死亡万花筒
ฝ่ามิติประตูมรณะ
ซีจื่อซวี่ 西子绪 เขียน
ซิ่วเจิน แปล
XOXO วาด
– โปรย –
สิ่งที่แปลกไปอย่างแรกก็คือ แมวที่บ้านไม่ยอมให้เขากอด
จากนั้นหลินชิวสือก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปจากเดิม
แล้ววันหนึ่ง ตอนที่เขาผลักเปิดประตูบ้านออกมา
ก็พบว่าทางเดินในตึกที่คุ้นเคยกลับกลายเป็นทางเดินยาวซึ่งทั้งสองฟาก
เป็นประตูเหล็กที่มีลักษณะเหมือนกันสิบสองบาน
แล้วเรื่องราวต่างๆ ก็เริ่มต้นขึ้นจากจุดนี้
และเมื่อเปิดประตูเข้าไปครั้งแรกเขาก็ได้เจอกับคนแปลกๆ ที่ยิ่งได้รู้ความจริงก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ
“ทำไมคุณต้องใส่ชุดผู้หญิงด้วยล่ะ”
“งานอดิเรก”
หลินชิวสือ “…”
เมื่อสายรุกหนังหน้าหนา เจ้าเล่ห์ ทรงเสน่ห์
และชื่นชอบการแต่งหญิงเป็นชีวิตจิตใจมาเจอกับฝ่ายรับที่ซุกซ่อนความหน้าไม่อายไว้
ภายใต้ความเงียบขรึมอย่างแนบเนียน ความไร้ยางอายขั้นกว่าจึงบังเกิดขึ้น!
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 4 ความตาย…อีกครั้ง
หลินชิวสือให้หร่วนป๋ายเจี๋ยขี่หลัง มีสมาชิกอีกสามคนรับหน้าที่แบกท่อนไม้อันหนักอึ้งลงเขา
หิมะตกส่งผลให้ทางเดินลื่น พวกเขาจึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
สยงชีที่ถือตะเกียงนำอยู่ทางด้านหน้าก็ตะโกนบอกให้ทุกคนค่อย ๆ เดิน
หิมะที่ตอนแรกโปรยปรายเพียงเล็กน้อยเริ่มตกหนาตาขึ้นจนดูคล้ายขนห่านลอยฟ่องอยู่เต็มท้องฟ้า
หร่วนป๋ายเจี๋ยตัวไม่หนักแม้แต่น้อย หลินชิวสือแบกหญิงสาวได้สบายมาก เขาก้มหน้ามองทาง ย่ำเท้าเดินเป็นจังหวะมั่นคง
สายลมดังหวีดหวิวบาดหู ม่านหิมะบดบังทัศนวิสัยของชายหนุ่มไปกว่าครึ่งจนมองเห็นคนข้างหน้าไม่ชัด
ชายหนุ่มเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี เขาชะลอฝีเท้าก่อนหยุดนิ่งอยู่กับที่ หากหูกลับได้ยินเสียงห้ามของหร่วนป๋ายเจี๋ย “เดินต่อไป อย่าหยุด”
หลินชิวสือจึงบังคับฝ่าเท้าของตนให้เคลื่อนไปข้างหน้า
หากแต่ยิ่งเดินเขาก็ยิ่งตระหนักได้ถึงความผิดปกติ เดิมชายหนุ่มคิดว่าประสาทรับรู้ของเขาด้านชาจากสภาพอากาศอันหนาวเหน็บ แต่การที่ได้หยุดพักเมื่อสักครู่ทำให้เขาพบต้นตอของปัญหา
เบาเกินไป…คนที่อยู่บนหลังของเขาเบาจนคล้ายไม่มีน้ำหนัก หลินชิวสือลอบกลืนน้ำลาย พยายามรักษาท่าทางให้เป็นธรรมชาติที่สุดระหว่างทดลองยกตัวคนที่อยู่บนหลังขึ้นเล็กน้อยเพื่อกะน้ำหนัก
