[ทดลองอ่าน] ท่านประมุขหลงลืมฟื้นรัก เล่ม 3 บทที่ 86

ท่านประมุขหลงลืมฟื้นรัก เล่ม 3

教主走失记

 

Yishihuashang 一世华裳 เขียน

RML แปล

 

โปรย

หมากสีขาวใกล้จะถูกเปิดโปง
รอบกาย เย่โย่ว และ เหวินเหรินเหิง จึงยิ่งเต็มไปด้วยอันตราย
เย่โย่วรีบรุดพาพรรคธรรมะบุกรังของมนุษย์โอสถ
จากการต่อสู้ชิงไหวพริบ
กำลังจะดำเนินไปสู่การนองเลือดครั้งใหญ่
อันเป็นบทสรุปของหนี้แค้นในอดีต
พวกเขาจะสามารถจัดการหมากสีขาวให้สิ้นซากได้หรือไม่
และตัวตนของใครเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องลวงบ้าง
บางทีผู้ที่กินยาของหมากสีขาวอาจมีมากกว่าที่คิดเสียแล้ว
ความจริงอันดำมืดของยุทธภพจะต้องกระจ่างในการต่อสู้ครานี้

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 86

 

จากเมืองเซิ่งอินไปยังเมืองอู่อวิ้น ถ้ารีบรุดไปจะใช้เวลาเพียงเจ็ดวัน

ทุกคนค่อนข้างกังวลเรื่องที่ว่าจดหมายไม่ได้มาจากลายมือของบุคคลคนเดียวกัน จึงไม่รีบเร่งออกเดินทางเร็วเกินไป แต่ส่งคนบางส่วนไปที่เมืองอู่อวิ้นเพื่อสืบข่าวก่อน และถือโอกาสแวะส่งจดหมายไปยังตระกูลขุนนางที่นั่นด้วย

หลังจากตระกูลฮวาถูกทำลายย่อยยับ ตระกูลเซิ่งก็เข้ามาแทนที่

เดิมทีตระกูลเซิ่งอาศัยอยู่ในเมืองอู่อวิ้น และมีญาติพี่น้องบางส่วนเกี่ยวดองกับตระกูลฮวา ต่อมาเมื่อเกิดเรื่องกับตระกูลฮวา ตระกูลเซิ่งก็ค่อยๆ ใหญ่โตขึ้น ด้วยบทเรียนที่ได้รับจากตระกูลฮวา ตระกูลเซิ่งจึงหวั่นเกรงยุทธภพเล็กน้อย ค่อยๆ แสดงท่าทีว่าต้องการถอนตัวออกจากยุทธภพ ปัจจุบันจึงมีลูกหลานที่เข้าสู่ราชสำนัก แปรเปลี่ยนเป็นตระกูลขุนนาง วางตัวต่อยุทธภพอย่างเป็นกลาง

แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ยังอยู่ในยุทธภพ นายผู้เฒ่าของตระกูลมีเพื่อนสนิทมิตรสหายมากมาย เพียงแต่ส่วนใหญ่จะโอภาปราศรัยกันในช่วงเทศกาลฉลองตรุษเท่านั้น ไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องสำคัญในยุทธภพจะมาเกี่ยวข้องกับพวกเขาได้

ดังนั้นหลังจากได้รับข่าว ดวงตาของผู้เฒ่าเซิ่งพลันหม่นหมองและเกือบจะทรุดฮวบล้มลง

เขามีประสบการณ์จากเรื่องในอดีตของตระกูลฮวา

ตระกูลขุนนางอันรุ่งโรจน์ก็อาจมอดม้วยในชั่วข้ามคืน เรื่องเช่นนี้ทำให้เขาตระหนักชัดว่ายอดฝีมือในยุทธภพนั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด จวบจนป่านนี้ก็ยังคงหวาดหวั่น เมื่อได้ยินว่ายอดฝีมือเหล่านั้นกำลังจะมา ใบหน้าเขาพลันซีดเผือดด้วยกลัวว่าจะมีการต่อสู้ห้ำหั่นกันที่นี่

