[ทดลองอ่าน] ท่านประมุขหลงลืมฟื้นรัก เล่ม 2 บทที่ 45

ท่านประมุขหลงลืมฟื้นรัก เล่ม 2

教主走失记

 

Yishihuashang 一世华裳 เขียน

RML แปล

 

โปรย

เย่โย่ว ฟื้นคืนความทรงจำแล้ว
ที่แท้หมากสีดำผู้วางแผนเปิดโปงหมากสีขาวก็คือตัวเขาเอง
แต่ที่ทุ่มเทเสี่ยงอันตรายถึงเพียงนี้
เขาต้องการทำเพื่อยุทธภพเท่านั้นหรือ
หรือเพราะอดีตอันดำมืดที่ผลักดันให้เขาทำทุกอย่าง

ไม่ว่าเย่โย่วจะวางแผนทั้งหมดเพื่อสิ่งใด
แต่ เหวินเหรินเหิง ซึ่งในที่สุดก็ได้คนรักกลับคืนมา
ขอสาบานว่าจะไม่ปล่อยให้ศิษย์น้องหนีหายไปอีกแล้ว
“ข้าจะคอยดูอยู่ข้างๆ เจ้าชนะ ข้าก็พลอยมีความสุขไปกับเจ้า
หากเจ้าแพ้ จะเป็นหรือตายข้าก็จะติดตามไปด้วย”

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 45

 

สายลมจากภูเขาม้วนหอบเข้ามาประหนึ่งใบมีดอันแหลมคม แรงปะทะพุ่งตรงเข้าที่ใบหน้า

ฝูผิงที่กำลังร่วงตกลงมาอยู่นั้นถลึงตาจ้องมองลงไปข้างล่างอย่างเอาเป็นเอาตาย

พลันรู้สึกว่าเลือดแข็งตัว แขนขาแข็งทื่อ แผนการสมคบคิดและเล่ห์เหลี่ยมในสมองทั้งหมดล้วนว่างเปล่าขาวโพลน จนกระทั่งเห็นเบื้องล่างใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ จึงร้องเรียกสติอันมึนงงของตัวเองให้ตื่นขึ้น

ด้วยความสูงระดับนี้ แม้วิทยายุทธ์ของเขาจะไม่ถูกปิดผนึก ยังไม่กล้ากระโดดลงมาส่งเดชด้วยซ้ำ คนผู้นั้นสติฟั่นเฟือนไปแล้วงั้นหรือ!

เขาพยายามมองหาคนข้างตัวสุดชีวิต กลับเห็นเพียงเงาสีขาวสายหนึ่งกระจายแผ่คลุมอยู่ในอากาศ

เย่โย่วหาจังหวะแม่นยำ สะบัดผ้าไหมสีขาวยาวราวสองจั้งพุ่งออกไป

เขาพลิ้วร่างแตะบนผ้าผืนนั้นสองครั้งติดๆ กัน จากนั้นฟาดฝ่ามือสู่ผิวน้ำก้นผาท่ามกลางเสียงน้ำดัง “ซู่ๆ” ยืมพลังสะท้อนกลับพลิ้วร่างลอยขึ้นเป็นครั้งที่สาม ท้ายสุดก็มาหยุดยืนบนศิลาก้อนใหญ่ริมชายฝั่งอย่างมั่นคง

ฝูผิงรวบรวมทั้งสามวิญญาณเจ็ดจิต[1]ที่เสียขวัญกระเจิดกระเจิงเข้าด้วยกัน หลังจากหอบหายใจไม่กี่ครั้งก็สงบลงได้ แล้วถามว่า “เจ้าวางแผนไว้นานแล้วหรือ”

เย่โย่วโยนเขาลงไปบนพื้นแล้วกระโดดลงจากหินก้อนใหญ่ เก็บผ้าไหมสีขาวอย่างระมัดระวังพลางตอบว่า “ข้าแค่ฉุกคิดได้ปุบปับ”