…ชายหนุ่มไม่ได้คิดไปเอง เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นตามไรผมของหลินชิวสือ ร่างที่เกาะอยู่กับแผ่นหลังเบาไม่ต่างจากกระดาษ มีร่างกายแต่กลับไร้ซึ่งน้ำหนัก “ป๋ายเจี๋ย”
ไม่มีเสียงตอบรับ
“ป๋ายเจี๋ย” หลินชิวสือเรียกอีกครั้ง
“ทำไมเหรอ” หร่วนป๋ายเจี๋ยแนบใบหน้าลงกับซอกคอของชายหนุ่ม ผิวนุ่มลื่นของเธอทั้งเย็นทั้งเปียกชื้น ทำให้ชายหนุ่มนึกไปถึงบางสิ่งที่ไม่น่าพิสมัย หญิงสาวถามอีกครั้งว่า “คุณเรียกทำไม”
“ไม่มีอะไร แค่จะถามว่าหนาวไหม” หลินชิวสือตอบ
“ฉันไม่หนาว” คนที่อยู่บนหลังตอบก่อนเสริมว่า “ไม่หนาวเลยสักนิด”
หลินชิวสือไม่กล้าหยุดฝีเท้า เขาเอาแต่ก้มหน้ามองทางเดิน เมื่อเงยขึ้นมาอีกครั้งจึงพบว่าตนอยู่ห่างจากหัวขบวนค่อนข้างไกล
หิมะที่กระหน่ำลงมาทำให้เขามองเห็นแสงจากตะเกียงน้ำมันและกลุ่มคนที่เดินฝ่าลมหนาวอยู่ข้างหน้าได้อย่างเลือนราง อีกทั้งคนที่อยู่บนหลังของเขาก็ไม่น่าจะใช่หร่วนป๋ายเจี๋ย แต่เป็นอะไรอย่างอื่น
หลินชิวสือขบสันกรามแน่น
“ตัวคุณสั่นนะ” ร่างบนหลังที่มีเสียงเหมือนหร่วนป๋ายเจี๋ยเอ่ยทักเสียงเบา “หนาวมากเหรอ”
“ยังพอทนไหว ผมไม่ค่อยหนาว”
“คุณอยากไปที่ที่ไม่หนาวไหม” หญิงสาวถาม “ที่ที่อบอุ่น ไม่มีหิมะ ที่ที่ท้องฟ้าไม่มีวันมืด”
หลินชิวสือชั่งใจว่าควรจะต่อบทสนทนาโดยถามออกไปดีหรือไม่ว่าที่แห่งนั้นคือที่ไหน หากก็เงียบไป เพราะใจจริงเขาเองก็ไม่ได้อยากถามเลยแม้แต่น้อย
“ทำไมคุณไม่พูดอะไรเลยล่ะ”
“เพราะผมกำลังคิด” หลินชิวสือตอบเสียงแห้ง
“แล้วคิดอะไรอยู่” หญิงสาวถาม
หลินชิวสือหยุดเดินก่อนตะโกนว่า “คิดว่าทำยังไงถึงจะเอาคุณลงจากหลังผมได้น่ะสิ!” พอพูดจบชายหนุ่มก็สลัดแขนให้เป็นอิสระ ออกวิ่งจ้ำอ้าวไม่เหลียวหลัง
นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะหลังจากปล่อยมือ เขาก็ไม่ได้ยินเสียงวัตถุตกกระทบพื้นแม้แต่น้อย…อะไรก็ตามที่อยู่บนหลังเขาเมื่อครู่ไม่มีทางที่จะเป็นคนไปได้
หลินชิวสือวิ่งเตลิดราวกับคนเสียสติ เมื่อพ้นมาได้ระยะหนึ่งจึงหันกลับไปมองทางด้านหลัง แต่ชายหนุ่มก็เกือบจะหัวใจวายด้วยความตกใจเมื่อเห็นสิ่งที่เขาทิ้งไว้นอนนิ่งอยู่บนพื้นหิมะ ตัวของมันยังคงอยู่ที่เดิม แต่ยืดคอพุ่งตรงมาทางเขา ศีรษะที่ปกคลุมด้วยกลุ่มผมสีดำเอียงกระเท่เร่ระพื้น ถามชายหนุ่มว่า “ทำไมถึงทิ้งฉันล่ะ คุณชอบฉันไม่ใช่เหรอ”
“ชอบกะผีสิ” หลินชิวสือสวนกลับเสียงขุ่น
เจ้าของลำคอที่ยืดยาวออกมา “…”