นายท่านเซิ่งหน้านิ่วคิ้วขมวด

เมื่อเร็วๆ นี้เหล่าพรรคธรรมะอย่างสำนักเฟิงเสียน หอหลิงเจี้ยน และสำนักอื่นๆ ได้ตรวจสอบพบพวกวายร้ายปะปนอยู่ในพรรคธรรมะ ไม่เพียงทำให้วัดเส้าหลินและสำนักอู่ตังตื่นตระหนกเท่านั้น แม้แต่วังอู๋วั่งและลัทธิมารของพรรคอธรรมต่างเข้ามาผสมโรงด้วย ทำให้เรื่องนี้ยุ่งเหยิงเข้าไปใหญ่ หากจะบอกว่าทุกคนรู้เรื่องนี้ดีก็ไม่เกินจริง แม้ตระกูลเซิ่งจะไม่ค่อยก้าวก่ายเรื่องยุทธภพมากนัก แต่ก็ยังคงให้ความสนใจเหตุการณ์สำคัญบางเรื่อง อย่างเหตุการณ์ล่าสุดที่บ้านของผู้นำสหพันธ์ถูกเผา ย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ใหญ่โตถึงระดับไหน

นายท่านเซิ่งรู้ว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาตั้งแต่พิษตะเกียงอับแสงปรากฏตัวในยุทธภพอีกครั้งแล้ว จากนั้นยังปรากฏ กลไล่ล่า ขึ้นอีก บัดนี้ย้ายเป้าหมายมายังเมืองอู่อวิ้นของพวกเขา จึงต้องคิดตรึกตรองเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วน

เขาเอ่ยถาม “หรือว่าในตระกูลฮวามีผู้รอดชีวิต”

“จะเป็นไปได้อย่างไร” ผู้เฒ่าเซิ่งเล่า “แม่ของเจ้าเป็นลูกพี่ลูกน้องของตระกูลฮวา เมื่อเกิดเรื่องย้อนกลับไปในปีนั้น ไม่เพียงคนของพรรคธรรมะ พวกเราเองก็ติดตามค้นหาอยู่นานพักใหญ่ หากมีคนรอดชีวิต ข้าคงรับกลับบ้านมาตั้งนานแล้ว”

นายท่านเซิ่งกล่าว “ท่านพ่อลองคิดเรื่องในครานี้ หากตอนนั้นมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่จริงแล้วคนผู้นั้นไม่อยากเปิดเผยตัว หลบซ่อนจำศีลอยู่เฉยๆ เป็นเวลายี่สิบปีแล้วกลับมาแก้แค้นเล่า”

ผู้เฒ่าเซิ่งผงะ “เอ่อ นี่ก็…”

หากเป็นเช่นนี้จริง ตระกูลเซิ่งของพวกเขาย่อมไม่นิ่งดูดาย

เพียงแต่เกรงว่าจะมีคนจงใจนำเรื่องมาพัวพันกับตระกูลฮวา เพื่อให้ผู้ได้ยินได้ฟังเกิดความสับสนเสียมากกว่า

พวกเขากระวนกระวายใจอยู่ที่นี่ ส่วนกลุ่มคนพรรคธรรมะก็ออกเดินทางแล้ว พวกเขามุ่งหน้ามาทางเมืองอู่อวิ้นอย่างไม่ช้าไม่เร็ว

 

**********

 

เย่โย่วกับศิษย์พี่นั่งอยู่ในรถม้าคันหนึ่งตามปกติ เขาหยิบตำราของศิษย์พี่มาค่อยๆ พลิกอ่าน

เหวินเหรินเหิงนั่งมองอยู่ข้างๆ คุยกับเขาบ้างเป็นครั้งคราว หยอกล้อกับเจ้าตัวร้ายอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นเขาเริ่มเป็นฝ่ายรุกเข้ามาหาเอง จึงกอดคนไว้ในอ้อมแขน

แต่เดิมทั้งสองคิดว่าจะอยู่เช่นนี้ไปตลอดทาง โชคไม่ดีเมื่อหยุดพักกลางทาง ผ้าม่านก็เปิดออก เซี่ยจวินหมิงและผู้อาวุโสไป่หลี่ขึ้นมาทีละคน บอกว่าจะนั่งรถม้าไปกับพวกเขาด้วย