ฝูผิงแย้ง “แต่เจ้าเตรียมผ้าไหมสีขาวเอาไว้แล้ว”

“บังเอิญเท่านั้น” เย่โย่วกล่าว “นี่ย่อมไม่ใช่ผ้าไหมธรรมดาแน่นอน ทว่าข้าใช้เพื่อรักษาชีวิต”

ฝูผิงพิเคราะห์เนื้อผ้าไหมสีขาวแล้วถามว่า “กันน้ำกันไฟได้หรือ”

เย่โย่วตอบ “ไม่เชิง แต่ราคาค่อนข้างแพง หากวันหนึ่งข้าสิ้นเนื้อประดาตัว ก็ใช้เจ้านี่แลกเป็นเงินได้”

“…” ฝูผิงรู้สึกว่าหากเชื่อคำพูดก่อนหน้านี้ของเขา สมองของตนคงต้องผิดปกติไปแล้วเป็นแน่

ฝูผิงถูกสกัดจุดจึงขยับตัวไม่ได้ เมื่อเห็นชายผู้นี้เดินกลับมา ก็ไม่เข้าใจจิตใจของคนผู้นี้เลยสักนิด เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบคนที่รับมือยากเช่นนี้

เย่โย่วช่วยประคองฝูผิงขึ้นมาอย่างอ่อนโยนแล้วนั่งลงข้างๆ ฝูผิงรอดูท่าที เมื่อไม่เห็นว่าเขาตั้งใจจะจากไปไหน จึงหันกลับไปถามว่า “เจ้ารอใครอยู่”

“เปล่า ข้ารอให้เจ้าคุยกับข้า” เย่โย่วกล่าว “ตอนนี้ที่นี่มีแค่เราสองคนเท่านั้น เอ่ยความในใจกันสักนิดคงไม่ยากกระมัง”

ฝูผิงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นเจ้าบอกข้าก่อนว่าตกลงเจ้าเป็นใครกันแน่”

เย่โย่วกล่าว “ข้าเป็นศิษย์น้องของเหวินเหรินเหิง ไม่ได้โกหกเจ้าหรอก”

“นอกเหนือจากนั้นเล่า” ฝูผิงขยับศีรษะให้ตั้งตรง ทำได้เพียงมองแม่น้ำสายเล็กที่ด้านล่างของหน้าผา ไม่อาจเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย แล้วกล่าวว่า “คนอย่างเจ้า ก่อนหน้านี้ไม่มีทางไร้ชื่อเสียงเป็นแน่”

เย่โย่วเอ่ยกลั้วหัวเราะ “เจ้าไม่กลัวว่าถามออกมาแล้วข้าจะสังหารเจ้าหรือ”

ฝูผิงตอบ “หากเจ้าคิดจะสังหารข้า คงสังหารไปตั้งนานแล้ว”

เย่โย่วกล่าว “นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านี้รอบตัวมีผู้อื่นอยู่ด้วยตลอด ในที่สุดยามนี้ก็ไม่มีใครแล้ว”

ฝูผิงใจสั่นรัว ยังไม่รู้ว่าเรื่องนี้จริงหรือเท็จ ทว่าการกระโดดลงจากหน้าผานั้นเป็นสาเหตุการตายได้ง่ายดายยิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อด้านล่างเป็นแม่น้ำ ก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอยได้เลยทีเดียว เขากล่าว “พวกเจ้าไม่ได้คาดหวังให้ข้าระบุตัวตนของหมากสีขาวด้วยหรอกรึ”

เย่โย่วกล่าว “เจ้าจะยอมพูดหรือ”

ฝูผิงกล่าว “ขึ้นอยู่กับว่าคนของวัดเส้าหลินเสนอเงื่อนไขใดให้ข้า”

เย่โย่วหัวเราะ ไม่ได้เอ่ยตอบรับหรือปฏิเสธใดๆ

ฝูผิงรออยู่พักหนึ่ง ไม่เห็นเขาเอื้อนเอ่ย กลับรู้สึกหนาวสะท้านโดยไม่รู้สาเหตุ จึงถามว่า “ทำไม เจ้าไม่เชื่อรึ”