หลินชิวสือไม่กล้าหยุดฝีเท้าของตนเอง เขาเพียรพยายามไล่ตามเพื่อนร่วมทางที่อยู่ข้างหน้า แต่ความหวังของเขาก็พังทลายลง เพราะไม่ว่าจะวิ่งเร็วสักเท่าไรก็ยังไม่เข้าใกล้กลุ่มคนและแสงไฟสักที ไม่ต่างจากกำลังวิ่งไขว่คว้าภาพลวงตาในความฝัน
ทว่าเจ้าสิ่งนั้นกลับใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
จบกัน ซากความหวังของหลินชิวสือปลิวหายไปกับสายลมเมื่อกลุ่มผมสีดำประชิดเข้ามาเกือบจะถึงตัว ทันใดนั้นเท้าเขาก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง ทั้งร่างเซวูบก่อนถลาลงไปกองกับพื้น
“บ้าเอ๊ย!” ชายหนุ่มล้มหน้าคว่ำ กลืนหิมะเข้าไปคำใหญ่ ทว่าการล้มนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างกระเด็นออกจากตัว ก่อนที่จะมีคนมาช่วยดึงเขาขึ้นจากพื้น
“หลินชิวสือ หลินชิวสือ คุณโอเคไหม ฉันหนักขนาดนั้นเลยหรือ” เป็นเสียงของหร่วนป๋ายเจี๋ย
ชายหนุ่มดันตัวขึ้นอย่างทุลักทุเล เมื่อหันไปก็เห็นว่าหญิงสาวกำลังใช้นิ้วจิ้มลงบนแก้มของเขาอยู่
“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม” สยงชีถามขณะช่วยพยุงเขา
หลินชิวสือถอนหายใจเฮือกใหญ่ “นึกว่าจะต้องตายเสียแล้ว”
“ทำไมล่ะ” หร่วนป๋ายเจี๋ยเอียงคอถาม
หลินชิวสือเล่าเรื่องที่เพิ่งประสบมาคร่าว ๆ ทั้งยังบอกว่าเคราะห์ดีที่สะดุดล้ม ไม่เช่นนั้นเขาคงกลายเป็นศพไปแล้ว
“อ้อ…ฉันแค่จะถามว่าคุณล้มเพราะอะไร คิดว่าเป็นเพราะฉันตัวหนักไปเสียอีก”
“ไม่นี่ คุณไม่ได้หนักขนาดนั้น”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นมุมปากของหญิงสาวก็ยกโค้งขึ้น
“รีบลุกเถอะ ยังต้องลงเขากันอีก ฟ้าจวนจะมืดแล้ว ต้องรีบกันหน่อย” สยงชีเอ่ยเร่ง
หลินชิวสือผงกศีรษะเห็นด้วย หากชั่วขณะที่ลุกขึ้นหัวเข่าของเขาก็ปวดแปลบขึ้นมา ชายหนุ่มจึงรู้ว่าตนได้แผลจากที่ล้มลงไปเมื่อครู่ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ตั้งหน้าตั้งตาเดินไปพร้อมกับสยงชีและคนอื่น ๆ ตอนแรกหลินชิวสือจะให้หร่วนป๋ายเจี๋ยขี่หลังต่อ แต่หญิงสาวปฏิเสธ บอกว่าเขาผอมเกินไปจนกระดูกสันหลังทิ่มหน้าอกเธอ
เหตุผลของหญิงสาวส่งผลให้ชายหนุ่มพึมพำเสียงเบาว่า “คุณมีหน้าอกกับเขาด้วยเหรอ…” ตอนที่แบกหญิงสาวไว้บนหลัง เขาสัมผัสได้แต่ความราบเรียบ ไม่มีส่วนนุ่มนิ่มเลยแม้แต่น้อย
พอได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้น หร่วนป๋ายเจี๋ยก็โกรธขึ้นมา “หน้าอกคุณใหญ่มากสินะถึงได้กล้าพูด!”