เย่โย่วถอนหายใจเงียบๆ “ประมุขเซี่ย ประมุขเย่ มีเรื่องจะพูดคุยหรือ”

เซี่ยจวินหมิงเอ่ย “เปล่า”

ผู้อาวุโสไป่หลี่กล่าว “แค่ว่างน่ะ”

            คนหนึ่งคือประมุขแห่งวังอู๋วั่ง ส่วนอีกคนคือประมุขลัทธิมาร ทุกคนต่างรู้ดีว่าสองคนนี้เป็นประมุขที่ทำตามอำเภอใจมาโดยตลอด เมื่อผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยินบทสนทนาข้างในจึงไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นประมุขติงหรือเจ้าสำนักเว่ย แปดในสิบคนย่อมไม่เชื่อถืออย่างแน่นอน

เซี่ยจวินหมิงก็รู้เรื่องนี้ดีเช่นกัน จึงไม่กังวลแต่อย่างใด

ถึงขั้นกล่าวเสริมอย่างช้าๆ ว่า “ทำไมไม่เล่นไพ่นกกระจอกกันสักตาเล่า เรามาเล่นไพ่กันเถิด”

เย่โย่วเตือน “เมื่อออกจากถนนหลักพื้นจะขรุขระ ซ่อนไพ่ไม่ได้หรอก”

“กลัวอะไร…” เซี่ยจวินหมิงจะเอ่ยชวนอีกครั้ง พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังแว่วอยู่นอกรถม้า ตอนแรกเป็นเสียงก้าวเดินที่ช้าลงเรื่อยๆ จากนั้นจึงเร็วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะวิ่งได้สองก้าวก็มาถึงพวกเขาทันที เมื่อเปิดม่านขึ้น ทุกคนมองออกไปจึงพบว่าเป็นติงสี่ไหล คิดว่าเมื่อครู่เขาคงลังเล ก่อนจะตัดสินใจได้แล้ว

ติงสี่ไหลปีนขึ้นมาท่ามกลางสายตาของทุกคน

เขาเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเซี่ยจวินหมิงและเย่โย่วมาก่อน ในเมื่อต้องการสาบานเป็นพี่น้องกับคุณชายเสี่ยว แล้วยามนี้ตัวอันตรายทั้งสองก็เข้ามาในรถม้าของคุณชายเสี่ยว เขาจะยืนนิ่งทำเฉยได้อย่างไร

เขาทำสีหน้าขึงขังเดินเข้าไปหาอย่างองอาจแล้วนั่งลง รู้สึกว่าตนเองทำภารกิจสำคัญได้สำเร็จยอดเยี่ยมมาก!

เซี่ยจวินหมิงเหล่ตาไปที่เขาปราดหนึ่ง “มีธุระอะไร”

ติงสี่ไหลยืดหลังตรงแหน็วแล้วเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “…ไม่มี”

เซี่ยจวินหมิงถาม “แล้วเจ้าขึ้นมาทำอะไรที่นี่”

ติงสี่ไหลตอบ “…มาเล่น”

เซี่ยจวินหมิงกล่าว “ที่นี่ไม่มีอะไรให้เจ้าเล่นหรอก ลงไปซะ”

ติงสี่ไหลอยากจะหนีไปทันที แต่ก็สะกดกลั้นไว้แล้วนั่งเงียบๆ

เซี่ยจวินหมิงกางสองนิ้วออกมาบีบหน้าของเขาแล้วหรี่ตา “ได้ยินหรือไม่”

ติงสี่ไหลอกสั่นขวัญผวาจนเกือบจะร้องไห้ เขามองไปทางคุณชายเสี่ยวเพื่อขอความช่วยเหลือ เย่โย่วจึงห้ามปรามแล้วถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ ติงสี่ไหลกล่าว “ไม่มี แค่อยากนั่งรถม้าคันเดียวกับพวกเจ้า”

ยามนี้ทุกคนต้องรีบเร่งเดินทางต่อพอดี ชายหน้าบากจึงยกม่านขึ้น สอบถามเจ้าสำนักว่าจะออกรถม้าเลยหรือไม่

