าเขา แล้วค่อยๆ กล่าว “ยามที่เจ้าไม่ได้สติ พวกเขาต่างมาเยี่ยมเจ้า บอกว่าเจ้าตกหลุมรักฝูผิงนั่นตั้งแต่แรกเห็น”
เย่โย่วเลิกคิ้ว “ศิษย์พี่ ท่านหึงอยู่หรือ”
“ไม่เชิงหึง ข้าแค่อยากรู้นิดหน่อยว่าฝูผิงมีลักษณะเช่นไร จึงให้คนของข้าติดตามกลุ่มของวัดเส้าหลินไปตามหาคนด้วยกัน บอกให้พวกเขาเน้นหาในสถานที่ที่มีซอกมีมุม อย่ามองข้ามพื้นที่ที่ถูกฝังกลบไว้ แล้วก็พบว่ามีพื้นดินที่ถูกขุดกลบไว้จริงๆ” เหวินเหรินเหิงจับจ้องเขา แล้วถามอย่างสุดแสนจะนุ่มนวล “ยามนี้เจ้าจะไปขุดกับข้าก็ได้ เพื่อดูว่ายอดดวงใจของเจ้าถูกฝังอยู่ข้างใต้นั้นหรือไม่”
เย่โย่ว “…”
[1] อุปมาว่าการลงทุนลงแรงทำสิ่งใดไปอย่างเปล่าประโยชน์ สุดท้ายไม่ได้ผลอะไร แถมเสียแรงไปเปล่าๆ มักสื่อถึงการใช้วิธีที่ไม่เหมาะสม