หลินชิวสือ “…”
ทั้งสามเร่งฝีเท้าเพื่อให้ทันผู้ที่ล่วงหน้าไปก่อน แล้วหูของหลินชิวสือก็พลันได้ยินเสียงกรีดร้อง
“พวกคุณได้ยินอะไรไหม” หลินชิวสือถาม กลัวว่าตนจะจิตหลอนไปเอง
“ได้ยิน” สีหน้าของสยงชีเคร่งขึ้น “เร็วเข้า เกิดเรื่องแล้ว”
ทั้งสามออกวิ่ง เมื่อทั้งหมดไล่ตามไปทันก็ต้องพบกับฉากสยองขวัญ
สามคนที่แบกท่อนไม้เมื่อสักครู่ ในเวลานี้แทบหมดทางรอดไปแล้วสองคน ร่างของพวกเขาถูกท่อนซุงพุ่งเข้าใส่จนขาดออกเป็นสองท่อน แต่ที่น่ากลัวที่สุดเห็นจะเป็นการที่พวกเขายังคงรู้สึกตัวอยู่แม้ว่าร่างกายจะแยกออกจากกันแล้วก็ตาม ทำให้ปากที่นองไปด้วยเลือดส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือไม่หยุด
ส่วนคนที่รอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์นั่งหมดเรี่ยวแรงอยู่บนพื้น เป้ากางเกงมีรอยเปียกชื้น เขาร้องโหยหวนเสียงดัง “ช่วยด้วย…ช่วยด้วย…”
“เกิดอะไรขึ้น! เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น!” สยงชีถาม
“ตอนที่เดินอยู่ จู่ ๆ พวกเขาก็ปล่อยมือพร้อมกัน ไม้ก็เลยพุ่งไปชนสองคนนั้น” เสี่ยวเคอตอบ
สยงชียังไม่ทันได้พูดอะไร ชายที่รอดมาได้ก็ผุดลุกขึ้นก่อนจะวิ่งเตลิดไปอย่างไร้จุดหมาย ปากก็ตะโกน “ปิศาจ ปิศาจ ช่วยด้วย ปิศาจ…”
คนอื่น ๆ ยังไม่ทันเข้าไปห้าม ร่างของชายผู้นั้นก็หายไปท่ามกลางม่านสีขาวของหิมะ
สองคนที่ได้รับบาดเจ็บสิ้นลมหายใจลงในเวลาไม่นาน
“ทีนี้จะทำยังไงดี…” หญิงสาวในกลุ่มสะอึกสะอื้นไม่หยุด “พวกเราจะต้องตายอยู่ในนี้กันหมดใช่ไหม”
หิมะเกาะเต็มหนวดเคราบนใบหน้าของสยงชี เขาถอนหายใจก่อนพูดด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ไปกันเถอะ แบกไม้กลับไปก่อน”
ทั้งหมดพากันยืนอย่างทึ่มทื่อ ไม้ท่อนนี้เพิ่งกระแทกคนจนตายไปต่อหน้าต่อตา ใครจะกล้าแบกกัน ท้ายที่สุดก็เป็นหลินชิวสือและสยงชีที่อาสาแบกไม้เปื้อนเลือดนี้
ระหว่างทางมีแต่ความเงียบ เคราะห์ดีที่ไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นซ้ำสอง
ทั้งสองตัดสินใจนำท่อนไม้ไปส่งที่บ้านช่างไม้ก่อน ชายชราเห็นคราบโลหิตบนไม้ก็ไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจ ไม่แม้แต่จะถามสักคำ แค่เอ่ยเตือนเสียงต่ำว่า “ยังขาดอีกสองต้น”
หลินชิวสือและสยงชีหันหลังกลับที่พักโดยไม่คิดจะพูดอะไรกับช่างไม้
การเสียชีวิตโดยโดนท่อนไม้พุ่งชนนับว่าเป็นการตายที่ผิดสามัญอย่างยิ่ง ต้องเป็นฝีมือของสิ่งเหนือธรรมชาติเป็นแน่ คราวนี้หลินชิวสือเองก็รอดพ้นมาได้อย่างหวุดหวิด เขานั่งจ้องเปลวไฟตรงหน้า ในใจเต็มไปด้วยความสับสน
“ฉันอยากกินบะหมี่” จู่ ๆ หร่วนป๋ายเจี๋ยที่นั่งอยู่ข้างกายชายหนุ่มก็โพล่งขึ้น
“อืม…ขอผมพักแป๊บหนึ่ง” หลินชิวสือบอก
“คุณเป็นอะไรมากไหม เหนื่อยหรือเปล่า”