เหวินเหรินเหิงมองพวกเขาแล้วเอ่ยว่า “ไปกันเถิด”

ชายหน้าบากรับคำสั่ง เริ่มขับรถม้าออกไป โดยมีเหรินเส้าเทียนนั่งอารักขานายน้อยของพวกเขาอยู่ข้างๆ

เพราะเย่โย่ว ‘เพิ่งหายจากอาการป่วยสาหัส’ เหวินเหรินเหิงจึงเลือกใช้รถม้าที่กว้างขวาง ยามนี้แม้จะนั่งกันห้าคนแต่ก็ดูไม่ค่อยแออัดจนเกินไปนัก เพียงแต่บรรยากาศค่อนข้างแปลกอยู่บ้าง เพราะเซี่ยจวินหมิงไม่ได้พูดสักคำ เขาเอนกายไปทาง ‘ประมุขเย่’ แล้วจ้องเขม็งไปทางติงสี่ไหลพร้อมยิ้มน่าเกรงขามกว่าปกติ

ติงสี่ไหลทนไม่ได้อีกต่อไป “ประ…ประมุขเซี่ยเอาแต่มองข้าเช่นนี้ทำไมกัน”

เซี่ยจวินหมิงเอ่ยอย่างนุ่มนวล “ข้าชอบของหายากเยี่ยงเจ้า”

ติงสี่ไหล “…”

            เหรินเส้าเทียนได้ยินจากภายนอกชัดเจน จึงอดเลิกม่านขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ เพื่อมองนายน้อยผู้เคราะห์ร้ายของเขา ใบหน้านายน้อยขาวซีด เขารู้สึกจนปัญญา ก่อนหน้านี้เขาเตือนนายน้อยแล้วว่าไม่ให้มา ทั้งคุณชายเสี่ยวและเหวินเหรินเหิงล้วนไม่ใช่เจ้านายที่รับมือง่าย ย่อมไม่มีทางเสียเปรียบแน่นอน ทว่านายน้อยยังคงดื้อดึง ดูสิ ตกใจกลัวแล้วสิท่า

เขาเหลือบมองไปที่คุณชายเสี่ยวโดยไม่รู้ตัวแวบหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายมองเขาอยู่เช่นกัน จึงเบนสายตาไปมองนายน้อยของเขาใหม่อีกครั้ง ครั้นเห็นว่านายน้อยไม่มีทีท่าว่าอยากจะออกมาก็ปิดม่านลง

เย่โย่วมองติงสี่ไหลแล้วเอ่ยถามว่า “ดื่มชาหรือไม่”

ในที่สุดติงสี่ไหลก็หาเรื่องทำกลบเกลื่อนจนได้ พลันตอบว่า “ดื่ม!”

เย่โย่วรินชาให้เขาหนึ่งถ้วย

ติงสี่ไหลถือถ้วยชาแล้วยกขึ้นดื่มอย่างเงียบเชียบ เมื่อสบสายตาของเซี่ยจวินหมิงก็รินดื่มอีกสามสี่ถ้วยติดต่อกัน ก่อนจะรีบเรียกให้หยุดรถเพราะต้องการไปห้องน้ำ เย่โย่วส่งเขาออกจากรถม้าเองกับมือ ตามไปยังป่าใกล้ๆ สองก้าว แล้วถามว่า “มีอะไรอยากจะพูดหรือไม่”

แววตาของติงสี่ไหลหรี่ลงเล็กน้อย “…ไม่มี”

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นประมุขน้อยแห่งหอหลิงเจี้ยน ทีแรกต้องการไปช่วยคุณชายเสี่ยว กลับถูกเซี่ยจวินหมิงข่มขู่ให้กลัวแทบตาย ยังดีที่ได้คุณชายเสี่ยวช่วยแก้สถานการณ์ให้ จึงรู้สึกอับอายเกินกว่าจะเอ่ย

เย่โย่วมองเขาเต็มสองตา ทำไม้ทำมือให้เขารีบไปทำธุระ แล้วมองไปทางเหรินเส้าเทียน

เหรินเส้าเทียนเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “นายน้อยเห็นพวกประมุขเซี่ยขึ้นไป เกรงว่าท่านจะเสียเปรียบขอรับ”

เย่โย่วตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเป็นเหตุผลนี้

“จริงสิ” เหรินเส้าเทียนถาม “อาการบาดเจ็บของคุณชายเสี่ยวเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”

เย่โย่วกล่าว “ไม่มีอะไรร้ายแรงแล้ว เดี๋ยวพานายน้อยของพวกเจ้ากลับไปเถิด อย่าให้ยั่วโมโหเซี่ยจวินหมิงเข้าจริงๆ เลย”

เหรินเส้าเทียนพยักหน้า

เย่โย่วชำเลืองมองเขาเป็นครั้งสุดท้าย แล้วหันกลับไปที่รถม้า เมื่อมองย้อนไปดูอีกครั้งให้แน่ใจก่อนจะเข้าไปในรถม้า และเห็นว่าเหรินเส้าเทียนมองติงสี่ไหลอยู่ จึงถอนสายตาออก

เซี่ยจวินหมิงเห็นเขากลับมาแล้วก็ถามว่า “คนผู้นั้นเล่า”

เย่โย่วตอบ “เขาจะไม่มาแล้ว”

เซี่ยจวินหมิงค่อนข้างพอใจ “ถือว่าเจียมตัวอยู่บ้าง”

เย่โย่วยิ้มพลางเอ่ยว่า “มีเรื่องอะไรก็ว่ามา ตอนนี้สบโอกาสแล้ว”

ที่กล่าวว่าสบโอกาส หมายความว่าเมื่อพวกเขาหยุดระหว่างทางเช่นนี้ ก็จะทิ้งระยะห่างจากกลุ่มข้างหน้า ผู้ที่ต้องการสืบข่าวเหล่านั้นย่อมไม่สะดวกจะเฝ้าอยู่ข้างๆ เซี่ยจวินหมิงรู้เหตุผลนี้ดี แต่เพื่อป้องกันไว้ก่อน เขายังคงระงับเสียงด้วยกำลังภายใน “คนอยู่ในเงื้อมมือของเจ้าหรือไม่”

เย่โย่วปฏิเสธ “ไม่”

เซี่ยจวินหมิงส่งเสียง “หืม?”

เย่โย่วกล่าว “คนเขาหายไปเองน่ะ”

เซี่ยจวินหมิงฉลาดหลักแหลม ปะติดปะต่อเบาะแสที่มีอยู่ในขณะนี้ครู่หนึ่งก็เข้าใจได้ทันที ลอบคิดในใจว่าท่าทางเว่ยเจียงเย่ว์จะหลงใหลเย่โย่วจนไม่ลืมหูลืมตาเสียแล้ว จึงกล้าจัดฉากลวงว่าถูกลักพาตัว ทำให้พ่อของเขาตกใจกลัวเช่นนี้

เขาถามว่า “แล้วจดหมายเล่า”

เย่โย่วตอบ “เขาจัดการให้คนอื่นเขียน”

เซี่ยจวินหมิงแทบอยากจะปรบมือให้สหายเสียจริงๆ แล้วชื่นชมว่า “เจ้าซื้อเขามาเป็นพวกได้อย่างไร”

เย่โย่วอธิบาย “เขาแค่อยากสืบหาความจริงเท่านั้นเอง ที่เขียนจดหมายก็เพื่อหาเรื่องให้พรรคธรรมะทำนิดๆ หน่อยๆ จะได้ประวิงเวลาสักสองสามวัน พอให้เขากลับมาทัน”

เซี่ยจวินหมิงถาม “เขาไปไหน”

เย่โย่วแค่ยิ้ม แต่ไม่พูดอะไร

เซี่ยจวินหมิงมองเขาเต็มสองตาชั่วครู่แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเปลี่ยนคำถาม เจ้าให้เขาเขียนถึงป้อมปราการซื่อฟาง ไม่มีจุดประสงค์อื่นจริงหรือ”

เย่โย่วตอบอย่างตรงไปตรงมา “ย่อมมีอยู่แล้ว จากที่นี่ไปก็จะผ่านเขื่อนหวั่นผิง”