“ข้าเชื่อเจ้าอยู่แล้ว” ในที่สุดเย่โย่วก็หมุนตัวไปรอบๆ เพื่อให้ฝูผิงมองเห็น เขาหยิบป้ายหยกที่ได้จากตัวฝูผิงมาลูบคลำในมือเล่นช้าๆ กล่าวว่า “แต่ไม่รู้ว่าเมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจะชี้ตัวว่าเป็นผู้ใด หากพวกเจ้าเตรียมหลักฐานและหาคนตายแทนไว้เสร็จสรรพแล้ว ข้าพาเจ้ากลับไป ไม่เท่ากับเป็นการใส่ร้ายคนดีหรอกหรือ”

ฝูผิงฝืนไม่แสดงความตื่นตระหนกออกมา “เรื่องสำคัญถึงเพียงนี้ คนอย่างข้าไม่อาจล่วงรู้หรอก”

“เจ้าดูแคลนตัวเองเกินไปแล้วยอดรัก ข่าวที่ข้าได้รับคือคนที่มีป้ายคำสั่งไม่ได้อยู่ในสถานะต่ำต้อย” เย่โย่วเล่า “หมากสีขาวมีตำแหน่งสูงและอำนาจเบ็ดเสร็จ มีหลายสิ่งที่ไม่สะดวกจะออกหน้า ข้าจึงเดาว่าหมากสีขาวมีกุนซือผู้หนึ่ง รับผิดชอบแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกะทันหันโดยเฉพาะ หากสถานการณ์เกินจะรับมือหรือหมากสีขาวไม่สะดวกออกคำสั่ง กุนซือจะจัดการเสียเอง ไม่ทราบว่าเจ้าเป็นกุนซือของพวกเขาใช่หรือไม่”

ฝูผิงกล่าว “ข้า…”

“ชู่ว์…” เย่โย่วยื่นนิ้วมือออกไปแตะบนริมฝีปากของอีกฝ่าย กิริยาท่าทางยังคงอ่อนโยนมากเช่นเดิม “ไม่ต้องอธิบาย อันที่จริงไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าจะเป็นหรือไม่ สิ่งสำคัญคือข้ารู้อยู่นานแล้วว่าหมากสีขาวคือผู้ใด ยิ่งไปกว่านั้นถึงหมากสีขาวจะถูกเปิดเผยตัวตน เขาก็ไม่เกรงกลัวเพราะเส้นสายใหญ่โต ถูกต้องหรือไม่”

ลูกนัยน์ตาของฝูผิงหดลงทันที

จนถึงป่านนี้เขาเพิ่งฉุกคิดได้ หากคนผู้นี้รู้จักตัวตนของหมากสีขาวจริง คงรู้ว่าจะมีคนตามเขาทันมาตั้งนานแล้ว และคิดจะกระโดดลงจากหน้าผาอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน ผนวกกับการพลิกค้นตัวจนได้หยกชิ้นหนึ่งของเขาไป คนผู้นี้จึงไม่คิดจะหลอกถามจากปากเขาตั้งแต่แรก ทว่าอยากจะสังหารเขาจริงๆ!

ฝูผิงควบคุมลมหายใจอย่างยากลำบาก พยายามกล่าวอย่างสงบที่สุด “โอ้ เจ้ารู้ว่าหมากสีขาวคือผู้ใดรึ”

“รู้สิ ข้าไม่อยากฟังเจ้าทดสอบข้า เราพูดเรื่องอื่นกันเถิด ไหนๆ ที่นี่ก็ไม่มีใครอยู่ ข้าจะถามอะไรสักอย่าง” เย่โย่วกล่าว “เมื่อสามปีก่อน ประมุขเดิมของปราสาทเขาสวินหลิ่วเสียชีวิตด้วยอาการป่วย เรื่องนี้ผู้ใดเป็นคนต้นคิด”