“เปล่า ผมแค่กำลังหาเหตุผลที่ผมต้องมาอยู่ในมิติประตูนี้” ชายหนุ่มพูด “ผมอยู่ของผมดี ๆ วันดีคืนดีก็ไปเปิดประตูจนเจอทางเดินที่มีประตูอยู่อีกสิบสองบาน แล้วผมก็เปิดเข้ามา…”
หร่วนป๋ายเจี๋ยนั่งฟังเงียบ ๆ
“แล้วผมก็เปิดเข้ามาอยู่ที่นี่” ชายหนุ่มพูดต่อ “ประตูเหล็กทั้งสิบสองบานนั่นหมายถึงความน่ากลัวกับความเจ็บปวดงั้นเหรอ”
พอได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวก็หัวเราะ “คิดเรื่องพวกนี้ไปก็เปล่าประโยชน์ บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ใช่ความเจ็บปวดก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้นคืออะไร”
“บางที…อาจจะหมายถึงการเกิดใหม่” สีหน้าของหร่วนป๋ายเจี๋ยอ่อนละมุนลง
แต่หลินชิวสือฟังแล้วก็ขมวดหัวคิ้วเข้าหากัน
ยามนี้ห้องนั่งเล่นเหลือเพียงพวกเขาสองคน คนอื่น ๆ ต่างแยกย้ายกลับไปพักในห้อง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้ทุกคนสิ้นเรี่ยวแรง สยงชีจึงให้เวลาพักผ่อนหนึ่งชั่วโมงก่อนกลับมาช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป ทว่าถึงจะกล่าวเช่นนั้น แต่ในใจทุกคนต่างรู้ดีว่าต้องนำไม้ไปให้ช่างไม้เท่านั้นจึงจะพ้นจากที่นี่ไปได้ แม้ว่าการออกไปตัดไม้ครั้งต่อไปอาจจะตามมาด้วยเหตุการณ์ที่น่าหวาดกลัวกว่านี้ก็ตาม
“ไปเถอะ ฉันหิวแล้ว” หร่วนป๋ายเจี๋ยเอ่ย
หลินชิวสือจึงลุกขึ้นเดินไปยังห้องครัว
หร่วนป๋ายเจี๋ยมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายก่อนจะเผยรอยยิ้มอันยากจะตีความออกมา
บะหมี่มีรสชาติไม่เลว หลังจากที่ทั้งสองกินเสร็จก็หมดเวลาพักพอดี ทุกคนจึงมารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้งเพื่อช่วยกันวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงขากลับจากไปตัดไม้
“ตอนที่เดินลงเขา พวกเขาน่าจะเห็นภาพหลอน” จางจื่อซวงที่ดูสงบกว่าผู้อื่นพูด “ผมเห็นสองคนที่อยู่ข้างหน้าหยุดเดินไปแป๊บหนึ่ง”
“การตายในมิตินี้มีแต่แปลก ๆ ทั้งนั้น ไม่ต้องสนใจหรอกว่าพวกเขาตายเพราะอะไร” สยงชีกล่าวตรง ๆ “ปัญหาสำคัญคือเงื่อนไขที่ทำให้เกิดการตายต่างหาก”
จะตัดไม้ แบกท่อนไม้ หรือแม้แต่เดินกลางหิมะ ต่างสามารถเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ปิศาจลงมือได้ทั้งสิ้น
“ค่อย ๆ ตัดไปทีละอย่างไหม” เสี่ยวเคอเสนอ “ทุกคนตัดต้นไม้กันหมด มีแค่สามคนนั้นที่แบกท่อนไม้ลงมา”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมผมกับสยงชีที่แบกท่อนไม้ลงมาเหมือนกันถึงไม่เป็นอะไร” หลินชิวสือแย้ง
“มีความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่ง คือแบกท่อนซุง สอง คือมีเงื่อนไขอื่น” สยงชีแจกแจง “จำนวนคนที่ปิศาจฆ่าได้ในแต่ละครั้งมีจำกัด เลยฆ่าพวกเราทั้งหมดในคราวเดียวไม่ได้” ด้วยเหตุนี้เขาจึงกล้าแบกไม้กลับมาพร้อมกับหลินชิวสือ