เซี่ยจวินหมิงขบคิดอยู่พักหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ไม่ใช่ทางผ่านสักเท่าไรนะ”

เย่โย่วกล่าว “แต่อย่างน้อยก็ได้เข้าใกล้”

เซี่ยจวินหมิงถาม “เหตุผลเล่า”

เย่โย่วตอบ “หากข้าเดาไม่ผิด มนุษย์โอสถของหมากสีขาวอยู่ที่นั่น”

ดังนั้นการไปป้อมปราการซื่อฟางเพื่อช่วยชีวิตคนนั้นจึงเป็นเพียงเรื่องลวง เมื่อไปได้ครึ่งทาง เย่โย่วจะหาโอกาสไปเขื่อนหวั่นผิง แล้วตรงเข้ากำราบมนุษย์โอสถกลุ่มนั้นให้สิ้นซาก เซี่ยจวินหมิงหัวเราะร่าทันที “หมากสีขาวไร้สมองสิ้นดีที่ยั่วโมโหเจ้า”

เย่โย่วยิ้มเล็กน้อย ยอมรับคำชมจากเขาอย่างเปิดเผย

เซี่ยจวินหมิงเข้าไปกอดเขาแล้วเอ่ยอย่างรักใคร่ว่า “อาโย่ว ข้าชอบเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ มิสู้เจ้าติดตามข้าไปจะดีกว่า พี่ชายยินดีชอบบุรุษ มอบกายถวายใจเพื่อเจ้าสักคราจริงๆ นะ”

เหวินเหรินเหิงแกะมือเขาออก แล้วดึงศิษย์น้องเข้ามาในอ้อมแขน “ประมุขเซี่ยสำรวมหน่อย คนเขามีเจ้าของแล้ว”

เซี่ยจวินหมิงส่งเสียง “ชิ” อย่างไม่สบอารมณ์ กลับไปนั่งอย่างเบื่อหน่าย แล้วผินหน้าไปมองผู้อาวุโสไป่หลี่ในฉับพลัน

ผู้อาวุโสไป่หลี่ “…”

เจ้าทำสีหน้าท่าทางอะไรน่ะ อย่ามาระบายความโกรธกับข้าอีกจะได้หรือไม่ ทำไม ข้าทำอะไรผิดไปหรือ!

“ยอดรัก” เซี่ยจวินหมิงเอนนอนลงบนตักเขา “สามีของเจ้าอารมณ์ไม่ดี เจ้าช่วยบีบไหล่ให้หน่อยสิ”

ผู้อาวุโสไป่หลี่นึกอยากสับเจ้าหมอนี่อยู่ในใจ จำต้องบีบนวดให้เขาอย่างยอมรับชะตากรรม กว่าจะรู้ว่าตนทำพลาดในบางเรื่องก็สายไปเสียแล้ว ปัดโธ่ เขาไม่ควรไปจับฉลากตั้งแต่แรกเลย!

 

**********

 

หลังเดินทางต่อ ติงสี่ไหลไม่ได้วิ่งไปรนหาที่เจ็บตัวอีก

ทุกคนเดินทางและหยุดพักเป็นระยะจนมาถึงเมืองเล็กๆ ในยามค่ำคืน จึงพักค้างแรมที่นี่ วันนี้ผู้คนของกลุ่มเวหาไม่ได้ว่างเว้น ยังคงพยายามตามหาใครบางคน แต่ก็ยังไม่มีข่าวคราวเช่นเดิม

เจ้าสำนักเว่ยนั่งฟังรายงานของลูกน้องอยู่ในโรงเตี๊ยม เขาขมวดคิ้ว ขณะกำลังจะเอ่ยสั่งการสองสามคำ พลันได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังอยู่ข้างนอก “ท่านพ่ออยู่ที่นี่หรือไม่”

เขาผงะไปครู่หนึ่ง แล้วรีบหยัดกายขึ้นเปิดประตู

เว่ยเจียงโหรวเดินเข้ามาพอดี ครั้นเห็นบิดาก็ยิ้มแล้วรีบวิ่งไปหา “ท่านพ่อ”

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า