จู่ๆ ฝูผิงก็ประหลาดใจ “เจ้าเป็นคนของปราสาทเขาสวินหลิ่วหรือ”

เย่โย่วตอบ “เปล่า แต่อย่างไรเสีย ฉินเย่ว์เหมียนก็เป็นสหายกับศิษย์พี่ของข้า ข้าอยากจะถามเผื่อไว้”

“เรื่องนี้ข้าไม่รู้แน่ชัด” ฝูผิงเอ่ย เมื่อเห็นเย่โย่วเม้มปากจึงกล่าวเสริม “ทว่าเขาไม่ได้ตายเพราะเจ็บป่วยจริงๆ”

เย่โย่วถาม “เป็นยาที่หมอเทวดาของพวกเจ้าปรุงขึ้นหรือไม่”

ฝูผิงกล่าว “ถูกต้อง ประมุขฉินมีใจมุ่งมั่นเกินตัว เมื่อสังเกตเห็นเรื่องไม่ชอบมาพากลบางอย่าง พวกเราย่อมไม่อาจปล่อยเขาไปได้ จึงหาคนไปวางยาเขา”

เย่โย่วชื่นชม “ครั้งนี้เจ้าค่อนข้างให้ความร่วมมือทีเดียว”

ฝูผิงกล่าว “ไหนๆ เจ้าก็รู้เรื่องตั้งมากมายแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าแกล้งทำเป็นสับสนและจงใจหยั่งเชิงข้าหรือไม่”

คนผู้นี้ยากหยั่งถึง มิสู้ทำตามคำพูดเขาจะดีกว่า อีกอย่างเมื่อเทียบกับเรื่องของคุกผูถีแล้ว การตายของเจ้าของปราสาทเขาสวินหลิ่วนั้นไม่ควรค่าให้กล่าวถึงเสียด้วยซ้ำ เอ่ยออกมาก็ไม่เห็นจะเป็นปัญหา เขาจำต้องพูดสิ่งที่มีประโยชน์บ้าง เพื่อซื้อเวลาให้คนของเขามาถึง จะได้พอมีช่องทางรอด

เย่โย่วกล่าว “ทันทีที่ประมุขเสียชีวิต ผู้ที่ขึ้นเป็นประมุขต่อก็คือฉินเย่ว์เหมียน คุณชายใหญ่เจ้าสำราญผู้นั้น พวกเจ้าจึงโล่งใจ ทว่าอันที่จริงมีบางอย่างที่พวกเจ้าไม่รู้”

ฝูผิงเอ่ยถาม “คือสิ่งใด”

เย่โย่วตอบ “นั่นคือ…ฉินเย่ว์เหมียนไม่ได้เจ้าสำราญอย่างที่เห็นจากภายนอก ยังไม่ออกมาอีกหรือ”

ฝูผิงผงะ รู้ได้อย่างรวดเร็วว่าเขาไม่ได้พูดกับตนเอง เมื่อกวาดสายตาไปรอบๆ ครู่หนึ่ง ก็เห็นคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากแมกไม้ในป่าริมแม่น้ำอย่างแช่มช้า คนที่เข้ามาใกล้ก็คือคุณชายท่านหนึ่ง ฝูผิงถาม “เจ้าคือฉินเย่ว์เหมียนหรือ”

ฉินเย่ว์เหมียนไม่ตอบ เพียงจ้องเขาเขม็งอย่างเงียบเชียบ

เย่โย่วยืนยันคำตอบให้ แล้วเอ่ยถาม “เจ้าฉลาดเช่นนี้ น่าเสียดายที่ทุ่มเทสละชีวิตให้หมากสีขาว ยุทธภพไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีชื่อคนอย่างเจ้า ติดตามข้าไปไม่ดีกว่าหรือ”

ฝูผิงถาม “เจ้าจะให้ประโยชน์อันใดกับข้า”

เย่โย่วกล่าวด้วยรอยยิ้มพราย “ข้าคิดได้แล้วว่าช่างมันเถิด เรามาจบบทสนทนาอันน่ารื่นรมย์นี้กัน”

สีหน้าของฝูผิงเปลี่ยนไป ไม่ได้คาดคิดสักนิดว่าบทสนทนาจะจบลงรวดเร็วถึงเพียงนี้ เขาไม่รู้แน่ชัดว่าเมื่อครู่ตนเองพูดสิ่งใดผิดไป เมื่อคิดจะแก้ตัวก็ถูกบีบคอจนหายใจไม่ออกแล้ว

“ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ หรอกนะ” เย่โย่วมองเขา “หากพาเจ้ากลับวัดเส้าหลินจริงๆ ก็ไม่มีอะไรดีกับข้าเลย พูดตามตรง ข้าชื่นชอบเจ้ามาก เจ้าเล่นพิณได้ไพเราะ”

ขณะที่เอ่ยคำว่า ‘ไพเราะ’ เขาก็ออกแรงบีบอย่างรุนแรง

ทันใดนั้นฝูผิงก็ได้ยินเสียงดัง “กร็อบ” คมชัด แล้วถูกความมืดมิดกลืนกิน

ฉินเย่ว์เหมียนมองไปที่ศพ เห็นเย่โย่วถอดรองเท้าของฝูผิงโยนลงไปในแม่น้ำข้างหนึ่ง ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้นว่า “หมากสีดำคือเจ้า มิหนำซ้ำยังเป็นคนที่ติดต่อกับข้ามาตลอด”

“ในตอนแรกสุดคนที่ไปพบเจ้าก็คือข้า แต่หลายครั้งในช่วงนี้เป็นผู้อื่น ทว่าจะเป็นใครก็ไม่สำคัญหรอก” เย่โย่วอมยิ้มพลางมองเขา “เจ้าออกมาเช่นนี้จะไม่เป็นไรหรือ”

“ข้าคิดหาวิธีรับมือไว้ก่อนแล้ว ไม่ทำให้คนอื่นระแวงสงสัยแน่นอน” ระหว่างกล่าว ฉินเย่ว์เหมียนเห็นอีกฝ่ายหยัดกายขึ้นยืน พอคิดขึ้นมาได้ว่าในคราแรกสุดเขาเข้าหาเหวินเหรินเหิงเพื่อจุดประสงค์อื่น ก็พลันพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

สามปีก่อน บิดาของเขาสิ้นลมจากไป สั่งเสียเพียงประโยคเดียวคืออย่าเผยคมในฝักออกมาให้ใครได้ยลโฉม

แม้เขาจะรู้สึกว่าการตายของบิดามีเรื่องน่าสงสัย ทว่ากลับไม่รู้ว่าควรจะไปชำระความกับผู้ใด แล้วในเวลานั้นก็มีบุคคลลึกลับผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา บอกให้เขาอดทนรอหากต้องการรู้เรื่องราวทั้งหมด

สามปีที่ผ่านมานี้เขาไม่ได้อยู่เฉย แต่โยกย้ายองครักษ์เดิมของบิดาไปไว้ที่อื่นเพื่อฝึกฝนเป็นการลับ

ระหว่างนั้นก็ติดต่อกับคนลึกลับผู้นั้นหลายครั้งหลายหน อีกฝ่ายรู้ว่าเขาสามารถเขียนตำราได้ทั้งมือซ้ายและมือขวา จึงให้เขาเขียนจดหมายเกี่ยวกับคุกผูถีหนึ่งฉบับ เขาฟังแล้วก็เขียนเนื้อหาลงไป จึงเริ่มตระหนักว่าเรื่องราวต่างๆ อยู่เหนือกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้ จากนั้นเมื่อเรื่องตำราลับปะทุออกมา คนลึกลับผู้นั้นก็ให้คนที่ประจำการทางคุกผูถีแก่เขากลุ่มหนึ่ง และกล่าวเพียงว่าเมื่อถึงเวลาจะรู้ว่าต้องทำอย่างไร

เขารับรู้ว่าเรื่องราวต่างๆ กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว จึงรีบติดตามคุณชายหลี่และคนอื่นๆ ไปพบกับเหวินเหรินเหิง และเมื่อเดินทางจากปราสาทบนภูเขาอันลึกลับแห่งนั้นไปที่คุกผูถี ก็ได้เห็นว่าจดหมายที่ตนเขียนในตอนแรกเกิดประโยชน์แล้ว เขาคิดคำนวณถึงสิ่งที่ตนเองพอจะทำได้ จึงรวบรวมข่าวที่ได้รับในช่วงสามปีนี้เข้าด้วยกัน พร้อมส่งคนไปจับกุมคนเป่าขลุ่ย แล้วส่งให้วัดเส้าหลิน ต่อมาก็ได้รับสารจากบุคคลลึกลับว่าให้เขียนจดหมายเตือนคนอื่นๆ ว่าคนตายยังมีชีวิตลอยนวลอยู่…จนถึงบัดนี้ ในที่สุดก็นับว่าเขาได้ยินความจริงเรื่องการตายของบิดาเสียที

ส่วนการที่เขาได้ช่วยศิษย์น้องของเหวินเหรินเหิงโดยไม่ได้ตั้งใจนั้น ที่แท้ก็เป็นส่วนหนึ่งของหมากกระดานนี้ดังคาด

เย่โย่วเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง “คิดสิ่งใดอยู่”

ฉินเย่ว์เหมียนกล่าว “ขบคิดว่าผู้ช่วยอีกคนหนึ่งของเจ้าคือผู้ใด”

อาเสี่ยวถูกเหวินเหรินเหิงจับตามองราวกับเป็นแก้วตาดวงใจ มีคนติดตามอีกฝ่ายไปทุกหนทุกแห่ง ไม่มีโอกาสส่งสารให้เขา ส่วนผู้ช่วยอีกคนหนึ่งทำหน้าที่เพียงส่งสาร และอธิบายแค่ว่าตนมีสถานะค่อนข้างพิเศษ ไม่อาจออกหน้าปฏิบัติภารกิจได้ จึงต้องพึ่งพาเขาที่เป็นลูกผู้ดีมีเงินให้ช่วยเหลือเท่านั้น ฉะนั้น…จะเป็นใครเล่า

เย่โย่วเอ่ยกลั้วหัวเราะ “เมื่อถึงเวลาแล้วเจ้าจะรู้เอง”

ฉินเย่ว์เหมียนถาม “สถานะของเจ้า ข้าเองก็ต้องรอต่อไปจึงจะได้รู้ใช่หรือไม่”

“ไม่ถึงขั้นนั้น” ขณะที่เย่โย่วเอ่ยก็กวักมือเรียกไปทางป่าทึบ ผู้อาวุโสสองสามคนที่รอคอยมานานต่างพากันวิ่งอุตลุดออกมาล้อมรอบเขาไว้ อยากจะรีบโถมกอดเขาเสียเหลือเกินแต่ก็ทำไม่ได้ เย่โย่วยิ้มให้พวกเขาแล้วชี้ไปที่ศพ “ไปหาที่ลับหูลับตาแล้วฝังศพเขาไว้เถิด”

ผู้อาวุโสหลายคนมองเขาแวบหนึ่งอย่างเศร้าสร้อย แล้วแบกคนผู้นั้นออกไป

ฉินเย่ว์เหมียนมองพวกเขา จำได้ว่าข่าวที่เขาได้รับคือให้รออยู่ที่นี่เช่นเดียวกัน จึงรู้ว่าคนผู้นี้วางแผนจะกระโดดลงจากหน้าผาตั้งนานแล้ว เขาถาม “อาเหิงรู้เรื่องของเจ้าหรือไม่”

“เขารู้แค่ว่าข้าเป็นใคร แต่ไม่รู้ว่าความทรงจำของข้าฟื้นคืนแล้ว” เย่โย่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าต้องเก็บเป็นความลับให้เปิ่นจั้ว”

ทันทีที่เรียกขานคำนี้ออกมา ฉินเย่ว์เหมียนก็ผงะไปชั่วขณะ จากนั้นจึงปะติดปะต่อเรื่องราวของสำนักต่างๆ ในยุทธภพได้ แล้วสูดลมหายใจเล็กน้อย “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็น…ของลัทธิมาร”

เขาพูดไม่จบประโยค ก็เห็นเย่โย่วหงายหลังกระโดดลงไปในแม่น้ำเสียแล้ว

ฉินเย่ว์เหมียน “…”

เหล่าผู้อาวุโสได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็วิ่งกลับมาหนึ่งคน เมื่อเห็นว่าท่านประมุขหายไปก็ตื่นตระหนกระคนโกรธเกรี้ยวทันที “เจ้าพูดสิ่งใดกับเขา!”

ฉินเย่ว์เหมียนได้สติอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวว่า “รีบฝังเร็วเข้า ฝังแล้วก็ออกไป คนที่อยู่ข้างบนกำลังจะลงมาแล้ว”

 

*******

 

เพียงไม่นานคนด้านบนก็ลงมาที่นี่ เมื่อพบว่ามีแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ด้านล่างหน้าผาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเบาๆ แล้วเริ่มออกค้นหาตามแม่น้ำ ในท้ายที่สุดกลับพบเพียงรองเท้าข้างหนึ่งของฝูผิง ไม่รู้ว่าถูกชายชุดดำช่วยไปได้หรือไม่

พวกเขายังคงหาต่อไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็พบคุณชายเสี่ยวอยู่บนชายฝั่งแห่งหนึ่ง

ชายหน้าบากวิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าซีดเซียว จับนายน้อยไว้ด้วยมือสั่นเทา รู้สึกเพียงว่าหัวใจที่แตกสลายได้กลับสู่ขั้วหัวใจดังเดิม “เจ้าสำนัก นายน้อยเสี่ยวยังมีชีวิตอยู่ขอรับ!”

เหวินเหรินเหิงกล่าว “อืม” แล้วเดินมาก้มตัวอุ้มศิษย์น้องไป

ชายหน้าบากมองเจ้าสำนัก ไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ เขากลับรู้สึกว่าเจ้าสำนักดูไม่ค่อยมีความสุขนัก จึงกล่าวปลอบโยน “นายน้อยเสี่ยวเป็นคนดีฟ้าคุ้มครอง น่าจะไม่เป็นไรขอรับ”

เหวินเหรินเหิงเพียงส่งเสียง “อืม” อีกหนึ่งครั้ง มองคนในอ้อมแขนอย่างลึกซึ้ง อุ้มไว้แล้วเดินจากไป

 

[1] สามวิญญาณ หมายถึง วิญญาณฟ้า วิญญาณดิน และวิญญาณชีวิต เมื่อตายลงวิญญาณทั้งสามจะแยกกลับสู่สวรรค์ ดำสู่นรก และวนเวียนในสุสาน ก่อนจะมารวมกันใหม่เมื่อกลับมาเกิด ส่วนเจ็ดจิต หมายถึง อารมณ์ความรู้สึกทั้งเจ็ด ได้แก่ ยินดี โกรธ เศร้า กลัว รัก เกลียด ใคร่ เมื่อร่างดับสลายจิตทั้งเจ็ดจะมลายหายไป หรืออาจติดตามวิญญาณไปด้วย ตามคติของศาสนาเต๋า เชื่อว่าการเป็นคนที่สมบูรณ์ ต้องมีครบทั้งสามวิญญาณเจ็ดจิต ถ้าขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปสติปัญญาจะไม่สมประกอบ

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า