“เราจะพิสูจน์ได้ยังไง” เสี่ยวเคอถาม
“ทำไมยังต้องพิสูจน์อีกล่ะ” หร่วนป๋ายเจี๋ยม้วนผมของตนเล่นก่อนจะพูดอย่างไม่ไว้หน้า “แค่พยายามเลี่ยงเงื่อนไขพวกนี้ก็พอแล้ว ราคาของการพิสูจน์มันสูงนะ ถ้าล้มเหลวขึ้นมา ใครก็จ่ายไม่ไหวหรอก”
“เหอะ” เสี่ยวเคอแค่นเสียงเย็น ท่าทีที่เธอมีต่อหร่วนป๋ายเจี๋ยนั้นไม่ค่อยดีนัก และมักจะเมินคำตอบของอีกฝ่ายอยู่เสมอ ใช่แล้ว สาวสวยอย่างหร่วนป๋ายเจี๋ยที่ทุกคนให้ความเอ็นดูเหมือนน้องสาวก็มีคราวที่ไม่เป็นที่ยอมรับของคนเพศเดียวกันด้วยเหมือนกัน
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เราจะไม่แบกท่อนซุงแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นหาอะไรไปลากแทน” สยงชีเสนอ
ทั้งหมดต่างเห็นด้วยกับความคิดของอีกฝ่าย
“แล้วจะทำยังไงกับคนที่วิ่งหายไปล่ะ” คนที่เป็นห่วงสมาชิกอีกคนถามขึ้น “หรือไม่ต้องสนใจ”
“จะสนใจได้ยังไงล่ะ” จางจื่อซวงถาม “คุณมองไปข้างนอกสิ จวนจะมืดอยู่แล้ว ตอนกลางคืนจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ หรือคุณจะเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง”
คนอื่น ๆ นิ่งไป เห็นด้วยกับคำพูดของเขาเงียบ ๆ
ในมิติประตูนี้ไม่มีอะไรมาการันตีได้ว่าทุกคนจะมีชีวิตรอด สามารถอยู่มาได้จนถึงเวลานี้ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว อย่าไปพูดถึงเรื่องช่วยเหลือคนอื่นเลย
“ไปเถอะ เข้านอนกันเร็วหน่อย พรุ่งนี้มีเรื่องให้ทำต่ออีก” สยงชีลุกขึ้นเตรียมกลับห้องของตน
หร่วนป๋ายเจี๋ยมองอากาศด้านนอก “ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้หิมะจะหยุดตกไหมนะ”
คำพูดของเธอราวกับจะเป็นลางบอกเหตุ
พายุหิมะโหมกระหน่ำตลอดคืนโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนถึงเช้า
คงเป็นเพราะตอนกลางวันมีการตายเกิดขึ้นแล้ว ยามค่ำคืนจึงไม่มีเรื่องน่ากลัวอะไรเกิดขึ้นอีก ทุกคนจึงผ่านคืนนี้ไปได้อย่างราบรื่น
วันต่อมาสภาพอากาศเลวร้าย กระทั่งจะออกไปข้างนอกยังทำได้ยาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะออกไปตัดไม้แล้วยังต้องนำท่อนซุงลงมาเลย แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ปิศาจยังน่ากลัวกว่าพายุหิมะหลายเท่า ดังนั้นแม้อากาศจะไม่เป็นใจ แต่ก็ไม่มีใครสมัครใจจะรอให้เวลาผ่านพ้นไปอีกหนึ่งวัน
ตลอดเช้ามีแต่ความเงียบ ระหว่างทางก็มีเพียงความเงียบ คล้ายกับเหตุการณ์เมื่อวานได้ขจัดความสามารถในการพูดคุยของทุกคนไปจนหมด
คนเดียวที่ยังคงมีท่าทีปกติก็คือหร่วนป๋ายเจี๋ย หญิงสาวเดินฮัมเพลงท่ามกลางหิมะราวกับการเดินทางในครั้งนี้เป็นการไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจธรรมดา